ภาษาศาสตร์ประยุกต์
Permanent URI for this collection
บทความวิจัยและวิทยานิพนธ์ในสาขาวิชาภาษาศาสตร์ที่สังกัดสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย ในสายภาษาศาสตร์ประยุกต์ ได้แก่ การแปล (Translation) การรับภาษาที่สอง (Second (Foreign) language acquisition) การรับภาษาที่หนึ่ง (First language acquisition) การเรียนการสอนภาษา (Language teaching) ภาษากับปริชาน (Language and cognition) ภาษาศาสตร์คลังข้อมูล (Corpus linguistics) ภาษาศาสตร์คอมพิวเตอร์/การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Computational linguistics/Natural language processing) ภาษาศาสตร์จิตวิทยา (Psycholinguistics) ภาษาศาสตร์เชิงคลินิก/การแก้ไขการพูดการได้ยินภาษา/ความผิดปกติในการสื่อความหมาย (Clinical linguistics/Speech-language pathology/Communication disorders) ภาษาศาสตร์เชิงประวัติ/นิรุกติศาสตร์ (Historical linguistics/Philology) ภาษาศาสตร์ปริชาน (Cognitive linguistics) ภาษาศาสตร์เปรียบเทียบ (Comparative linguistics) ภาษาศาสตร์สังคม (Sociolinguistics) วิทยาภาษาถิ่น (Dialectology)
Browse
Browsing ภาษาศาสตร์ประยุกต์ by browse.metadata.researchtheme1 "ภาษาศาสตร์เปรียบเทียบ (Comparative Linguistics)"
Now showing 1 - 6 of 6
Results Per Page
Sort Options
- Publicationการศึกษาเปรียบเทียบราชาศัพท์ในภาษาไทยและภาษาเขมรจากมุมมองข้ามสมัยยรรยงค์ สิกขะฤทธิ์; Sikkharit, Yanyong (2016)วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาราชาศัพท์ในภาษาไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัยถึงปัจจุบัน และ ศึกษาราชาศัพท์ในภาษาเขมรตั้งแต่สมัยก่อนพระนครถึงปัจจุบัน รวมทั้งศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างราชา ศัพท์ในภาษาไทยและภาษาเขมร ผลการศึกษาพบว่า ราชาศัพท์ในภาษาเขมรปรากฏมาตั้งแต่สมัยก่อนพระนคร มีที่มาจากภาษา สันสกฤตและภาษาเขมร มีวิธีการสร้างที่ไม่ซับซ้อน มักเป็นการยืมคาจากภาษาต่างประเทศหรือการใช้หน่วย เติม ต่อมาในสมัยพระนครจึงปรากฏวิธีการสร้างเพิ่มมากขึ้น ในสมัยกลางพบราชาศัพท์ที่มาจากภาษาบาลี และพบการใช้หน่วยเติมที่หลากหลายและซับซ้อนขึ้น ในสมัยปัจจุบันราชาศัพท์ในภาษาเขมรมีมากขึ้นและ พบคาที่มาจากภาษาไทยด้วย ส่วนวิธีการสร้างนั้นก็หลากหลายและซับซ้อนกว่าเดิม ส่วนราชาศัพท์ในภาษาไทยปรากฏในสมัยสุโขทัย พบครั้งแรกในจารึกวัดศรีชุมสมัยพระมหาธรรม ราชาที่ ๑ ลิไทย มีที่มาทั้งจากภาษาบาลีสันสกฤต ภาษาไทย ภาษาเขมร และภาษาอื่น ๆ ส่วนใหญ่เป็นการ สร้างด้วยการใช้หน่วยเติม พบทั้งหน่วยเติมหน้าและหน่วยเติมท้าย ในสมัยอยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ พบราชาศัพท์ที่มาจากภาษาอื่น ๆ ด้วย เช่น ภาษาชวา-มลายู ภาษาอาหรับ-เปอร์เซีย ส่วนใหญ่เป็นการสร้าง ด้วยการใช้หน่วยเติมหน้าและการประกอบกับราชาศัพท์ ในสมัยก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองและสมัย ปัจจุบัน วิธีการสร้างราชาศัพท์มีความซับซ้อนยิ่งขึ้น อีกทั้งยังพบการสร้างด้วยการตัดหน่วยเติมหน้าด้วย ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างราชาศัพท์ไทยและเขมรพบว่า ราชาศัพท์ไทยสมัยสุโขทัยและอยุธยา ตอนต้นได้รับอิทธิพลจากราชาศัพท์เขมรสมัยพระนคร ทั้งในด้านศัพท์และการสร้างราชาศัพท์ แต่ได้พัฒนา วิธีการสร้างเฉพาะของตน และได้ส่งอิทธิพลต่อการสร้างราชาศัพท์เขมรในสมัยกลาง นอกจากนี้ยังพบว่า ราชาศัพท์เขมรสมัยปัจจุบัน แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของการสร้างราชาศัพท์ไทยตั้งแต่สมัยอยุธยา ธนบุรี และ รัตนโกสินทร์ อย่างไรก็ตาม แม้จะพบราชาศัพท์ที่ไทยและเขมรใช้ตรงกัน แต่มีจานวนไม่มาก ค วาม คล้ายคลึงกันของราชาศัพท์ไทยและเขมร จึงมิได้เกิดจากปัจจัยด้านการยืมศัพท์ แต่น่าจะเกิดจากปัจจัยด้าน การยืมการสร้างราชาศัพท์ระหว่างกัน
- Publicationการศึกษาเปรียบเทียบรูปแบบทางวากยสัมพันธ์และความหมาย ของคำว่า [Khmer Word] /tɨv/ ‘ไป’ และ [Khmer Word] /mɔɔk/ ‘มา’ ในภาษาเขมรกับสำนวนแปลภาษาไทยกฤตกร สารกิจ; Sarakit, Krittakorn (2019)วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบทางวากยสัมพันธ์และความหมายของคำว่า [Khmer Word] /tɨv/ ‘ไป’ และ [Khmer Word] /mɔɔk/ ‘มา’ ในภาษาเขมรและเปรียบเทียบรูปแบบทางวากยสัมพันธ์และความหมายของคำทั้งสองกับสำนวนแปลภาษาไทย โดยเก็บข้อมูลจากนวนิยายภาษาเขมรและฉบับแปลเป็นภาษาไทย ผลการศึกษาพบว่าคำว่า [Khmer Word] /tɨv/ ‘ไป’ และ [Khmer Word] /mɔɔk/ ‘มา’ ในภาษาเขมรปรากฏในกริยาวลีและ บุพบทวลี ในกริยาวลี คำทั้งสองปรากฏเป็นทั้งกริยาเดี่ยวและปรากฏร่วมกับคำกริยาอื่น เมื่อปรากฏเป็นกริยาเดี่ยวมีความหมายแสดงการเคลื่อนที่ทางกายภาพและทิศทางการเคลื่อนที่ เมื่อปรากฏร่วมกับคำกริยาอื่น ๆ สามารถปรากฏในตำแหน่งหน้าคำกริยา มีความหมายแสดงการเคลื่อนทางกายภาพหรือการเคลื่อนที่ทางความคิดและ ทิศทางการเคลื่อนที่ ปรากฏระหว่างคำกริยา มีความหมายแสดงทิศทาง และปรากฏหลังคำกริยา มีความหมายแสดงทิศทาง การเปลี่ยนสถานภาพ การณ์ลักษณะ และเจตนาของประโยค เมื่อคำทั้งสองปรากฏในบุพบทวลี มีความหมายแสดงความสัมพันธ์ทางพื้นที่ ความสัมพันธ์ทางเวลา และความสัมพันธ์ทางปริมาณ เมื่อพิจารณาสำนวนแปล พบว่ามี 3 ลักษณะ คือ 1) สามารถแปลเป็นคำว่า ไป และ มา ในภาษาไทยได้อย่างเทียบเท่า เมื่อคำทั้งสองปรากฏเป็นกริยาเดี่ยว ปรากฏหน้าคำกริยา ปรากฏระหว่างคำกริยา ปรากฏหลังคำกริยา (ยกเว้นความหมายแสดงเจตนาของประโยค) และปรากฏในบุพบทวลี (ยกเว้นความหมายแสดงความสัมพันธ์ทางปริมาณ) 2) แปลเป็นคำว่า ไป และ มา ในภาษาไทยได้ แต่ต้องปรับรูปแบบทางวากยสัมพันธ์ เมื่อปรากฏหลังคำกริยาแสดงทิศทางและการณ์ลักษณะ และ 3) แปลเป็นคำว่า ไป และ มา ในภาษาไทยไม่ได้ เมื่อปรากฏระหว่างคำกริยา (พบเฉพาะเมื่อมีคำกริยา [Khmer Word] /rɔɔk/ ‘หา’ ตามมา) ปรากฏหลังคำกริยาแสดงเจตนาของประโยค และปรากฏในบุพบทวลีแสดงความสัมพันธ์ทางปริมาณ
- Publicationการศึกษาเปรียบเทียบวิธีการบอกเวลาในภาษาไทยกรุงเทพฯและภาษาจ้วงส้างซีฮุยถาย หยู; You, Huicai (2004)งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะศึกษาเปรียบเทียบวิธีการบอกเวลาในภาษาไทยกรุงเทพฯและภาษาจ้วงส้างซี โดยมุ่งศึกษาวิธีการบอกจุดของเวลาและระยะของเวลา รวมทั้งศึกษาเปรียบเทียบโลกทัศน์ของผู้พูดภาษาไทยและผู้พูดภาษาจ้วงที่สะท้อนจากวิธีการบอกเวลาด้วย การศึกษาครั้งนี้ผู้วิจัยได้เก็บข้อมูลจากพจนานุกรมและจากการสัมภาษณ์ผู้บอกภาษาทั้งภาษาไทยและภาษาจ้วง ผลการศึกษาพบว่า ภาษาไทยและภาษาจ้วงมีการบอกเวลาภายใน 1 วันเป็น 3 แบบ คือ การบอกเวลาที่ไม่เป็นทางการ การบอกเวลาที่เป็นกึ่งทางการ และการบอกเวลาที่เป็นทางการ ทั้งสองภาษาใช้วิธีการบอกเวลาที่คล้ายคลึงกันในการบอกเวลาที่ไม่เป็นทางการและการบอกเวลาที่เป็นทางการ แต่ใช้วิธีการบอกเวลาที่แตกต่างกันในการบอกเวลาที่เป็นกึ่งทางการซึ่งทำให้ทั้งสองภาษามีการแบ่งเวลาภายใน 1 วันแตกต่างกัน นอกจากนั้นพบว่า ภาษาไทยและภาษาจ้วงมีการบอกจุดของเวลาวัน เดือน ปีเป็น 2 แบบ คือ การบอกเวลาที่ไม่เป็นทางการและการบอกเวลาที่เป็นทางการ โดยทั้งสองภาษาใช้วิธีการบอกเวลาที่คล้ายคลึงกันในการบอกเวลาที่ไม่เป็นทางการและใช้วิธีการบอกเวลาที่แตกต่างกันในการบอกเวลาที่เป็นทางการ ผลการศึกษายังพบว่า ภาษาไทยและภาษาจ้วงมีการใช้หน่วยสร้างต่างๆ และสำนวนต่างๆ มาบอกระยะเวลาโดยประมาณ โดยภาษาไทยปรากฏใช้หน่วยสร้างทั้งหมด 13 หน่วยสร้างและสำนวนทั้งหมด 4 ประเภท แต่ภาษาจ้วงปรากฏใช้หน่วยสร้างทั้งหมด 10 หน่วยสร้างและสำนวนประเภทเดียวนอกจากนั้น ภาษาไทยและภาษาจ้วงได้แบ่งระยะของเวลาเป็น 4 ระดับเหมือนกัน วิธีการบอกเวลาที่เหมือนกันและแตกต่างกัน สะท้อนให้เห็นถึงโลกทัศน์ที่เหมือนหรือแตกต่างกันของผู้พูดภาษาไทยและผู้พูดภาษาจ้วง
- Publicationคำซ้ำในภาษาจีนและภาษาไทย : การศึกษาเปรียบเทียบเจิง โหย่ว ฟู่; Fu, Zeng You (1983)วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ ผู้วิจัยมีจุดมุ่งหมายที่จะศึกษาคำซ้ำซึ่งเป็นวิธีการประกอบรูปคำที่สำคัญอย่างหนึ่งในภาษาจีนและภาษาไทยว่ามีความแตกต่าง และความคล้ายคลึงกันอย่างไรบ้าง โดยพิจารณาชนิดของคำที่ซ้ำได้ รูปแบบ เสียง หน้าที่และความหมายของคำซ้ำในทั้งสองภาษา ข้อมูลคำซ้ำในภาษาจีนนั้นเก็บรวบรวมจากหนังสือตำราต่างๆ จากเพื่อนนักศึกษาจีนและจากผู้วิจัยเอง คำซ้ำในภาษาไทยได้จากหนังสือตำราต่างๆและเพื่อนนิสิตไทย วิธีการวิจัยใช้การเปรียบเทียบคำซ้ำที่ใช้ในภาษาพูด ทั้งนี้เพื่อให้เห็นลักษณะคำซ้ำที่ใช้ในภาษาพูดปัจจุบันในทั้งสองภาษา ผลวิจัยสรุปได้ผลว่า คำ 10 ชนิดในภาษาจีนและภาษาไทย ที่นำมาศึกษาในครั้งนี้ ส่วนใหญ่จะนำมาซ้ำได้ คือในภาษาจีนมีคำ 7 ชนิด ซ้ำได้และในภาษาไทยมีคำ 9 ชนิดซ้ำได้ ส่วนรูปแบบคำซ้ำในภาษาจีนและภาษาไทย จะแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ คำซ้ำประเภทอิสระ ซึ่งเป็นคำที่ซ้ำแล้วใช้ตามลำพังได้ประเภทหนึ่ง และคำซ้ำประเภทไม่อิสระซึ่งเป็นคำที่ซ้ำแล้วใช้ตามลำพังไม่ได้อีกประเภทหนึ่ง คำซ้ำทั้ง 2 รูปแบบนี้ อาจแบ่งประเภทย่อยได้อีก คำซ้ำในภาษาจีนจะมีทั้งหมด 7 รูปแบบ และคำซ้ำในภาษาไทยจะมีทั้งหมด 5 รูปแบบ คำ 2 พยางค์ ในภาษาจีนบางคำซ้ำได้ 2 รูปแบบ ซึ่งลักษณะนี้ไม่ปรากฏในภาษาไทยในเรื่องลักษณะทางด้านเสียง คำซ้ำในทั้ง 2 ภาษา ต่างก็มีคำซ้ำที่เปลี่ยนเสียงวรรณยุกต์ และคำซ้ำที่ไม่เปลี่ยนเสียงวรรณยุกต์ ถ้าเปลี่ยนเสียงวรรณยุกต์ ก็จะเปลี่ยนเป็นเสียงสูงทั้งสิ้นและสระในพยางค์ที่ลงเสียงหนักหรือลงเสียงหนักเน้นพิเศษ จะออกเสียงยาวกว่าสระในพยางค์ที่ไม่ลงเสียงหนักหรือพยางค์ที่ลงเสียงหนักธรรมดา ส่วนเสียงพยัญชนะของคำซ้ำจะไม่เปลี่ยนแปลงในทั้งสองภาษา หน้าที่ของคำซ้ำในภาษาจีนและภาษาไทย แบ่งได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ คำซ้ำทำหน้าที่อย่างเดียวกับคำเดิมประเภทหนึ่ง คำซ้ำที่ทำหน้าที่ต่างกับคำเดิมประเภทหนึ่ง และคำซ้ำที่เทียบหน้าที่กับคำเดิมไม่ได้อีกประเภทหนึ่ง หน้าที่ของคำซ้ำในภาษาไทยส่วนใหญ่เหมือนคำเดิม ส่วนหน้าที่ของคำซ้ำในภาษาจีนบางคำจะเกี่ยวข้องกับรูปแบบคำซ้ำ รูปแบบของคำซ้ำต่างกันจะทำให้หน้าที่ของคำซ้ำแตกต่างกันไป ส่วนความหมายของคำซ้ำในภาษาจีนและภาษาไทยนั้นจะแตกต่างกับความหมายของคำเดิมไม่มากก็น้อย ความหมายของคำซ้ำในภาษาจีนและภาษาไทยต่างมี 8 ประเภท เป็นความหมายที่ตรงกันคือปรากฏในทั้งสองภาษา 6 ประเภทผลการวิจัยได้เสนอเป็น 7 บท คือ บทที่ 1 เป็นบทนำ กล่าวถึงความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง วัตถุประสงค์และขอบเขตของการวิจัย ประโยชน์ที่จะได้รับจากการวิจัยและวิธีดำเนินการวิจัย บทที่ 2 เป็นการวิเคราะห์ชนิดของคำที่ซ้ำได้ บทที่ 3 เป็นการวิเคราะห์รูปแบบของคำซ้ำ บทที่ 4 เป็นการวิเคราะห์ลักษณะทางด้านเสียงของคำซ้ำ บทที่ 5 เป็นการวิเคราะห์หน้าที่ของคำซ้ำ บทที่ 6 เป็นการวิเคราะห์ความหมายของคำซ้ำ บทที่ 7 สรุปผลการวิจัยและเสนอแนะให้มีการศึกษาเปรียบเทียบลักษณะทางด้านอื่นๆของคำซ้ำในภาษาจีนและภาษาไทยต่อไป
- Publicationคำลักษณนามในภาษาไทยและภาษาเวียดนาม : การศึกษาเปรียบเทียบสิริวงษ์ หงษ์สวรรค์; Hongsawan, Siriwong (1997)ศึกษาคำลักษณนามในภาษาไทยและภาษาเวียดนาม โดยมุ่งศึกษาคำลักษณนามในโครงสร้างนามวลีบอกจำนวน เพื่อวิเคราะห์อรรถลักษณ์ของคำลักษณนาม และจำแนกกลุ่มคำลักษณนาม รวมทั้งศึกษาเปรียบเทียบโลกทัศน์ของผู้พูดภาษาไทยและภาษาเวียดนาม ที่สะท้อนให้เห็นจากการใช้คำลักษณนาม วิธีการที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ การวิเคราะห์อรรถลักษณ์ โดยกำหนดขอบเขตการวิเคราะห์ คำลักษณนามเดี่ยวเฉพาะที่เป็นคำลักษณนามแท้ทุกประเภทในภาษาพูดและภาษาเขียน ทั้งภาษาที่ใช้ทั่วไปและภาษาที่ใช้เฉพาะ ทั้งนี้ผู้วิจัยเก็บข้อมูลคำลักษณนาม และตัวอย่างการใช้คำลักษณนามจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และจากการสัมภาษณ์ผู้บอกภาษาไทยและภาษาเวียดนามด้วย ผลการศึกษาพบว่า คำลักษณนามแท้ในภาษาไทยและภาษาเวียดนามมีการจำแนกกลุ่มแตกต่างกัน กล่าวคือ คำลักษณนามในภาษาไทยจำแนกได้ 3 กลุ่ม คือ คำลักษณนามที่แสดงส่วนของร่างกาย คำลักษณนามที่แสดงการรับรู้ และคำลักษณนามที่แสดงความรู้สึก รวบรวมได้ทั้งหมด 73 คำ ปรากฏร่วมกับอรรถลักษณ์ทั้งหมด 52 อรรถลักษณ์ ส่วนคำลักษณนามในภาษาเวียดนามจำแนกได้ 5 กลุ่ม คือ คำลักษณนามที่แสดงส่วนของร่างกาย คำลักษณนามที่แสดงการรับรู้ คำลักษณนามที่แสดงความรู้สึก คำลักษณนามที่แสดงความเปรียบแบบบุคลาธิษฐาน และคำลักษณนามที่แสดงความเปรียบแบบอุปลักษณ์ รวบรวมได้ทั้งหมด 74 คำ ปรากฏร่วมกับอรรถลักษณ์ทั้งหมด 70 อรรถลักษณ์ นอกจากนี้ อรรถลักษณ์ที่นำมาเป็นเกณฑ์ในการจำแนกกลุ่มคำลักษณนามของภาษาไทย และภาษาเวียดนามพบว่า มีความคล้ายคลึงกัน อรรถลักษณ์ดังกล่าว ได้แก่ อรรถลักษณ์ของสิ่งที่มีมาแต่เดิม อรรถลักษณ์ที่แสดงการรับรู้โดยประสาทสัมผัส อรรถลักษณ์ที่แสดงหน้าที่ และอรรถลักษณ์ที่แสดงลักษณะพิเศษ จากการวิเคราะห์อรรถลักษณ์ต่างๆ ของคำลักษณนาม ยังพบว่าอรรถลักษณ์เด่นที่สุดของคำลักษณนามแต่ละประเภทนั้น แสดงให้เห็นว่า ผู้พูดภาษาไทยและภาษาเวียดนามจะเลือกใช้คำลักษณนาม กับคำนามประเภทต่างๆ ตามเกณฑ์และเงื่อนไขทางวัฒนธรรมที่แต่ละภาษากำหนด เกณฑ์ต่างๆ ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นโลกทัศน์ที่ เหมือนกันและแตกต่างกันของผู้พูดทั้งสองภาษา
- Publicationภาคแสดงในประโยคความเดียวของภาษาจีน และภาษาไทย : การศึกษาเปรียบเทียบอีสง เริ่น; Ren, Yi-xiong (1987)วิทยานิพนธ์เล่มนี้ มีจุดประสงค์ที่จะศึกษาเปรียบเทียบภาคแสดงในประโยคความเดียวของภาษาจีนและภาษาไทยว่า มีส่วนประกอบและลักษณะการปรากฏเป็นอย่างไร โดยแยกศึกษาเป็น 4 หัวข้อดังนี้ 1. ภาคแสดงที่คำกริยาไม่ปรากฏ 2. ภาคแสดงที่มีคำกริยาปรากฏแต่ไม่มีคำนามปรากฏ 3. ภาคแสดงที่มีคำกริยา และคำนามปรากฏร่วมกัน 4. ภาคแสดงที่มีคำขยายคำกริยา และคำขยายคำนามที่เป็นกรรม ภาคแสดงที่คำกริยาไม่ปรากฏที่มีส่วนประกอบเหมือนกันในทั้งสองภาษา คือภาคแสดงที่ประกอบด้วยคำนาม ภาคแสดงที่ประกอบด้วยคำสรรพนาม ภาคแสดงที่ประกอบด้วยคำบอกจำนวน ซึ่งมักจะมีคำลักษณนามปรากฏร่วมด้วย และภาคแสดงที่ประกอบด้วยคำคุณศัพท์ นอกจากนี้ในภาษาจีนยังมีภาคแสดงที่มีคำกริยาที่ไม่ปรากฏอีก 2 แบบ คือภาคแสดงที่ประกอบด้วยคำลักษณนามและคำเลียนเสียง คำขยายในภาคแสดงดังกล่าวของทั้งสองภาษามี 4 ชนิดเหมือนกัน คือ คำคุณศัพท์ คำบอกจำนวน ซึ่งมักจะมีคำลักษณนามปรากฏร่วมด้วย คำนามและคำวิเศษณ์ คำขยายชนิดต่างๆเหล่านี้ ในภาษาจีนมีตำแหน่งอยู่หน้าคำที่ถูกขยายเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีคำบางชนิดที่มีตำแหน่งอยู่หลังคำที่ถูกขยาย ในภาษาไทยคำขยาย มีตำแหน่งอยู่หลังคำที่ถูกขยายเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีคำบางชนิดที่มีตำแหน่งอยู่หน้าคำที่ถูกขยาย นอกจากนี้ ในทั้งสองภาษามีคำบางชนิดที่บางคำมีตำแหน่งอยู่หน้า บางคำมีตำแหน่งอยู่หลังคำที่ถูกขยาย ภาคแสดงที่มีคำกริยาปรากฏแต่ไม่มีคำนามปรากฏ ในทั้งสองภาษามีส่วนประกอบเป็นคำกริยา คำขยายคำกริยามี 5 ชนิดเหมือนกันทั้งภาษาจีนและภาษาไทย คือคำวิเศษณ์ คำกริยา คำคุณศัพท์ คำเลียนเสียง และคำบอกจำนวน ซึ่งมักจะมีคำลักษณนามปรากฏร่วมด้วย คำขยายชนิดต่างๆเหล่านี้ บางชนิดมีตำแหน่งอยู่หน้า บางชนิดมีตำแหน่งอยู่หลังคำที่ถูกขยายเหมือนกันทั้งสองภาษา ภาคแสดงที่มีคำกริยาและคำนามปรากฏร่วมกัน คำนามนั้นอาจเป็นกรรมของคำกริยาหรืออาจจะทำหน้าที่ขยายคำกริยา หรือขยายคำนามที่เป็นกรรมอีกทีหนึ่ง คำนามที่เป็นกรรมมีตำแหน่งอยู่หลังคำกริยาทั้งภาษาจีนและภาษาไทย ส่วนคำนามขยายคำกริยา ซึ่งมักจะมีคำบุพบทนำหน้า ในภาษาจีนมีตำแหน่งอยู่หน้าคำกริยา แต่ในภาษาไทยมีตำแหน่งอยู่หลังคำกริยา คำนามขยายคำนามที่เป็นกรรม ในภาษาจีนมีตำแหน่งอยู่หน้าคำนามที่ถูกขยาย แต่ในภาษาไทยมีตำแหน่งอยู่หลังคำนามที่ถูกขยาย ภาคแสดงที่มีคำขยายคำกริยาและคำขยายคำนามที่เป็นกรรม คำขยายคำกริยาในทั้งสองภาษามี 6 ชนิดเหมือนกัน คือ คำวิเศษณ์ คำกริยา คำคุณศัพท์ คำเลียนเสียง คำบอกจำนวน ซึ่งมักจะมีคำลักษณนามปรากฏร่วมด้วย และคำนามซึ่งมักจะมีคำบุพบทนำหน้า คำขยายเหล่านี้ แต่ละชนิดอาจจะขยายคำกริยาตามลำพังหรือร่วมกันขยายคำกริยาก็ได้ คำขยายคำนามที่เป็นกรรม ในทั้งสองภาษามี 4 ชนิดเหมือนกัน คือ คำนาม คำสรรพนาม คำบอกจำนวน ซึ่งมักจะมีคำลักษณนามปรากฏร่วมด้วย และคำคุณศัพท์นอกจากนี้ ในภาษาไทยยังมีคำนิยมวิเศษณ์อีกชนิดหนึ่งที่ใช้ขยายคำนามที่เป็นกรรมได้ คำขยายเหล่านี้ แต่ละชนิดอาจจะขยายคำนามตามลำพัง หรือร่วมกันขยายคำนามก็ได้ ในภาษาจีนคำขยายคำนามที่เป็นกรรม มีตำแหน่งอยู่หน้าคำนาม แต่ในภาษาไทยมีตำแหน่งอยู่หลังคำนามที่เป็นกรรม