Publication: มิลินทปัญหาฎีกา : การตรวจชำระและการศึกษาเชิงวิเคราะห์
Submitted Date
Received Date
Accepted Date
Issued Date
2015
Copyright Date
Announcement No.
Application No.
Patent No.
Valid Date
Resource Type
Edition
Resource Version
Language
th
File Type
No. of Pages/File Size
ISBN
ISSN
eISSN
DOI
Scopus ID
WOS ID
Pubmed ID
arXiv ID
item.page.harrt.identifier.callno
Other identifier(s)
Journal Title
Volume
Issue
Edition
Start Page
End Page
Access Rights
Access Status
Rights
Rights Holder(s)
Physical Location
Bibliographic Citation
Research Projects
Organizational Units
Authors
Journal Issue
Title
มิลินทปัญหาฎีกา : การตรวจชำระและการศึกษาเชิงวิเคราะห์
Alternative Title(s)
The Milindapañhātฺīkā : Edition and analytical Study
Author(s)
Author’s Affiliation
Author's E-mail
Editor(s)
Editor’s Affiliation
Corresponding person(s)
Creator(s)
Compiler
Advisor(s)
Illustrator(s)
Applicant(s)
Inventor(s)
Issuer
Assignee
Other Contributor(s)
Series
Has Part
Abstract
วิทยานิพนธ์เรื่องนี้มีจุดประสงค์ ๓ ประการ คือ (๑) เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมาและสาระสำคัญของคัมภีร์มิลินทปัญหาฎีกา (๒)เพื่อตรวจชำระและแปลคัมภีร์มิลินทปัญหาฎีกาเป็นภาษาไทย (๓) ศึกษาวิเคราะห์เนื้อหา วิธีการนำเสนอ ลักษณะและรูปแบบการประพันธ์ การใช้ภาษา สำนวนโวหาร และคุณค่าของคัมภีร์มิลินทปัญหาฎีกา ผลการวิจัยพบว่า คัมภีร์นี้มีชื่อเต็มว่า มธุรัตถปกาสินี มิลินทปัญหาฎีกา แต่งโดยพระมหาติปิฎกจูฬาภัยเถระหรือนามย่อว่าพระติปาติ พระเถระชาวเชียงใหม่ เมื่อปีพ.ศ. ๒๐๑๖ เพื่ออธิบายความหมายของศัพท์หรือประโยคบางส่วนในคัมภีร์มิลินทปัญหาที่มีความหมายยากหรือยังไม่ชัดเจนให้ชัดเจนยิ่งขึ้น คัมภีร์มิลินทปัญหาฎีกานี้มีโครงสร้างของเนื้อหา ๖ ส่วน คือ (๑) คันถารัมภกถา ถ้อยคำเริ่มต้นของการแต่งคัมภีร์ที่ประกอบด้วยบทนมัสการพระรัตนตรัย การบอกชื่อคัมภีร์ ผู้แต่ง วัตถุประสงค์ของการแต่ง และขนาดของคัมภีร์ (๒) ปกิณณกวจนวัณณนา การอธิบายศัพท์และประโยคที่มีความหมายยากหรือยังไม่ชัดเจน (๓) ชาตกุทธรณะ การนำเรื่องอดีตของพระพุทธเจ้าและพระเทวทัตมาแสดง (๔) คาถาสรุป การนำคาถาในมิลินทปัญหามาสรุปไว้ ๑๐๔ คาถา (๕) สังขยาสรุป การนำหลักธรรมหรือเรื่องที่น่าสนใจในมิลินทปัญหามาจัดไว้เป็นหมวดหมู่ รวม ๒๕ หมวด (๖) นิคมนกถา คำลงท้ายที่กล่าวถึงวิธีการศึกษาคัมภีร์ ชื่อคัมภีร์ ชื่อผู้แต่ง คุณสมบัติของผู้แต่ง และการตั้งความปรารถนาของผู้แต่ง ผู้แต่งได้นำเนื้อหามาจากพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา ปกรณ์วิเสส และคัมภีร์อื่น ๆ เป็นบางส่วน เพื่ออธิบายความหมายของศัพท์หรือประโยคให้ชัดเจน ใช้อ้างอิงหรือยืนยันเรื่องที่อธิบาย เสริมความให้ดูน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น และขยายความให้กว้างออกไป วิธีการคัดลอกและการนำเสนอเนื้อหามี ๓ ลักษณะ คือ (๑) คัดลอกและนำเสนอไปตามที่คัดลอกมาทั้งหมด (๒) คัดลอกมาบางส่วนและนำเสนอไปตามนั้น (๓) คัดลอกมาบางส่วน เปลี่ยนแปลงศัพท์หรือข้อความบางส่วน และแต่งเสริมเป็นบางส่วน ผู้แต่งใช้กลวิธีในการอธิบาย ๖ ประการ คือ (๑) สัมพันธ์ อธิบายถึงการทำหน้าที่ของศัพท์ในประโยค (๒) บท บอกให้รู้ว่าบทที่กำลังกล่าวอยู่นี้เป็นอะไร เช่น นาม เป็นต้น (๓) ปทัตถะ อธิบายความหมายของบทที่ยกมาว่ามีความหมายหรือแปลอย่างไร (๔) วิคคหะ การตั้งรูปวิเคราะห์ของศัพท์สำคัญเพื่อให้ทราบความหมายและที่มาของศัพท์นั้น (๕) โจทนา การตั้งคำถาม (๖) ปริหาระ การตอบคำถาม โดยผู้แต่งเป็นผู้ตั้งคำถามและตอบเอง คำศัพท์หรือประโยคที่ผู้แต่งนำมาอธิบายมี ๕ ลักษณะคือ (๑) คำศัพท์หรือประโยคที่มีความหมายทางไวยากรณ์ไม่ชัดเจน (๒) คำวิเสสนสรรพนามที่ไม่ระบุบทนามไว้ให้ชัดเจน (๓) คำศัพท์ที่มีความหมายได้หลายนัย (๔) คำศัพท์หรือประโยคที่ควรขยายความเพิ่มเติม (๕) คำศัพท์หรือประโยคที่มีความหมายยาก รูปแบบการประพันธ์มี ๓ รูปแบบ คือ (๑) ปัชชะ ร้อยกรอง ส่วนใหญ่เป็นบทประพันธ์ที่ผู้แต่งคัดลอกมาจากที่อื่น ส่วนที่แต่งเองใช้การประพันธ์แบบฉันทลักษณ์มี ๓ ฉันท์ ได้แก่ ปัฏฐยา-วัตรฉันท์ อุเปนทรวิเชียรฉันท์ และอินทรวงศ์ฉันท์ (๒) คัชชะ ร้อยแก้ว เป็นรูปแบบการประพันธ์ที่ผู้แต่งใช้เป็นส่วนใหญ่ในคัมภีร์นี้ (๓) วิมิสสะ ร้อยแก้วผสมร้อยกรองที่ผู้แต่งนำบทประพันธ์ประเภทร้อยกรองมาแทรกไว้ในเนื้อหาที่เป็นร้อยแก้วภาษาและสำนวนบาลีเป็นภาษาและสำนวนบาลีแบบลังกาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในเชียงใหม่ในขณะนั้น มีลักษณะเด่น ๓ ประการ คือ (๑) เป็นภาษาและสำนวนที่ง่าย สื่อความหมายได้ชัดเจน (๒) มีความคมคาย กระชับกะทัดรัด ไม่ฟุ่มเฟือย (๓) แสดงความคิดเป็นของตัวเอง สำนวนโวหารใช้ทั้งบรรยายโวหาร พรรณนาโวหาร เทศนาโวหาร อุปมาโวหาร และสาธกโวหาร ส่วนอลังการทางภาษาพบใน ๒ ลักษณะ คือ สัททาลังการ การแต่งเสียงให้เกิดความไพเราะด้วยการใช้ศัพท์พ้องเสียง และอัตถาลังการ การแต่งความหมายให้เกิดความงามพบใน ๒ ลักษณะ คือ สภาววุตติ การใช้ศัพท์อธิบายตรงกับสภาวะของเรื่องนั้น และวังกวุตติ การใช้ศัพท์อธิบายเรื่องนั้นโดยอ้อมด้วยวิธีอุปมาเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจและมองเห็นภาพของเรื่องนั้นอย่างชัดเจน คุณค่าของคัมภีร์พบใน ๓ ด้าน คือ (๑) ด้านพระพุทธศาสนา คือ สืบทอดพระพุทธ ศาสนาให้ดำรงอยู่และป้องกันไม่ให้หลักคำสอนคลาดเคลื่อน (๒) ด้านที่เป็นวรรณคดีบาลี คือ รักษาขนบการแต่งวรรณคดีประเภทฎีกาไว้ (๓) ด้านคุณค่าต่อชีวิตและสังคม คือ คัมภีร์นี้เป็นแหล่งรวมองค์ความรู้ไว้หลายอย่าง ได้แก่ หลักธรรมเพื่อพัฒนาชีวิต เรื่องที่ต้องระมัดระวัง การศึกษา ลักษณะของบุคคล การแพทย์ ลักษณะของธรรมชาติ มาตราตวง สิ่งที่มีค่าหรือที่นิยมกันในยุคนั้น และสถานที่สำคัญ
This thesis has three aims: (1) to study history and concepts of Milinda‐ pañhātฺīkā. (2) to edit and translate Milindapañhātฺīkā to Thai (3) to analyze the content, presentation method, literary style and form, use of language, idioms and value of Milindapañhātฺīkā. The research found that this scripture named in full “Madhuratthapakāsinī Milindapañhātฺīkā” composedby Pramahātipiṭakacūḷābhayatera or Pratipāti,hiangmai monk in 2017 B.E. to expand some vocabularies and sentences in Milindapañhā scripture which their meaning were difficult and not clear to be more definite. Milindapañhātฺīkā composes of 6 themes: (1) Ganthārambhakathā, introduction of the scripture’s composition which included the salutation of the Tripple Gems (Ratanattaya Vandana) and indicated name of the scripture, the author, the objective and size of the scripture, (2) Pakiṇṇakavacanavaṇṇanā, the explanation of vocabularies and sentences which were difficult and unclear for understanding, (3) Jātakuddharaṇa, the narration of Buddha and Devadatta’s past, (4) Gāthāsarūpa, the summary of 104 chapters of Milindapañhā, (5) Saṅkhayāsarūpa, categorizing the interesting topics in Milindapañhā to 25 categories and (6) Ñigamanakathā, postscript to descript the analytical method, scripture’s name, the author, the author’s qualification and the author’s intention. We found shows that the contents of the scripture were partly taken from Tipiṭaka, Atthakathā, Ṭīkā, Pakaraṇavisesa and other scriptures to clarify the meaning of vocabularies and sentences, to refer or verify the story, to support the story more reliable, and expand the understanding. The methods of transcription and presentation were 3 methods: (1) to transcribe and present all of chapter (2) to transcribe some part and present according to the copied text and (3) to transcribe partly, change some vocabularies or some text and modify partly. The author used 6 presentation strategies for scripture’s explanation: (1) Sambandha to explain the role of vocabulary in sentence (2) Pada to describe what is the mentioned Pada e.g. Nama, etc, (3) Padattha to explain the meaning of the sample Pada (4) Viggaha to analyze the vocabularies in order to know their meaning and their root (5) Jodanā to ask the questions (6) Parihara to answer the question asked and answered by the author. The author explained 5 characteristic of vocabularies or sentences: (1) vocabularies or sentences which were not clear in grammatical meaning (2) unidentified adjectives (4) multiple meaning words (4) words or sentences which should have more explanation (5) difficult vocabularies or sentences. Three literary styles were found in this scripture: (1) Pajja ‐ Poetry, most of the poetry had been copied from other sources. There were 3 stanzas that the author composed as Paṭṭhayāvatta, Upendaravajira and Indaravaṃsa, (2) Gajja ‐ Prose, the author mostly used this literary style in this scripture and (3) Vimissa, the author inserted the poetry in prose content. Pali language and idioms were Lankan Pali popularly used in Chaingmai at that time. There were three dominant features: (1) easy and clear to understand (2) sharp, brief and not superfluous, and (3) owning their own idea. The following figures of speech were used in Milindapañhātฺīkā: narrative, descriptive, metaphor, and allegory. The language embellishment compound of Saddālaṅkāra, use of homophone vocabularies and Atthālaṅkāra, use of meaningful words which Sabhāvavutti, terminology used to describe the state of the matter and Vakavutti, metaphor used to describe indirectly for the purpose of enhancing the understanding of the story and virtual pictures. There were three values revealed in Milindapañhātฺīkā: (1) for Buddhism, to inherit the Buddhism and to prevent the discrepant doctrines (2) for Pali literature, to preserve the tradition of Ṭīkā composition, and (3) for life and society, to gather much knowledge such as the principle for life’ sdevelopment, cautions, education, identification, medication, nature of things, measurement, valuable or favorite items at that age and the important place.
This thesis has three aims: (1) to study history and concepts of Milinda‐ pañhātฺīkā. (2) to edit and translate Milindapañhātฺīkā to Thai (3) to analyze the content, presentation method, literary style and form, use of language, idioms and value of Milindapañhātฺīkā. The research found that this scripture named in full “Madhuratthapakāsinī Milindapañhātฺīkā” composedby Pramahātipiṭakacūḷābhayatera or Pratipāti,hiangmai monk in 2017 B.E. to expand some vocabularies and sentences in Milindapañhā scripture which their meaning were difficult and not clear to be more definite. Milindapañhātฺīkā composes of 6 themes: (1) Ganthārambhakathā, introduction of the scripture’s composition which included the salutation of the Tripple Gems (Ratanattaya Vandana) and indicated name of the scripture, the author, the objective and size of the scripture, (2) Pakiṇṇakavacanavaṇṇanā, the explanation of vocabularies and sentences which were difficult and unclear for understanding, (3) Jātakuddharaṇa, the narration of Buddha and Devadatta’s past, (4) Gāthāsarūpa, the summary of 104 chapters of Milindapañhā, (5) Saṅkhayāsarūpa, categorizing the interesting topics in Milindapañhā to 25 categories and (6) Ñigamanakathā, postscript to descript the analytical method, scripture’s name, the author, the author’s qualification and the author’s intention. We found shows that the contents of the scripture were partly taken from Tipiṭaka, Atthakathā, Ṭīkā, Pakaraṇavisesa and other scriptures to clarify the meaning of vocabularies and sentences, to refer or verify the story, to support the story more reliable, and expand the understanding. The methods of transcription and presentation were 3 methods: (1) to transcribe and present all of chapter (2) to transcribe some part and present according to the copied text and (3) to transcribe partly, change some vocabularies or some text and modify partly. The author used 6 presentation strategies for scripture’s explanation: (1) Sambandha to explain the role of vocabulary in sentence (2) Pada to describe what is the mentioned Pada e.g. Nama, etc, (3) Padattha to explain the meaning of the sample Pada (4) Viggaha to analyze the vocabularies in order to know their meaning and their root (5) Jodanā to ask the questions (6) Parihara to answer the question asked and answered by the author. The author explained 5 characteristic of vocabularies or sentences: (1) vocabularies or sentences which were not clear in grammatical meaning (2) unidentified adjectives (4) multiple meaning words (4) words or sentences which should have more explanation (5) difficult vocabularies or sentences. Three literary styles were found in this scripture: (1) Pajja ‐ Poetry, most of the poetry had been copied from other sources. There were 3 stanzas that the author composed as Paṭṭhayāvatta, Upendaravajira and Indaravaṃsa, (2) Gajja ‐ Prose, the author mostly used this literary style in this scripture and (3) Vimissa, the author inserted the poetry in prose content. Pali language and idioms were Lankan Pali popularly used in Chaingmai at that time. There were three dominant features: (1) easy and clear to understand (2) sharp, brief and not superfluous, and (3) owning their own idea. The following figures of speech were used in Milindapañhātฺīkā: narrative, descriptive, metaphor, and allegory. The language embellishment compound of Saddālaṅkāra, use of homophone vocabularies and Atthālaṅkāra, use of meaningful words which Sabhāvavutti, terminology used to describe the state of the matter and Vakavutti, metaphor used to describe indirectly for the purpose of enhancing the understanding of the story and virtual pictures. There were three values revealed in Milindapañhātฺīkā: (1) for Buddhism, to inherit the Buddhism and to prevent the discrepant doctrines (2) for Pali literature, to preserve the tradition of Ṭīkā composition, and (3) for life and society, to gather much knowledge such as the principle for life’ sdevelopment, cautions, education, identification, medication, nature of things, measurement, valuable or favorite items at that age and the important place.
Table of contents
Description
Sponsorship
Degree Name
พุทธศาสตรดุษฎีบัญฑิต(พระพุทธศาสนา)
Degree Level
ปริญญาเอก
Degree Department
คณะพุทธศาสตร์
Degree Discipline
Degree Grantor(s)
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย