Browsing by Author "ผณินทรา ธีรานนท์"
Now showing 1 - 5 of 5
Results Per Page
Sort Options
- Publicationการใช้อักษรฮิรางานะและคาตาคานะของคำว่า gomi (ขยะ) ในภาษาญี่ปุ่น : การศึกษาแบบอิงคลังข้อมูลภาษาโขมพัฒน์ ประวัง; ผณินทรา ธีรานนท์ (2018)บทความนี้ศึกษาการเขียนคำว่า “gomi” (ขยะ) ด้วยอักษรฮิรางานะและคาตาคานะในภาษาญี่ปุ่น จากการวิเคราะห์ข้อมูลที่รวบรวมจากคลังข้อมูลภาษาเขียนภาษาญี่ปุ่น (BCCWJ) เพื่อให้ทราบว่าในสื่อพิมพ์ต่างๆ ใช้การเขียนในรูปแบบใด พร้อมทั้งวิเคราะห์เหตุผลในการใช้อักษรที่ต่างกัน โดยการเปรียบเทียบความถี่ที่ปรากฏในคลังข้อมูลภาษา พบว่า เมื่อพิจารณาตามชนิดของสื่อพิมพ์ทั้ง 11 แหล่ง เขียนในรูปของอักษรฮิรางานะมากกว่าคาตาคานะ โดยสื่อที่พบการใช้ในรูปอักษรฮิรางานะเท่านั้น คือ “บันทึกการประชุมรัฐสภา” สื่อที่พบการใช้ในรูปแบบของอักษรฮิรางานะมากกว่าอักษรคาตาคานะ คือ “หนังสือเรียน” “เอกสารประชาสัมพันธ์” “เอกสารราชการ” “หนังสือพิมพ์” สื่อที่พบในรูปของอักษรคาตาคานะมากกว่าอักษรฮิรางานะ คือ “หนังสือ” “นิตยสาร” “โคลงกลอน” “Yahoo blog” “Yahoo รู้รอบ” จากสื่อพิมพ์ที่ปรากฏอักษรดังกล่าวมานี้ สรุปได้ว่า สื่อที่เป็นการให้ข้อมูลโดยหน่วยงานของรัฐบาลพบการเขียนคำนี้ด้วยอักษรฮิรางานะมากกว่าซึ่งเป็นไปตามกฎการเขียนที่มีอยู่ แม้ว่ากฎในการเขียนมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไป การใช้อักษรคาตาคานะเขียนคำ นี้มักเป็นสื่อที่ถ่ายทอดข้อมูลรวมถึงอาจถ่ายทอดความบันเทิง และเป็นสื่อที่ผู้เขียนมีความอิสระในการเขียน ไม่มีการตรวจสอบเช่นในอินเทอร์เน็ต
- Publicationพฤติกรรมค่าความถี่มูลฐานของเสียงสระอันเนื่องมาจากอิทธิพลของบริบททางเสียงในภาษากลุ่มว้าอิก : นัยสำคัญต่อทฤษฎีกำเนิดวรรณยุกต์ผณินทรา ธีรานนท์; Pranintra Teeranon (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2005)งานวิจัยนี้ศึกษาพฤติกรรมค่าความถี่มูลฐานของเสียงสระอันเนื่องมาจากอิทธิพล ของคุณสมบัติของเสียงสระ เสียงพยัญชนะต้น เสียงพยัญชนะท้าย เสียงพยัญชนะต้นและพยัญชนะท้ายที่มีลักษณะการเปล่งเสียงเหมือนกันที่ขนาบ หน้าหลังเสียงสระ ที่มีต่อค่าความถี่มูลฐานของสระในภาษาว้าอิก ได้แก่ ภาษาว้า (ภาษามีลักษณะน้ำเสียง) ภาษาละเวือะ (ภาษามีการจัดระบบสระใหม่) และภาษาปลั้ง (ภาษามีวรรณยุกต์) แต่ละภาษาใช้ผู้บอกภาษา จำนวน 6 คน แบ่งเป็นสองกลุ่มอายุ คือ กลุ่มอายุมากกว่า 60 ปี และกลุ่มอายุต่ำกว่า 20 ปี กลุ่มละ 3 คน แต่ละภาษาใช้จำนวนคำตัวอย่าง 60-70 คำ คำตัวอย่างทั้งหมดเป็นคำพยางค์เดียว ผู้บอกภาษาออกเสียงคำตัวอย่างแต่ละคำในรายการคำ 3 ครั้ง รวมคำทดสอบที่ต้องนำมาวิเคราะห์ทั้งสิ้น 3,546 คำ ในการวิเคราะห์ค่าความถี่มูลฐานได้ใช้โปรแกรม Praat และค่าสถิติ t-test พฤติกรรมค่าความถี่มูลฐาน มีดังนี้ คุณสมบัติของสระ: (1) สระสูงมีค่าความถี่มูลฐานมากกว่าสระต่ำตามสมมติฐาน (2) สระก้องธรรมดามีค่าความถี่มูลฐานมากกว่าสระก้องต่ำทุ้มตามสมมติฐาน อิทธิพลของเสียงพยัญชนะต้น : (1) สระที่ตามหลังเสียงพยัญชนะต้นควบกล้ำสองเสียงมีค่าความถี่มูลฐานน้อยกว่าสระ ที่ตามหลังเสียงพยัญชนะต้นเดี่ยว ซึ่งไม่เป็นไปตามสมมติฐาน (2) สระที่ตามหลังเสียงกักอโฆษะธนิตมีค่าความถี่มูลฐานน้อยกว่าสระที่ตามหลัง เสียงกักอโฆษะสิถิล ซึ่งไม่เป็นไปตามสมมติฐาน (3) สระที่ตามหลังเสียงกักที่มีเสียงนาสิกนำมีค่าความถี่มูลฐานน้อยกว่าสระที่ ตามหลังเสียงกักธรรมดา ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐาน แต่สระที่ตามหลังเสียงเสียดแทรกที่มีเสียงนาสิกนำมีค่าความถี่มูลฐานมากกว่า สระที่ตามหลังเสียงเสียดแทรกธรรมดา ไม่เป็นไปตามสมมติฐาน (4) สระที่ตามหลังเสียงพยัญชนะต้นนาสิกอโฆษะมีความความถี่มูลฐานมากกว่าสระที่ ตามหลังเสียงนาสิกที่มีการกักที่เส้นเสียงนำ และสระที่ตามหลังเสียงนาสิกโฆษะเป็นไปตามสมมติฐาน อิทธิพลของพยัญชนะท้าย: สระที่อยู่หน้าเสียงพยัญชนะท้ายกักที่เส้นเสียงมีค่าความถี่มูลฐานมากกว่า สระที่อยู่หน้าเสียงพยัญชนะท้ายเสียดแทรกที่เส้นเสียง และสระที่อยู่หน้าเสียงพยัญชนะท้ายเสียงนาสิก ซึ่งไม่เป็นไปตามสมมติฐาน อิทธิพลของเสียงพยัญชนะต้นและพยัญชนะท้ายที่ขนาบหน้าหลัง: สระที่อยู่ระหว่างเสียงกักอโฆษะมีค่าความถี่มูลฐานมากกว่าสระที่อยู่ระหว่าง เสียงเสียดแทรกอโฆษะ และเสียงนาสิกโฆษะ ซึ่งไม่เป็นไปตามสมมติฐาน อิทธิพลที่ก่อให้เสียงวรรณยุกต์ได้ คือ 1. คุณสมบัติของสระ: ลักษณะน้ำเสียงของสระ 2. อิทธิพลของเสียงพยัญชนะต้น
- Publicationระดับเสียงธรรมชาติของสระกับค่าระยะเวลาธรรมชาติของสระในภาษาว้าอิกผณินทรา ธีรานนท์; Teeranon, Phanintraองค์ความรู้เรื่องระดับเสียงธรรมชาติ (intrinsic pitch) ของสระมีความเป็นสากลลักษณ์ (Universal) นั่นคือ มีแนวโน้มว่าสระสูงจะมีระดับเสียงสูงกว่าสระต่ํา เช่น ระดับเสียงของสระ [i], [u] สูงกว่าระดับเสียงของสระต่ํา เช่น [ɛ], [a] ส่วนเรื่องค่าระยะเวลาธรรมชาติ (intrinsic length) ของสระ สระสูงมีแนวโน้มจะมีค่าระยะเวลาน้อยกว่าหรือสั้นกว่าสระต่ํา ตามทฤษฎี Compensation theory (Neweklowsky, 1975; Fischer-Jørgensen, 1990) เพื่อพิสูจน์ทฤษฎีดังกล่าวข้างต้น ผู้วิจัยจึงศึกษาปรากฏการณ์นี้จากภาษาสาขาว้าอิก ตระกูลภาษามอญ เขมร 3 ภาษา ได้แก่ ภาษาละเวือะ ซึ่งเป็นภาษาไม่มีวรรณยุกต์และไม่มีลักษณะน้ําเสียง ภาษาว้า ซึ่งเป็นภาษามีลักษณะน้ําเสียง และภาษาปลั่ง ซึ่งเป็นภาษามีวรรณยุกต์ โดยใช้ผู้บอกภาษาภาษาละ 6 คน เป็นเพศเดียวกันสําหรับแต่ละภาษา งานวิจัยนี้แบ่งผู้บอกภาษาเป็น 2 รุ่นอายุ คือ รุ่นอายุ 60 ปีขึ้นไป กับรุ่นอายุต่ํากว่า 20 ปี ในการวิเคราะห์ทางกลสัทศาสตร์ได้ใช้โปรแกรมพราท ผลการวิจัยพบว่าสระสูงในทั้งสามภาษามีแนวโน้มจะมีค่าความถี่มูลฐานสูงกว่าสระต่ํา แต่สระสูงไม่ได้มีค่าระยะเวลาสั้นกว่าสระต่ําเสมอไปในแต่ละรุ่นอายุของผู้พูดภาษาทั้งสามภาษา ผลการวิจัยจึงไม่ยืนยัน Compensation theory ในส่วนที่สระสูงไม่ได้มีแนวโน้มที่จะมีค่าระยะเวลาน้อยกว่าหรือสั้นกว่าสระต่ําเสมอ
- Publicationเสียงวรรณยุกต์ในภาษาไทยสมัยรัชกาลที่ 6 และรัชกาลที่ 9ผณินทรา ธีรานนท์; Teeranon, Phanintraงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสัทลักษณะของวรรณยุกต์ 3 หน่วยเสียงในภาษาไทย คือ วรรณยุกต์โท ตรี และจัตวา ที่ออกเสียงโดยกลุ่มผู้พูดอายุมากกว่า 80 ปี และต่ำกว่า 15 ปี ซึ่งถือว่าเป็นตัวแทนผู้พูดในสมัยรัชกาลที่ 6 และผู้พูดรุ่นเด็กในปัจจุบัน ตามลําดับ จากผลการวิจัยพบว่า สัทลักษณะของวรรณยุกต์โท และจัตวา ที่พูดโดยผู้พูดอายุมาก กว่า 80 ปี และต่ํากว่า 15 ปี ไม่แตกต่างกันมาก คือ ยังคงมีสัทลักษณะเป็นตก และขึ้น ตาม ลําดับ ในผู้พูดทั้งสองกลุ่ม แต่สัทลักษณะของวรรณยุกต์ตรีในผู้พูดทั้งสองกลุ่มอายุมีสัท ลักษณะแตกต่างกันมาก คือ มีสัทลักษณะสูง-ตก ในผู้พูดอายุมากกว่า 80 ปี และมีสัท ลักษณะกลาง ขึ้น ในผู้พูดอายุต่ํากว่า 15 ปี ซึ่งเป็นความแตกต่างในลักษณะตรงกันข้าม
- Publicationหน่วยจังหวะกับการแปรของวรรณยุกต์ในคำพูดต่อเนื่องภาษาไทยผณินทรา ธีรานนท์; Phanintra Teeranon (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2000)งานวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมาย เพื่อศึกษาว่าหน่วยจังหวะมีอิทธิพลต่อสัทลักษณะของวรรณยุกต์ในคำพูดต่อเนื่องภาษาไทยหรือไม่ ผู้วิจัยเก็บข้อมูลจากผู้จัดรายการวิทยุ เพศหญิง อายุระหว่าง 26-30 ปี จำนวน 3 คน โดยไม่แจ้งให้ผู้บอกภาษาทราบล่วงหน้า หลังจากนั้นผู้วิจัยขอให้ผู้บอกภาษาออกเสียงคำในคำชุดทดสอบเสียงวรรณยุกต์ 2 ชุด คือ ชุดคำพยางค์เป็นและชุดคำพยางค์ตาย การวิเคราะห์เบื้องต้นทำโดยการฟังเพื่อจำแนกโครงสร้างหน่วยจังหวะ พยางค์เด่นและพยางค์ด้อย หลังจากนั้นผู้วิจัยเลือกพยางค์จำนวน 5 พยางค์ เพื่อเป็นตัวแทนของแต่ละหน่วยเสียงวรรณยุกต์ในบริบทต่างๆ ที่ศึกษา ได้แก่ พยางค์เด่นในหน่วยจังหวะ 1 พยางค์ พยางค์เด่นในหน่วยจังหวะ 2 พยางค์ พยางค์เด่นในหน่วยจังหวะ 3 พยางค์ พยางค์ด้อยในหน่วยจังหวะ 2 พยางค์ พยางค์ด้อยพยางค์แรกในหน่วยจังหวะ 3 พยางค์ และพยางค์ด้อยพยางค์ที่สองในหน่วยจังหวะ 3 พยางค์ ผู้วิจัยวิเคราะห์ค่าความถี่มูลฐานของทุกพยางค์ที่เลือกมาศึกษาด้วยโปรแกรม WINCECIL ประมวลผลพร้อมทั้งวาดกราฟด้วยโปรแกรม EXCEL และวิเคราะห์ความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างสัทลักษณะของวรรณยุกต์ที่ปรากฏในหน่วยจังหวะแบบต่างๆ ด้วยโปรแกรม WINPSY 0602 2000 (School of Psychology, University of New South Wales) ในการนำเสนอ ผู้วิจัยแบ่งหน่วยเสียงวรรณยุกต์ในภาษาไทยมาตรฐาน 5 หน่วยเสียงออกเป็น 2 กลุ่ม คือ วรรณยุกต์ระดับ (วรรณยุกต์สามัญ วรรณยุกต์เอก และวรรณยุกต์ตรี) และวรรณยุกต์เปลี่ยนระดับ (วรรณยุกต์โทและวรรณยุกต์จัตวา) ผลการวิจัยพบว่า ในกรณีของพยางค์เด่น หน่วยจังหวะมีอิทธิพลต่อการแปรของสัทลักษณะของวรรณยุกต์เปลี่ยนระดับในคู่บริบทส่วนใหญ่ และมีอิทธิพลน้อยต่อการแปรของสัทลักษณะของวรรณยุกต์ระดับ ในกรณีของพยางค์ด้อย หน่วยจังหวะมีอิทธิพลน้อยต่อทั้งการแปรของสัทลักษณะของวรรณยุกต์ระดับและวรรณยุกต์เปลี่ยนระดับ ผู้วิจัยพบว่ามีข้อยกเว้นที่น่าสนใจบางประการ คือ วรรณยุกต์ตรีที่ปรากฏในพยางค์ตายสระเสียงสั้นในหน่วยจังหวะ 2 พยางค์ และ 3 พยางค์ แตกต่างจากกันอย่างมีนัยสำคัญทั้งในพยางค์เด่นและพยางค์ด้อย และหน่วยจังหวะมีอิทธิพลมากต่อการแปรของสัทลักษณะของวรรณยุกต์โทที่ปรากฏในพยางค์เป็นในบริบทต่างๆ แต่มีอิทธิพลน้อยต่อการแปรของสัทลักษณะของวรรณยุกต์จัตวาในบริบทต่างๆ