ภาษาศาสตร์ภาษาบาลีและสันสกฤต
Permanent URI for this collection
บทความวิจัย บทความวิชาการ รายงานการวิจัย วิทยานิพนธ์ สารนิพนธ์ และหนังสือเกี่ยวกับไวยากรณ์บาลี ไวยากรณ์สันสกฤต หรือ ไวยากรณ์บาลีและสันสกฤตเชิงเปรียบเทียบ ด้านเสียง การสร้างคำนาม คำกริยา วากยสัมพันธ์ ภาษาบาลีและสันสกฤตในภาษาไทย
Browse
Browsing ภาษาศาสตร์ภาษาบาลีและสันสกฤต by Author "Kaeodueng, Phramaha Komon"
Now showing 1 - 5 of 5
Results Per Page
Sort Options
- Publicationการศึกษาเปรียบเทียบคำนามในคำภีร์ปทรูปสิทธิและลฆุสิทธานตเกามุทีพระมหาโกมล แก้วดึง; Kaeodueng, Phramaha Komon (2005)งานวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาคำนาม (ส. = ปฺราติปทิก) ในคัมภีร์ปทรูปสิทธิและลฆุสิทธานตเกามุที โดยศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับรูปแบบการนำเสนอ วิธีการสร้างคำ และส่วนประกอบของคำนาม มี ลิงค์ วจนะ วิภัตติ (ส. = วิภกฺติ) การันต์ (ส. = การานฺต) และปัจจัย (ส. = ปฺรตฺยย) แล้วนำมาเปรียบเทียบเพื่อช่วยให้ศึกษาไวยากรณ์แบบดั้งเดิมได้ง่ายขึ้น ผลการวิจัยพบว่า 1. คัมภีร์ปทรูปสิทธิแต่งโดยพระพุทธัปปิยเถระ ชาวอินเดียตอนใต้ ราวพุทธศตวรรษที่ 15-16 ส่วนคัมภีร์ลฆุสิทธานตเกามุลี แต่งโดยวรทราชะ ศิษย์ของภัฎโฏชิทึกษิต ราวพุทธศตวรรษที่ 11 2. แม้ว่า คัมภีร์ปทรูปสิทธิ จะดำเนินตามวิธีของสูตรไวยากรณ์ ตามที่ปรากฏในคัมภีร์ลฆุสิทธานตเกามุที เท่าที่ได้ศึกษาในการสร้างคำนาม ดูเหมือนว่า คัมภีร์ปทรูปสิทธิ ไม่ได้รับอิทธิพลจากคัมภีร์ลฆุสิทธานตเกามุที มีการใช้ชื่อเรียกเฉพาะทางไวยากรณ์ที่ต่างกันหลายแห่ง วิภัตติสำหรับแจกคำนามในคัมภีร์ปทรูปสิทธิก็ลดน้อยลงกว่าที่มีอยู่เดิม เนื่องจากทวิวจนะในภาษาบาลีไม่มี คำนามที่ลงท้ายด้วยพยัญชนะในภาษาสันสกฤตทั้งหมดถูกเปลี่ยนเป็นคำนามที่ลงท้ายด้วยสระในภาษาบาลี 3. ค่อนข้างจะแน่นอนว่า คัมภีร์ปทรูปสิทธิ ไม่ได้ดำเนินตามประเพณีทางไวยากรณ์ที่ปาณินินักไวยากรณ์ผู้ยิ่งใหญ่ได้วางไว้อย่างเคร่งครัด แต่จะดำเนินตามคัมภีร์ทางไวยากรณ์สันสกฤตเล่มอื่น ซึ่งจำเป็นต้องมีการศึกษาค้นคว้าต่อไป
- Publicationการศึกษาวิเคราะห์กระบวนการสร้างคำในมหากาพย์เสานทรนันทะตามหลักคัมภีร์อัษฏาธยายีของปาณินิพระมหาโกมล แก้วดึง; Kaeodueng, Phramaha Komon (2021)งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาประวัติและผลงานของปาณินิและพระอัศวโฆษ 2) เพื่อศึกษาบทต่าง ๆ ลักษณะของฉันทลักษณ์และอลังการในมหากาพย์เสานทรนันทะ 3) เพื่อศึกษาวิเคราะห์กระบวนการสร้างคำตามหลักไวยากรณ์คัมภีร์อัษฏาธยายีของปาณินิ ฉันทลักษณ์ และอลังการในมหากาพย์เสานทรนันทะ บทความวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยกระบวนการวิจัยเชิงเอกสาร (documentary research) กรณีศึกษาคือกระบวนการสร้างคำในมหากาพย์เสานทรนันทะตามหลักคัมภีร์อัษฏาธยายีของปาณินิ ได้มาโดยการเก็บรวมรวบเอกสารข้อมูลทั้งชั้นปฐมภูมิและทุติยภูมิ และทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ผลการวิจัยพบว่า 1. ปาณินิมีชีวิตอยู่ในช่วง 400 ปีก่อน ค.ศ. เกิดในสกุลพราหมณ์ มีชื่อว่า ปาณินิ ท่านมีผลงานคือคัมภีร์อัษฏาธยายี ภาษาสันสกฤตเป็นภาษาที่ละเอียดผ่านการคัดกรองมาอย่างดี ทั้งเสียง อักษร และหลักไวยากรณ์ จนได้รับยกย่องเป็นบิดาภาษาสันสกฤตมาตรฐาน ผลงานของท่านยังคงเป็นต้นแบบที่เป็นพื้นฐานของทฤษฎีทางภาษาศาสตร์สมัยใหม่ มีอิทธิพลต่อหลักคณิตศาสตร์ ภาษาศาสตร์และปรัชญาอินเดีย 2. พระอัศวโฆษมีชีวิตอยู่ระหว่าง 50 ปีก่อน ค.ศ. ถึง ค.ศ. 100 เป็นกวีคนแรกที่แต่งบทละครสันสกฤต ได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งบทละครสันสกฤต ท่านได้นำไวยากรณ์สันสกฤตมาพัฒนาต่อยอดผลิตผลของไวยากรณ์ในรูปของบทกวี เช่น พุทธจริต เสานทรนันทะ เป็นต้น จนได้รับยกย่องว่าเป็นมหากาพย์ที่มีอิทธิพลต่อความเจริญรุ่งเรืองของวรรณคดีสันสกฤตในสมัยต่อมา 3. กระบวนการสร้างคำตามตำราเรียนในปัจจุบันเป็นการทำให้ง่ายขึ้นสำหรับการเรียนไวยากรณ์สันสกฤตแบบใหม่ ซึ่งไม่ละเอียดเหมือนกระบวนการสร้างคำแบบอ้างอิงสูตรปาณินิ ส่วนฉันทลักษณ์ในมหากาพย์เสานทรนันทะ สรรคที่ 1, 2 และ 3 จำนวน 169 โศลก มีฉันท์ประเภทต่าง ๆ คือ 1) อนุษฏุภฉันท์ 8 พยางค์ 2) ตริษฏุภฉันท์ 11 พยางค์ 3) อติชคตีฉันท์ 13 พยางค์ 4) ศักวรีฉันท์ 14 พยางค์ 5) วาควัลลภฉันท์ โศลกที่มีคณะไม่เท่ากัน 6) อุปชาติ โศลกที่มีคณะเสมอกันครึ่งหนึ่ง และอลังการมี 2 ประเภท คือ 1) อลังการทางเสียง มีครบทั้ง 10 ประเภท มี ปรสารทคุณ เป็นต้น 2) อลังการทางความหมาย มี 3 ประเภท คือ (ก) รูปกาลังการ การแสดงความเป็นสิ่งเดียวกันระหว่างอุปมานะและอุปไมย (ข) อุปมาลังการ การเปรียบเทียบความเหมือนกันระหว่างสิ่งสองสิ่ง (ค) รสีอลังการ อลังการมีอรรถรส กล่าวคือแต่งให้เกิดรสต่าง ๆ มีศฤงคารรสเป็นต้น
- Publicationบทบาลีในคัมภีร์อภิธัมมัตถวิภาวินี ปัญจิกา อัตถโยชนา ตามสูตรคัมภีร์สัททาวิเสส : ศึกษาเชิงวิเคราะห์พระมหาโกมล แก้วดึง; พระมหาชิต อนุชิโต; Kaeodueng, Phramaha Komon (2019)การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ (๑) เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมาของคัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะและคัมภีร์อภิธัมมัตถวิภาวินี ปัญจิกา อัตถโยชนา (๒) เพื่อวิเคราะห์บทบาลีตามสูตรคัมภีร์สัททาวิเสสในคัมภีร์อภิธัมมัตถวิภาวินี ปัญจิกา อัตถโยชนา ผลการวิจัยพบว่า คัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะรจนาโดยพระอนุรุทธาจารย์ ชาวเมืองท่ากาเวริ อินเดียตอนใต้ ได้พักที่วัดมหาเมฆวัน เมืองอนุราธบุรี ประเทศศรีลังกา คัมภีร์นี้เปรียบเสมือนเพชรน้ำเอกทางวรรณกรรมบาลีของท่าน ส่วนคัมภีร์อภิธัมมัตถวิภาวินี ปัญจิกา อัตถโยชนา รจนาโดยพระญาณกิตติเถระแห่งล้านนา ชาวเชียงใหม่ ขณะจำพรรษาอยู่วัดปนสาราม เมื่อ พ.ศ. ๒๐๔๕ เป็นพระอาจารย์ของพระเจ้าติโลกราช และเคยไปศึกษาที่ประเทศลังกาในรัชกาลกษัตริย์กรุงลังกาปรักกรมพาหุที่ ๖ หลักการสำคัญในการรจนาคัมภีร์โยชนา คือการนำเสนอเนื้อหา ๔ ประการ คือ (๑) วากยานุสัมพันธ์- การสัมพันธ์ประโยค (๒) รูปวิเคราะห์สมาส ตัทธิต และกิตก์ พร้อมกับการประกอบรูปศัพท์ มีกระบวนการสร้างคำโดยนำสูตรจากกลุ่มคัมภีร์สัททาวิเสส มีคัมภีร์กัจจายนะ เป็นต้น รวมสูตรที่ปรากฏในปริจเฉทที่ ๑ จำนวน ๒๓๘ สูตร บรรดาสูตรเหล่านั้น วิธิสูตรมีจำนวนมากที่สุด คือ ๒๒๘ สูตร (๓) ความหมายของอุปสัคและนิบาต (๔) ความสัมพันธ์ของประโยคภาษาบาลี พระญาณกิตติเถระได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้แตกฉานไวยากรณ์บาลีและสันสกฤต เป็นปราชญ์ผู้รอบรู้หลักธรรมวินัยอย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่อดีตกระทั่งปัจจุบัน
- Publicationปเหฬีในคำว่า “อกตัญญู” ที่ควรรู้พระมหาโกมล แก้วดึง; Kaeodueng, Phramaha Komon (2018)บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาความหมายอีกด้านหนึ่งของคำว่า “อกตัญญู” อันเป็นคำในภาษาบาลีที่บรรพชิตผู้เป็นศาสนทายาทและพุทธศาสนิกชนคนทั่วไปควรรู้ เพราะบางคำไม่ได้มีประเด็นในแง่ลบหรือบวกอย่างเดียว แต่สามารถนำปรับให้เข้ากับคุณสมบัติของจิตเพื่อให้รู้ความเป็นจริงและฝึกฝนจิตให้พัฒนาสูงขึ้นจนรู้แจ้งสัจธรรมได้ ภาษาถือเป็นเครื่องมือการสื่อสารที่คนจะต้องเรียนรู้ ซึ่งประเด็นสำคัญคือต้องตระหนักว่าภาษานั้นเป็นเพียงเครื่องมือสื่อให้เข้าใจถึงความจริงและความประสงค์ที่ผู้ใช้ต้องการสื่อสารเท่านั้น โดยเฉพาะภาษาบาลีอันเป็นภาษารักษาพระพุทธพจน์ที่พระพุทธเจ้าทรงใช้ประกาศคำสอนที่เป็นแนวทางในการปฏิบัติให้เข้าถึงความจริงอันเป็นผลลัพธ์ คือ มรรค ผล และพระนิพพาน ดังนั้น ผู้จะอนุรักษ์สืบทอดคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาได้อย่างถูกต้องนั้น ต้องมีความรู้ความเข้าใจในหลักภาษาบาลีอย่างแตกฉาน เพราะคำศัพท์ภาษาบาลีมีความหลากหลายทั้งด้านความหมายและคำศัพท์ที่ใช้ จำเป็นต้องมีกลุ่มคัมภีร์ที่เป็นเครื่องมือในการศึกษาบาลีพระไตรปิฎกอย่างกลุ่มคัมภีร์สัททาวิเสสที่จะช่วยในการกำหนดความหมายของคำศัพท์ในเนื้อความนั้น ๆ ได้อย่างถูกต้อง บทบาลีพระไตรปิฎกที่นำมาเป็นกรณีตัวอย่างคือ คำว่า อกตญฺญู ซึ่งเป็นคำปเหฬี มีความหมายที่คนทั่วไปรู้ว่า “คนไม่รู้บุญคุณคนที่ทำให้ก่อน” แต่มีความหมายอีกอย่างที่ซ่อนอยู่คือ “ผู้รู้พระนิพพาน” ซึ่งความหมายเป็นคนละด้าน ผู้ชำนาญบาลีต้องดูที่บริบทของคำว่าอยู่ในลักษณะใด เมื่อเข้าใจดังนี้ย่อมนำไปสู่ความสนใจของพุทธศาสนิกชนและประชาชนทั่วไปในการศึกษาค้นคว้าภาษาบาลีในระดับสูงขึ้นไปและถือเป็นการพัฒนาจิตไปในตัวด้วย
- Publicationศึกษาวิเคราะห์บทบาลีในพระไตรปิฎก ตามแนวคัมภีร์สัททาวิเสสพระมหาโกมล แก้วดึง; Kaeodueng, Phramaha Komon (2018)