Search Results

Now showing 1 - 7 of 7
No Thumbnail Available
Publication

ภาพสะท้อนสังคมในงานจิตรกรรมวัดใหม่เทพนิมิตร

ปุณวัฒน์ ลิขิตทัศนวัฒน์, Punnawat Likhittassanawat (2016)

. The result of the study shows some aspects of social on the Thai mural paintings of Wat Mai Thep Nimitr which is related to the court tradition and the similarity between the Khon costumes and commoner’s costumes. Moreover, it shows the way of living and race

No Thumbnail Available
Publication

พัฒนาการในการสร้างพระเครื่องในภาคอีสาน

วิเชียร แสนมี, Wichian Sanmee (2016)

พระพิมพ์ หรือพระเครื่อง หมายถึง เครื่องรางของขลัง หรือพระเครื่องราง ซึ่งเกิดจากการนำเอาสิ่งที่เป็นพุทธคุณเข้ามาผสมผสานกับความเชื่อที่เป็นไสยขาว ทำให้กลายเป็นวัตถุสำเร็จรูปที่รวบรวมบรรดาของขลังทั้งมวลให้อยู่ภายในวัตถุเดียวกัน เรียกว่าวัตถุมงคล ทำให้ง่ายแก่การรักษา พกพาติดตัว พระเครื่องจึงนับว่าเป็นเครื่องรางของขลังแบบใหม่ที่ทันสมัย เป็นที่นิยมกันมาก ในอดีตและปัจจุบัน การสร้างพระพิมพ์หรือพระเครื่องสืบเนื่องมาจากสาเหตุดังนี้ คือ เพื่อการสืบทอดพระพุทธศาสนา เพื่ออุทิศส่วนกุศล เพื่ออาราธนาคุณพระพุทธานุภาพให้บังเกิดผลกับตัว หรือที่เรียกกันให้เข้าใจง่าย ๆ ว่า “สร้างเพื่อไว้ใช้” การสร้างพระตามคตินี้จะมีการปลุกเสก เวทย์มนต์ คาถาอาคม ให้บรรจุลงในพระพิมพ์หรือพระเครื่อง ในปัจจุบันได้มีมูลเหตุของการสร้างพระเครื่องขึ้นมาอีกในรูปแบบหนี่งเพื่อหารายได้จากการบูชาไปก่อเกิดสาธารณประโยชน์มากมายทั้งในพระศาสนาและกิจกรรมต่าง ๆ ของสังคม ซึ่งมูลเหตุการสร้างนี้กำลังได้รับความนิยมและแผ่ขยายเป็นอย่างยิ่ง เช่น สร้างพระเครื่องเพื่อเป็นที่ ระลึก ให้กับผู้บริจากทรัพย์ สร้างพระเครื่องเพื่อให้เป็นขวัญ และกำลังใจ ในการทำงาน สร้างพระเครื่อง เพื่อหาทุนการศึกษาให้กับพระภิกษุและสามเณร เพื่อเป็นเครื่องรางของขลัง เพื่อแจกเป็นของชำร่วย เพื่อบรรจุลงกรุ เจดีย์ สถูป ซึ่งล้วนแล้วแต่มีวัตถุประสงค์ในการสร้างที่แตกต่างกันออกไป รูปแบบศิลปกรรมของพระเครื่องดินเผากรุนาดูน ที่ขุดค้นพบเมื่อปี พ.ศ. 2522 จำแนกรูปลักษณะของพระพิมพ์ดินเผา ออกเป็น 6 ลักษณะ ได้แก่ สามเหลี่ยมรูปใบไม้ สามเหลี่ยมหน้าจั่ว สี่เหลี่ยมผืนผ้า สี่เหลี่ยมจัตุรัส ฐานเหลี่ยมยอดโค้ง และลอยตัวองค์เดี่ยว โดยแบ่งออกเป็นปางต่างๆ ดังนี้ ปางแสดงพระธรรมเทศนา ปางยมกปาฏิหาริย์ ปางมุจลินทร์ ปางขัดสมาธิ ปางลีลา พระแผง และแผ่นดินเผารูปสถูปจำลอง ซึ่งล้วนแต่เป็นศิลปกรรมในสมัยทวาราวดี

No Thumbnail Available
Publication

บทบาทด้านการแปลของมิสชันนารีฝรั่งเศสสมัยสยามปฏิรูป (พ.ศ. 2411-2453)

กันตพงศ์ จิตต์กล้า, Kantaphong Chitkla (2014)

เป็นเวลากว่าหนึ่งศตวรรษที่มิสชันนารีฝรั่งเศสคณะมิสซังต่างประเทศแห่งกรุงปารีส [Missions Étrangères de Paris] ได้เข้ามาลงหลักปักฐานอย่างเข้มแข็งพร้อมกับการพัฒนาวิชาการในยุคของพระสังฆราช ฌอง-หลุยส์ เวย์[Mgr. Jean-Louis Vey] ผู้สถาปนาระบบการศึกษาตะวันตกในสยามและจัดตั้งโรงเรียนนานาชาติ ในช่วงเดียวกับกับที่สยามปฏิรูปประเทศ อีกทั้งยังดำรงตำแหน่งสมาชิกกิตติมศักดิ์ของสยามสมาคม [Siam Society] เมื่อสยามปฏิรูปประเทศ ซึ่งมีผลจากการเปิดรับชาติตะวันตก การติดต่อสื่อสารย่อมต้องอาศัยนักแปลและล่าม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเจรจาต่อรอง การลงนามในสนธิสัญญา ที่ต้องกระทำถึง 3 ภาษาคือ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส การจะแปลถ้อยคำหรือข้อความได้ดีนั้น ผู้แปลจะต้องมีความรู้ในภาษาต้นทางและภาษาปลายทางเป็นอย่างดี สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือต้องมีพจนานุกรมซึ่งเป็นเครื่องมืออย่างดีเพื่อช่วยในการแปล มิเช่นนั้นการดำเนินการด้านการเมือง เศรษฐกิจ การค้าต่างๆคงจะเกิดขึ้นมิได้ จึงเป็นสิ่งที่น่าศึกษาว่าคณะมิสชันนารีฝรั่งเศส ผู้อยู่ร่วมยุคร่วมสมัยนั้นได้เข้ามามีบทบาทหรือไม่อย่างไร การศึกษาครั้งนี้ได้ใช้ข้อมูลจากเอกสารปฐมภูมิในหอจดหมายเหตุสำนักมิสซังแห่งกรุงปารีส หอจดหมายเหตุอัครสังฆมณฑลกรุงเทพ ห้องสมุดแซงต์เฌอเนอวิแยฟว์ จากการศึกษาพบว่าในสมัยสยามปฏิรูปคณะมิสชัน- นารีฝรั่งเศสมีบทบาทด้านการแปล 3 ลักษณะ คือ บทบาทในการจัดทำพจนานุกรม บทบาทในการแปลวรรณกรรม และบทบาทในการจัดการศึกษาวิชาการแปล ซึ่งบทบาทดังกล่าวเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนการสอนภาษาฝรั่งเศสและเป็นเชื่อมความสัมพันธ์ฝรั่งเศส-ไทยไม่ให้ยุติลง ยุคสยามปฏิรูปสมัยรัชกาลที่ 5 ขณะที่รัฐบาลฝรั่งเศสมีเรื่องบาดหมางใจกับรัฐบาลสยาม หรือมิสชันนารีบางคนทำให้สยามหวาดระแวง แต่ผู้นำศาสนจักรกลับได้สร้างคุณูปการไว้ให้กับแผ่นดินทั้งในด้านภาษาและการศึกษา หากขาดบุคคลดังกล่าวการทำงานแปลและล่ามตลอดจนการศึกษาที่ทันสมัยสำหรับประชาชนอาจเกิดขึ้นไม่ทันกับการพัฒนาประเทศ

No Thumbnail Available
Publication

พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของช่างฝีมือในสมัยอยุธยาสู่ช่างสิบหมู่ในสมัยรัตนโกสินทร์

เพชรรุ่ง เทียนปิ๋วโรจน์, Petchrung Teanpewroj (2015)

บทความนี้มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาถึงอาชีพช่างฝีมือในสมัยอยุธยาและช่างสิบหมู่ในสมัยรัตนโกสินทร์ศึกษาโดยใช้หลักฐานเอกสารของไทยและบันทึกของชาวต่างชาติ ผลจากการศึกษาพบว่าช่างฝีมือในสมัยอยุธยามีจุดเริ่มต้นจากการเป็นแรงงานให้ราชสำนักและทำอาชีพผลิตสินค้าเพื่อขายซึ่งพัฒนาไปสู่การรวบรวมช่างฝีมือให้เป็นหมวดหมู่ในสังกัดช่างสิบหมู่ในสมัยรัตนโกสินทร์

No Thumbnail Available
Publication

พระสงฆ์กับองค์เจ้าในการปฏิรูปหัวเมืองอีสานผ่านกลไกอำนาจรัฐ

ธีระพงษ์ มีไธสง, Theerapong Meethaisong (2017)

งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาบทบาทของพระสงฆ์ธรรมยุติกนิกายกับพระมหากษัตริย์ในการขับเคลื่อนงานการปฏิรูปหัวเมืองอีสานผ่านการใช้กลไกอำนาจรัฐในระบบสมบูรณาญาสิทธิราช ผู้วิจัย เน้นการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์เชิงคุณภาพ โดยอาศัยข้อมูลจากเอกสารเป็นเบื้องต้น และข้อมูลภาคสนามในเขตจังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดสกลนคร จากการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างที่เป็นพระสงฆ์และนักวิชาการทางศาสนา ผลการวิจัย พบว่า บทบาทคณะสงฆ์ธรรมยุตอีสานซึ่งถือกำเนิดจากพระวชิรญาณภิกขุ ในรัชสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อพระวชิรญาณภิกขุทรงลาผนวช ขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 4 พระองค์ได้สร้างแนวร่วมด้วยการดึงเอากลุ่มพระสงฆ์ธรรมยุตอีสานเข้าร่วมขับเคลื่อนนโยบายรัฐเพื่อปฏิรูปหัวเมืองอีสานให้เป็นไทยผ่านบทบาทที่โดดเด่น 4 ด้าน คือ 1) ด้านการศึกษา 2) ด้านศาสนา 3) ด้านสังคมสงเคราะห์ 4) ด้านการเปลี่ยนแปลงสังคมอีสาน แม้บทบาททั้ง 4 ด้านจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐชาติ (กษัตริย์) ทั้งงบประมาณและอำนาจ แต่การเคลื่อนไหวของพระสงฆ์ธรรมยุตอีสานเพื่อปฏิรูปทางสังคมและความเชื่อชาวอีสาน นำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างพระสงฆ์ธรรมยุตอีสานกับชุมชนและพระสงฆ์ในท้องถิ่น ภายใต้กลไกอำนาจรัฐชาติที่สถาปนาเหนือพื้นที่อีสานทำให้พระสงฆ์ท้องถิ่นอีสานจำเป็นต้องปรับตัวและสร้างอัตลักษณ์ใหม่ภายใต้บริบทรัฐชาติ โดยการทำให้วัดกลายเป็นสถานที่ราชการและพระสงฆ์ที่เป็นพระสังฆาธิการกลายเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐในฐานะเป็นข้าราชการ ในขณะที่การปฏิรูปหัวเมืองอีสานภายใต้การทำงานของพระสงฆ์ธรรมยุตอีสานร่วมกับกษัตริย์ได้สถาปนาอำนาจรัฐเหนือดินแดนอีสานด้วยบทบาทของพระสงฆ์ธรรมยุตอีสาน ทำให้ชุมชนอีสานถูกปรับโฉมหน้าใหม่ให้เชื่อมโยงท้องถิ่นอีสานเข้ารวมศูนย์สู่อำนาจรัฐส่วนกลางในวาทกรรมการพัฒนาแบบสมัยใหม่

No Thumbnail Available
Publication

กำเนิดและพัฒนาการตลาดสดในเขตเทศบาลเมืองอุบลราชธานี

สมศรี ชัยวณิชยา, Somsri Chaiwanichaya (2018)

ตลาดเป็นสถานที่ที่คนใช้เป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนสินค้าในท้องถิ่นเพื่อการใช้ชีวิตประจำวันและการบริโภค ตลาดสะท้อนถึงสภาพเศรษฐกิจและการค้า รวมทั้งการเติบโตของเมืองและลักษณะทางสังคมและวัฒนธรรมของแต่ละชุมชน บทความวิจัยเรื่อง กำเนิดและพัฒนาการตลาดสดในเขตเทศบาลเมืองอุบลราชธานี มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากำเนิดและพัฒนาการของตลาดสดของจังหวัดอุบลราชธานี โดยใช้กรอบแนวทางการศึกษาประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ จากกรณีศึกษาตลาดสดเทศบาล 3 (ตลาดใหญ่) ตลาดสดเทศบาล 2 (ตลาดน้อย) และตลาดเอกชน คือตลาดทยาประศาสน์ (ตลาดบ้านดู่ใหม่) ผลการศึกษาพบว่า ตลาดสดทั้งสามตลาดกำเนิดมาจากพัฒนาการของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ โดยเป็นผลจากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของชุมชนท้องถิ่นไปสู่โครงสร้างชุมชนเมือง โดยเฉพาะการสร้างทางรถไฟ การสร้างถนน และบริบทของสงครามโลกครั้งที่ 2 สงครามเวียดนาม การเข้ามาตั้งฐานทัพของประเทศสหรัฐอเมริกาในจังหวัดอุบลราชธานี รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงการบริหารการปกครองส่วนท้องถิ่น

No Thumbnail Available
Publication

ภาพสะท้อนความสัมพันธ์ทางสังคมและเศรษฐกิจของ “คนเมืองเชียงใหม่” กับ “ทหารญี่ปุ่น” ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

ศตนันท์ ปัญญาอินทร์, Satanan Panyain, วณิชชา ณรงค์ชัย, Wanichcha Narongchai (2021)

บทความนี้มุ่งศึกษาความสัมพันธ์ทางสังคม เศรษฐกิจ และการสร้างเครือข่ายใหม่ของคนเมืองเชียงใหม่ท่ามกลางสถานการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ต้องดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกับกองทหารญี่ปุ่นซึ่งเข้าประจำการในพื้นที่ เนื่องจากจังหวัดเชียงใหม่เป็นหนึ่งในพื้นที่ตั้งทัพและเตรียมเสบียงของทหารญี่ปุ่นก่อนเดินทางไปรบแนวหน้า เมื่อต้องเผชิญกับภาวะความยากลำบากในช่วงสงคราม ประกอบกับภาวะทางเศรษฐกิจที่คับขัน คนเมืองเชียงใหม่บางกลุ่มมีการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์โดยอาศัยทักษะเฉพาะบุคคลและโอกาสทำกำไรจากการค้าขาย ตลอดจนการอาศัยความช่วยเหลือในด้านการรักษาพยาบาลในสถานการณ์ที่ยารักษาโรคอยู่ในช่วงขาดแคลนเนื่องจากภัยสงคราม ซึ่งมุมมองด้านความเป็นอยู่ของประชาชนเหล่านี้ เป็นการเพิ่มมิติการเรียนรู้ประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 ในประเทศไทยอย่างลึกซึ้ง การวิเคราะห์หลักฐานจากคำบอกเล่าและบันทึกส่วนบุคคลที่มีส่วนร่วมกับสถานการณ์ข้างต้น ทำให้พบประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างคนเมืองเชียงใหม่ในพื้นที่กับทหารญี่ปุ่นที่เข้ามาตั้งค่ายบริเวณใกล้เคียง โดยเป็นการตั้งข้อสังเกตเบื้องต้นโดยอ้างอิงจากหลักฐานเป็นสำคัญ 3 ประเด็น ได้แก่ ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจผ่านการค้าขาย การสร้างรายได้จากการจ้างงาน และการช่วยเหลือด้านการแพทย์ในสภาวะที่ขาดแคลน เหล่านี้นำไปสู่ทัศนคติอันดีของประชาชนที่มีต่อทหารญี่ปุ่นเพื่อเปิดโลกทัศน์องค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ประชาชนเพิ่มมากขึ้น