ภาษาศาสตร์ประยุกต์
Permanent URI for this collection
บทความวิจัยและวิทยานิพนธ์ในสาขาวิชาภาษาศาสตร์ที่สังกัดสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย ในสายภาษาศาสตร์ประยุกต์ ได้แก่ การแปล (Translation) การรับภาษาที่สอง (Second (Foreign) language acquisition) การรับภาษาที่หนึ่ง (First language acquisition) การเรียนการสอนภาษา (Language teaching) ภาษากับปริชาน (Language and cognition) ภาษาศาสตร์คลังข้อมูล (Corpus linguistics) ภาษาศาสตร์คอมพิวเตอร์/การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Computational linguistics/Natural language processing) ภาษาศาสตร์จิตวิทยา (Psycholinguistics) ภาษาศาสตร์เชิงคลินิก/การแก้ไขการพูดการได้ยินภาษา/ความผิดปกติในการสื่อความหมาย (Clinical linguistics/Speech-language pathology/Communication disorders) ภาษาศาสตร์เชิงประวัติ/นิรุกติศาสตร์ (Historical linguistics/Philology) ภาษาศาสตร์ปริชาน (Cognitive linguistics) ภาษาศาสตร์เปรียบเทียบ (Comparative linguistics) ภาษาศาสตร์สังคม (Sociolinguistics) วิทยาภาษาถิ่น (Dialectology)
Browse
Browsing ภาษาศาสตร์ประยุกต์ by Degree Name "อักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิต"
Now showing 1 - 20 of 37
Results Per Page
Sort Options
- PublicationFirst words : communicative development of 9 - to 24-month-old Thai childrenRungrojsuwan, Sorabud (2003)งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพัฒนาการทางเสียงและพัฒนาการในการรู้คำของเด็กไทย ระหว่างช่วงอายุ 9 ถึง 24 เดือน จากการศึกษาพบว่า การรู้ภาษาแม่เป็นกระบวนการที่ซับซ้อน มีปัจจัยหลายประการที่มีความสำคัญต่อการรู้ภาษา ได้แก่ ลักษณะสากลลักษณ์ และลักษณะเฉพาะภาษา นอกจากนี้ยังพบว่าสภาพแวดล้อม ความหลากหลายและความชอบของเด็กแต่ละคน พร้อมทั้งลักษณะของภาษาป้อนเข้า ก็มีความสำคัญด้วยเช่นกัน จากการศึกษาพัฒนาการทางเสียงพบว่า ความสามารถในการออกเสียงของเด็กมีจำกัด กล่าวคือ เด็กจะออกเสียงบางเสียงบ่อยกว่าเสียงกลุ่มอื่น เช่น ในกลุ่มเสียงพยัญชนะต้น คือ เสียงกัก > เสียงนาสิก > เสียงต่อเนื่อง > เสียงเสียดแทรก, ในกลุ่มเสียงสระเดี่ยว คือ /a/ > /i/ > /u/ > /O/ > /x/ > /o/ > /e/ > /U/ > /q/, ในกลุ่มเสียงวรรณยุกต์ คือ สามัญ > โท > เอก > ตรี > จัตวา ตามลำดับ ในระบบพยางค์หนักเบา คือ พยางค์หนักเป็นเอก > พยางค์หนักเป็นโท > พยางค์เบา เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบว่า เด็กสามารถออกเสียงที่มีโครงสร้างทางเสียงที่มีความซับซ้อนน้อยได้ก่อนเสียงที่มีโครงสร้างทางเสียงที่ซับซ้อนมากกว่า เช่น โครงสร้างพยางค์แบบเปิด คือ CV > CVV > CCV, ในโครงสร้างพยางค์แบบปิด คือ CVC > CVVC > CCVC, เสียงพยัญชนะ คือ C > CC, เสียงสระ คือ V > VV อย่างไรก็ดี จากการศึกษาเปรียบเทียบสัดส่วนของเสียงแต่ละกลุ่มกับภาษาผู้ใหญ่ (ศศิธร หาญพานิช, 2536) พบว่า ลักษณะทางเสียงในภาษาของเด็กจะค่อยๆ พัฒนาไปสู่รูปแบบของเสียงในภาษาของผู้ใหญ่ จากการศึกษาพัฒนาการในการรู้คำพบว่า เด็กเริ่มรู้คำชุดแรกเมื่ออายุประมาณ 9-15 เดือน อัตราในการรู้คำของเด็กที่พบมี 2 ลักษณะ คือ แบบค่อยเป็นค่อยไปและแบบฉับพลัน ซึ่งระยะเวลาของอัตราในการรู้คำแบบฉับพลันนั้นส่งผลโดยตรงต่อปริมาณคำศัพท์ที่เด็กรู้เมื่อมีอายุได้ 24 เดือน จากการศึกษาประเภทของคำที่เด็กรู้พบว่า เด็กรู้คำหลักก่อนและในปริมาณที่มากกว่าคำไวยากรณ์ และรู้คำที่อ้างถึงสรรพสิ่งก่อนและในปริมาณที่มากกว่าคำที่อ้างถึงอาการ ลักษณะ และความสัมพันธ์ของสรรพสิ่ง จากการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเข้าใจกับการพูดพบว่า โดยปกติเด็กจะเข้าใจความหมายของคำก่อนที่จะพูด แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงระยะที่มีการรู้คำศัพท์ใหม่ๆ เป็นจำนวนมากนั้น เด็กอาจพูดเลียนแบบเสียงคำบางคำได้ก่อนที่จะเข้าใจความหมายของคำเหล่านั้น จากการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาษาป้อนเข้ากับคำชุดแรกของเด็กไทยพบว่า มีความสัมพันธ์ในแบบที่ไม่ชัดเจนนักระหว่างประเภทของคำในภาษาป้อนเข้ากับประเภทของคำในภาษาของเด็ก จากข้อค้นพบดังกล่าว ผู้วิจัยจึงอภิปรายว่า อาจจะเกิดจากปริมาณความสนใจของเด็กที่มีต่อผู้ใหญ่และสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการรู้ภาษา
- PublicationModels of mental lexicon in bilinguals with high and low second language experience : an experimental study of lexical accessNa Ayudhyam Panornuag Sudasna (2002)งานวิจัยนี้ประกอบด้วยการศึกษาเชิงทดลอง 5 การทดลองเพื่อศึกษาการนึกรู้คำภาษาที่ 1 และ ภาษาที่ 2 ในผู้พูดทวิภาษาและเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประสบการณ์ภาษาที่ 2 กับกระบวนการนึกรู้คำ การทดลองที่ 1 เป็นการทดลองแบบสตรูปในภาษาไทย-ภาษาอังกฤษ ซึ่งผู้ทดลองต้องบอกชื่อสีของหมึกในคำที่เขียนด้วยสีซึ่งขัดแย้งกับความหมายของคำ เช่น ในคำว่า เขียว ที่เขียนด้วยหมึกสีแดง ผู้ทดลองจะต้องบอกว่า "แดง" สิ่งเร้าหรือคำจะถูกเขียนเป็นภาษาไทยหรืออังกฤษและผู้ทดลองต้องตอบเป็นภาษาไทยหรืออังกฤษ โดยมีการทดลอง 4 เงื่อนไขคือ คำเรียกสีและการบอกชื่อสีเป็นภาษาที่ 1 (L1-L1) คำเรียกสีเป็นภาษาที่ 1 และการบอกชื่อสีเป็นภาษาที่ 2 (L1-L2) คำเรียกสีเป็นภาษาที่ 2 และการบอกชื่อสีเป็นภาษาที่ 1 (L2-L1) และคำเรียกสีและการบอกชื่อสีเป็นภาษาที่ 2 (L2-L2) การทดลองแสดงว่า ในกรณีของการนึกรู้ภายในภาษาเดียว คือ L1-L1 และ L2-L2 ผู้พูดทวิภาษาที่มีประสบการณ์ทางภาษาที่ 2 สูง (กลุ่มสูง) มี การแทรกแซงจากความหมายของคำสูงกว่าผู้พูดทวิภาษาที่มีประสบการณ์ทางภาษาที่ 2 ต่ำ (กลุ่มต่ำ) ในการนึกรู้คำในภาษาที่ 2 (L2-L2) กลุ่มสูงมีการแทรกแซงของความหมายของคำใกล้เคียงกับการนึกรู้คำในภาษาที่ 1 เมื่อเทียบกับการนึกรู้คำในภาษาที่ 2 ของกลุ่มต่ำ ส่วนในการนึกรู้คำข้ามภาษา (L1-L2 และ L2-L1) การแทรกแซงจากความหมายของคำเกิดขึ้นสูงกว่าในกลุ่มตัวอย่างประสบการณ์ต่ำมากกว่าในกลุ่มสูง การทดลองที่ 2-5 ศึกษาการนึกรู้คำโดยใช้การทดลองแบบกระตุ้นเร้าความหมายของคำข้ามภาษา ซึ่งผู้ทดลองต้องตอบว่าคำที่เห็นบนจอภาพเป็นคำเรียกญาติหรือไม่ โดยก่อนที่คำจะปรากฏบนจอภาพความหมายของคำจะถูกกระตุ้นด้วยคำซึ่งกำหนดให้ปรากฏเป็นระยะเวลา 150 มิลลิวินาที คำที่ใช้ในการกระตุ้นนี้มีทั้งที่มีความหมายสัมพันธ์กับคำทดลองและไม่สัมพันธ์ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย 4 กลุ่ม คือ (1) ผู้พูดทวิภาษาไทย-อังกฤษ (2) ผู้พูดทวิภาษาอังกฤษ-ไทย (3) ผู้พูดทวิภาษาจีนกลาง-อังกฤษ และ (4) ผู้พูดทวิภาษาอังกฤษ-จีนกลาง ผลการทดลองแสดงว่าการกระตุ้นเร้าความหมายของคำมีผลต่อการนึกรู้คำทั้งในกลุ่มสูงและต่ำ ความแตกต่างในการนึกรู้คำนี้เป็นผลจากประสบการณ์ทางภาษาซึ่งแสดงให้เห็นชัดด้วยความแตกต่างของอัตราความเร็วในการนึกรู้คำ ซึ่งแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผลการทดลองทุกการทดลองสนับสนุนว่าผู้พูดทวิภาษามีระบบคำของภาษาที่ 1 และ ภาษาที่ 2 แยกกัน แต่มี ระบบความหมายของภาษาที่ 1 และ 2 ร่วมกัน นอกจากนี้ ผลการทดลองเสนอแนวคิดที่ว่า ผู้พูดทวิภาษาที่มีประสบการณ์ทางภาษาที่ 2 ต่ำ มีการนึกรู้คำภาษาที่ 1 โดยตรงจากระบบความหมายและคำศัพท์แต่มีการนึกรู้คำภาษาที่ 2 ผ่านระบบคำในภาษาที่ 1 อย่างไรก็ตาม ผู้พูดทวิภาษาที่ปีประสบการณ์ภาษาที่ 2 สูง มีการนึกรู้คำภาษาที่ 2 โดยตรง จากระบบความหมายไม่ได้นึกรู้ผ่านภาษาที่ 1เช่นในกลุ่มประสบกลุ่มประสบการณ์ต่ำ
- PublicationSTRATEGIES FOR TRANSLATING THE SPEECH ACTS OF DIRECTIVES, REJECTIONS, AND INQUIRIES IN ENGLISH DIALOGUES INTO THAIKlinkajorn, Nicha (2014)งานวิจัยนี้ต้องการศึกษาความเหมือนและความแตกต่างในการแสดงวัจนกรรมการกล่าวชี้นำ การกล่าวปฏิเสธ และการกล่าวเพื่อถามในตัวบทภาษาอังกฤษและบทแปลภาษาไทย รวมถึงกลวิธีในการแปลวัจนกรรมเหล่านี้จากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย โดยมุ่งวิเคราะห์รูปภาษาในการกล่าวชี้นำ การกล่าวปฏิเสธ และการกล่าวเพื่อถามในตัวบทภาษาอังกฤษและบทแปลภาษาไทย ตลอดจนปัจจัยต่างๆในการควบคุมรูปภาษาเหล่านี้ ทั้งยังวิเคราะห์กลวิธีในการแปลที่ใช้เพื่อจัดการกับความแตกต่างในรูปภาษาที่ใช้แสดงวัจนกรรมทั้งสามของทั้งสองภาษา งานวิจัยนี้ได้วิเคราะห์บทสนทนาในนวนิยายอังกฤษร่วมสมัย 2 เรื่อง ได้แก่ Bridget Jones’s Diary (1996) และ Turning Thirty (2000) และบทแปลภาษาไทยของแต่ละเรื่องใน 3 มิติการวิเคราะห์ทางภาษาศาสตร์ ได้แก่ วัจนกรรมตรง-วัจนกรรมอ้อม โครงสร้างทางวัจนปฏิบัติศาสตร์ และ กลวิธีความสุภาพ ผลการวิเคราะห์พบว่ารูปภาษาแบบตรงพบในตัวบทภาษาอังกฤษมากกว่าในบทแปลภาษาไทย และรูปภาษาแบบอ้อมพบในบทแปลภาษาไทยมากกว่าในตัวบทภาษาอังกฤษตามที่ได้ตั้งสมมติฐานไว้ นี้เป็นผลมาจากอิทธิพลของบริบททางวัฒนธรรม เพราะภาษาอังกฤษเป็นภาษาในวัฒนธรรมแบบพึ่งพาบริบทน้อย ขณะที่ภาษาไทยเป็นภาษาในวัฒนธรรมแบบพึ่งพาบริบทมากแม้ในตัวบทที่เป็นบทแปลก็ตาม สำหรับเรื่องของกลวิธีการแปล ปรากฏว่าการแปลตรงตัว (literal translation) ถูกเลือกมาใช้เพื่อทำให้บทแปลเกิดสมมูลภาพทางวัจนปฏิบัติศาสตร์มากกว่าการแปลเอาความ (free translation) และผลการวิจัยสนับสนุนสมมติฐานที่ว่ากลวิธีการแปลที่เลือกใช้จะเป็นไปในทิศทางใดนั้นขึ้นอยู่กับระดับการรบกวนคู่สนทนาของแต่ละวัจนกรรม
- Publicationการตรวจเทียบภายนอกหาการลักลอกในงานวิชาการโดยใช้แบบจำลองซัพพอร์ตเวกเตอร์แมชชีนและการวัดค่าความละม้ายของข้อความศุภวัจน์ แต่รุ่งเรือง; Supphawat Thaerungrueng (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สำนักงานวิทยทรัพยากร, 2017)งานวิจัยชิ้นนี้มีวัตถุประสงค์ 4 ประการ ประการแรกคือ เพื่อวิเคราะห์หาลักษณ์ทางภาษาที่จะใช้ในการจำแนกประเภทข้อความที่มีการลักลอกและไม่มีการลักลอก ประการต่อมาคือ เพื่อพัฒนาระบบต้นแบบสำหรับตรวจเทียบภายนอกหาการลักลอกงานวิชาการโดยใช้แบบจำลองซัพพอร์ตเวกเตอร์แมชชีนและการวัดค่าความละม้ายของข้อความ ประการที่ 3 คือ เพื่อประเมินประสิทธิภาพของระบบต้นแบบที่พัฒนาขึ้นใน 2 แง่มุม ได้แก่ ความเหมาะสมของลักษณะของข้อมูลรับเข้าที่จะใช้ในระบบ และความเหมาะสมของลักษณ์ที่ใช้ในการจำแนกประเภทข้อความที่มีการลักลอกและไม่มีการลักลอก และประการสุดท้ายคือ เพื่อเปรียบเทียบวิธีวัดค่าความละม้ายของข้อความที่มีประสิทธิภาพ เหมาะสมจะนำมาใช้ระบบตรวจหาการลักลอกมากที่สุด ในด้านการดำเนินการวิจัย การศึกษาครั้งนี้ได้เพิ่มขั้นตอนเพื่อศึกษาเกี่ยวกับกลวิธีลักลอกงานวิชาการภาษาไทย โดยเก็บข้อมูลจากการจำลองสถานการณ์การลักลอกแล้วนำมาวิเคราะห์ด้วยแนวคิดทางภาษาศาสตร์ ผลจากการศึกษาในขั้นนี้ได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในการออกแบบและสร้างคลังข้อมูล ตลอดจนนำมาใช้อ้างอิงในการอภิปรายข้อค้นพบในขั้นต่อไป นอกจากนี้ ยังมีการออกแบบ สร้าง และตรวจสอบคุณภาพของคลังข้อมูลด้วยความรอบคอบและรัดกุม เพื่อให้ผลการศึกษาที่ได้มาในตอนท้ายมีความหนักแน่นน่าเชื่อถือ ผลการศึกษาในด้านการวิเคราะห์หาลักษณ์ทางภาษาสำหรับใช้ในการจำแนกประเภทข้อความที่มีการลักลอกและไม่มีการลักลอกปรากฏว่า สามารถวิเคราะห์หาลักษณ์ทางภาษาโดยอาศัยความรู้ทางภาษาศาสตร์มาประยุกต์เข้ากับวิธีการทางการประมวลภาษาธรรมชาติได้ทั้งหมด 51 ลักษณ์ ซึ่งแบ่งเป็นลักษณ์ทางศัพท์ 25 ลักษณ์ ลักษณ์ทางวากยสัมพันธ์ 23 ลักษณ์ ลักษณ์ทางความหมาย 2 ลักษณ์ และลักษณ์ทางวากยสัมพันธ์และความหมาย 1 ลักษณ์ ส่วนผลการศึกษาในด้านการประเมินประสิทธิภาพของระบบต้นแบบที่พัฒนาขึ้นนั้น ในแง่การประเมินประสิทธิภาพของระบบเมื่อใช้ข้อมูลรับเข้าที่ต่างกันปรากฏว่า เมื่อทดสอบการจำแนกประเภทข้อมูลการลักลอกทุกประเภทแล้ว ข้อมูลรับเข้าประเภทย่อหน้ามีความเหมาะสมที่ใช้ในระบบมากกว่าข้อมูลรับเข้าประเภทหน่วยปริจเฉทพื้นฐาน ส่วนในแง่การประเมินประสิทธิภาพของลักษณ์ ปรากฏว่าลักษณ์ที่ให้ประสิทธิภาพสูงที่สุดเป็นลักษณ์ทางศัพท์ คือลักษณ์ค่าสัมประสิทธิ์ความละม้ายโซเรนเซน-ไดซ์ของไบแกรมของคำ (F = 0.9870) และเมื่อพิจารณาผลในภาพรวมแล้ว พบว่าลักษณ์ทางศัพท์และลักษณ์ทางอักขระให้ประสิทธิภาพสูงกว่าลักษณ์ทางวายสัมพันธ์และลักษณ์ทางความหมาย ทั้งนี้ สาเหตุหลักเป็นเพราะลักษณ์ทางศัพท์และลักษณ์ทางอักขระเป็นการแทนรูปคำและอักขระที่ชัดเจน ในขณะที่ลักษณ์ทางวากยสัมพันธ์และลักษณ์ทางความหมายเป็นการแทนรูปความสัมพันธ์ของหน่วยทางภาษาซึ่งมีความเป็นนามธรรมกว่า ส่วนผลการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของวิธีวัดค่าความละม้ายของข้อความ พบว่าค่าบรรทัดฐานของลำดับย่อยร่วมยาวสุดที่ยาวที่สุดของคำสามารถให้ค่าความละม้ายได้สอดคล้องกับค่าความละม้ายที่ให้โดยผู้เชี่ยวชาญทางภาษาไทยมากที่สุด (r = 0.9124) จึงถือว่าเป็นวิธีวัดค่าความละม้ายของข้อความที่มีประสิทธิภาพ สามารถนำมาใช้แทนการระบุค่าความละม้ายโดยมนุษย์ในระบบตรวจหาการลักลอกได้ สาเหตุที่ผลปรากฏเป็นเช่นนี้อาจเป็นเพราะผู้เชี่ยวชาญพิจารณาความละม้ายของข้อความจากลำดับของรูปคำเช่นเดียวกับวิธีการวัดค่าความละม้ายข้างต้น
- Publicationการเปลี่ยนแปลงของภาษาจ้วงอันเกิดจากภาวะสัมผัสภาษาจ้วงกับภาษาจีนกลางซิ่วหง ฉิน; Qin, Xiuhong (2011)ศึกษาการเปลี่ยนแปลงในระดับเสียง ระดับคำ และระดับวากยสัมพันธ์ในภาษาจ้วงที่เกิดจากการสัมผัสภาษากับภาษาจีนกลาง โดยมีสมมติฐานว่า ภาวะสัมผัสภาษาจ้วงมาตรฐานกับภาษาจีนกลางทำให้ภาษาจ้วงมีหน่วยเสียงย่อยเพิ่มขึ้น มีรูปแบบพยางค์ใหม่เกิดขึ้น มีวิธีการสร้างคำแบบใหม่ มีโครงสร้างคำประสมแบบใหม่ มีวลีและประโยคที่มีโครงสร้างใหม่ เป็นต้น ข้อมูลที่นำมาศึกษามีทั้งข้อมูลเสียงจากรายการข่าวโทรทัศน์ ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้บอกภาษาจ้วง และข้อมูลลายลักษณ์อักษรที่เก็บจากนิตยสารภาษาจ้วงและหนังสือพิมพ์ภาษาจ้วง ผลการศึกษาในระดับเสียงพบว่า ภาษาจ้วงมีหน่วยเสียงย่อยทั้งเสียงพยัญชนะและเสียงสระเกิดขึ้นแต่เกิดเฉพาะในคำยืมทับศัพท์ภาษาจีนกลางเท่านั้น จากการทดสอบการออกเสียงจากผู้บอกภาษาจ้วงพบว่าหน่วยเสียงย่อยดังกล่าวพบในผู้บอกภาษาโดยทั่วไป และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้น ในระดับคำ พบว่าคำยืมภาษาจีนกลางในภาษาจ้วงมีทั้งคำหลักและคำไวยากรณ์ หากจำแนกหมวดตามความหมาย พบว่าคำยืมในหมวดชีวิตมนุษย์มากที่สุด คำที่ยืมมีทั้งคำยืมแบบทับศัพท์ คำยืมแบบแปล และคำยืมแบบผสม ภาษาจ้วงได้ยืมคำประสมที่มีโครงสร้างใหม่เข้ามาและใช้โครงสร้างใหม่นี้กับคำประสมของภาษาจ้วงเองด้วย ส่วนในระดับวากยสัมพันธ์ พบว่าการยืมคำไวยากรณ์จากภาษาจีนกลางทำให้ภาษาจ้วงนำโครงสร้างประโยคแบบภาษาจีนกลางเข้ามาใช้ในภาษาจ้วงด้วย การเลียนแบบโครงสร้างวลีของภาษาจีนกลาง ทำให้ภาษาจ้วงเกิดโครงสร้างนามวลีและบุพบทวลีแบบใหม่ขึ้น นอกจากนี้ การถ่ายแบบไวยากรณ์ได้ทำให้คำจ้วงบางคำกลายเป็นคำไวยากรณ์ด้วย ลักษณะทั้งหมดแสดงว่าการสัมผัสภาษาจ้วงกับภาษาจีนกลางอยู่ระหว่างความเข้มเข้นระดับที่ 2 กับระดับที่ 3
- Publicationการแปรของศัพท์และเสียงในภาษาไทยถิ่นภูเก็ตตามอายุ การแสดงนัยของการสัมผัสภาษาถิ่นฌัลลิกา มหาพูนทอง; Chanlika Mahaphunthong (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สำนักงานวิทยทรัพยากร, 2016)งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์การแปรของศัพท์และเสียงในภาษาไทยถิ่นภูเก็ตตามอายุของผู้พูดและสังเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของภาษาไทยถิ่นภูเก็ตโดยใช้ทฤษฎีการสัมผัสภาษาถิ่น โดยมีปัจจัยสำคัญในงานวิจัยคือ ภูมิลำเนาของบรรพบุรุษ ตัวแปรทางภาษาในงานวิจัย ได้แก่ ศัพท์จำนวน 36 หน่วยอรรถและเสียง 4 ตัวแปร คือ (1) พยัญชนะท้าย (ʔ) ในพยางค์ตายสระเสียงยาว (2) สระ (ei, əɨ, ou) ในพยางค์เปิด (3) วรรณยุกต์สูงขึ้นตก (454) และ (4) วรรณยุกต์สูงระดับ (44) ผู้บอกภาษาในงานวิจัยนี้เป็นคนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดภูเก็ตจำนวน 120 คน แบ่งตามภูมิลำเนาบรรพบุรุษ 4 ถิ่น ได้แก่ ภูเก็ต ภาคใต้และเป็นคนพูดภาษาไทยถิ่นใต้ตะวันออก ภาคใต้และเป็นคนพูดภาษาไทยถิ่นใต้ตะวันตก และภาคกลาง ถิ่นละ 30 คน ในแต่ละถิ่นแบ่งออกเป็น 3 รุ่นอายุ รุ่นละ 10 คน ได้แก่ รุ่นที่ 1 อายุ 60 ปีขึ้นไป รุ่นที่ 2 อายุ 35 – 45 ปี และรุ่นที่ 3 อายุ 10 – 20 ปี ทั้งนี้ ผู้บอกภาษาสามรุ่นอายุคัดเลือกจากผู้ที่อยู่ในครอบครัวเดียวกัน (พ่อแม่ – ลูก – หลาน) การเก็บข้อมูลใช้วิธีการสัมภาษณ์และสนทนากับผู้บอกภาษาแบบไม่เป็นทางการในหัวข้อที่เกี่ยวกับเรื่องราวในชีวิตประจำวัน ในการวิเคราะห์ข้อมูล คัดเลือกคำ 20 คำแรกที่มีตัวแปรทางภาษาปรากฏอยู่มาใช้ จากนั้น แจงนับและคำนวณค่าทางสถิติ ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า ภาษาไทยถิ่นภูเก็ตในปัจจุบันมีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่ลู่เข้าหาภาษาไทยมาตรฐาน โดยที่ตัวแปรศัพท์เปลี่ยนแปลงเร็วกว่าตัวแปรเสียง ที่สำคัญพบว่า มีตัวแปรเสียงพยัญชนะท้าย (ʔ) ในพยางค์ตายสระเสียงยาวที่ไม่เป็นจริงตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ คือ ผู้พูดอายุมากและอายุน้อยใช้รูปแปรภาษาไทยถิ่นภูเก็ตและรูปแปรภาษาไทยมาตรฐานใกล้เคียงกัน อีกทั้งยังพบรูปแปรสระที่ไม่ได้เป็นรูปแปรดั้งเดิมของภาษาถิ่นใด คือ [i i̯ , ɨ ɨ̯ , uu̯] ซึ่งเป็นรูปภาษาถิ่นในระหว่าง (interdialect form)
- Publicationการแปรของเสียงพยัญชนะท้ายในภาษากะเหรี่ยงสะกอและภาษามลายูถิ่นปัตตานี: การเปลี่ยนแปลงที่กำลังดำเนินอยู่อันเนื่องมาจากการสัมผัสภาษาศิริรัตน์ ชูพันธ์ อรรถพลพิพัฒน์; Sirirat Choophan Atthaphonphiphat (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สำนักงานวิทยทรัพยากร, 2013)ตามสากลลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงของภาษา เสียงพยัญชนะท้ายเป็นเสียงที่มักจะสูญไป หากพบเสียงพยัญชนะท้ายเพิ่มขึ้นในตำแหน่งที่ไม่เคยมีมาก่อนก็จะถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ดังในกรณีภาษากะเหรี่ยงสะกอซึ่งมีเสียงพยัญชนะท้ายเพียงเสียงเดียว คือ เสียงกักที่เส้นเสียง /ʔ/ และภาษามลายูถิ่นปัตตานีซึ่งมีเสียงพยัญชนะท้ายเพียง 3 เสียง เมื่อผู้พูดภาษาเหล่านี้ได้เรียนรู้ภาษาไทยทำให้เกิดการสัมผัสภาษา ลักษณะทางภาษาบางอย่างจากภาษาไทย เช่น การมีเสียงพยัญชนะท้ายหลายเสียงจึงอาจจะถูกยืมได้ งานวิจัยนี้ศึกษาการแปรของเสียงพยัญชนะท้ายในภาษากะเหรี่ยงสะกอและภาษามลายูถิ่นปัตตานี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อระบุรูปแปรและวิเคราะห์การแปรของเสียงพยัญชนะท้าย (Ø) และ (ʔ) ในภาษากะเหรี่ยงสะกอและภาษามลายูถิ่นปัตตานีตามปัจจัยทางสังคม ได้แก่ ภาวะสองภาษา อายุ ความใกล้ชิดชุมชน ทัศนคติ และวัจนลีลา และเพื่อสังเคราะห์การเปลี่ยนแปลงที่กำลังดำเนินอยู่ของภาษาโดยอาศัยผลการวิเคราะห์ทั้งหมด ข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์ได้มาจากการสัมภาษณ์ผู้บอกภาษา 120 คน จากจุดเก็บข้อมูล 4 แห่งๆ ละ 30 คน เป็นผู้พูดภาษากะเหรี่ยงสะกอที่หมู่บ้านป่าละอู อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และหมู่บ้านแม่ปิง อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน และผู้พูดภาษามลายูถิ่นปัตตานีที่หมู่บ้านตลาดแขก อำเภอเกาะ สมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี และหมู่บ้านรูสะมิแล อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี ผลการวิจัยพบการปรากฏของรูปแปรใหม่ของเสียงพยัญชนะท้ายในภาษากะเหรี่ยงสะกอที่หมู่บ้านป่าละอูเพียงแห่งเดียวเท่านั้น รูปแปรของเสียงพยัญชนะท้าย (Ø) มี 3 รูปแปร ได้แก่ รูปแปร [Ø] ซึ่งเป็นรูปแปรดั้งเดิม รูปแปร [ŋ] และ [k] ซึ่งเป็นรูปแปรใหม่ ส่วนรูปแปรของเสียงพยัญชนะท้าย (ʔ) มี 2 รูปแปร ได้แก่ รูปแปร [ʔ] ซึ่งเป็นรูปแปรดั้งเดิม และรูปแปร [k] ซึ่งเป็นรูปแปรใหม่ ส่วนผลการวิเคราะห์การแปรของเสียงดังกล่าวตามตัวแปรทางสังคม พบว่าตัวแปรทางสังคมทั้งหมดมีอิทธิพลต่อการปรากฏของรูปแปรใหม่ของเสียงพยัญชนะท้ายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่น 0.01 โดยตัวแปรทางสังคมที่มีอิทธิพลต่อการปรากฏของรูปแปรใหม่ของเสียงพยัญชนะท้ายมากที่สุด คือ ทัศนคติที่มีต่อภาษาไทย รองลงมาตามลำดับ คือ ความใกล้ชิดชุมชน อายุ และภาวะสองภาษา นอกจากนี้ผลการวิเคราะห์วัจนลีลายังแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ารูปแปรใหม่ของเสียงพยัญชนะท้ายปรากฏในวัจนลีลาแบบระมัดระวังมากกว่าวัจนลีลาแบบเป็นกันเองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่น 0.01 และจากผลการวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดทำให้ผู้วิจัยสามารถสังเคราะห์แบบจำลองเพื่ออธิบายกลไกการเปลี่ยนแปลงที่กำลังดำเนินอยู่ของภาษา ซึ่งสรุปโดยสังเขปได้ว่าการเปลี่ยนแปลงที่กำลังดำเนินอยู่ของภาษามีความสัมพันธ์กับตัวแปรทางสังคมหรือเงื่อนไขทางสังคม หากภาษาที่สัมผัสมีศักดิ์ศรีมากกว่าภาษาแม่ และผู้พูดมีความสามารถในการใช้ภาษาไทยมาก มีอายุน้อย มีความใกล้ชิดชุมชนน้อย และมีทัศนคติบวกต่อภาษาที่สัมผัสมากกว่าภาษาแม่ก็มีแนวโน้มที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่กำลังดำเนินอยู่ของภาษาท้องถิ่น
- Publicationการพรรณาสถานที่และการบ่งชี้สถานที่ในภาษาอึมปีสิทธิชัย สาเอี่ยม; Sitthichai Saaim (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สำนักงานวิทยทรัพยากร, 1996)ศึกษาการใช้คำกริยาเคลื่อนที่แสดงการบ่งชี้ของคนอึมปีในสถานการณ์ต่างๆ ทั้งการใช้คำกริยาดังกล่าวที่สอดคล้องและไม่สอดคล้องกับความหมายประจำคำ รวมถึงศึกษาระบบการบ่งชี้สถานที่ในภาษาอึมปีทั้งระบบ นอกจากนี้ผู้วิจัยยังศึกษาระบบการพรรณนาสถานที่ในภาษาอึมปีด้วย ทั้งนี้เพื่อค้นหาความสัมพันธ์ระหว่างระบบการพรรรณนาสถานที่ และระบบการบ่งชี้สถานที่ในภาษานี้ จากการวิจัยพบว่า ภาษาอึมปีมีการพรรณนาสถานที่ด้วยระบบสัมพันธ์ ระบบแน่นอนและระบบเนื้อใน ซึ่งในระบบแน่นอนนั้นมีการยึดสภาพภูมิประเทศ คือ ระดับพื้นที่สูง-ต่ำ และพบว่าในระบบการบ่งชี้สถานที่ในภาษาอึมปีมีรูปบ่งชี้สถานที่ 2 ประเภท คือ รูปบ่งชี้สถานที่ประเภทหมวดคำคำชี้เฉพาะประเภทต่าง ๆ และหมวดคำคำกริยาเคลื่อนที่แสดงการบ่งชี้ รูปบ่งชี้สถานที่ทั้งสองประเภทดังกล่าวเป็นหน่วยคำอิสระ หมวดคำคำชี้เฉพาะสามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ คำคุณศัพท์ชี้เฉพาะ คำสรรพนามชี้เฉพาะ คำกริยาวิเศษณ์ชี้เฉพาะ และคำกริยาวิเศษณ์ชี้เฉพาะบ่งชี้อาการ คำชี้เฉพาะทั้ง 4 ประเภทดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการบ่งชี้ระยะใกล้-ไกล โดยยึดตำแหน่งของผู้พูดและผู้ฟังเป็นจุดอ้างอิง นอกจากนี้ ทั้ง 4 ประเภทยังสามารถบ่งชี้ตำแหน่งใกล้เฉพาะผู้พูดหรือเฉพาะผู้ฟัง และคำกริยาวิเศษณ์ชี้เฉพาะสามารถบ่งชี้บริเวณ หรือจุดของสถานที่ที่ผู้พูดอยู่ได้อีกด้วย คำกริยาเคลื่อนที่แสดงการบ่งชี้ในภาษาอึมปีที่ผู้วิจัยเลือกศึกษา ได้แก่ "ไป-มา" และ "เอาไป-เอามา" นั้น มีทั้งหมด 11 คำ ซึ่งบ่งชี้ทิศทางของการเคลื่อนที่เข้าหา-ออกจากตำแหน่งของผู้พูดและ/หรือผู้ฟังและบ่งชี้ทิศ (เฉพาะทิศตะวันออกและทิศตะวันตก) และระดับพื้นที่สูงหรือต่ำด้วยคำกริยาดังกล่าวสามารถทำหน้าที่เป็นคำกริยาหลักและคำกริยารอง และสามารถใช้ได้ทั้งในสถานการณ์ที่มีการใช้สอดคล้อง และไม่สอดคล้องกับความหมายประจำคำ โดยทั่วๆ ไปพบว่า ในสถานการณ์ที่มีการใช้ไม่สอดคล้องกับความหมายประจำคำนั้น คนอึมปีมักจะเลือกใช้คำกริยาดังกล่าวซึ่งบ่งชี้ทิศตะวันตกและระดับพื้นที่ต่ำมาใช้มากกว่า อย่างไรก็ตามพบว่า ในวัฒนธรรมของคนอึมปีทิศตะวันออกและระดับพื้นที่สูงมีนัยสำคัญทางวัฒนธรรมมากกว่าทิศตะวันตกและระดับพื้นที่ต่ำ
- Publicationการพัฒนาระบบการถ่ายถอดอักษรสำหรับตัวบทเบรลล์ไทยปนอังกฤษ เป็นอักษรไทยและอังกฤษปกติโดยใช้วิธีการแบบผสมวีรชัย อำพรไพบูลย์; Weerachai Umpornpaiboon (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สำนักงานวิทยทรัพยากร, 2016)วิทยานิพนธ์นี้ศึกษาระบบอักษรเบรลล์ไทย โดยวิเคราะห์อักขระในเบรลล์ไทยและเปรียบเทียบอักขระเบรลล์ไทยกับเบรลล์อังกฤษและเบรลล์ญี่ปุ่น เนื่องจากผู้วิจัยสันนิษฐานว่าอักขระเบรลล์ไทยพื้นฐานนำมาจากอักขระในสองภาษานี้ ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า ในอักษรเบรลล์ไทยมีสระพื้นฐาน 5 รูป ที่มีรูปและเสียงตรงกับอักขระเบรลล์ญี่ปุ่น และมีพยัญชนะพื้นฐาน 15 รูป ที่มีรูปและเสียงใกล้เคียงกับอักขระเบรลล์อังกฤษ โดยมีการสร้างอักขระขึ้นเพิ่มเติมจากอักขระพื้นฐานเหล่านี้ด้วยการปรับเปลี่ยนจุดภายในเซลล์ และการเพิ่มอักขระเบรลล์รูปแบบเฉพาะหน้าหรือหลังอักขระที่ใช้เป็นฐาน นอกจากนี้ วิทยานิพนธ์นี้ยังได้พัฒนาโปรแกรมสำหรับถ่ายถอดอักษรเบรลล์ไทยปนอังกฤษเป็นอักษรปกติ และเปรียบเทียบประสิทธิภาพของระบบที่ใช้วิธีการที่แตกต่างกัน 3 วิธี ได้แก่ การใช้กฎ การใช้แบบจำลองเอ็นแกรม และวิธีการแบบผสม โดยทดสอบกับข้อความเบรลล์ 5 ประเภท คือ ข้อความเบรลล์ไทย ข้อความเบรลล์อังกฤษรูปเต็ม ข้อความเบรลล์อังกฤษรูปย่อ ข้อความเบรลล์ไทยปนอังกฤษรูปเต็ม และข้อความเบรลล์ไทยปนอังกฤษรูปย่อ จากการทดลอง พบว่า วิธีการแบบผสมถ่ายถอดอักษรได้ถูกต้องมากที่สุดสำหรับข้อความเบรลล์ 4 ประเภท ได้แก่ ข้อความเบรลล์ไทย 99.73 % ข้อความเบรลล์อังกฤษรูปเต็ม 100 % ข้อความเบรลล์อังกฤษรูปย่อ 99.92 % และข้อความเบรลล์ไทยปนอังกฤษรูปย่อ 98.69% นอกจากนี้ผลการทดลองยังแสดงให้เห็นว่า วิธีการถ่ายถอดอักษรทั้ง 3 วิธี ให้ผลความถูกต้องไม่แตกต่างกันมากนัก
- Publicationการรับอนุภาคลงท้าย นะ และ สิ ของผู้เรียนภาษาไทยเป็นภาษาที่สองสุมินตรา มาคล้าย; Suminthra Makhlai (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สำนักงานวิทยทรัพยากร, 2015)งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์หน้าที่การสื่อสารและวัจนกรรมของถ้อยคำที่มีการปรากฏของอนุภาคลงท้าย “นะ” และ “สิ” ในภาษาไทย ศึกษาการรับอนุภาคลงท้าย “นะ” และ “สิ” ของผู้พูดภาษาญี่ปุ่นที่เรียนภาษาไทยเป็นภาษาที่สองและผู้พูดภาษาอังกฤษที่เรียนภาษาไทยเป็นภาษาที่สอง และเปรียบเทียบการรับอนุภาคลงท้าย “นะ” และ “สิ” ของผู้เรียนภาษาที่สองทั้งสองกลุ่มกับการใช้อนุภาคลงท้ายดังกล่าวของเจ้าของภาษา ผู้วิจัยได้วิเคราะห์หน้าที่การสื่อสารและวัจนกรรมของถ้อยคำที่มีการปรากฏของอนุภาคลงท้าย “นะ” และ “สิ” จากข้อมูลในคลังข้อมูลภาษาไทยแห่งชาติ พบว่าอนุภาคลงท้าย “นะ” มีหน้าที่การสื่อสาร 3 หน้าที่ คือ ทำให้ถ้อยคำมีความอ่อนโยน เน้นย้ำถ้อยคำให้เด่นชัด และเกริ่นนำหัวเรื่องให้เด่นชัด ส่วนวัจนกรรมของถ้อยคำที่มีการปรากฏของอนุภาคลงท้าย “นะ” มีทั้งหมด 4 วัจนกรรม คือ วัจนกรรมบรรยาย วัจนกรรมกำหนดให้ทำ วัจนกรรมผูกมัด และ วัจนกรรมแสดงความรู้สึก ในขณะที่อนุภาคลงท้าย “สิ” มีหน้าที่การสื่อสาร 4 หน้าที่ คือ ทำให้ถ้อยคำมีอำนาจ ทำให้ถ้อยคำมีความหนักแน่น แสดงให้เห็นว่าผู้พูดไม่มีความสนใจร่วม และเกริ่นนำหัวเรื่องแบบแย้ง ส่วนวัจนกรรมของถ้อยคำที่มีการปรากฏของอนุภาคลงท้าย “สิ” มีทั้งหมด 3 วัจนกรรม คือ วัจนกรรมบรรยาย วัจนกรรมกำหนดให้ทำ และวัจนกรรมแสดงความรู้สึก ผู้วิจัยได้เก็บข้อมูลการใช้อนุภาคลงท้าย “นะ” และ “สิ” จากผู้ให้ข้อมูล 3 กลุ่ม ได้แก่ เจ้าของภาษา ผู้พูดภาษาญี่ปุ่นที่เรียนภาษาไทยเป็นภาษาที่สอง และผู้พูดภาษาอังกฤษที่เรียนภาษาไทยเป็นภาษาที่สอง จำนวนกลุ่มละ 20 คน ผลการวิจัยของการใช้อนุภาคลงท้ายทั้งสองในละครจำลองสถานการณ์ (role play) และการจับคู่สนทนาในสถานการณ์ที่กำหนด (pair discussion) พบว่ากลุ่มผู้ให้ข้อมูลทั้งสามกลุ่มใช้อนุภาคลงท้าย “นะ”และ “สิ” ในแง่ความถี่ ความหลากหลายของหน้าที่การสื่อสาร และวัจนกรรมโดยรวมไม่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม ผลการวิจัยจากแบบทดสอบวัดความเข้าใจแบบปรนัย (multiple choice test) พบว่าเจ้าของภาษาสามารถเข้าใจหน้าที่การสื่อสารและวัจนกรรมของถ้อยคำที่มี “นะ” และ “สิ” มากกว่ากลุ่มผู้เรียนภาษาที่สองทั้งสองกลุ่ม ซึ่งความแตกต่างนี้สามารถอธิบายได้ด้วยวัตถุประสงค์และลักษณะของเครื่องมือที่แตกต่างกัน กล่าวคือ เครื่องมือละครจำลองสถานการณ์และการจับคู่สนทนาในสถานการณ์ที่กำหนดมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการใช้ภาษาจริงของผู้ให้ข้อมูลที่เป็นธรรมชาติ ผู้ให้ข้อมูลสามารถเลือกใช้ภาษาและอนุภาคลงท้ายที่ตนเองรู้และใช้เป็น ในขณะที่แบบทดสอบวัดความเข้าใจแบบปรนัยต้องการทดสอบความเข้าใจในหน้าที่การสื่อสารของอนุภาคลงท้าย “นะ” และ “สิ” และวัจนกรรมของถ้อยคำที่มีการปรากฏของอนุภาคลงท้าย “นะ” และ “สิ” ทั้งนี้ผู้ให้ข้อมูลยังต้องเข้าใจความแตกต่างระหว่างอนุภาคลงท้าย “นะ” และ “สิ” กับอนุภาคลงท้ายอื่นๆ ด้วย นอกจากนี้ ผู้ให้ข้อมูลต้องเลือกคำตอบในบริบทต่างๆ ที่ไม่สามารถกำหนดได้เอง ซึ่งอาจเป็นเรื่องยากสำหรับผู้เรียนภาษาที่สอง โดยสรุปงานวิจัยนี้พบว่าผู้เรียนภาษาที่สองที่ภาษาแม่มีอนุภาคลงท้ายและไม่มีอนุภาคลงท้ายสามารถรับอนุภาคลงท้ายในภาษาที่สองได้ไม่แตกต่างกัน แต่อาจจะยังไม่ได้ในระดับที่ใกล้เคียงกับเจ้าของภาษา
- Publicationการศึกษาระบบคำเรียกผีและมโนทัศน์เรื่องผีในภาษาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตามแนวอรรถศาสตร์ชาติพันธุ์มนสิการ เฮงสุวรรณ; Manasikarn Hengsuwan (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2014)งานวิจัยในอดีตที่ศึกษาเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องผีหรือสิ่งเหนือธรรมชาติในหมู่คนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มักเน้นความเชื่อและวิถีชีวิตที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อ ข้อมูลที่ใช้ก็มักเป็นเรื่องเล่าหรือรายงานจากการสังเกต ข้อสรุปที่ได้ไม่ชัดเจนว่าภาพของผีในโลกทัศน์ของคนในภูมิภาคนี้มีลักษณะที่เป็นระบบอย่างไร และมีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไรในประเทศต่างๆ งานวิจัยนี้จึงมุ่งวิเคราะห์ระบบคำเรียกผีและจัดจำพวกคำเรียกผี โดยใช้วิธีการวิเคราะห์องค์ประกอบทางความหมายของคำซึ่งเป็นวิธีการศึกษาตามแนวอรรถศาสตร์ชาติพันธุ์ เพื่อทำความความเข้าใจมโนทัศน์และตีความโลกทัศน์ของคนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เกี่ยวกับผีที่สะท้อนผ่านความหมายของคำเรียกผี ข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์ได้มาจากการสัมภาษณ์ผู้บอกภาษาซึ่งคัดเลือกอย่างเฉพาะเจาะจง จำนวนภาษาละ 5 คน เป็นผู้ที่พูดภาษามาตรฐานของประเทศของตนเป็นภาษาแม่ และพำนักอยู่ในเขตเมืองหลวงของประเทศนั้น มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ไม่จำกัดเพศ และมีความเชื่อเรื่องผีหรือสิ่งเหนือธรรมชาติ ผลการวิเคราะห์ พบคำเรียกผีรวมทั้งหมด 137 คำ เป็นภาษาพม่า 37 คำ ภาษาลาว 35 คำ ภาษาเขมร 35 คำ ส่วนภาษามาเลย์พบคำเรียกผีน้อยที่สุดคือ 30 คำ คำเรียกผีทั้งหมดแยกออกจากกันด้วยมิติแห่งความแตกต่างทางความหมาย 11 มิติ คือ มิติอำนาจเหนือธรรมชาติ มิติตัวตน มิติดีร้าย มิติหน้าที่ มิติที่อยู่ มิติสถานภาพ มิติลักษณะการตาย มิติเพศ มิติอายุ มิติอาหาร และมิติลักษณะเฉพาะ โดยมิติเด่นที่ครอบคลุมทุกคำได้แก่มิติอำนาจเหนือธรรมชาติ มิติตัวตน และมิติดีร้าย ความสัมพันธ์ทางความหมายของคำเรียกผีทั้งหมดแสดงด้วยการจัดจำพวกแบบชาวบ้านได้ 5 ระดับ ได้แก่ ระดับตั้งต้น ระดับมูลฐาน ระดับพื้นฐาน ระดับเจาะจง และระดับปลีกย่อย ระดับตั้งต้น มีคำเรียกผี 3 คำคือ ຜີ phǐ: ‘ผี(ลาว)’, kmaoc ‘ผี(เขมร)’ และ jin ʤin ‘ผี(มาเลย์)’ พม่าไม่มีคำเรียกผีระดับตั้งต้น ระดับมูลฐาน มีคำเรียกผี 12 คำ ได้แก่ ຜີສາງອາລັກຂາ phǐː sǎːŋ ʔàːlakkhǎː / ຜີອາຮັກ phǐː ʔǎːhak ‘ผีสางอารักษ์(ลาว)’, kmaoc ʔaːriək něək taː ‘ผีอารักษ์(เขมร)’, naʔ ‘ผู้ดูแล(พม่า)’และ pari-pari pari pari ‘นางฟ้า(มาเลย์)’ ระดับพื้นฐาน มีคำเรียกผี 52 คำ เช่น ເຜດ phèːt ‘ผีเปรต(ลาว)’, tmop ‘ผีปอบ(เขมร)’, hantu penanggal hantu pənaŋgal ‘ผีกระสือ(มาเลย์)’ และ sóʊ̃ ma̰ ‘ผีกระสือ(พม่า)’ ระดับเจาะจง มีคำเรียกผี 49 คำ เช่น priəy kɑntoːŋ khiəw ‘ผีนางไม้(เขมร), hantu air hantu ʔeː ‘ผีน้ำ(มาเลย์)’, ຜີແມ່ມານ phǐː mɛː máːn ‘ผีตายทั้งกลม(ลาว) และ naʔ ɵá ‘ผู้ดูแลชาย(พม่า)’ ระดับสุดท้าย คือ ระดับปลีกย่อย มีคำเรียกผี 21คำ เช่น ນາງທໍຣະນີ náːŋ thɔ́ːraníː ‘แม่ธรณี(ลาว)’, myiʔ saʊ̀̃ naʔ ‘ผู้ดูแลท่าน้ำ(พม่า)’ ส่วนภาษาเขมร และมาเลย์ ไม่มีคำเรียกผีระดับปลีกย่อย ผลการตีความโลกทัศน์ของคนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สะท้อนจากระบบคำเรียกผี สรุปได้ว่าผีมีวิถีชีวิตและอุปนิสัยเหมือนมนุษย์ เป็นสมาชิกของสังคม มีอำนาจให้คุณให้โทษ เป็นสาเหตุของความเจ็บป่วย และเป็นสิ่งที่น่ากลัว
- Publicationการศึกษาลักษณ์ทางภาษา และรูปแบบของคำให้การจริงและคำให้การเท็จในภาษาไทยภัทณิดา โสดาบัน; Pattanida Sodabun (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2017)วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ที่จะระบุลักษณ์ทางภาษาในระดับคำ รวมทั้งศึกษาความแตกต่างของรูปแบบและลักษณะเฉพาะทางปริจเฉทของคำให้การจริงและคำให้การเท็จ เพื่อนำไปสู่การใช้เป็นจุดพึงสังเกตในการจำแนกคำให้การจริงและคำให้การเท็จ โดยใช้วิธีการเปรียบเทียบคำให้การจากผู้บอกภาษาทั้งหมด 60 คน ซึ่งผู้บอกภาษาแต่ละคนจะได้ให้การทั้งจริงและเท็จหลังจากชมภาพยนตร์ขนาดสั้นในห้องปฏิบัติการทางภาษา โดยมีสมมติฐานว่า ลักษณะภาษาระหว่างคำให้การจริงและคำให้การเท็จทั้งในระดับคำและระดับปริจเฉทจะมีความแตกต่างกัน การศึกษาวิเคราะห์ในระดับคำ จะใช้การทดสอบค่าทีเพื่อยืนยันความต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติของการใช้คำแต่ละประเภทระหว่างคำให้การจริงและคำให้การเท็จ โดยพิสูจน์จากการเปรียบเทียบความถี่การใช้ของคำในประเภทต่างๆที่แบ่งไว้เป็นประเภททางไวยากรณ์ และประเภททางจิตวิทยา ซึ่งผลการศึกษาพบประเภทของคำที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p< 0.05 ดังต่อไปนี้ ประเภททางไวยากรณ์ของคำได้แก่ ประเภทคำกริยา คำคุณศัพท์ คำบุพบท คำสันธาน คำอนุภาค คำสรรพนาม คำปริมาณ การซ้ำ และประเภทประเภททางจิตวิทยา ได้แก่ คำแสดงสภาวะทางอารมณ์ คำแสดงอารมณ์เชิงลบ คำแสดงอารมณ์เชิงบวก คำแสดงการรับรู้ทางประสาทสัมผัสต่างๆ คำแสดงการหยั่งรู้ที่สะท้อนทัศนคติของผู้พูด คำแสดงการห้าม คำเชื่อมสัมพันธสาร คำแสดงความลังเลไม่มั่นใจ และคำแสดงความคลาดเคลื่อน ส่วนผลการศึกษาในระดับปริจเฉทได้มาจากการพิจารณาความต่างระหว่างคำให้การจริงและเท็จผ่านการประเมินความสามารถทางการใช้ภาษาในการเล่าเรื่อง โดยพบว่าคะแนนเฉลี่ยระหว่างคำให้การจริงและคำให้การเท็จมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p<0.05 และคำให้การเท็จได้คะแนนสูงกว่าคำให้การจริง ซึ่งบ่งชี้ว่า ขณะให้การเท็จ ผู้พูดได้ใช้ความสามารถทางภาษาในการเล่าเรื่องมากกว่าขณะที่ให้การจริง ทำให้คำให้การเท็จมีความสมบูรณ์ในฐานะเรื่องเล่าสูงกว่าคำให้การจริง ดังนั้นแล้ว จากผลการศึกษาครั้งนี้จึงมีความเป็นไปได้ที่จะนำประเภทของคำและรูปแบบที่แตกต่างกันระหว่างคำให้การจริงและคำให้การเท็จในฐานะลักษณ์ทางภาษาพึงสังเกตไปใช้ประกอบการพิจารณาความจริงเท็จของคำให้การใดๆได้ต่อไป
- Publicationการศึกษาวาทกรรมเกี่ยวกับผู้ติดเชื้อเอดส์ในสังคมไทยตามแนวปฏิพันธวิเคราะห์จันทิมา เอียมานนท์; Jantima Eamanondh (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2006)งานวิจัยนี้ศึกษาวาทกรรมเกี่ยวกับผู้ติดเชื้อเอดส์ในสังคมไทยตามแนวทางปฏิพันธวิเคราะห์ซึ่งเป็นการศึกษาวาทกรรมวิเคราะห์ที่เชื่อมระหว่างมิติทางภาษาและมิติทางสังคมด้วยวิธีการทางชาติพันธุ์วรรณนา และ การวิเคราะห์ตัวบทเพื่อแสดงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างภาษา บุคคล และวิถีปฏิบัติทางสังคมในการ สื่อความหมายเกี่ยวกับผู้ติดเชื้อเอดส์หรือผู้มีเชื้อเอดส์ในวาทกรรม วัตถุประสงค์ของการศึกษาพื่อทำ ความเข้า ใจว่าผู้มีเชื้อเอดส์ถูกนำเสนออย่างไรในวาทกรรมสาธารณะและ นำเสนอตนเองอย่างไรใน วาทกรรมภายในชุมชน และเพื่อเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างวาทกรรมสาธารณะและวาทกรรมภายใน ชุมชน รวมทั้งภาษากับ อุดมการณ์ในการนำเสนอผู้มีเชื้อเอดส์ ข้อมูลที่ใช้ในงานวิจัยมาจากข้อมูลเอกสาร และข้อมูลภาคสนาม ข้อมูลเอกสารมาจากวาทกรรมสาธารณะที่สื่อโดยผู้มีเชื้อเอดส์ และสื่อโดยบุคคลอื่น ตั้งแต่ พ.ศ. 2527-2547 ส่วนข้อมูลภาคสนามเป็นข้อมูลบทสนทนาของผู้มีเชื้อเอดส์ภายในชุมชน ผู้มีเชื้อ เอดส์สองชุมชน ได้แก่ โครงการธรรมรักษ์นิเวศน์ วัดพระบาทน้ำพุ ที่จังหวัดลพบุรี และศูนย์สุขภาพชุมชน ดอนแก้ว ที่จังหวัด เชียงใหม่ จากการศึกษากลวิธีทางภาษาที่ใช้นำเสนอผู้มีเชื้อเอดส์ในวาทกรรมสาธารณะ และวาทกรรม ภายในชุมชนทั้งสองชุมชน พบว่า กลวิธีทางภาษาในวาทกรรมสาธารณะมี 3 กลวิธี ได้แก่ กลวิธีทางศัพท์ กลวิธีทางวัจนปฏิบัติศาสตร์และวาทกรรม และกลวิธีทางวาทศิลป์ที่ใช้สื่อความหมายด้านลบ และความหมาย ด้านบวกของผู้มีเชื้อเอดส์ ส่วนกลวิธีทางภาษาในวาทกรรมภายในชุมชนพบ 2 กลวิธี ได้แก่ กลวิธีทางศัพท์ และกลวิธีทางวัจนปฏิบัติศาสตร์และวาทกรรม การศึกษาทางชาติพันธุ์วรรณนาทำให้เห็นว่า ผู้มีเชื้อเอดส์ สองชุมชน นำเสนอตนเองต่างกันตามวาทกรรมและวิถีปฏิบัติภายในชุมชนที่แตกต่างกัน ผู้มีเชื้อเอดส์ใน โครงการธรรมรักษ์นิเวศน์สื่อความหมายผู้มีเชื้อเอดส์ด้านลบ ในขณะที่ผู้มีเชื้อเอดส์ใน ศูนย์สุขภาพ ชุมชนดอนแก้วสื่อความหมายผู้มีเชื้อเอดส์ด้านบวก การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างวาทกรรม สาธารณะ และวาทกรรมภายในชุมชนพบว่ามีความสัมพันธ์ที่เด่น 2 ลักษณะ คือ ความสัมพันธ์แบบเสริมกัน และ ความสัมพันธ์แบบแย้งกัน ความสัมพันธ์แบบเสริมกันใช้สื่อความหมายผู้มีเชื้อเอดส์ทั้งด้านลบและ ด้านบวก ในขณะที่ความสัมพันธ์แบบแย้งกันใช้ในการตอบโต้กับความหมายด้านลบ วาทกรรมภายใน โครงการ ธรรมรักษ์นิเวศน์ส่วนใหญ่สัมพันธ์แบบเสริมกันกับวาทกรรมสาธารณะที่สื่อความหมาย ผู้มีเชื้อเอดส์ด้านลบ ในขณะที่วาทกรรมภายในศูนย์สุขภาพชุมชนดอนแก้วสัมพันธ์แบบเสริมกันกับการสื่อความหมายผู้มีเชื้อเอดส์ด้านบวก และสัมพันธ์แบบแย้งกันเพื่อตอบโต้การสื่อความหมายด้านลบ ทางด้านการตีความภาษากับอุดมการณ์พบว่า อุดมการณ์วิทยาศาสตร์การแพทย์ ศาสนา การพัฒนาของรัฐ และสิทธิมนุษยชนเป็นอุดมการณ์ที่แฝงอยู่และมีผลต่อการสื่อความหมายของผู้มีเชื้อเอดส์แตกต่างกันไปในวาทกรรม
- Publicationการสลับภาษาไทยกับภาษาจีนแต้จิ๋วของคนไทยเชื้อสายจีนในชุมชนเยาวราชวิลาสินี ดาราฉาย; Wilasinee Darachai (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2014)งานวิจัยนี้มุ่งวิเคราะห์การสลับภาษาระหว่างภาษาจีนแต้จิ๋วกับภาษาไทยของคนไทยเชื้อสายจีนในชุมชนเยาวราช ประเด็นที่วิเคราะห์ ได้แก่ หน้าที่ของการสลับภาษา ความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะของการสลับภาษากับความเป็นปึกแผ่นระหว่างผู้พูดผู้ฟังและหัวข้อการสนทนา และเงื่อนไขทางวากยสัมพันธ์ของการสลับภาษา โดยมีสมมติฐานว่า หน้าที่ของการสลับภาษาที่ใช้มากที่สุด คือ การยกถ้อยคำ (quotation) และความเป็นปึกแผ่น (solidarity) กับหัวข้อการสนทนามีอิทธิพลต่อความถี่ของการสลับภาษา รูปแบบการสลับภาษา (ระหว่างประโยค / ภายในประโยค) และการใช้ภาษาหลัก (จีนแต้จิ๋ว / ไทย) นอกจากนั้น ผู้วิจัยยังคาดว่า การสลับภาษาของคนไทยเชื้อสายจีนแต้จิ๋วไม่ละเมิดกฎไวยากรณ์ของภาษาไทยหรือจีนแต้จิ๋ว คือไม่ละเมิดกฎการลำดับคำ กฎการปรากฏร่วมของกริยาในหน่วยสร้างกริยาเรียง และกฎที่ว่าคำแรกที่สลับต้องไม่เป็นคำไวยากรณ์ ข้อมูลที่ใช้ในงานวิจัยได้มาจากการสนทนาของคนไทยเชื้อสายจีนรุ่นที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รู้สองภาษา ที่เติบโตในชุมชนเยาวราช จำนวน 20 คน บริเวณจุดเก็บข้อมูล ได้แก่ วงเวียนโอเดียน แยกเฉลิมบุรี ตลาดเก่า ถนนมังกร เยาวราช 17 ซอยทรงสวัสดิ์ เยาวราช 2 สี่แยกผดุงด้าว ซอยบำรุงรัฐ และเยาวราช 10 ผลการวิจัยพบว่า หน้าที่ของการสลับภาษามี 7 หน้าที่ ได้แก่ การยกถ้อยคำ (quotation) การซ้ำถ้อยคำเพื่อเน้นย้ำ (reiteration) การขยายความ (message qualification) การทำให้เป็นเรื่องส่วนตัว (personalization) การอุทาน (interjection) การเจาะจงผู้รับสาร (addressee specification) และการเบี่ยงบัง (hedging) ส่วนหน้าที่ที่พบมากที่สุด คือ การยกถ้อยคำ ซึ่งสอดคล้องกับงานในอดีต ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างการสลับภาษากับความเป็นปึกแผ่นและหัวข้อการสนทนาพบว่า ความเป็นปึกแผ่นทำให้ความถี่ในการสลับภาษาลดลง ในขณะที่ การสนทนาหัวข้อที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมจีนทำให้ความถี่ในการสลับภาษาเพิ่มขึ้น ส่วนรูปแบบการสลับภาษา คือ สลับภาษาระหว่างประโยคหรือภายในประโยค และการใช้ภาษาไทยหรือจีนแต้จิ๋วเป็นภาษาหลักไม่ขึ้นอยู่กับความเป็นปึกแผ่นและหัวข้อการสนทนา ในด้านเงื่อนไขบังคับทางวากยสัมพันธ์พบว่า การสลับภาษาไทย-จีนแต้จิ๋ว ไม่ละเมิดกฎไวยากรณ์ในการลำดับคำและการปรากฏร่วมของกริยาในหน่วยสร้างกริยาเรียง แต่ละเมิดเงื่อนไขที่ว่า คำแรกที่สลับต้องไม่เป็นคำไวยากรณ์
- Publicationความต่อเนื่องของปฏิสัมพันธ์ในห้องสนทนาไทย : การส่งผลต่อกันระหว่างการเชื่อมโยงความ การมอบผลัดและความเกี่ยวข้องของเรื่องที่สนทนาศิริพร ปัญญาเมธีกุล; Siriporn Panyametheekul (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2003)วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดความต่อเนื่องของปฏิสัมพันธ์ในห้องสนทนาไทย โดยปัจจัยที่นำมาพิจารณาประกอบด้วยการเชื่อมโยงความ การมอบผลัด และความเกี่ยวข้องของเรื่องที่สนทนา ผลวิจัยพบว่ากลไกเชื่อมโยงความที่พบมากที่สุดคือ การใช้สรรพนามไร้รูป การเรียกชื่อ ตามลำดับ ส่วนการแทรกของข้อความระหว่างคู่ถ้อยคำในระหว่างการสนทนานั้น ไม่มีความสัมพันธ์กับจำนวนชนิดของกลไกเชื่อมโยงความ สำหรับปัจจัยที่สองที่ศึกษาพบว่ากลวิธีมอบผลัดที่พบมากที่สุดคือ การเรียกชื่อ การถาม ตามลำดับ สุดท้ายการศึกษาความเกี่ยวข้องของเรื่องที่สนทนาพบว่า ผู้ร่วมสนทนาจะใช้วิธีการรักษากฎในการรักษาความเกี่ยวข้องของการสนทนามากที่สุด รองลงมา ได้แก่ การท้ากฎ การละเมิดกฎโดยจงใจ ตามลำดับ ถึงแม้ว่าในห้องสนทนาจะมีการแทรกของข้อความระหว่างคู่ถ้อยคำอยู่เสมอ แต่การสนทนาก็ยังเกิดความต่อเนื่องของข้อความ เนื่องจากผู้ร่วมสนทนามีการใช้กลไกเชื่อมโยงความและกลวิธีมอบผลัด กลไกและกลวิธีที่สำคัญคือ การเรียกชื่อ ซึ่งการเรียกชื่อจะทำให้ทราบว่าข้อความนั้นๆ ส่งถึงใคร การเรียกชื่อจะลดความกำกวมในการเชื่อมโยงข้อความ ส่วนกลวิธีที่สำคัญอีกกลวิธีหนึ่งคือ การถาม เนื่องจากการถามเป็นกลวิธีที่ก่อให้เกิดคู่ถ้อยคำ และทำให้เกิดการโต้ตอบกลับจึงทำให้เกิดความต่อเนื่องของปฏิสัมพันธ์ขึ้น นอกจากนั้นความต่อเนื่องของข้อความยังเกิดจากเรื่องที่สนทนา จากผลวิจัยพบว่าถึงแม้ว่าผู้ร่วมสนทนาในห้องสนทนา จะมีอิสระในการพูดสิ่งที่ต้องการได้ แต่ผู้สนทนายังคงเลือกใช้การรักษากฎในการสนทนาคือ ตอบเรื่องที่ตรงประเด็นเป็นส่วนมาก จากการศึกษาสรุปได้ว่าความต่อเนื่องของปฏิสัมพันธ์ในห้องสนทนา เป็นผลมาจากการเชื่อมโยงความ การมอบผลัดและความเกี่ยวข้องของเรื่องที่สนทนา ตามสมมติฐานที่ตั้งไว้
- Publicationความสัมพันธ์ด้านความแปลกเด่นของมัศดัรโครงคำและมัศดัรกลุ่มคำ ในภาษาอาหรับมาตรฐานสมัยใหม่: การศึกษาข้ามสมัยดุลยวิทย์ นาคนาวา; Dulyawit Naknawa (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2016)วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาการเปลี่ยนแปลงหน้าที่ทางวากยสัมพันธ์ของมัศดัรโครงคำและมัศดัรกลุ่มคำตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 จนถึงปัจจุบัน (ค.ศ. 1876-2011) (2) ศึกษาการเปลี่ยนแปลงการปรากฏร่วมกับประเภททางอรรถศาสตร์ของคำกริยาที่เกิดร่วมด้วยของมัศดัรทั้ง 2 แบบ ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 จนถึงปัจจุบัน (ค.ศ. 1876-2011) และ (3) ศึกษาการเปลี่ยนแปลงของความสัมพันธ์ด้านความแปลกเด่นของมัศดัรโครงคำและมัศดัรกลุ่มคำทั้ง 2 ประเภทแบบข้ามสมัยโดยใช้แนวทางการศึกษาแบบเน้นการแปร ศึกษาความแปลกเด่นด้านการใช้ของมัศดัรโครงคำและมัศดัรกลุ่มคำที่นำหน้าโดยหน่วยคำ an และ anna ในภาษาอาหรับมาตรฐานสมัยใหม่ซึ่งทราบได้จากความถี่ในการปรากฏ ผลการศึกษาในด้านวากยสัมพันธ์พบว่ามัศดัรทั้ง 3 แบบปรากฏร่วมกันในตำแหน่งประธาน กรรม หลังคำบุพบท ส่วนเติมเต็มประธาน และสัมพันธการก โดยมีเพียงตำแหน่งกรรมและหลังคำบุพบทเท่านั้นที่มัศดัรทั้ง 3 แบบปรากฏครบ 7 ช่วงระยะเวลา ในด้านประเภททางอรรถศาสตร์ของกริยาพบว่ามัศดัรทั้ง 3 แบบปรากฏร่วมกันในกริยากลุ่มแสดงการสื่อสารและคำพูด กริยาแสดงความต้องการและความหวัง กริยาแสดงทัศนะภาวะ กริยาแสดงความคิดและการรับรู้ กริยาแสดงสถานะ กริยาแสดงการกระทำ และสัมพันธกริยาโดยมีเพียงมัศดัรโครงคำเท่านั้นที่ปรากฏได้กับทุกกลุ่มกริยาครบทั้ง 7 ช่วงระยะเวลา นอกจากนี้ยังพบว่ามัศดัรกลุ่มคำประเภทที่ 2 มีสัดส่วนในการปรากฏกับกริยาแสดงการสื่อสารและคำพูดมากขึ้นในช่วงระยะเวลาที่ 4-7 อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ด้านความแปลกเด่นในภาพรวมพบว่ามัศดัรโครงคำมีลักษณะที่ไม่แปลกเด่น โดยปรากฏมากกว่ามัศดัรกลุ่มคำทั้ง 2 ประเภททุกช่วงระยะเวลา และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นตามระยะเวลา ในขณะที่มัศดัรกลุ่มคำทั้ง 2 ประเภทมีลักษณะที่แปลกเด่น โดยมัศดัรโครงคำประเภทที่ 1 มีแนวโน้มลดลง และมัศดัรโครงคำประเภทที่ 2 มีแนวโน้มคงที่
- Publicationความสัมพันธ์ระหว่างการบ่งชี้กาลในไวยากรณ์กับระบบปริชาน: การทดสอบสมมติฐานภาษาสัมพัทธ์ในภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีน และภาษาไทยชุติชล เอมดิษฐ; Chutichol Aemdit (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2015)งานวิจัยนี้เกี่ยวข้องกับสมมติฐานภาษาสัมพัทธ์ ซึ่งมีใจความว่าผู้พูดภาษาที่มีระบบไวยากรณ์แตกต่างกันมีความคิดต่างกัน และในทางตรงข้ามผู้พูดภาษาที่มีระบบไวยากรณ์คล้ายคลึงกันมีโลกทัศน์คล้ายคลึงกัน มีงานวิจัยจำนวนมากที่ต้องการทดสอบสมมติฐานนี้โดยทำการทดลองกับผู้พูดภาษาที่มีระบบไวยากรณ์ต่างกัน เช่น ลิงค์ พจน์ และลักษณนาม แต่ยังไม่พบงานวิจัยที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบ่งชี้กาลในไวยากรณ์กับความคิดเกี่ยวกับเวลา ดังนั้นวิทยานิพนธ์นี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความแตกต่างของการบ่งชี้กาลในไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีน และภาษาไทย และเปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่างการบ่งชี้กาลในไวยากรณ์กับระบบปริชานของผู้พูดภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีน และภาษาไทย ซึ่งตีความได้จากพฤติกรรมทางปริชานในด้านความตระหนักรู้และความจำในการทดลอง โดยมีสมมติฐานในงานวิจัยคือ ผู้พูดภาษาอังกฤษและภาษาญี่ปุ่นซึ่งมีการบ่งชี้กาลในไวยากรณ์มีความตระหนักรู้เรื่องเวลาและสามารถจดจำเวลาได้ถูกต้องมากกว่าผู้พูดภาษาจีนและภาษาไทยซึ่งไม่มีการบ่งชี้กาลในไวยากรณ์ การทดลองเพื่อทดสอบความตระหนักรู้ คือ การทดสอบแบบบรรยายภาพ มีผู้ถูกทดลองทั้งหมด 109 คน ประกอบด้วยผู้พูดภาษาอังกฤษ 26 คน ญี่ปุ่น 30 คน จีน 22 คน และไทย 31 คน ผลการทดลองพบว่า ในการบรรยายภาพ ผู้พูดภาษาอังกฤษและภาษาญี่ปุ่นมีความตระหนักรู้เรื่องเวลาเวลามากกว่าผู้พูดภาษาจีนและภาษาไทย ในการทดลองเพื่อทดสอบความจำซึ่งจำแนกออกเป็น 3 การทดลอง ได้แก่ การทดสอบการเลือกภาพ การทดสอบแบบปรนัย และการทดสอบแบบเติมคำตอบ การทดสอบการเลือกภาพนั้นผู้ถูกทดลองกลุ่มเดียวกับการบรรยายภาพ ส่วนการทดสอบแบบปรนัยและเติมคำตอบมีผู้ถูกทดลองทั้งหมด 112 คน ประกอบด้วยผู้พูดภาษาอังกฤษ 22 คน ญี่ปุ่น 32 คน จีน 20 คน และผู้ไทย 38 คน ในการทดสอบแบบเติมคำตอบ ผู้พูดภาษาอังกฤษและภาษาญี่ปุ่นสามารถจดจำเวลาได้ถูกต้องมากกว่าผู้พูดภาษาไทย แต่ผู้พูดภาษาจีนจดจำเวลาได้ดีกว่าผู้พูดภาษาไทย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะผู้พูดภาษาจีนเดาได้ว่าผู้วิจัยกำลังทดสอบเกี่ยวกับเวลา ส่วนการทดสอบแบบปรนัย ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างผู้พูดภาษาทั้ง 4 ภาษาซึ่งอาจเป็นเพราะแบบทดสอบมีคำถามน้อยเกินไป จากผลการทดลองทั้งหมด สรุปได้ว่าการบ่งชี้กาลในไวยากรณ์ส่งผลให้ “เวลา” กลายเป็นลักษณะเด่นชัดในระบบปริชานของผู้พูดภาษาอังกฤษและภาษาญี่ปุ่น ทำให้ผู้พูดภาษาอังกฤษและภาษาญี่ปุ่นมีตระหนักรู้เรื่องเวลาและจดจำเวลามากกว่าผู้พูดภาษาจีนและภาษาไทย จึงสรุปได้ว่าผลงานวิจัยนี้สนับสนุนสมมติฐานภาษาสัมพัทธ์
- Publicationความหมายของคำว่า được 'ได้' ในภาษาเวียดนาม : การศึกษาตามแนวภาษาศาสตร์ปริชานโสรัจ เรืองมณี; Soraj Ruangmanee (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2010)การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อจำแนกความหมายของคำว่า được ในภาษาเวียดนาม วิเคราะห์คุณลักษณะทางความหมายและทางโครงสร้าง ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความหมาย ต่างๆ และอธิบายกระบวนการทางปริชานที่ใช้สำหรับขยายความหมายออกไปสู่ความหมายต่างๆ เหล่านั้น การวิจัยครั้งนี้ใช้แนวคิดอรรถศาสตร์ปริชาน ผู้วิจัยใช้แนวความคิดในเรื่องของคำหลาย ความหมายอย่างมีหลักการมาใช้เป็นเกณฑ์ในการจำแนกความหมายต่างๆ ออกจากกัน และใช้ใน แนวคิดในเรื่องของ คำหลายความหมายสี่ประเภทมาใช้ในการวิเคราะห์กระบวนการขยาย ความหมายต่างๆ เหล่านั้น ผลการวิจัยพบว่า คำว่า được ในภาษาเวียดนามนั้น สามารถแบ่งความหมายออกมาได้ เป็น 2 ประเภท ได้แก่ ความหมายประจำคำ และความหมายทางไวยากรณ์ และมีความหมายรวม ทั้งหมด 12 ความหมาย ได้แก่ (1) ได้มาครอบครอง (2) ชนะ (3) มีเพศสัมพันธ์ (4) ดีแล้ว/ใช้การได้ (5) ได้โอกาสในการกระทำบางสิ่งบางอย่าง (6) กรรมวาจก (7) ทัศนภาวะแสดงความสามารถ (8) ทัศนภาวะแสดงความสามารถที่อ้างอิงจากสถานการณ์แวดล้อม (9) ทัศนภาวะอนุญาต (10) ทัศนภาวะแสดงความเป็นไปได้ (11) การณ์ก่อผล และ (12) การณ์สัมฤทธิ์ผล โดยความหมายที่ (1) ถึง (5) เป็นความหมายประจำคำ และความหมายที่ (6) ถึง (12) เป็นความหมายทางไวยากรณ์ ความหมายต่างๆ ของคำว่า được มีความสัมพันธ์กันแบบเครือข่าย ซึ่งสามารถแสดงได้ ด้วยรูปแบบของการแผ่รังสี มีความหมายที่ (1) เป็นความหมายพื้นฐานและเป็นความหมาย ศูนย์กลาง โดยความหมายทุกๆ ความหมายจะขยายออกมาจากความหมายพื้นฐาน และความหมาย ทางไวยากรณ์ที่ (7) ถึง (12) ขยายออกมาจากความหมายที่ (2) กระบวนการทางปริชานที่ใช้ในการ ขยายความหมายออกมาจากความหมายพื้นฐานนั้นมีอยู่ 2 กระบวนการ ได้แก่ กระบวนการนามนัย และกระบวนการกลายเป็นคำไวยากรณ์ โดยกระบวนการนามนัยที่ใช้แบ่งออกได้เป็น 3 แบบ ได้แก่ (1) การนามนัยแบบเน้นผลลัพธ์ (2) การนามนัยโดยใช้บริบท และ (3) การนามนัยแบบเน้น ส่วนประกอบย่อย ส่วนการกลายเป็นคำไวยากรณ์นั้นจะทำให้คำว่า được เปลี่ยนสถานะจาก คำกริยากลายไปประเภททางไวยากรณ์แสดงกรรมวาจก ทัศนภาวะ และ การณ์ลักษณะ
- Publicationคำเชื่อมในภาษาไทยถิ่นใต้: การศึกษาเชิงประวัติอภิชญา แก้วอุทัย; Kaewuthai, Apichaya (2019)งานวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อวิเคราะห์หน้าที่ของคำเชื่อมในภาษาไทยถิ่นใต้ตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงสมัยปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงหน้าที่ของคำเชื่อมในภาษาไทยถิ่นใต้ และกลไกทางภาษาที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของคำเชื่อมในภาษาไทยถิ่นใต้ ผู้วิจัยแบ่งสมัยข้อมูลภาษาออกเป็น 5 ช่วงสมัย ได้แก่ ช่วงที่ 1 สมัยอยุธยา, ช่วงที่ 2 สมัยรัชกาลที่ 1–รัชกาลที่ 3, ช่วงที่ 3 สมัยรัชกาลที่ 4–รัชกาลที่ 5, ช่วงที่ 4 สมัยรัชกาลที่ 6–รัชกาลที่ 8 และช่วงที่ 5 สมัยรัชกาลที่ 9-รัชกาลที่10 ผู้วิจัยเก็บข้อมูลจากเอกสารเฉพาะที่เป็นร้อยแก้วในทุกช่วงสมัยของการศึกษา โดยในขั้นตอนที่ 1 ผู้วิจัยใช้กรอบทดสอบคำบุพบท คำเชื่อมนาม และคำเชื่อมอนุพากย์ของวิจินตน์ ภาณุพงศ์ (2538) มาประยุกต์ใช้เป็นแนวทางในการจำแนกคำเชื่อมออกจากคำชนิดอื่น ขั้นตอนที่ 2 ผู้วิจัยใช้เกณฑ์ความหมาย หากมีกรณีที่กรอบทดสอบในขั้นตอนที่ 1 ไม่สามารถจำแนกคำเชื่อมออกจากหมวดคำอื่นได้ ผลจากการใช้เกณฑ์ในขั้นตอนที่ 1 และขั้นตอนที่ 2 พบคำเชื่อมในข้อมูลทั้งสิ้น 119 คำ ลำดับถัดมา ในขั้นตอนที่ 3 ผู้วิจัยได้นำคำเชื่อมทั้งหมดมาจำแนกหมวดหน้าที่และหน้าที่ย่อย โดยประยุกต์ตามกรอบเกณฑ์ของนววรรณ พันธุเมธา (2554) เป็นแนวทางในการวิเคราะห์หมวดหน้าที่ของคำเชื่อม และใช้เกณฑ์ทางอรรถวากยสัมพันธ์อื่น ๆ เพิ่มเติมเพื่อวิเคราะห์หน้าที่ย่อยของคำเชื่อมในแต่ละหมวดหน้าที่ ผลการศึกษาหน้าที่ของคำเชื่อมในภาษาไทยถิ่นใต้ตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงสมัยปัจจุบันพบว่า จำนวนหมวดหน้าที่ของคำเชื่อมในแต่ละสมัยมีความแตกต่างกัน กล่าวคือ ในสมัยอยุธยาปรากฏหมวดหน้าที่จำนวน 20 หมวดหน้าที่ ในสมัยรัชกาลที่ 1 - รัชกาลที่ 3 และสมัยรัชกาลที่ 4 - รัชกาลที่ 5 ปรากฏ 19 หมวดหน้าที่ ในสมัยรัชกาลที่ 6-รัชกาลที่ 8 ปรากฏ 21 หมวดหน้าที่ และสมัยปัจจุบันปรากฏทั้งสิ้น 22 หมวดหน้าที่ เมื่อพิจารณาด้านการเปลี่ยนแปลงหน้าที่ของคำเชื่อมในภาษาไทยถิ่นใต้พบว่า คำเชื่อมมีการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านการเพิ่มหน้าที่ การสูญหน้าที่ และการคงหน้าที่ ทั้งนี้ กระบวนการทางภาษาที่สำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของคำเชื่อมในภาษาไทยถิ่นใต้ คือ การกลายเป็นคำไวยากรณ์ โดยกลไกสำคัญ ได้แก่ อุปลักษณ์ นามนัย และการวิเคราะห์ใหม่
- Publicationคำยืมภาษาเขมรในภาษาไทยถิ่นใต้เปรมินทร์ คาระวี; Premin Karavi (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 1996)มีวัตถุประสงค์เพื่อจะรวบรวมคำที่มีรากศัพท์เป็นคำเขมรในภาษาไทยถิ่นใต้ เพื่อนำมาวิเคราะห์ลักษณะการยืม เปรียบเทียบเสียงและความหมายของคำยืมเหล่านี้กับคำเขมรปัจจุบันและเขมรโบราณ เปรียบเทียบลักษณะการยืมคำเขมรในภาษาไทยถิ่นใต้กับการยืมคำเขมรในภาษาไทยมาตรฐาน และเพื่อสันนิษฐานสมัยและวิธีการยืมคำเขมรเข้ามาในภาษาไทยถิ่นใต้ ผลการวิจัยพบว่า มีคำยืมเขมรในภาษาไทยถิ่นใต้ จำนวน 1,320 คำ ในจำนวนนี้มีอยู่ 573 คำ ที่ตรงกับคำยืมเขมรในภาษาไทยมาตรฐาน และมีอยู่ 394 คำ ที่เป็นคำยืมเขมรที่ปรากฎเฉพาะในภาษาไทยถิ่นใต้ เมื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างเสียงในคำยืมเขมรในภาษาไทยถิ่นใต้ กับเสียงในคำเขมรปัจจุบัน พบว่า มีลักษณะเสียงสัมพันธ์ 10 แบบ ภาษาไทยถิ่นใต้ยืมคำเขมรส่วนใหญ่มาโดยมีการลดเสียงบางเสียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสียงพยัญชนะต้น แต่ภาษาไทยมาตรฐานยืมคำเขมรส่วนใหญ่มาทั้งคำ และเมื่อเปรียบเทียบเสียงของคำยืมกับคำเขมรปัจจุบันและคำเขมรโบราณพบว่า เสียงพยัญชนะต้น เสียงสระ และเสียงพยัญชนะท้ายของคำยืม อาจสัมพันธ์กับเสียงในภาษาเขมรได้หลายเสียง ซึ่งปรากฎว่าเสียงเหล่านี้คล้ายคลึงกับเสียงในคำสัมพันธ์ในภาษาเขมรโบราณมากกว่าในคำสัมพันธ์ในภาษาเขมรปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้จึงอาจนำเสียงบางเสียงในคำยืมเขมรในภาษาไทยถิ่นใต้ มาเป็นเกณฑ์ในการสันนิษฐานสมัยของการยืมคำเขมรบางคำได้ โดยพบว่ามีคำยืมเขมรในภาษาไทยถิ่นใต้ที่สันนิฐานว่า ได้ยืมเข้ามาตั้งแต่สมัยโบราณ 306 คำ มีคำยืมเขมรในภาษาไทยถิ่นใต้ที่สันนิษฐานว่า ได้ยืมเข้ามาจากภาษาเขมรปัจจุบัน 81 คำ ส่วนคำยืมเขมรที่เหลือซึ่งเป็นคำส่วนใหญ่นั้น ไม่อาจใช้เกณฑ์ทางเสียงมาสันนิษฐานสมัยการยืมได้ ส่วนในด้านความหมาย พบว่าทั้งคำยืม คำเขมรโบราณ และคำเขมรปัจจุบัน ส่วนใหญ่มีความหมายเหมือนกัน มีเพียงส่วนน้อยที่แสดงให้เห็นความต่างทางความหมาย ซึ่งแตกต่างกันอยู่ 5 แบบ เมื่อพิจารณาแนวโน้มของวิธีการยืมปรากฎว่า คำยืมเหล่านี้ ส่วนใหญ่มีแนวโน้มว่าได้ยืมเข้ามาโดยรับเสียงพูดที่ได้ยิน ส่วนที่เหลืออีก 57 คำ มีแนวโน้มว่าได้รับเข้ามาทางตัวเขียน