Publication: Teochew Opera: The Formation and Reviving Chinese Identity Under The Network of Thailand Community in the Aspect of Economic and Cultural Relations
Submitted Date
Received Date
Accepted Date
Issued Date
2018
Copyright Date
Announcement No.
Application No.
Patent No.
Valid Date
Resource Type
Edition
Resource Version
Language
en
File Type
No. of Pages/File Size
ISBN
ISSN
eISSN
DOI
Scopus ID
WOS ID
Pubmed ID
arXiv ID
item.page.harrt.identifier.callno
Other identifier(s)
Journal Title
Panyapiwat Journal
วารสารปัญญาภิวัฒน์
วารสารปัญญาภิวัฒน์
Volume
10
Issue
2
Edition
Start Page
315
End Page
328
Access Rights
Access Status
Rights
Rights Holder(s)
Physical Location
Bibliographic Citation
Research Projects
Organizational Units
Authors
Journal Issue
Title
Teochew Opera: The Formation and Reviving Chinese Identity Under The Network of Thailand Community in the Aspect of Economic and Cultural Relations
Alternative Title(s)
งิ้วแต้จิ๋ว: การสร้าง และฟื้นฟูอัตลักษณ์จีน ภายใต้เครือข่ายความสัมพันธ์ของชุมชนคนจีน ในเชิงเศรษฐกิจและวัฒนธรรม
Author(s)
Author’s Affiliation
Author's E-mail
Editor(s)
Editor’s Affiliation
Corresponding person(s)
Creator(s)
Compiler
Advisor(s)
Illustrator(s)
Applicant(s)
Inventor(s)
Issuer
Assignee
Other Contributor(s)
Series
Has Part
Abstract
The Teochew opera in Thailand prospered in the reign of King Chulalongkorn. There were many theaters set up by Chinese and Thai people. Additionally, the opera schools were opened as cultural exchange between Thailand and China. There were many theaters, especially in Chinatown and on Charoen Krung Road. Teochew (Chaozhou) is the majority population of Chinese residents in Thailand. Bangkok, for a period of time, used to be the center of the development of Teochew opera. In the communist era under the command of major general Phiboonsongkram, he wanted to control Chinese people in Thailand by announcing the replacement of the clan name with the surname for national security. Major general Phiboonsongkram applies Thai-Nationalism also closed down more than 300 Chinese schools. It is considered to be the suppression of Chineseness as prominent in Thai society. After the end of World War II, the communist Chinese Red Army was at war with the Chinese government. The democratic president Chiang Kai-shek forced immigrants of Teochew Chinese opera performers including opera owners into Thailand in 1952-1962. During this time, the opera had 80 troupes reflecting the prosperity of The Teochew opera. Until 1966, opera theaters in Chinatown were dissolved. Presently, there are 12 troupes of Teochew opera in Thailand performing in the Chinese shrines. This study aims to revive the precious value of Chinese opera. Under such circumstances, the opera has to be modified to the dynamic of the society. The Teochew Opera is tied to belief, faith, religion, and shrines. Therefore, Teochew opera is considered the high-class art. According to the study, the major social networks for maintaining Chinese identity are the Association, the Shrines Network And the patronage of the wealthy Chines, has contributed to the identification of Chinese identity in the context of the crackdown that occurred during the Thai government’s nationalism policy. It also allows the Chinese identity to continue to exist. Especially in the performing of Chinese identity through the opera require cooperation and support of the Chinese community to organize the opera. The cooperation and support from business sections and public devotion to the sacred shrines. Thus, the cooperation and support of the Chinese community and the local businesses are very important to the performing of the opera. The purpose of Teochew opera are not only to entertain but also to demonstrate the linkage to the faith, roots of the Chinese people, and a network of community relationships (Guanxi) in the context of the economic, social and cultural relations. Teochew opera is part of the fundamental identity of the Chinese people and is bound by the network of relationships of Chinese communities.
การแสดงงิ้วในเมืองไทยเฟื่องฟูสูงสุดในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งในสมัยนั้นมีคณะงิ้วเกิดขึ้นมากมายทั้งที่เป็นของคนจีนแท้ๆ และคณะที่คนไทยตั้งขึ้นมาเอง นอกจากนั้นในช่วงดังกล่าวมีการเปิดโรงเรียนสอนการแสดงงิ้วขึ้นเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมไทย-จีน มีการเปิดโรงงิ้วขึ้นอย่างแพร่หลายโดยเฉพาะย่านเยาวราชและถนนเจริญกรุง ภาพในอดีตสำหรับงิ้วอาจจะเป็นมหรสพที่ได้รับความนิยมอย่างสูง แต่เมื่อเริ่มมีการรับวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาทำให้ชาวไทยเชื้อสายจีน (Thai-Chinese) หลงเหลือความเป็นจีนมีอยู่น้อยเต็มที สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามได้ใช้นโยบายชาตินิยมและมีความพยายามผลักดันในผู้มีเชื้อสายจีนให้มีความเป็นไทยและด้วยเหตุผลทางความมั่นคงและหวั่นเกรงภัยคอมมิวนิสต์ จอมพล ป. ได้มีนโยบายสั่งปิดโรงเรียนจีนมากกว่า 300 โรงเรียน ซึ่งถือว่าเป็นการปราบปรามความเป็นจีนที่เกิดขึ้นอย่างเด่นชัดในสังคมไทย นอกจากนี้ในช่วงหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง และกองทัพแดงของฝ่ายคอมมิวนิสต์จีนได้ทำสงครามกับรัฐบาลจีนฝ่ายประชาธิปไตยของประธานาธิบดีเจียไคเช็ก ทำให้ชาวจีนแต้จิ๋วรวมถึงนักแสดงงิ้ว และเจ้าของคณะงิ้วได้อพยพเข้ามาในประเทศไทยในช่วงปี พ.ศ. 2495-2505 สองฟากของถนนเยาวราช และเจริญกรุงเต็มไปด้วยโรงงิ้ว ในช่วงนี้มีงิ้วมากถึง 80 คณะ ซึ่งนับเป็นช่วงที่รุ่งเรืองที่สุดของงิ้วในประเทศไทย หลังจากปี พ.ศ. 2505 งิ้วเริ่มเสื่อมความนิยมลง จนกระทั่งปี พ.ศ. 2509 โรงงิ้วในเยาวราชต่างเลิกกิจการและเปลี่ยนเป็นโรงภาพยนตร์แทน คณะงิ้วแต้จิ๋วปัจจุบันเกือบทั้งหมดในประเทศไทยเป็นคณะงิ้วเร่ที่จัดแสดงตามศาลเจ้าเท่าที่รวบรวมได้ มีอยู่ราว 12 คณะ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการกลับมาฟื้นฟูอีกครั้งของงิ้วแต้จิ๋ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้งิ้วแต้จิ๋วได้มีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสังคม งิ้วแต้จิ๋วเชื่อมโยงกับความเชื่อศรัทธาศาสนาและศาลเจ้า และถือเป็นศิลปะชั้นสูง จากการศึกษาพบว่า เครือข่ายทางสังคมที่มีความสำคัญในการธำรงอัตลักษณ์จีน ได้แก่ สมาคมเครือข่ายศาลเจ้า และกลุ่มเถ้าแก่อุปถัมภ์ ซึ่งมีส่วนในการทำให้อัตลักษณ์จีนดำรงอยู่ท่ามกลางการปราบปรามที่เคยเกดิ ขึ้นในช่วงที่รัฐบาลไทยใช้นโยบายชาตินิยม และยังทำให้อัตลักษณ์จีนสามารถดำรงอยู่ได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแสดงอัตลักษณ์จีนผ่านการแสดงงิ้วซึ่งต้องเกิดจากความร่วมมือและการสนับสนุนจากชุมชนชาวจีน ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการแสดงงิ้ว การแสดงงิ้วแต้จิ๋วไม่ได้เป็นเพียงเพื่อความบันเทิง แต่ยังแสดงให้เห็นถึงการเชื่อมโยงกับความเชื่อ รากเหง้าของคนจีนและเครือข่ายของความสัมพันธ์ของชุมชน (Guanxi) ในบริบทของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ดังนั้นงิ้วแต้จิ๋วเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ของชาวจีนและมีความผูกพันกับเครือข่ายความสัมพันธ์ของชุมชนชาวจีน
การแสดงงิ้วในเมืองไทยเฟื่องฟูสูงสุดในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งในสมัยนั้นมีคณะงิ้วเกิดขึ้นมากมายทั้งที่เป็นของคนจีนแท้ๆ และคณะที่คนไทยตั้งขึ้นมาเอง นอกจากนั้นในช่วงดังกล่าวมีการเปิดโรงเรียนสอนการแสดงงิ้วขึ้นเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมไทย-จีน มีการเปิดโรงงิ้วขึ้นอย่างแพร่หลายโดยเฉพาะย่านเยาวราชและถนนเจริญกรุง ภาพในอดีตสำหรับงิ้วอาจจะเป็นมหรสพที่ได้รับความนิยมอย่างสูง แต่เมื่อเริ่มมีการรับวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาทำให้ชาวไทยเชื้อสายจีน (Thai-Chinese) หลงเหลือความเป็นจีนมีอยู่น้อยเต็มที สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามได้ใช้นโยบายชาตินิยมและมีความพยายามผลักดันในผู้มีเชื้อสายจีนให้มีความเป็นไทยและด้วยเหตุผลทางความมั่นคงและหวั่นเกรงภัยคอมมิวนิสต์ จอมพล ป. ได้มีนโยบายสั่งปิดโรงเรียนจีนมากกว่า 300 โรงเรียน ซึ่งถือว่าเป็นการปราบปรามความเป็นจีนที่เกิดขึ้นอย่างเด่นชัดในสังคมไทย นอกจากนี้ในช่วงหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง และกองทัพแดงของฝ่ายคอมมิวนิสต์จีนได้ทำสงครามกับรัฐบาลจีนฝ่ายประชาธิปไตยของประธานาธิบดีเจียไคเช็ก ทำให้ชาวจีนแต้จิ๋วรวมถึงนักแสดงงิ้ว และเจ้าของคณะงิ้วได้อพยพเข้ามาในประเทศไทยในช่วงปี พ.ศ. 2495-2505 สองฟากของถนนเยาวราช และเจริญกรุงเต็มไปด้วยโรงงิ้ว ในช่วงนี้มีงิ้วมากถึง 80 คณะ ซึ่งนับเป็นช่วงที่รุ่งเรืองที่สุดของงิ้วในประเทศไทย หลังจากปี พ.ศ. 2505 งิ้วเริ่มเสื่อมความนิยมลง จนกระทั่งปี พ.ศ. 2509 โรงงิ้วในเยาวราชต่างเลิกกิจการและเปลี่ยนเป็นโรงภาพยนตร์แทน คณะงิ้วแต้จิ๋วปัจจุบันเกือบทั้งหมดในประเทศไทยเป็นคณะงิ้วเร่ที่จัดแสดงตามศาลเจ้าเท่าที่รวบรวมได้ มีอยู่ราว 12 คณะ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการกลับมาฟื้นฟูอีกครั้งของงิ้วแต้จิ๋ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้งิ้วแต้จิ๋วได้มีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสังคม งิ้วแต้จิ๋วเชื่อมโยงกับความเชื่อศรัทธาศาสนาและศาลเจ้า และถือเป็นศิลปะชั้นสูง จากการศึกษาพบว่า เครือข่ายทางสังคมที่มีความสำคัญในการธำรงอัตลักษณ์จีน ได้แก่ สมาคมเครือข่ายศาลเจ้า และกลุ่มเถ้าแก่อุปถัมภ์ ซึ่งมีส่วนในการทำให้อัตลักษณ์จีนดำรงอยู่ท่ามกลางการปราบปรามที่เคยเกดิ ขึ้นในช่วงที่รัฐบาลไทยใช้นโยบายชาตินิยม และยังทำให้อัตลักษณ์จีนสามารถดำรงอยู่ได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแสดงอัตลักษณ์จีนผ่านการแสดงงิ้วซึ่งต้องเกิดจากความร่วมมือและการสนับสนุนจากชุมชนชาวจีน ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการแสดงงิ้ว การแสดงงิ้วแต้จิ๋วไม่ได้เป็นเพียงเพื่อความบันเทิง แต่ยังแสดงให้เห็นถึงการเชื่อมโยงกับความเชื่อ รากเหง้าของคนจีนและเครือข่ายของความสัมพันธ์ของชุมชน (Guanxi) ในบริบทของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ดังนั้นงิ้วแต้จิ๋วเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ของชาวจีนและมีความผูกพันกับเครือข่ายความสัมพันธ์ของชุมชนชาวจีน