ปรัชญาพุทธเถรวาท
Permanent URI for this collection
Browse
Browsing ปรัชญาพุทธเถรวาท by Degree Name "อักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิต"
Now showing 1 - 3 of 3
Results Per Page
Sort Options
- Publicationการวิเคราะห์เรื่อง กายภิกษุณีกับการบรรลุธรรมสุภัทรา วงสกุล; Suphatra Wongsakul (2020)พุทธศาสนาเถรวาทมีความเข้าใจต่อความทุกข์เฉพาะทั้งห้าประการของสตรี ในอาเวณิกสูตร ว่าเป็นความทุกข์ของสตรีที่มีความเป็นเฉพาะต่างจากความทุกข์ของบุรุษ โดยที่กายในเชิงชีววิทยาและกายในบริบทเชิงสังคมวัฒนธรรมของสตรีเป็นเงื่อนไขของความทุกข์เฉพาะนี้ วิถีการดับทุกข์ของสตรีย่อมมีวิธีต่างจากวิถีการหลุดพ้นของบุรุษ วิทยานิพนธ์นี้จึงมุ่งศึกษาและวิเคราะห์แนวคิดเรื่องกายภิกษุณีกับการบรรลุธรรมโดยเสนอว่ากายสามารถเป็นเงื่อนไขในการดับทุกข์ของสตรีอย่างมีนัยสำคัญ และมีกระบวนการปฏิบัติในฐานะภิกษุณีเป็นเงื่อนไขสำคัญยิ่งต่อการบรรลุธรรมของสตรี วิทยานิพนธ์นี้ได้ใช้แนวคิดเรื่องกายเป็นกรอบการวิเคราะห์เทียบเคียงพระวินัย ว่าด้วยอาบัติปาราชิกของภิกษุณีที่แตกต่างจากอาบัติปาราชิกของภิกษุ และใช้แนวคิดเรื่องกายภิกษุณี วิเคราะห์พระวินัยภิกษุณีสงฆ์ 130 สิกขาบทในมิติทั้งสาม ได้แก่ 1. กายภิกษุณีในฐานะกายสตรี 2. กายภิกษุณีในชุมชนภิกษุณีสงฆ์ และ3.กายภิกษุณีกับภิกษุและกับฆราวาสในเชิงความสัมพันธ์ โดยพิจารณาว่าพระวินัยภิกษุณีสามารถเกื้อกูลต่อกายเชิงชีววิทยาและขจัดอุปสรรคที่เกี่ยวกับกายในเชิงบริบททางสังคมวัฒนธรรมเพื่อเกื้อกูลการบรรลุธรรมให้แก่สตรี วิทยานิพนธ์ยังได้วิเคราะห์เทียบเคียงคัมภีร์เถรีคาถา กับคัมภีร์เถรคาถา ด้วยกรอบคิดเรื่องกาย โดยพบว่าแง่มุมที่พระเถรีมีต่อกายของตนในฐานะเหตุแห่งทุกข์ กายในฐานะอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรม และกายในฐานะเงื่อนไขของการบรรลุธรรมมีความแตกต่างจากที่พระเถระมีต่อกายของตน วิทยานิพนธ์นี้พบว่าพุทธศาสนาเสนอการรื้อสร้างกายให้แก่สตรีในฐานะภิกษุณี ในแง่ของการรื้อกายด้วยการทำกายานุปัสสนา การทำอสุภกรรมฐานคือการใช้กายเป็นเครื่องมือให้ตระหนักถึงความไม่เที่ยงและความน่ารังเกียจเพื่อคลายความยึดมั่นต่อร่างกาย ขณะที่พุทธศาสนาสร้างกายสตรีในฐานะกายภิกษุณี ในแง่ของการบัญญัติพระวินัยภิกษุณีให้เกื้อกูลการปฏิบัติธรรมแก่ภิกษุณีในชุมชนภิกษุณีสงฆ์เพื่อเป็นวิถีสู่การดับทุกข์ของสตรี
- Publicationพหุนิยมทางศาสนาในพุทธศาสนาเถรวาทเฉลิมวุฒิ วิจิตร; Chalermwut Wijit (2020)การถกเถียงประเด็นเรื่องท่าทีของพุทธศาสนาต่อศาสนาอื่นที่ผ่านมา นักวิชาการทางพุทธศาสนาส่วนใหญ่เห็นว่าพุทธศาสนามีแนวคิดแบบกีดกันหรือแนวคิดแบบรวมเข้าทั้งหมด วิทยานิพนธ์นี้เสนอว่าพุทธศาสนามีแนวคิดแบบพหุนิยมในแง่มุมที่แตกต่างกันในสี่มิติ ได้แก่ อภิปรัชญา ญาณวิทยา จุดหมายสูงสุด และวิถีปฏิบัติ (1) มิติด้านอภิปรัชญา หลักคำสอนของพุทธศาสนายืนยันว่าสัจธรรมเป็นสิ่งสากลโดยพระพุทธเจ้าเป็นเพียงผู้ค้นพบและพระองค์เป็นผู้ทรงสัพพัญญูในเรื่องการดับทุกข์ ทั้งนี้ พุทธศาสนายืนยันความเป็นไปได้ที่ศาสนาอื่นอาจค้นพบสัจธรรม แต่ไม่ได้ยอมรับว่าหลักคำสอนของทุกศาสนาจะเป็นจริงอย่างเท่าเทียมกันทั้งหมด (2) มิติด้านญาณวิทยา มนุษย์จำเป็นต้องตรวจสอบหลักคำสอนของศาสนาทั้งหลายซึ่งรวมถึงหลักคำสอนของพุทธศาสนา การตรวจสอบนั้นต้องไม่ได้เริ่มต้นจากการยืนยันว่าหลักคำสอนของพุทธศาสนาเท่านั้นที่เป็นจริง พุทธศาสนาเสนอให้ตรวจสอบหลักคำสอนของศาสนาทั้งหลายด้วยประสาทสัมผัสของปุถุชนสามัญ วิธีการนี้จะทำให้ผู้คนทั่วไปในสังคมสามารถมีส่วนร่วมตรวจสอบความจริงทางศาสนาได้อย่างเท่าเทียมกันและหาข้อยุติร่วมกันได้ (3) มิติด้านจุดหมายสูงสุด พุทธศาสนามองว่าศาสนาทั้งหลายไม่ได้มีจุดหมายสูงสุดร่วมกันทั้งหมด ซึ่งสื่อนัยว่าศาสนาทั้งหลายอาจมีหลักคำสอนและวิถีปฏิบัติที่แตกต่างกันสำหรับจุดหมายสูงสุดที่แตกต่างกัน ในทัศนะของพุทธศาสนา จุดหมายสูงสุดคือความหลุดพ้นจากความทุกข์อย่างสิ้นเชิง (4) มิติด้านวิถีปฏิบัติไปสู่จุดหมายสูงสุด พุทธศาสนายืนยันว่าหลักอริยมรรคมีองค์แปดคือวิถีปฏิบัติเดียวที่นำไปสู่ความหลุดพ้น แต่หลักอริยมรรคมีองค์แปดสามารถถูกแสดงได้ในหลากหลายชื่อเรียกและรูปแบบขึ้นอยู่กับบริบททางสังคมและสติปัญญาของผู้ฟังธรรม และมีความเป็นไปได้ที่วิถีปฏิบัตินี้จะมีอยู่ในหลักคำสอนของศาสนาอื่น
- Publicationสมมติสัจจะในพุทธปรัชญาฐานิสรา ประธานราษฎร์นิกร; Thanisara Prathanrasnikorn (2016)วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์หลัก ๒ ประการ คือ (๑) เพื่อศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับสมมติสัจจะและปรมัตถสัจจะ ตามแนวคิดของสำนักอภิธรรม และสำนักมัธยมกะในพุทธศาสนามหายาน (๒) เพื่อวิเคราะห์ว่าเราควรจะเข้าใจสมมติสัจจะอย่างไร จึงจะสามารถใช้สมมติสัจจะเป็นเครื่องมือนำไปสู่การเข้าใจปรมัตถสัจจะได้ ทฤษฎีความจริงสองอย่างของสำนักอภิธรรม มีรากฐานมาจากแนวคิดที่ว่า สิ่งต่าง ๆ ที่เราพบเห็นในประสบการณ์ประกอบขึ้นด้วยองค์ประกอบย่อย ๆ ในระดับมูลฐานที่เรียกว่า “ธรรม” สำนักอภิธรรมถือว่า “ธรรม” แต่ละอย่างมีสวภาวะที่คงที่ และเป็นสิ่งที่เป็นจริงโดยปรมัตถ์ ส่วนสิ่งซึ่งประกอบขึ้นด้วย “ธรรม” เป็นเพียงสิ่งปรุงแต่งทางมโนทัศน์ จึงเป็นจริงโดยสมมติเท่านั้น นาคารชุนผู้ก่อตั้งสำนักมัธยมกะในพุทธศาสนามหายาน คัดค้านแนวคิดเรื่องสวภาวะของสำนักอภิธรรม และได้ชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นโดยอิงอาศัยสิ่งอื่นจะต้องเป็นศูนยตา แนวคิดนี้ของนาคารชุนได้ทำให้นักวิชาการในปัจจุบันบางท่าน เช่น เจย์ แอล การ์ฟิลด์ ตีความว่า สมมติสัจจะเป็นสัจจะอย่างเดียวที่มีอยู่ การตีความเช่นนี้ทำให้สมมติสัจจะมีความสัมพัทธ์แบบสุดขั้วกับความเห็นของชาวโลก ซึ่งทำให้บทบาทเชิงบรรทัดฐานของความจริงหมดไป และก่อให้เกิด “ปัญหาที่น่าเศร้า” ตามมา ซึ่งส่งผลให้สมมติสัจจะไม่สามารถเป็นเครื่องมือนำไปสู่การเข้าใจปรมัตถสัจจะได้ นักวิชาการทางพุทธศาสนาได้พยายามแก้ปัญหาที่น่าเศร้านี้แต่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้หมดสิ้น ผู้วิจัยเสนอว่าเราสามารถยืนยันความเป็นจริงของสมมติสัจจะได้ โดยเสนอบทวิเคราะห์พุทธพจน์ที่แสดงให้เห็นว่า พระพุทธองค์ทรงยืนยันบทบาทเชิงบรรทัดฐานของข้อความที่เป็นจริงซึ่งแยกต่างหากจากข้อความที่เป็นประโยชน์ และพระพุทธองค์ทรงใช้ภาษาที่ชาวโลกใช้กันอยู่ในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นจริงโดยสมมติ ในการเทศนาสั่งสอนให้เขาเหล่านั้นเกิดการรู้แจ้งปรมัตถสัจจะได้