Publication: การศึกษาวิเคราะห์บทสวดมนต์พุทธอัฏฐชยมงคลคาถา (คาถาพาหุง)
Submitted Date
Received Date
Accepted Date
Issued Date
2007
Copyright Date
Announcement No.
Application No.
Patent No.
Valid Date
Resource Type
Edition
Resource Version
Language
th
File Type
No. of Pages/File Size
ISBN
ISSN
eISSN
DOI
Scopus ID
WOS ID
Pubmed ID
arXiv ID
item.page.harrt.identifier.callno
Other identifier(s)
Journal Title
Volume
Issue
Edition
Start Page
End Page
Access Rights
Access Status
Rights
Rights Holder(s)
Physical Location
Bibliographic Citation
Research Projects
Organizational Units
Authors
Journal Issue
Title
การศึกษาวิเคราะห์บทสวดมนต์พุทธอัฏฐชยมงคลคาถา (คาถาพาหุง)
Alternative Title(s)
An Analytical Study of the Buddha ’s Chanting Stanzas on the Eight Auspicious Victories
Author(s)
Author’s Affiliation
Author's E-mail
Editor(s)
Editor’s Affiliation
Corresponding person(s)
Creator(s)
Compiler
Advisor(s)
Illustrator(s)
Applicant(s)
Inventor(s)
Issuer
Assignee
Other Contributor(s)
Series
Has Part
Abstract
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ที่จะศึกษาการศึกษาวิเคราะห์บทสวดมนต์พุทธอัฏฐ ชยมงคลคาถาในเชิงการแสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเนื้อหาของบทสวดมนต์บทนี้ พร้อมกับประเด็นในด้านหลักธรรมที่ปรากฏในแต่ละบท รวมถึงประเด็นด้านอิทธิพลของบทสวดมนต์ที่มีต่อสังคมไทยในด้านต่าง ๆ ผลการวิจัยพบว่าบทสวดมนต์นี้ผู้แต่งต้องการที่จะนำเสนอกรอบแนวคิดเรื่องการ เอาชนะอุปสรรคของพระพุทธองค์ซึ่งมีทั้งหมด ๘ ครั้ง นับตั้งแต่การผจญมารก่อนการตรัสรู้ไปจนถึงการเสด็จไปพรหมโลกเพื่อสั่งสอนพกา พรหม เป็นต้น ดังนั้น ความหมายของบทสวดมนต์แม้ว่าจะมีผู้ตั้งชื่อไว้แตกต่างกันแต่ก็มีความ หมายอยู่เพียงความหมายเดียวคือบทสวดมนต์ที่ว่าด้วยชัยชนะของพระพุทธองค์บท สวดมนต์นี้มีประวัติความเป็นมาที่ยังไม่อาจจะหาข้อสรุปได้แม้ว่าจะมีผู้ยืน ยันประสบการณ์ทางจิตอันเกี่ยวเนื่องด้วยบทสวดมนต์นี้ก็ตาม แต่ข้อยืนยันดังกล่าวมักจะถูกคัดค้านจากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับแหล่งที่มาของ ความรู้ดังกล่าว ดังนั้น ประวัติความเป็นมาของบทสวดมนต์นี้จึงแบ่งได้เป็น ๒ แนทางคือ (๑) เห็นว่าแต่งขึ้นที่ลังกาโดยพระพุทธโฆสาจารย์ (๒) เห็นว่าแต่งขึ้นที่ประเทศไทย โดยมีความเห็นที่แตกแยกออกไปอีกเป็น ๒ แนวคิดคือเห็นว่าแต่งขึ้นในสมัยล้านนาและเห็นว่าแต่งขึ้นในสมัยกรุง ศรีอยุธยาตอนต้น บทสวดนี้แต่ละคาถาล้วนมีหลักธรรมที่สำคัญปรากฏอยู่ เช่น หลักขันติธรรม หลักอธิษฐานธรรมคือการตั้งสัจจอธิษฐานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่บรรลุได้ยาก นอกจากนั้นก็ยังมีหลักธรรมที่สำคัญก็คือหลักแห่งความเมตตาที่ท่านมุ่งสอนให้ ผู้สวดมนต์รู้จักการแผ่เมตตาเป็นเบื้องต้นก่อนที่จะต่อสู้กับอุปสรรค ต่างๆ ในชีวิตโดยหลักธรรมที่ปรากฏในทุกคาถานั้นมีนัยของวิธีการที่จะเอาชนะอุปสรรค รวมอยู่ด้วยบทสวดมนต์นี้มีอิทธิพลต่อสังคมไทยในหลาย ๆ ด้านคือ (๑) ด้านความเชื่อ ซึ่งแบ่งความเชื่อออกเป็น ๒ ส่วนคือ ส่วนที่หนึ่งเชื่อว่าสวดมนต์บทนี้แล้วจะสามารถบรรเทาหรือแก้ไขปัญหาในชีวิต ได้ตามนัยของความหมายของบทสวดมนต์นี้ ส่วนที่สองเชื่อว่าการรสวดมนต์บทนี้ทำให้สามารถรักษาพระพุทธศาสนาให้คงอยู่ ตลอดไป (๒) อิทธิพลในด้านการศึกษา ได้แก่ การนำเอาบทสวดมนต์นี้ไปเป็นกรอบในการอบรมผู้เรียนให้เป็นผู้มีจิตใจที่ฮึก เหิมใคร่ที่จะเอาชนะอุปสรรค (๓) อิทธิพลในด้านศิลปกรรมและจิตรกรรม สังคมได้นำเอาเรื่องราวที่ปรากฏในคาถาแต่ละเรื่องไปสร้างงานเชิงศิลปกรรมและ จิตรกรรมได้อย่างหลากหลาย (๔) อิทธิพลด้านการเมือง สังคมไทยได้นำเอาบทสวดมนต์นี้ไปใช้ในการสร้างขวัญและกำลังใจในการป้องกันผู้ รุกรานในยามที่บ้านเมืองอยู่ในภาวะวิกฤต (๕) อิทธิพลในด้านวรรคดี สังคมไทยได้นำเอาบทสวดมนต์บทนี้ไปอธิบายเพื่อเป็นการให้การอบรมสั่งสอนทั้ง ในส่วนของผลงานเชิงร้อยแก้วและผลงานเชิงร้อยกรอง (๖) อิทธิพลในด้านพิธีกรรมของคณะสงฆ์ คณะสงฆ์ได้นำเอาบทสวดมนต์นี้ไปเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมได้อย่างกลมกลืนทั้ง ในส่วนของพิธีกรรมทั่วไปและพิธีกรรมของรัฐในอนาคตควรมีการวางท่าทีในการ ศึกษาบทสวดมนต์อย่างถูกต้องมากขึ้นโดยไม่เพียงแค่มุ่งหวังประโยชน์เพียงการ สวดมนต์ท่องบ่นเท่านั้น แต่ควรที่จะนำเอาบทสวดมนต์นี้มาประกอบเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรการศึกษาของ ชาติเพื่อให้ประชาชนในรุ่นต่อมาจะได้ศึกษาบทสวดมนต์นี้อย่างละเอียด
Table of contents
Description
Sponsorship
Degree Name
พุทธศาสตรมหาบัณฑิต(พระพุทธศาสนา)
Degree Level
ปริญญาโท
Degree Department
คณะพุทธศาสตร์
Degree Discipline
Degree Grantor(s)
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย