ปรัชญาพุทธเถรวาท
Permanent URI for this collection
Browse
Browsing ปรัชญาพุทธเถรวาท by Issue Date
Now showing 1 - 20 of 277
Results Per Page
Sort Options
- Publicationการศึกษาวิเคราะห์ความงามเชิงสุนทรียะตามหลักบุญกิริยาวัตถุ 3พระธีรภัทร์ ธิติวิสุทฺธี (ธิติชัยรัตน์); Phra Theerpatr Dhitivisuddhi (2012)
- Publicationศึกษาวิเคราะห์พุทธจริยศาสตร์กับปัญหาการพนันหวยออนไลน์พระสมุห์ณัฐชัย ฐานากโร (จันทร์ทา); Phrasamu Nattachai Thanakaro (Chanta) (2012)จากการวิจัยศึกษาพุทธจริยศาสตร์กับปัญหาการพนันหวยออนไลน์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประวัติการพนันและหวยออนไลน์ เพื่อศึกษาพุทธจริยศาสตร์กับอบายมุขและ เพื่อวิเคราะห์พุทธจริยศาสตร์กับปัญหาการพนันหวยออนไลน์ จากการวิจัยพบว่าการพนันในสังคมไทยมีมาอย่างช้านานตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชได้พาชาวจีนเข้ามาในสยามและชาวจีนก็ได้นำการพนันเข้ามาด้วย เช่นการพนันถั่วเกิดขึ้นเมื่อราว พ.ศ. ๑๔๕๐ โปเกิดขึ้นเมื่อราว พ.ศ. ๒๑๐๐ และหวยเกิดขึ้นเมื่อราว พ.ศ. ๒๓๙๐ ชื่อว่าหวย ก.ข. ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระองค์ทรงลดบ่อนเบี้ยเมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๐ และห้ามผู้ใดเล่นเป็นเด็ดขาด จนมาถึง พ.ศ. ๒๔๗๘ ได้มีกฎหมายว่าด้วยเรื่องการพนันโดยแยกการพนันออกเป็น ๒ บัญชี เช่น บัญชี ก. และ ข. ในบัญชี ก. นั้นห้ามเล่นโดยเด็ดขาด ส่วนบัญชี ข. จะต้องขออนุญาตจึงจะสามารถเปิดเล่นได้ เช่น หวยลอตเตอรี่ที่รัฐบาลเป็นผู้จำหน่าย ในกรณีหวยออนไลน์ก็เช่นเดียวกัน ถ้ารัฐเป็นผู้จำหน่ายก็สามารถเล่นได้โดยเสรี เพราะจัดเข้าในบัญชี ข. ส่วนในพุทธจริยศาสตร์ จากการศึกษาพบว่า การเล่นการพนันซึ่งเป็นอบายมุข มีโทษ ๖ ประการว่า ผู้ชนะย่อมก่อเวร ๑ ผู้แพ้ย่อมเสียดายทรัพย์ที่เสีย ๑ ความเสื่อมทรัพย์ทันตาเห็น ๑ ถ่อยคำของผู้เล่นการพนันซึ่งไปพูดที่ประชุมฟังไม่ขึ้น ๑ ถูกมิตราอำมาตย์ดูหมิ่น ๑ ไม่มีใครประสงค์จะแต่งงานด้วย ๑ เพราะเห็นว่าชายนักเลงการพนันอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท พุทธจริยศาสตร์มีคำสอนให้มนุษย์ละเว้นความชั่ว กระทำความดี ทำจิตใจให้ปริสุทธ์ปราศจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ในทางพุทธจริยศาสตร์แล้วการตัดสินการกระทำถือเอาเจตนาเป็นหลัก การกระทำใดเป็นไปในทางเบียดเบียนหรือก่อโทษแก่ผู้อื่นย่อมไม่เป็นที่พึงกระทำ การกระทำที่มุ่งสู่ประโยชน์ส่วนรวมพึงกระทำ เช่น สังคหวัตถุ ๔ ธรรมเครื่องยึดเหนี่ยวคือ เหนี่ยวใจบุคคลและประสาทหมู่ชนไว้ในสามัคคี, หลักการสงเคราะห์ มีทาน การให้, ปิยวาจา การกล่าวคำที่ดีต่อกัน, อัตถจริยา การทำประโยชน์แก่ผู้อื่น สมานัตตา การวางตนเสมอต้น เสมอปลาย ในทัศนะของพุทธจริยศาสตร์เห็นว่าไม่ว่าการพนันประเภทใดแม้แต่การพนันหวยออนไลน์ ถือว่าเป็นอบายมุขทั้งสิ้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้องเป็นอันขาดเพราะเป็นหนทางแห่งความเสื่อมทั้งทำให้ตนเอง ครอบครัว คนที่รักต้องเสียทรัพย์แล้วยังก่อเวร ถ้าตนเองเล่นการพนันได้เพราะผู้ที่เสียทรัพย์ย่อมเสียดายทรัพย์ที่เสียไป พระพุทธเจ้าทรงรังเกียจการเล่นการพนันทุกชนิดถึงแม้การเล่นนั้นจะเป็นการเล่นเพื่อความสนุกสนานความเพลิดเพลินก็จัดเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทก่อให้เกิดความเสื่อม การพนันหวยเช่นเดียวกันไม่ว่าจะเป็นหวยใต้ดิน สลากกินแบ่งรัฐบาล และหวยออนไลน์ที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้าก็ถือว่าเป็นการพนันที่ร้ายแรงเนื่องจากผู้เล่นต้องขวนขวายหาเงินมาเพื่อเล่นการพนันประเภทนี้จนต้องทำให้ตนเองเสียเงินไปกับการเล่นหวยเป็นจำนวนมากในแต่ละงวดก็มีให้เห็นกันทั่วทุกสังคมในประเทศไทย ส่วนพุทธจริยศาสตร์ไม่เห็นด้วยกับการพนันประเภทนี้ แต่เนื่องจากเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย จึงทำให้ประชาชนเล่นหวยกันต่อไป.
- Publicationการศึกษาวิเคราะห์พุทธปรัชญาเถรวาทกับปัญหาภาวะโลกร้อนกัญญภา ศิริชลธาร; Kanyapha Sirichonlatarn (2012)การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพุทธปรัชญาเถรวาท และศึกษาปัญหาภาวะโลกร้อน ตลอดจนศึกษาพุทธปรัชญาเถรวาทกับปัญหาภาวะโลกร้อน ผลการวิจัย พบว่า พุทธปรัชญาถือว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในธรรมชาติล้วนมีการพึ่งพาอาศัยกัน ตามกฎอิทัปปัจจยตา และมีลักษณะที่เสมอเหมือนกันตามกฎไตรลักษณ์ โดยมีความจริงอันเป็น จุดหมายสูงสุด คือ นิพพาน มนุษย์นั้นมีศักยภาพเพียงพอที่จะเข้าถึงจุดหมายสูงสุดได้ด้วย การสร้างความรู้จริงให้เกิดมีขึ้น มนุษย์สามารถรับรู้ความจริงได้จากอายตนะภายใน ซึ่งจําเป็นต้อง ฝึกฝนไม่ให้ถูกชักจูงไปในทางที่ผิด และปฏิบัติตนตามหลักอริยมรรคมีองค์ 8 เพื่อให้เข้าถึง จุดหมายสูงสุด ปัญหาภาวะโลกร้อนมีสาเหตุส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการกระทําของมนุษย์อันมี รากฐานทางความคิดมาจากอารยธรรมตะวันตกที่มองมนุษย์แยกออกจากธรรมชาติ และยกย่อง มนุษย์ให้มีคุณค่าเหนือสิ่งอื่นใด รวมทั้งแนวคิดที่ว่าความสุขนั้นขึ้นอยู่กับการครอบครองวัตถุ การมีพื้นฐานทางความคิดลักษณะนี้ทําให้มนุษย์มีพฤติกรรมที่เบียดเบียนทําลายธรรมชาติ โดยเฉพาะการพัฒนาอุตสาหกรรมขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการในเรื่องของความสุข ส่งผล ให้เกิดภาวะโลกร้อน และในที่สุดก็ส่งผลกระทบต่อมนุษย์ การเข้าถึงหลักความจริงของธรรมชาติ ตามทัศนะทางพุทธปรัชญาจะทําให้มนุษย์ขจัดรากฐานทางความคิดที่ผิด โดยการสร้าง กระบวนการรับรู้ที่ถูกต้อง เพื่อให้เกิดความรู้ที่ถูกต้องตามจริงอันนําไปสู่การเกิดพฤติกรรมที่ไม่ เบียดเบียนทําลาย และอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน ถึงแม้การนําหลักพุทธปรัชญามาใช้ อาจจะไม่ได้ทําให้ปัญหาภาวะโลกร้อนลดลงไปอย่างเห็นผลชัดเจน เพราะอาจต้องใช้ระยะ เวลานานกว่าความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกจะลดลง แต่หลักพุทธปรัชญาจะช่วยปลูกฝังให้ มนุษย์มีรากฐานทางจิตใจ หรือความคิดที่ถูกต้องเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นการพัฒนาตนให้เข้าใกล้จุดหมายอันสูงสุดไปพร้อมกับการสร้างความสมดุลให้เกิด ขึ้นกับธรรมชาติอย่างยั่งยืน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อทุกชีวิตที่อาศัยอยู่บนโลก
- Publicationแนวคิดและกระบวนการในการสร้างพลังชุมชนของ บ้านสามขา อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปางนิชนันต์ มูลภาที; Nichanun Moonpatee (2012)The thesis’s objective is to analytical study of the concept and the process of creation of strength for community in Ban Sam-kha, Mae Tha District, Lampang Province. Methodology is documentary research and participatory observation as well as dept-interview with 5 community leaders, the representing it in a descriptive way. The study is found that the concept and the process of creation of strength for community can be applied in strengthen community in Ban Sam-kha. By application of that, the community becomes harmonious and disciplinary society. For the concept, they applied Sammaditthi (Right View) by encouraging the folks to share opinion and analyze the problems and make the plan for community. After getting one idea which comes about by the democratic way, then they raise it into practicum. In the level of practicum, they applied 4 Iddhipada (The Principle for Success). Based on that principle, they altogether work well without losing heart, taking full responsibility to the assignment. Then they assess the works they have done to find out the false, if any, in order that the resolution can be arrived. Strength for Ban Sam Kha community is created concretely, since each one of them has a good faith, understanding to one another, without prejudice, having cooperation in solving the problems. This implies that 6 Saraniyadhamma (The Principle of Remembrance) are applied. Discipline and order that promulgated at Ban Sam Kha are to followed the member strictly and heart-fully because they come from their needs. They have the sense of belonging to those law and order.
- Publicationอิทธิพลของโหราศาสตร์ในการแก้กรรมชองชาวไทยพุทธไกรยศ นาคชัยยะ; Kraiyos Nakchaiya (2012)การวิจัยนี้มีความประสงค์ที่จะนาเสนอเรื่อง อิทธิพลของโหราศาสตร์ในการแก้กรรมของ ชาวไทยพุทธ พร้อมนาเสนอการแก้กรรมที่ถูกต้องตามหลักพุทธศาสนา การวิจัยนี้เป็นการวิจัย เอกสาร โดยเน้นศึกษาจากพระไตรปิฎก อรรถกถา และสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้อง ผลการศึกษาพบว่า 1. โหราศาสตร์ดั้งเดิมเป็นศาสตร์บริสุทธิ์ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาและไสยศาสตร์ แต่ใน ปัจจุบันโดยเฉพาะโหราศาสตร์มีพิธีกรรมและไสยศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โหราศาสตร์ มีหลักการโดยอาศัยการโคจรของดวงดาวและบันทึกเก็บสถิติปรากฏการณ์ต่างๆ ที่มีผลจาก ดวงดาว จนเกิดหลักการในการพยากรณ์ โหราศาสตร์ก่อประโยชน์ ด้านข้อมูลบุคคล เวลา เหตุการณ์ ถือได้ว่าโหราศาสตร์เป็นเครื่องบ่งชี้ให้ทราบถึงอนาคตเพื่อเตรียมตัวเตรียมใจมีสติกับ เหตุการณ์ดีหรือร้ายในอนาคต 2. หลักกรรมพุทธศาสนา ชี้ให้เห็นว่า “ผู้ทากรรมดี ย่อมได้ผลดี ผู้ทากรรมชั่วย่อมได้ ผลชั่ว” และ หลักกรรมนั้นให้รู้จักพึ่งตนเอง ไม่ฝากโชคชะตาไว้กับปัจจัยภายนอก พระพุทธศาสนาเป็น ศาสนาที่ได้ชื่อว่า กัมมวาที คือเป็นศาสนาที่ถือหลักกรรมนั้น ว่ามีผลจริง 3. ชาวไทยพุทธปัจจุบันเชื่อเรื่องโหราศาสตร์และกฎแห่งกรรมไปพร้อมกันในขณะที่ยัง เชื่อว่าทาดีได้ดี ทาชั่วได้ชั่ว ตามหลักพุทธศาสนา แต่ก็ยังมีความเชื่อโหราศาสตร์โดยใช้ประกอบ การตัดสินใจก่อนที่จะดาเนินกิจการอย่างใดอย่างหนึ่ง ผลของการเชื่อเรื่องแก้กรรมของชาวไทยพุทธ มีอิทธิพลมาจากประเพณีไทย วรรณคดีไทยดั้งเดิมและพุทธศาสนา ผสมผสานอยู่ในวิธีชีวิตของ คนไทยมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ตามความหมายที่แท้จริงคาว่าแก้กรรมในพุทธศาสนาคือ การยุติทากรรมชั่ว(อกุศล) ดาเนินไปสู่หลักการแก้ปัญหาที่ถูกต้องตามหลักพุทธธรรมตามเส้น ทางอริยมรรคมีองค์แปด
- Publicationพุทธจริยศาสตร์กับการบริโภคปัจจัย 4พระมหาเกรียงไกร กิตฺติเมธี (พินยารัก); Phra maha Kriengkrai kittimedhi (Pinyarak) (2012)วิทยานิพนธ์ฉบับนี้เป็นการวิจัยเอกสารซึ่งมีวัตถุประสงค์ ๓ ประการ คือ เพื่อศึกษาพุทธจริยศาสตร์ในการบริโภคปัจจัย ๔ เพื่อศึกษาการบริโภคปัจจัย ๔ ของคนไทยกลุ่มบริโภคนิยม และเพื่อศึกษาวิเคราะห์ การบริโภคปัจจัย ๔ ของคนไทยตามพุทธจริยศาสตร์ ผลการศึกษาพบว่า พุทธจริยศาสตร์กับการบริโภคปัจจัย๔ในความหมายของพุทธจริยศาสตร์หมายถึงการบริโภคด้วยปัญญา ประกอบด้วยเหตุผลให้รู้ถึงคุณค่าที่แท้จริงเป็นความประพฤติของมนุษย์และการดำรงชีวิตอยู่ด้วยหลักเกณฑ์ทางจริยธรรม การบริโภคปัจจัย ๔ ทรรศนะของพุทธจริยศาสตร์บริโภคเพื่ออุดหนุนชีวิต มิใช่จุดม่งหมายของชีวิต ความหมายของการบริโภคเชิงพุทธจริยศาสตร์ไม่ได้บริโภคเพื่อสนองความต้องการหรือเป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีทรรศนะสนับสนุนการบริโภคเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายสูงสุด อันเป็นเหตุจะทำให้มนุษย์มีศักยภาพที่สมบูรณ์ ทำให้ชีวิตมีความดีงามยิ่งขึ้น ทำให้มนุษย์มีความสามารถในการดำรงชีพที่ดีงามได้พุทธจริยศาสตร์ซึ่งมีลักษณะเป็นสมบูรณ์นิยม กล่าวคือเป็นหลักความประพฤติที่มีลักษณะที่แน่นอนตายตัวไม่มีการเปลี่ยนแปลงหากกล่าวถึงการบริโภคปัจจัยตามทรรศนะพุทธจริยศาสตร์แบ่งได้ ๒ ประเภท คือ การบริโภคของบรรพชิต กับการบริโภคของคฤหัสถ์ โดยอยู่ภายใต้หลักการบริโภคตามหลักพุทธจริยศาสตร์ที่เกี่ยวกับการบริโภคปัจจัย ๔คือ การบริโภคตามหลักปุริสธรรม หลักโยนิโสมนสิการ หลักมัชฌิมาปฎิปทา และหลักสันโดษ เพราะสาเหตุในการบริโภคปัจจัยมาจากความต้องการพื้นฐานของมนุษย์และเริ่มมีการบริโภคด้วยตัณหา ทำให้คุณค่าของการบริโภคมีลักษณะ ๒ ประการ คือ คุณค่าแท้กับคุณค่าเทียม โดยมีจุดมุ่งหมายของการบริโภคปัจจัย ๔ คือ เพื่อการดำรงอยู่แห่งชีวิตและพัฒนาชีวิตของมนุษย์ให้มีความสมบูรณ์อย่างยั่งยืนมิใช่บริโภคเพื่อสนองความอยากหรือเพื่อประดับหรือสร้างความสวยงามให้กับร่างกายแต่อย่างใด การบริโภคปัจจัย ๔ ของคนไทยกลุ่มบริโภคนิยม อยู่ที่ค่านิยมที่มาจากผู้อื่นและความเชื่อของตนเอง จึงได้พยายามที่จะศึกษาและนำมาปฏิบัติใช้ในชีวิต อันได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค เพราะคนไทยส่วนใหญ่มีแนวคิดเกี่ยวกับบริโภคนิยมในด้านวัตถุมากกว่าด้านจิตใจ เพราะเชื่อว่าวัตถุสิ่งของจะนำความสุข ความเจริญมาสู่ตน ครอบครัว และการมีเกียรติยศในสังคม อันเป็นเหตุทำให้แนวคิดนี้กลายเป็นวัฒนธรรมการบริโภคในกลุ่มบริโภคนิยมที่คนไทยได้นำมาเลียนแบบ ซึ่งรู้คุณค่าของการบริโภคนิยม แต่ไม่สามารถที่จะลด ละ เลิกบริโภคนิยมที่เกินความจำเป็นได้ ดังนั้นจึงส่งผลให้จุดมุ่งหมายที่จะดำเนินชีวิตแบบพอเพียงและเรียบง่ายลดลงไป พุทธจริยศาสตร์วิเคราะห์บริโภคนิยมของคนไทยสาเหตุสำคัญการบริโภคนิยมของคนไทยตามทรรศนะพุทธจริยศาสตร์เห็นว่าเกิดจากคุณค่าบริโภคนิยมที่สนองความต้องการและความพึงพอใจสูงสุด การบริโภคกลุ่มบริโภคนิยมของคนไทยทำให้เกิดปัญหาทางจริยธรรมคือ ปัญหาครอบครัว ปัญหาการศึกษา ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาสังคมและวัฒนธรรม พุทธจริยศาสตร์ในฐานะเหตุผลผู้สนับสนุน มีทรรศนะให้ดำรงชีวิตแบบเรียบง่าย และอยู่ด้วยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน สนับสนุนการบริโภคด้วยปัญญา พุทธจริยศาสตร์มีทรรศนะเกี่ยวกับการบริโภคนิยมว่าเป็นเพียงกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สนองความต้องการเท่านั้น สำหรับเหตุผลในฐานะผู้คัดค้านกล่าวคือ คัดค้านการแสวงหาปัจจัย ๔ โดยมิชอบและเกินความจำเป็นโดยมิได้คำนึงถึงจริยธรรมในการบริโภคที่ดี ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดปัญหาทางจริยธรรมและปัญหาอื่น ๆ อีกมากมาย และทำให้ศักยภาพในการเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ลดน้อยลง ดังนั้น การศึกษาพุทธจริยศาสตร์กับการบริโภคปัจจัย ๔ ของคนไทย จะเป็นประโยชน์มาก หากทราบถึงหลักพุทธจริยศาสตร์ในการบริโภคปัจจัย ๔ สามารถทำให้การบริโภคเข้าถึงจิตใจและอาจจะลด ละ เลิกการบริโภคปัจจัย ๔ ที่เกินขอบเขตและเกินความจำเป็นนั้นก็อาจจะเป็นไปได้ในที่สุด
- Publicationการศึกษาวิเคราะห์แนวคิดและกระบวนการพัฒนาจิตในพุทธปรัชญาเถรวาทพระทับทอง ทีปธมฺโม (สุวรรณวิเศษ); Phra Tabthong Dipadhammo (Sumannawiset) (2012)งานวิจัยเรื่องนี้มีประสงค์ คือ เพื่อศึกษาธรรมชาติของจิตในพุทธปรัชญาเถรวาท และเพื่อศึกษาวิเคราะห์กระบวนการพัฒนาจิตในพุทธปรัชญาเถรวาท เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพ ด้วยการศึกษาข้อมูลจากพระไตรปิฏก เอกสารวิชาการทางพระพุทธศาสนา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผลการวิจัยพบว่า แนวคิดเรื่องจิตในทัศนะพุทธปรัชญาเถรวาทตามนัยแห่งอภิธรรมโดยย่อ มี ๘๙ ดวง โดยพิศดาร มี ๑๒๑ ดวง และมีสิ่งที่เกิดร่วมกับจิตคือเจตสิกอีก ๕๒ ดวงและคำที่เป็นไวพจน์กัน เช่น มโน มนัส หทัย มนะ มนายตนะ วิญญาณ วิญญาณขันธ์ เป็นต้น จิตมี ๒ ลักษณะคือ สามัญลักษณะหรือจิตทั่วไปได้แก่ จิตที่ไปได้ไกล เที่ยวไปแต่ผู้เดียว ไม่มีรูปร่างและมีถ้ำคือร่างกายเป็นที่อยู่อาศัย และวิเสสลักษณะหรือจิตเฉพาะ ได้แก่ จิตที่ดิ้นรน กวัดแกร่งรักษาได้ยาก ข่มได้ยาก เป็นธรรมชาติที่เบา และหมกมุ่นในอารมณ์ที่รักใคร่ ส่วนธรรมชาติของจิตมีลักษณะที่พิเศษ คือ มีการรับรู้อารมณ์อยู่เสมอ เป็นธรรมชาติรู้ เป็นประธานในการทำสิ่งต่างๆ สิ่งทั้งปวงตกอยู่ในอำนาจของจิตทั้งสิ้น จิตมีการเกิดดับอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดนามรูป ส่วนจิตที่ได้รับการพัฒนาแล้ว เรียกว่า ภาวิตจิต หรือพัฒนาจิต หรือ กุศลจิต ในกระบวนการพัฒนาจิตนั้นต้องเริ่มจากการรู้จักปฏิบัติตนตามสิกขาบทที่ตนดำรงสถานภาพอยู่ทั้งสิกขาบทของพระภิกษุ สามเณร และศีลสำหรับคฤหัสถ์ เมื่อพัฒนาตนอยู่ในหลักศีลแล้วจะทำการสำรวมอินทรีย์ ๖ คือสำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพื่อที่จะสามารถเจริญจิตภาวนาหรือเจริญสมาธิให้มั่นคงเป็นสัมมาสมาธิได้ เมื่อจิตมั่นคงพอเป็นเหตุปัจจัยแก่การเจริญปัญญาแล้ว ย่อมพิจารณาธรรมทั้งปวง ได้อย่างถ่องแท้ เข้าใจถูกต้องตามความจริงตามลำดับแห่งการพัฒนา จนสามารถบรรลุเป้าหมายสูงสุดของจิตคือนิพพาน
- Publicationการเข้าใจพุทธทำนายเรื่อง "พรหมจรรย์ไม่ตั้งอยู่นาน" กับปัญหาการบวชภิกษุณีในสังคมไทยไพรินทร์ กะทิพรมราช; Pairin Katipommarat (2012)ในเบื้องต้นบทความนี้จะแสดงให้เห็นลักษณะและข้อบกพร่องของการนำพุทธทำนายเรื่อง "พรหมจรรย์ไม่ตั้งอยู่นาน" ซึ่งเป็นข้อความที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฏก มาใช้เป็นข้ออ้างหนึ่งในการถกเถียงปัญหาการบวชภิกษุณีในสังคมไทย ของทั้งฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการบวชภิกษุณีซึ่งเชื่อว่าพุทธทำนายนี้เป็นพุทธพจน์แท้ และฝ่ายที่เห็นด้วยกับการบวชภิกษุณีที่พยายามปฏิเสธว่าพุทธทำนายนี้ไม่ใช่พุทธพจน์แท้ ต่อจากนั้นผู้เขียนจะได้เสนอแนวทางการเข้าใจพุทธทำนายดังกล่าวนี้เสียใหม่ ภายใต้การเข้าใจอย่างใหม่นี้ พุทธทำนายจะดำรงอยู่ในฐานะคำเตือน ดังนั้น ถึงแม้ยอมรับว่าข้อความพุทธทำนายนี้เป็นพุทธพจน์แท้ ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการบวชภิกษุณีก็จะไม่สามารถนำพุทธทำนายนี้ไปใช้เป็นข้ออ้างเพื่อไม่ให้มีการบวชภิกษุณีได้อีกต่อไป
- Publicationแนวคิดเรื่องเงินในพุทธปรัชญาสุมาลย์ นบนอบ; Sumarn Nobnorb (2012)The thesis title is “the concept of money in Buddhist philosophy”. Its objectives are 1) to study the meaning and the role of money in Buddhist philosophy and 2) to analyze the value of money in Buddhist philosophy. The Documentary research is used. The study is found that the meaning of money in Buddhist philosophy is regarded as material exchange and measure. In the economy system, the money is the basic needs to run the business as the capital of production and consumption. But in Buddhist philosophy, the money is classified into two groups which are the secular wealth and the sublime wealth. One should accumulate the latter by oneself because the first is normally degenerated and the latter is abstract and sublime to lead one to Nibbana that is the most sake of Buddhists. So it is only intermediate to exchange and measure material things but the use and the collection of money in Buddhist philosophy do not mean to be rich, entertainment and social authority but mean to use the basic need of oneself and do not go in the way of encroachment of others. In Buddhist philosophy, the principles of allocation getting by legal way are apportioned into 4 parts
- Publicationการศึกษาวิเคราะห์หน้าที่ความเป็นมนุษย์ในพุทธปรัชญาพระสมุห์สุชาติ ปริสุทฺโท (ทะยอมใหม่); Phra Samusuchat Parisutto (Tayommai) (2012)วิทยานิพนธ์ฉบับนี้เป็นการวิจัยเอกสารซึ่งมีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อศึกษาความเป็นมนุษย์ในพุทธปรัชญาเถรวาท หน้าที่ของความเป็นมนุษย์ในพุทธปรัชญาเถรวาท และ วิเคราะห์หน้าที่ความเป็นมนุษย์ในพุทธปรัชญาเถรวาท ผลการศึกษาพบว่า ความเป็นมนุษย์ในพุทธปรัชญาเถรวาท กล่าวคือ ความหมายของมนุษย์ในพุทธปรัชญาเถรวาท หมายถึง มนุษย์เป็นสัตว์สังคมและมนุษย์สามารถหลุดพ้นได้โดยจิต ซึ่งความสำคัญของมนุษย์ในพุทธปรัชญาเถรวาท เน้นที่ตัวมนุษย์เป็นสำคัญ หรือมีมนุษย์เป็นศูนย์กลางของคำสอนและมีการฝึกฝนพัฒนาด้านจิตใจและปัญญาตามลำดับ ความเป็นผู้มีกาย, ศีล, จิตและปัญญาที่พัฒนาแล้วเท่านั้น จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในหมู่มนุษย์ และที่สำคัญมนุษย์ไม่ได้มีการดำเนินไปอย่างเลื่อนลอยโดยไม่มีกฏเกณฑ์อะไร แต่ดำเนินชีวิตอย่างมีระเบียบและตามกฎเกณฑ์ที่แน่นอน ซึ่งมนุษย์ได้สร้างหลักประกันความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวคือ มนุษย์มีความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น และถือหลักสิทธิมนุษยชน หลักเสรีภาพ และ เพื่อให้การพัฒนามนุษย์เป็นไปอย่างสมบูรณ์และปลอดภัยในชีวิต หน้าที่ความเป็นมนุษย์ในพุทธปรัชญาเถรวาท กล่าวได้ว่า ความเป็นมนุษย์ในพุทธปรัชญาเถรวาทนั้นตามความหมายของหน้าที่มนุษย์ คือ สิ่งที่ต้องทำ หน้าที่ของมนุษย์ก็มีอยู่เพียงสองอย่างเท่านั้น คือ หน้าที่ที่ต้องทำแก่ตนเองอย่างหนึ่ง และหน้าที่ที่ต้องทำให้แก่คนอื่นอย่างหนึ่ง เพราะความสำคัญของหน้าที่มนุษย์นั้นอยู่ที่การนำเอาหลักธรรมมาปรับใช้ให้เหมาะสม โดยลักษณะหน้าที่ของมนุษย์ คือการแสวงหาความดีและให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ในหน้าที่ ซึ่งมนุษย์จะต้องรักษาศีล และการกระทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ วิเคราะห์หน้าที่ความเป็นมนุษย์ในพุทธปรัชญาเถรวาท กล่าวคือ การทำหน้าที่ของมนุษย์จะเกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของตนเองและความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นๆ ซึ่งจำแนกหน้าที่ออกได้เป็น ๖ ประการ คือ (๑) หน้าที่ของบิดา มารดา (๒) หน้าที่ของครูบา อาจารย์ (๓) หน้าที่ของภรรยา บุตร (๔) หน้าที่ของมิตร สหาย (๕) หน้าที่ของบ่าว ไพร่ ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา และ (๖) หน้าที่พระสงฆ์ สมณะพราหมณ์ หรือ นักบวช ซึ่งหลักพุทธปรัชญาเถรวาทได้กล่าวถึงมนุษย์ที่สมบูรณ์นั้น คือ จะต้องอาศัยการทำหน้าที่ของตนให้ดีก่อน และรู้จักนำเอาหลักธรรมมาปรับใช้กับหน้าที่ของตน มนุษย์จึงจะมีความความสมบูรณ์ในการทำหน้าที่ให้กับผู้อื่นต่อไป
- Publicationการศึกษาวิเคราะห์พุทธจริยศาสตร์ในการแพทย์แผนไทยปัณณวัชญ์ ชูพันธ์นิส; Punnawach Choophantnis (2012)วิทยานิพนธ์ เรื่อง “การศึกษาวิเคราะห์พุทธจริยศาสตร์ในการแพทย์แผนไทย” มีวัตถุประสงค์ ๓ ข้อ คือ (๑) เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมาและจรรยาบรรณของการแพทย์แผนไทย (๒) เพื่อศึกษาพุทธจริยศาสตร์กับแนวคิดทางการแพทย์ (๓) เพื่อวิเคราะห์พุทธจริยศาสตร์ในการแพทย์แผนไทย งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ ผลการศึกษาพบว่า ก. ความเป็นมาและจรรยาบรรณของการแพทย์แผนไทยเกิดจากปรัชญาทางการแพทย์ของมนุษย์ เป็นการดูแลรักษาร่างกายให้หายจากการเจ็บไข้ การสะสมประสบการณ์ในท้องถิ่น พร้อมกับแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ จากประสบการณ์ของชุมชนอื่นๆ ควบคู่ไปกับจรรยาบรรณที่ปรากฏเป็นหลักฐานในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ โดยนำมาจากหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ข. พุทธจริยศาสตร์เป็นหลักการดำเนินชีวิตที่ดีงาม ตามคำสอนในพระพุทธศาสนา เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตร่วมกันอย่างสงบสุขในสังคม โดยเริ่มจาก “ศีล” ซึ่งถือเป็นข้อปฏิบัติพื้นฐานควบคู่ไปกับแนวคิดทางการแพทย์แผนไทย ที่มองความเจ็บไข้ว่าเกิดจากการขาดความสมดุลของธาตุทั้ง ๔ ซึ่งเป็นส่วนของขันธ์ทั้ง ๕ ค. การดำเนินชีวิตที่ดีงามในการแพทย์แผนไทย พบว่า เป็นหลักธรรมในพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น หรือกล่าวว่าเป็น “พุทธจริยศาสตร์ในการแพทย์แผนไทย”
- Publicationศึกษาเปรียบเทียบวิถีชีวิตของพระนางมหาปชาบดีโคตมีและนางวิสาขามหาอุบาสิกาในพุทธศาสนาเถรวาทพระสำรวย ทรายฉิมภาลี; Samruai Saichimphali (2012)The research is a comparative study the way of life of Mahã Pajãpatï Gotamï and Visãkhã in Theravada Buddhism. The purpose is to compare between similarity and difference in the way of life of Mahã Pajãpatï Gotamï and Visãkhã This result was found that the way of life of them had been very significant role for propagation of Buddhism such as good leader performance, belief and passion. Mahã Pajãpatï Gotamï had accumulated merits for several beings and she was born in king’s family who looked after prince Siddhartha at that time. Later, she asked for permission, which any woman could be the Buddhist nun, and she attained to be Buddhist saint who was received the praise in excellence of knowing anything more than the others. And, Visãkhã also had accumulated merits for many lives, at that time
- Publicationการศึกษาเปรียบเทียบแนวคิดสุขภาวะองค์รวมเชิงพุทธของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) และแนวคิดความสุขมวลรวมประชาชาติ (GNH) ประเทศภูฏานจุฑาภรณ์ จิตเงิน; Jutaporn Jitngoen (2012)The thesis’s objective is to study in a comparative way the PhraBrahmagunaborn (P.A. Payutto)’s Concept of Buddhist Holistic Health and the Concept of Gross National Happiness (GNH) of Bhutan. The points of comparison are the meaning of happiness, causality or sources of happiness and the way or process that leads to happiness. The results of study are as followings
- Publicationวิเคราะห์แนวทางแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวตามหลักพุทธจริยศาสตร์สุริยา หอมอ่อน; Suriya Homon (2012)
- PublicationA study of female characters in the Jataka stories : a critical approachMeMe Khine (2012)The aim of this research paper is to highlight the roles of women in Buddhism and to defend feminine power as a constructive force in the Buddha's path to Enlightenment. The researcher has focused on interpretative plasticity and compares the interpretation of recurrent themes against various shifting contexts. The study focuses on historical depictions of women in the Jatak:a Stories, where images have been categorized as negative, neutral and positive. Moreover, the construction of feminine power has also been categorized into three groups, namely, destructive, neutral and constructive. Such a presentation is extremely rare in modem academic institutions for the fact that a Buddhist scholar native to the forerunning Theravada nation of Burma has attempted on a most difficult topic with contemporary women's rights assertions, recounting and drawing allegofies of the past with the present.
- Publicationการศึกษาวิเคราะห์อุเบกขาในพุทธปรัชญาเถรวาทพระครูสมุห์สนั่น ฐานกโร (พิธิยานุวัฒน์); PHRAKRUSAMUSANAN THANAKARO (PITHOYANUVAT) (2012)วิทยานิพนธ์นี้ ต้องการศึกษาเชิงปรัชญาเรื่องอุเบกขา ในกรอบของวัตถุประสงค์ ๓ ประการ คือ ๑) เพื่อศึกษาแนวคิดเรื่องอุเบกขาในพุทธปรัชญา ๒) เพื่อวิเคราะห์แนวคิดเรื่องอุเบกขาในพุทธอภิปรัชญา และ ๓) เพื่อวิเคราะห์คุณค่าของอุเบกขาในพุทธเถรวาท ผลการวิจัยพบว่า จากการศึกษาพบว่า อุเบกขาหรือความวางเฉยที่ถูกต้อง หมายถึง ท่าทีการถืออุเบกขาหรือความวางเฉยแบบมีปัญญากำกับ ที่เรียกว่า “ญาณุเบกขา” เป็นอุเบกขาที่อิงอาศัยความรู้คือปัญญา และต้องมาควบคู่กับปัญญาเสมอ เพื่อที่จะใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นประจักษ์ขัดว่า อะไรคือความจริง อะไรคือความถูกต้อง อะไรคือความดีงาม อะไรคือหลักการ โดยมีเป้าหมายหลักคือ (๑) เป็นการปฏิบัติอุเบกขาเพื่อรักษาบุคคล (๒) เป็นการปฏิบัติอุเบกขาเพื่อรักษาสังคม และ(๓) เป็นการปฏิบัติอุเบกขาเพื่อรักษาธรรม แนวคิดเรื่องอุเบกขาในเชิงอภิปรัชญา ทำให้พบว่า อุเบกขาในทางพุทธปรัชญา มีทัศนะเน้นไปในด้านนามธรรม ซึ่งสามารถที่จะจัดเข้ากับหลักอภิปรัชญาได้ ๒ แบบ คือ ๑.อุเบกขาแบบจิตนิยม เป็นการมองโลกด้วยภาวะความเป็นจริงทางด้านจิตใจ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในวัตถุสิ่งของ ลักษณะแนวคิดเรื่องเป็นจริงของโลกและสรรพสิ่งแบบจิตนิยมทำให้มองเห็นว่า นอกจากสภาวะอันเป็นจริงที่มนุษย์รับรู้ด้วยประสาทสัมผัสแล้วยังมีความเป็นจริงอีกในสภาวะหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังสภาพที่ปรากฏของสิ่งนั้น โลกแห่งความเป็นจริงของสรรพสิ่งในทัศนะของจิตนิยมจึงหมายถึงแนวคิดที่อยู่นอกประสบการณ์ ๒.อุเบกขาแบบธรรมชาตินิยม คือการที่จิตมองเห็นความจริงตามเหตุปัจจัย แล้ววางใจเป็นกลางได้ธรรมชาติที่เป็นกลาง ๆ ไม่มีจิตใจ ไม่มีความคิดร้าย หรือคิดดี ความเป็นไปของธรรมชาตินั้น บางคราวก็อ่อนโยนละมุนละไมอำนวยประโยชน์ทำให้มนุษย์พอใจและมีความสุข บางคราวก็ร้ายรุนแรงเป็นโทษก่อความทุกข์แก่มนุษย์ พุทธจริยธรรมนั้นเป็นหลักการหรือแนวทางในการดำเนินชีวิตที่ดี ที่ประเสริฐ อันเป็นวิธีการ หรือเครื่องมือในการไปสู่จุดมุ่งหมายอันเป็นประโยชน์สูงสุด เป็นอุดมคติของชีวิต ครอบคลุมถึงเกณฑ์ตัดสินว่า การกระทำใดดีหรือไม่ดี ควรหรือไม่ควร พุทธจริยธรรมจึงเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตที่ดีของชาวพุทธ ซึ่งสามารถสรุปตามวัตถุประสงค์ได้เป็น ๓ ระดับด้วยกัน คือ ๑) พุทธจริยธรรมขั้นพื้นฐาน เป็นเบื้องต้นของธรรมจริยา ได้แก่ เบญจศีล อันได้แก่ ศีล ๕ (Five percepts) และเบญจธรรม อันได้แก่ ธรรม ๕ ประการ ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติฝ่ายศีลและธรรมที่สนับสนุนกัน เป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติควบคู่กัน ๒) พุทธจริยธรรมขั้นกลาง จริยธรรมที่มีไว้ให้บุคคลปฏิบัติ เพื่อยกระดับคุณธรรมจริยธรรมให้สูงขึ้น ได้แก่ กุศลกรรมบถและเว้นอกุศลกรรมบถควบคู่กันไปด้วย ๓) พุทธจริยธรรมขั้นสูง เป็นจริยธรรมระดับสูงสุดอันเป็นทางที่บุคคลประพฤติปฏิบัติตามแล้วจะห่างไกลจากข้าศึกภายใน คือ กิเลสเครื่องเศร้าหมอง ได้แก่อริยอัฏฐังคิกมรรคหรือมรรคมีองค์ ๘
- PublicationBuddhadasa Bhikkhu's concept of empty-mind (Cit-Wang) : a critical studyChamnien Saengsin (2012)There are three main objectives for this research paper. Firstly, it aims at studying Buddhadasa Bhikkhu's view of empty-mind (cit-wang) and also the Canonical Theravada texts. Secondly, it examine Buddhadasa Bhikkhu's concept of "cit-wang" with the idea of suii.natii in the Canonical Theravada texts. Lastly, it aims to study the view of other scholars with regard to "cit-wang" and to examine the application of "cit-wang" in Thai society. This thesis proposes that Buddhadasa Bhikkhu's interpretation of "empty-mind" or "cit-wang" corresponds to the Buddha's teaching as appears in the Pali Canon, and is a practical means that is also relevant to the everyday life of modem day people. The methodology employed is the NettipakaraQa, a Buddhist hermeneutical theory used as a means for eliminating wrong understanding of the Buddha's teachings. This theory includes the research and analysis of primary and secondary texts, such as books, journals and internet resources. This study shows that there were two major causes leading to Buddhadasa Bhikkhu's formulation of the concept of empty-mind or "cit-wang", namely, national problems and Buddhist problems. The national problems arose due to the government policy which placed high importance on material development which led people into an age of materialism. The other cause was Buddhist problems, because Buddhadasa Bhikkhu saw that teaching religion with these old-fashioned methods was not able to satisfy the deeper spiritual needs of human beings in this modem society. Buddhadasa Bhikkhu explained that he coined the term "cit-wang" as an alternative to the word sunnatii. This study found that the concept of "cit-wang" does not stray from the theme of sunnatii as found in the Canonical Theravada texts. Both "citwang" and sunnatii cover the same concept of truth, namely, that all states are empty of a self or things related to the self. However, the states of "cit-wang" and sunnatii (emptiness) also have some differences. Sunnatii is a state of being empty of creatures, people, self, me, him, and her. In other words the word suiinatii means emptiness, because of the fact that there is no self to be found in the world. On the other hand, the specific term "cit-wang" varies slightly from traditional Buddhist teachings in that it is a state of mind that is accompanied by wisdom and is therefore free from the feeling of 'me' and 'mine'. The concept "cit-wang" is a basis of practice that can be applied in everyday life for both lay and monastic practitioners. Buddhadasa Bhikkhu's presentation of the concept of "cit-wang" rested on the explanation of all things (including the mind) having emptiness as their fundamental nature and the potentiality for everybody to be enlightened. Buddhadasa Bhikkhu' s teaching of "cit-wang" met with a variety of both positive and negative criticism, because people's intellectual capacities and realization of Dharnrna are not all of the same degree. Many people were not able to understand the subtleties of Buddhadasa Bhikkhu's teaching method. In fact, when people study the Buddha-Dharnrna in the Pali canon deeply and truly, they will find that Buddhadasa Bhikkhu's reinterpretation and teaching did not stray from the essence of the BuddhaDharnrna, since the conception of "cit-wang" is consistent with the theme of sufifiatii and anattii in the Pali canon. The presentation of linguistics may be different but the purpose it not different.