Publication: อุปนิษัท : อภิปรัชญาที่สอดคล้องกันและที่สอดคล้องกับทฤษฎีวิทยาศาสตร์ เรื่องกำเนิดและการสิ้นสุดของจักรวาล โลก สรรพสิ่งและชีวิต
Submitted Date
Received Date
Accepted Date
Issued Date
1998
Copyright Date
Announcement No.
Application No.
Patent No.
Valid Date
Resource Type
Edition
Resource Version
Language
th
File Type
No. of Pages/File Size
ISBN
ISSN
eISSN
DOI
Scopus ID
WOS ID
Pubmed ID
arXiv ID
item.page.harrt.identifier.callno
Other identifier(s)
Journal Title
Volume
Issue
Edition
Start Page
End Page
Access Rights
Access Status
Rights
Rights Holder(s)
Physical Location
Bibliographic Citation
Research Projects
Organizational Units
Authors
Journal Issue
Title
อุปนิษัท : อภิปรัชญาที่สอดคล้องกันและที่สอดคล้องกับทฤษฎีวิทยาศาสตร์ เรื่องกำเนิดและการสิ้นสุดของจักรวาล โลก สรรพสิ่งและชีวิต
Alternative Title(s)
Upanisads : The Concordance of their metaphysics and the scientific theories on the beginning and the end of the universe, the earth, all things and living things
Author(s)
Author’s Affiliation
Author's E-mail
Editor(s)
Editor’s Affiliation
Corresponding person(s)
Creator(s)
Compiler
Advisor(s)
Illustrator(s)
Applicant(s)
Inventor(s)
Issuer
Assignee
Other Contributor(s)
Series
Has Part
Abstract
การถ่ายทอดและแปลความโศลก 491 โศลกที่เลือกสรรจากจำนวน 1,844 โศลกของทั้ง 18 อุปนิษัทมีวัตถุประสงค์เพื่ออรรถาธิบายความหมายทางอภิปรัชญาว่า อะไรคือจักรวาล โลก สรรพสิ่ง ชีวิต ? และเหล่านี้มีกำเนิด-การสิ้นสุดเพราะเหตุใด อย่างไร เมื่อไร และที่ไหน ? และอรรถาธิบายคำตอบในเรื่องนี้ของอุปนิษัทที่สอดคล้องกับทฤษฎีวิทยาศาสตร์ โศลกจำนวนมากนี้แม้ต่างกันด้วยการใช้สำนวนภาษาในการสื่อความ แต่ได้ประกาศถึงเรื่องสำคัญอย่างเดียวกัน นั่นก็คือ ทุกอุปนิษัทประกาศว่า พฺรหฺมนฺ คือจักรวาลและทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสัจจภาวะ (จักรวาลที่ไม่เสื่อมสลายและไม่ปรากฏรูป) หรือ ประจักษภาวะ(จักรวาลที่เสื่อมสลายและปรากฏรูป) แนวความคิดนี้ไม่ห่างไกลไปจากแนวคิดเรื่ององค์รวมหรือ เอกภาวะ หรือสภาวะว่างเปล่าทางควอนตัม ซึ่งเป็นจุดเด่นในทฤษฎีวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ ในวิทยานิพนธ์นี้ได้กล่าวถึง ความหมายที่เปรียบเทียบสัมพันธ์กันระหว่างจักรวาลสัจจภาวะกับจักรวาลปรากฏการณ์ในหลายประเด็น ระดับความเหมือนและต่างของจักรวาลทั้งสองนี้แจกแจงได้ตามประจักษภาวะในโลกปรากฏการณ์นี้เท่านั้น อันที่จริงแล้ว มนุษย์ซึ่งมีตัวตนและการรับรู้ผูกพันกับโลกปรากฏการณ์ไม่อาจรู้เข้าใจได้ถึงจักรวาลสัจจภาวะ ดังนั้น อุปนิษัทจึงไม่มีคำตอบสำหรับคำถามทางโลกที่ว่า จักรวาลสัจจภาวะกำเนิดและสิ้นสุดอย่างไร ? หรือเพราะเหตุใด ? แม้ว่าจักรวาลสัจจภาวะดำรงอยู่ตลอดเวลาและในทุกที่ แต่คนธรรมดาอย่างเรา ๆ ไม่อาจรับรู้ได้ อุปนิษัททั้งหลายจึงชี้แนะว่า บุคคลใดก็ตามที่กลายเป็นผู้รู้แจ้ง บุคคลนั้นย่อมค้นพบจักรวาลสัจจภาวะหรือพฺรหฺมนฺในหัวใจของตนเองและเมื่อถึงตอนนั้นกาลเวลาก็ไม่มีความหมายอันใด อุปนิษัทยังกล่าวว่า จักรวาลสัจจภาวะดำรงอยู่ก่อนการเริ่มต้นกาลเวลาและอยู่ทั้งในและนอกจักรวาลปรากฏการณ์ แนวคิดทางอภิปรัชญาเช่นนี้สอดคล้องกับทฤษฎีวิทยาศาสตร์ยุคใหม่เช่นทฤษฎีของสตีเฟน ฮอคิง, ทฤษฎีของเดวิท โบห์ม ฯลฯ ทฤษฎีองค์รวมและระเบียบการซ่อนเร้นตนเองของเดวิท โบห์มอีกเช่นกันที่สนับสนุนการอธิบายทางอภิปรัชญาของอุปนิษัททั้งหลายเกี่ยวกับสภาวะของจักรวาลปรากฏการณ์ที่กล่าวว่า จักรวาลปรากฏการณ์ซ่อนเร้นอยู่ในจักรวาลสัจจภาวะซึ่งอยู่ในสภาวะว่างเปล่าควอนตัม และเนื่องจากการเคลื่อนไหวที่ไม่สมดุล จักรวาลปรากฏการณ์จึงบังเกิดขึ้น อุปนิษัททั้งหลายประกาศว่า จักรวาลปรากฏการณ์ของเราและชีวิต มิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ นั่นก็เพราะว่า ความปรารถนาต่อสิ่งมีชีวิตที่มีรูปปรากฏ และตบะสมาธิของพฺรหฺมนฺนั่นเองที่ก่อให้เกิดพลังอันยิ่งใหญ่ในรูปของการระเบิดออกของพลังเสียงและสิ่งเคลื่อนไหวอื่น ๆ ซึ่งได้พัฒนาไปเป็นจักวาลปรากฏการณ์ของเราในทึ่สุด และจากนั้นกาลและอวกาศจึงกอปรกันขึ้นเป็นมิติแล้วดำเนินไป การอธิบายความเช่นนี้ ไม่ต่างไปจากการอธิบายของทฤษฎีวิทยาศาสตร์บางทฤษฎีเป็นต้นว่า ทฤษฎีบิกแบง, จักวาลขยาย, หลุมดำ, อภิมิติอวกาศ ฯลฯ อุปนิษัทอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างสรรพสิ่งและชีวิตในจักรวาลปรากฎการณ์ว่าเป็นการถ่ายทอดและอันตรกริยาต่อกันสลับสับเปลี่ยนกันไปมาของเทวทั้งหลายหรือเทวดาทั้งหลาย ธาตุทั้งหมายที่กอรปขึ้นเป็นร่างของสิ่งมีชีวิตและเป็นสิ่งแวดล้อมในโลกปรากฏการณ์นี้นี่แหละคือ เทวดาทั้งหลาย และเพื่อเชื่อมโยงเทวหรือเทวดาทั้งหลายเหล่านี้เข้าด้วยกัน เอกเทว หรือ พฺรหฺมนฺจึงได้สร้างโครงข่ายที่สานไขว้กันไปมาขึ้น โครงข่ายหรือสายใยที่ทอไขว้กันไปมาซึ่งเรียกว่า โปรตและโอตนี้ปรากฏในอุปนิษัทก่อนทฤษฎีไยมหัศจรรย์นับพัน ๆ ปี ทุกอุปนิษัทพยายามที่จะแสดงแนวคิดที่ไม่แบ่งแยกระหว่างสิ่งไม่มีชีวิตกับสิ่งมีชีวิต และระหว่างผู้รับรู้กับสิ่ง (หรือผู้) ที่ถูกรับรู้ แนวคิดนี้ได้นำมาขยายการอธิบายในรายละเอียดโดยนักวิทยาศาสตร์ในคริสตศตวรรษที่ 20 ที่เสนอทฤษฎีวิทยาศาสตร์ เป็นต้นว่า ทฤษฎีของเดวิท โบห์ม ทฤษฎีระบบการจัดการองค์กรตนเองของอิลยา พริโกจิน และ สจวต คอฟแมน แนวคิดอื่น ๆ ที่สำคัญ เป็นต้นว่า โลกคือชีวิต, จิตวิญญาณจักรวาลอันเป็นองค์รวม, จักรวาลปรากฏการณ์เป็นประหนึ่งภาพมายาของจักรวาลสัจจภาวะ, จักรวาลปรากฏการณ์และทุกสิ่งทุกอย่างของจักรวาลนี้ย่อมจะกลับคืนไปสู่แหล่งกำเนิด, การเป็นผู้รู้แจ้งหนึ่งเดียวเป็นจุดหมายสุดท้ายของมนุษยชาติและจักรวาล เหล่านี้ปรากฏอยู่ในอุปนิษัททั้งหลายเช่นเดียวกับที่มีอยู่ในทฤษฎีวิทยาศาสตร์บางทฤษฎี ในที่สุดแล้ว แนวคิดเรื่อง กรรม หรือการกระทำและผลของการกระทำ ไม่ว่าเหตุและผลของกรรมแต่ปางก่อนหรือในปัจจุบัน อันเป็นสิ่งที่กล่าวย้ำเป็นอย่างมากในทุกอุปนิษัทว่า เป็นตัวการสำคัญต่อสังสารวัฏ เกิด-คงอยู่-ตายของชีวิตและของจักรวาลปรากฏการณ์นั้น ได้รับการยอมรับโดยนักทฤษฎีควอนตัมจิตวิญญาณและทฤษฎีนี้มีแนวโน้มว่าจะกลายเป็นทฤษฎีจักรวาลวิทยาที่สำคัญในศตวรรษหน้า
Transliteration and translation of the 491 selected slokas and relevant passages from 1.884 slokas and passages of 18 upanisads are provided to make a commentary on what is the metaphysical meaning of the universe, the earth, non living and livings and why, how, when and where these begin and end, and also on the parallels between the solutions in the upanisads and those in scientific theories. Though different styles of being used in a large number of a slokas and the passages, the same message is finely declared. All upanisads declare : Brahman is the universe and everything, either absolute reality (undecayed and unmanifested universe) or phenomenal one (decayed and manifested universe). This is likened to the concept of wholeness or oneness or quantum vacuum which is the highlight of theories of the Scientific New Age. Relative significance of the absolute universe and the phenomenal one is broadly discussed. Owing to worldly perception, degree of its similarity and of its difference is definable. In fact, man, whose self and perception are subject to the phenomenal world, is unable to comprehend the absolute universe, so that there is no answer from upanisads of worldly questions like why or how the absolute universe begins or ends. Although the absolute universe exists all the time and everywhere, no one can see. Upanisads suggest that whoever becomes Enlightened is able to find the absolute universe of Brahman (Atman) in his own heart and at the moment time is meaningless, Upanisads also indicate the absolute universe exists before the beginning of time and it exists inside and outside the phenomenal universe. This metaphysical concept is in harmony with a new age scientific theories, such as those of Stephan Hawking and of David Bohm, etc. Again, the Wholeness and the Implicate Order theory of David Bohm supports metaphysical explanation of upanisads on the status of the phenomenal universe, that is to say, it is enfolded in the absolute universe which is the quantum vacuum and because of non-equilibrated movement, the phenomenal universe took place. Upanisads proclaim our manifested universe and living beings are not hazard, for the desire of Brahman for the manifested beings and his austere meditation (tapas) caused a high force in the form of explosive sound and other dynamic matter which finally developed into our manifested universe and from which time and space is dimensionally active. This explanatory version does not differ from those of scientific theories, such as the Big Bang, the Expansion of Universe, the Black Hole, the Hyper-space, etc. Relationship of non living and living things in the phenomenal universe is explained by a reciprocal interaction of devas or devatas. Elements that compose a body of living things (organism) and of environment (biosphere/Gaia) in the manifested world are devas. To combine these devas, Eka deva (one deva) or Brahman created a woven web. The web or the entire woven strings called prota and ota was mentioned in upanisads prior to the Superstrings theory several thousand years. All upanisads try to describe the concept of non-separateness of non living things and living things and of subjective and objective. This concept has been elaborated by the twentieth century scientific theories, e.g. David Bohm’s theory, Biological Self-organisation theories of llya Prigogine and of Stuart Kauffman. Other considerable concepts, such as that the whole earth is life, that there is a cosmic consciousness, that the phenomenal universe exists as if an illusory image of the absolute universe, that the phenomenal universe and its belongings will return to its undifferentiated source, and that Enlightenment for all is the final goal of human beings and of the universe, are included in upanisads as well as in some scientific theories. Finally, the concept of karma or deed and fruit of actions, whether are the causes and the results of previous or actual activities, which is strongly emphasized in all upanisads as principal agent of the cycle of life and of the phenomenal universe, is adopted by theorists of the Quantum Consciousness theory. This theory tends to develop into the principal theory of the universe in the next century.
Transliteration and translation of the 491 selected slokas and relevant passages from 1.884 slokas and passages of 18 upanisads are provided to make a commentary on what is the metaphysical meaning of the universe, the earth, non living and livings and why, how, when and where these begin and end, and also on the parallels between the solutions in the upanisads and those in scientific theories. Though different styles of being used in a large number of a slokas and the passages, the same message is finely declared. All upanisads declare : Brahman is the universe and everything, either absolute reality (undecayed and unmanifested universe) or phenomenal one (decayed and manifested universe). This is likened to the concept of wholeness or oneness or quantum vacuum which is the highlight of theories of the Scientific New Age. Relative significance of the absolute universe and the phenomenal one is broadly discussed. Owing to worldly perception, degree of its similarity and of its difference is definable. In fact, man, whose self and perception are subject to the phenomenal world, is unable to comprehend the absolute universe, so that there is no answer from upanisads of worldly questions like why or how the absolute universe begins or ends. Although the absolute universe exists all the time and everywhere, no one can see. Upanisads suggest that whoever becomes Enlightened is able to find the absolute universe of Brahman (Atman) in his own heart and at the moment time is meaningless, Upanisads also indicate the absolute universe exists before the beginning of time and it exists inside and outside the phenomenal universe. This metaphysical concept is in harmony with a new age scientific theories, such as those of Stephan Hawking and of David Bohm, etc. Again, the Wholeness and the Implicate Order theory of David Bohm supports metaphysical explanation of upanisads on the status of the phenomenal universe, that is to say, it is enfolded in the absolute universe which is the quantum vacuum and because of non-equilibrated movement, the phenomenal universe took place. Upanisads proclaim our manifested universe and living beings are not hazard, for the desire of Brahman for the manifested beings and his austere meditation (tapas) caused a high force in the form of explosive sound and other dynamic matter which finally developed into our manifested universe and from which time and space is dimensionally active. This explanatory version does not differ from those of scientific theories, such as the Big Bang, the Expansion of Universe, the Black Hole, the Hyper-space, etc. Relationship of non living and living things in the phenomenal universe is explained by a reciprocal interaction of devas or devatas. Elements that compose a body of living things (organism) and of environment (biosphere/Gaia) in the manifested world are devas. To combine these devas, Eka deva (one deva) or Brahman created a woven web. The web or the entire woven strings called prota and ota was mentioned in upanisads prior to the Superstrings theory several thousand years. All upanisads try to describe the concept of non-separateness of non living things and living things and of subjective and objective. This concept has been elaborated by the twentieth century scientific theories, e.g. David Bohm’s theory, Biological Self-organisation theories of llya Prigogine and of Stuart Kauffman. Other considerable concepts, such as that the whole earth is life, that there is a cosmic consciousness, that the phenomenal universe exists as if an illusory image of the absolute universe, that the phenomenal universe and its belongings will return to its undifferentiated source, and that Enlightenment for all is the final goal of human beings and of the universe, are included in upanisads as well as in some scientific theories. Finally, the concept of karma or deed and fruit of actions, whether are the causes and the results of previous or actual activities, which is strongly emphasized in all upanisads as principal agent of the cycle of life and of the phenomenal universe, is adopted by theorists of the Quantum Consciousness theory. This theory tends to develop into the principal theory of the universe in the next century.
Table of contents
Description
Sponsorship
Degree Name
ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาโท
Degree Department
ศูนย์สันสกฤตศึกษา
Degree Discipline
Degree Grantor(s)
มหาวิทยาลัยศิลปากร