ภาษาศาสตร์ภาษาบาลีและสันสกฤต
Permanent URI for this collection
บทความวิจัย บทความวิชาการ รายงานการวิจัย วิทยานิพนธ์ สารนิพนธ์ และหนังสือเกี่ยวกับไวยากรณ์บาลี ไวยากรณ์สันสกฤต หรือ ไวยากรณ์บาลีและสันสกฤตเชิงเปรียบเทียบ ด้านเสียง การสร้างคำนาม คำกริยา วากยสัมพันธ์ ภาษาบาลีและสันสกฤตในภาษาไทย
Browse
Browsing ภาษาศาสตร์ภาษาบาลีและสันสกฤต by browse.metadata.researchtheme1 "หน่วยคำวิทยา (Morphology)"
Now showing 1 - 20 of 24
Results Per Page
Sort Options
- Publicationกริยากรรมวาจกและกริยาการีตในภาษาสันสกฤตสมัยมหากาพย์ศุภรางศุ์ อินทรารุณ; Indraruna, Subhrangsu (1977)วิทยานิพนธ์เล่มนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะศึกษาการสร้างและการใช้กริยากรรมวาจกและกริยาการีต จากคัมภีร์มหากาพย์สองเล่มที่สำคัญที่สุดของอินเดีย คือ รามายณะ และมหาภารตะ ด้วยเหตุที่สมัยมหากาพย์เป็นสมัยต่อเนื่องระหว่างสมัยพระเวทกับสมัยสันสกฤตมาตรฐาน การศึกษานี้จะครอบคลุมทั้งในลักษณะที่เป็นกริยาสำคัญ และเป็นนามกิตก์ กริยากิตก์ ตลอดจนอนุพันธ์อื่น ๆ นอกจากนี้ยังจะได้ศึกษาความสัมพันธ์ของกริยาทั้งสองชนิดนี้กับกริยาขั้นที่หนึ่งและกริยาขั้นที่สองชนิดต่าง ๆ อีกทั้งลักษณะพิเศษในการใช้ภาษาสันสกฤตสมัยมหากาพย์ ที่ทำให้ภาษาสมัยนี้แตกต่างไปจากภาษาสมัยอื่นในด้านที่เกี่ยวกับกริยากรรมวาจกและกริยาการีตอีกด้วย เนื้อเรื่องของวิทยานิพนธ์แบ่งออกเป็น 9 บท บทที่ 1 คือ บทนำ กล่าวถึงจุดประสงค์ และขอบเขตของการวิจัย บทที่ 2 กล่าวถึงศัพท์ทางไวยากรณ์ที่ใช้ในวิทยานิพนธ์เล่มนี้ พร้อมทั้งความหมายและคำจำกัดความ บทที่ 3 กล่าวถึงการสร้างและการใช้กริยากรรมวาจกในลักษณะที่เป็นกริยาสำคัญในประโยค บทที่ 4 กล่าวถึงการสร้างและการใช้กริยาการีตในลักษณะเดียวกับบทที่ 3 บทที่ 5 กล่าวถึงการสร้างและการใช้กริยาขั้นที่สาม อันเกิดจากกริยาขั้นที่สอง ตั้งแต่สองชนิดขึ้นไปผสมกัน บทที่ 6 กล่าวถึงการสร้างและการใช้กิตก์และตัทธิต อันหมายถึงคำประเภทต่าง ๆ ที่สร้างจากธาตุ ในลักษณะที่มิได้เป็นกริยาสำคัญในประโยค บทที่ 7 กล่าวถึงความแตกต่างของภาษาสมัยมหากาพย์กับภาษาสมัยอื่น บทที่ 8 กล่าวถึงความสัมพันธ์ของคำชนิดต่าง ๆ ในประโยคภาษาสันสกฤตโดยมีกริยากรรมวาจกและกริยาการีตเป็นหลัก และบทที่ 9 เป็นบทสรุปผลการวิจัยและเสนอแนะ
- Publicationการใช้ภาษาบาลีพระมหาเทียบ สิริญาโณ (มาลัย) (ภาควิชาบาลีและสันสกฤต คณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2004)
- Publicationการศึกษาเชิงวิเคราะห์ภาษาสันสกฤตในคัมภีร์ลลิตวิสตระ อัธยายที่ 1-4ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์; Podhiprasiddhinand, Pathompong (1993)
- Publicationการศึกษาเชิงวิเคราะห์เรื่องกิตก์ในคัมภีร์สัททนีติปกรณ์บำรุง ชำนาญเรือ; Chamnanrua, Bamroong (1989)
- Publicationการศึกษาเปรียบเทียบคำนามในคำภีร์ปทรูปสิทธิและลฆุสิทธานตเกามุทีพระมหาโกมล แก้วดึง; Kaeodueng, Phramaha Komon (2005)งานวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาคำนาม (ส. = ปฺราติปทิก) ในคัมภีร์ปทรูปสิทธิและลฆุสิทธานตเกามุที โดยศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับรูปแบบการนำเสนอ วิธีการสร้างคำ และส่วนประกอบของคำนาม มี ลิงค์ วจนะ วิภัตติ (ส. = วิภกฺติ) การันต์ (ส. = การานฺต) และปัจจัย (ส. = ปฺรตฺยย) แล้วนำมาเปรียบเทียบเพื่อช่วยให้ศึกษาไวยากรณ์แบบดั้งเดิมได้ง่ายขึ้น ผลการวิจัยพบว่า 1. คัมภีร์ปทรูปสิทธิแต่งโดยพระพุทธัปปิยเถระ ชาวอินเดียตอนใต้ ราวพุทธศตวรรษที่ 15-16 ส่วนคัมภีร์ลฆุสิทธานตเกามุลี แต่งโดยวรทราชะ ศิษย์ของภัฎโฏชิทึกษิต ราวพุทธศตวรรษที่ 11 2. แม้ว่า คัมภีร์ปทรูปสิทธิ จะดำเนินตามวิธีของสูตรไวยากรณ์ ตามที่ปรากฏในคัมภีร์ลฆุสิทธานตเกามุที เท่าที่ได้ศึกษาในการสร้างคำนาม ดูเหมือนว่า คัมภีร์ปทรูปสิทธิ ไม่ได้รับอิทธิพลจากคัมภีร์ลฆุสิทธานตเกามุที มีการใช้ชื่อเรียกเฉพาะทางไวยากรณ์ที่ต่างกันหลายแห่ง วิภัตติสำหรับแจกคำนามในคัมภีร์ปทรูปสิทธิก็ลดน้อยลงกว่าที่มีอยู่เดิม เนื่องจากทวิวจนะในภาษาบาลีไม่มี คำนามที่ลงท้ายด้วยพยัญชนะในภาษาสันสกฤตทั้งหมดถูกเปลี่ยนเป็นคำนามที่ลงท้ายด้วยสระในภาษาบาลี 3. ค่อนข้างจะแน่นอนว่า คัมภีร์ปทรูปสิทธิ ไม่ได้ดำเนินตามประเพณีทางไวยากรณ์ที่ปาณินินักไวยากรณ์ผู้ยิ่งใหญ่ได้วางไว้อย่างเคร่งครัด แต่จะดำเนินตามคัมภีร์ทางไวยากรณ์สันสกฤตเล่มอื่น ซึ่งจำเป็นต้องมีการศึกษาค้นคว้าต่อไป
- Publicationการศึกษาเปรียบเทียบคำสมาสในคัมภีร์ปทรูปสิทธิและลฆุสิทธานตเกามุทีพระมหาประดิษฐ์ บ่อชน; Borchon, Phramaha Pradit (2020)บทความวิจัยนี้มีจุดประสงค์ 3ประการ คือ 1. เพื่อศึกษารูปแบบการสร้างค าสมาสด้วยกฎไวยากรณ์ในคัมภีร์ปทรูปสิทธิ 2. เพื่อศึกษารูปแบบการสร้างค าสมาสด้วยกฎไวยากรณ์ในคัมภีร์ลฆุสิทธานตเกามุที 3. เพื่อเปรียบเทียบรูปแบบการสร้างค าสมาสด้วยกฎไวยากรณ์ในคัมภีร์ปทรูปสิทธิกับคัมภีร์ลฆุสิทธานตเกามุทีผลการวิจัยพบว่า คัมภีร์ปทรูปสิทธิแต่งโดยพระพุทธัปปิยะ ในราวปลายพุทธศตวรรษที่ 15ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ 16คัมภีร์ลฆุสิทธานตเกามุทีแต่งโดยวรทราชในราวคริสต์ศตวรรษที่ 17ในคัมภีร์ปทรูปสิทธิใช้สูตรทั้งหมด 28 สูตรส่วนในการสร้างค าสมาสด้วยสูตรคัมภีร์ลฆุสิทธานตเกามุทีใช้สูตรทั้งหมด 79 สูตรคัมภีร์ปทรูปสิทธิเป็นคัมภีร์ที่ได้น าเอาสูตรมาจากคัมภีร์กัจจายนะมาเรียงล าดับใหม่ แต่งอธิบายเพิ่มเติม และได้น าอุทาหรณ์มาจากคัมภีร์ต่าง ๆ ส่วนใหญ่มาจากพระไตรปิฎกลฆุสิทธานตเกามุทีเป็นคัมภีร์ที่ได้น าสูตรจากคัมภีร์สิทธานตเกามุทีอันเป็นคัมภีร์ที่ปรับปรุงล าดับสูตรในคัมภีร์อัษฎาธยายีของปาณินิมาเรียบเรียงใหม่ตามล าดับการส าเร็จรูปของค าด้วยวิธีการที่สั้นและกะทัดรัด คัมภีร์ปทรูปสิทธิแสดงสมาสโดยชื่อ มี 6 คือ 1. อัพยยีภาวสมาส2.กัมมธารยสมาส 3.ทิคุสมาส 4. ตัปปุริสมาส 5.พหุพพีหิสมาส 6.ทวันทสมาส, คัมภีร์ลฆุสิทธานตเกามุที แสดงสมาสโดยลักษณะตามตัวประธานว่ามีอยู่ 5 สมาสคือ 1.เกวลสมาส 2.อัวยยีภาวสมาส3.ตัตปุรุษสมาส 4.พหุวรีหิสมาส 5. ทวันทวสมาส ความหมายของสมาสในคัมภีร์ปทรูปสิทธิ คือ 1.อัพยยีภาวสมาส สมาสที่มีบทหน้าเป็นประธาน 2.กัมมธารสมาส สมาสที่มีบทหลังเป็นประธาน และบทหน้าบทหลังมีวิภัตติเสมอกัน 3.ทิคุสมาส สมาสที่มีสังขยาเป็นบทหน้าและบทหน้ากับบทหลังมีวิภัตติเสมอกัน 4.ตัปปุริสสมาส สมาสที่มีบทหลังเป็นประธาน เหมือนกัมมธารยสมาส แต่บทหน้ากับบทหลังมีวิภัตติไม่เสมอกัน 5.พหุพพีหิสมาส สมาสที่มีบทอื่นเป็นประธาน 6.ทวันทสมาส สมาสที่มีบททั้งสองเป็นประธานความหมายของสมาสในคัมภีร์ลฆุสิทธานตเกามุที คือ 1. เกวลสมาส สมาสที่บทตัวประธานไม่ชัดเจน 2. อัวยยีภาวสมาส สมาสที่มีบทหน้าเป็นประธาน 3.ตัตปุรุษสมาส สมาสที่มีบทหลังเป็นประธาน 4. พหุวรีหิสมาส สมาสที่มีบทอื่นเป็นประธาน 5. ทวันทวสมาส สมาสที่มีบททั้งสองเป็นประธาน
- Publicationการศึกษาเปรียบเทียบคำสมาสในคัมภีร์ปทรูปสิทธิและลฆุสิทธานตเกามุทีพระมหาประดิษฐ์ บ่อชน; Borchon, Phramaha Pradit (2020)งานวิจัยนี้ มีจุดประสงค์ 2 ประการ คือ 1. เพื่อเปรียบเทียบประวัติความเป็นมาของคัมภีร์ปทรูปสิทธิและลฆุสิทธานตเกามุที 2. เพื่อเปรียบเทียบรูปแบบการนำเสนอวิธีการสร้างคำสมาสในคัมภีร์ปทรูปสิทธิและลฆุสิทธานตเกามุที ผลการวิจัยพบว่า คัมภีร์ปทรูปสิทธิแต่งโดยพระพุทธัปปิยะ ในราวปลายพุทธศตวรรษที่ 15 ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ 16 คัมภีร์ลฆุสิทธานตเกามุทีแต่งโดยวรทราชในราวพุทธศตวรรษที่ 11 (คริสต์ศตวรรษที่ 17) ในคัมภีร์ปทรูปสิทธิใช้สูตรทั้งหมด 28 สูตร ส่วนในการสร้างคำสมาสด้วยสูตรคัมภีร์ลฆุสิทธานตเกามุทีใช้สูตรทั้งหมด 79 สูตร คัมภีร์ปทรูปสิทธิเป็นคัมภีร์ที่ได้นำเอาสูตรมาจากคัมภีร์กัจจายนะมาเรียงลำดับใหม่ แต่งอธิบายเพิ่มเติม และได้นำอุทาหรณ์มาจากคัมภีร์ต่าง ๆ ส่วนใหญ่มาจากพระไตรปิฎก ลฆุสิทธานตเกามุทีเป็นคัมภีร์ที่ได้นําสูตรจากคัมภีร์สิทธานตเกามุทีอันเป็นคัมภีร์ที่ปรับปรุงลําดับสูตรในคัมภีร์อัษฎาธยายีของปาณินิมาเรียบเรียงใหม่ตามลําดับการสําเร็จรูปของคําด้วยวิธีการที่สั้นและกะทัดรัด คัมภีร์ปทรูปสิทธิแสดงสมาสโดยชื่อ มี 6 คือ 1. อัพยยีภาวสมาส 2. กัมมธารยสมาส 3. ทิคุสมาส 4. ตัปปุริสมาส 5. พหุพพีหิสมาส 6. ทวันทสมาส, คัมภีร์ลฆุสิทธานต-เกามุทีแสดงสมาสโดยลักษณะตามตัวประธานว่ามีอยู่ 5 สมาส คือ 1. เกวลสมาส 2. อัวยยี-ภาวสมาส 3. ตัตปุรุษสมาส 4. พหุวรีหิสมาส 5. ทวันทวสมาส
- Publicationการศึกษาเรื่องตัทธิตในคัมภีร์รูปสิทธิปกรณ์ประโชค ชัยสุวรรณ์; Chaisuwan, Prachok (1990)
- Publicationการศึกษาวิเคราะห์กระบวนการสร้างคำในมหากาพย์เสานทรนันทะตามหลักคัมภีร์อัษฏาธยายีของปาณินิพระมหาโกมล แก้วดึง; Kaeodueng, Phramaha Komon (2021)งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาประวัติและผลงานของปาณินิและพระอัศวโฆษ 2) เพื่อศึกษาบทต่าง ๆ ลักษณะของฉันทลักษณ์และอลังการในมหากาพย์เสานทรนันทะ 3) เพื่อศึกษาวิเคราะห์กระบวนการสร้างคำตามหลักไวยากรณ์คัมภีร์อัษฏาธยายีของปาณินิ ฉันทลักษณ์ และอลังการในมหากาพย์เสานทรนันทะ บทความวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยกระบวนการวิจัยเชิงเอกสาร (documentary research) กรณีศึกษาคือกระบวนการสร้างคำในมหากาพย์เสานทรนันทะตามหลักคัมภีร์อัษฏาธยายีของปาณินิ ได้มาโดยการเก็บรวมรวบเอกสารข้อมูลทั้งชั้นปฐมภูมิและทุติยภูมิ และทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ผลการวิจัยพบว่า 1. ปาณินิมีชีวิตอยู่ในช่วง 400 ปีก่อน ค.ศ. เกิดในสกุลพราหมณ์ มีชื่อว่า ปาณินิ ท่านมีผลงานคือคัมภีร์อัษฏาธยายี ภาษาสันสกฤตเป็นภาษาที่ละเอียดผ่านการคัดกรองมาอย่างดี ทั้งเสียง อักษร และหลักไวยากรณ์ จนได้รับยกย่องเป็นบิดาภาษาสันสกฤตมาตรฐาน ผลงานของท่านยังคงเป็นต้นแบบที่เป็นพื้นฐานของทฤษฎีทางภาษาศาสตร์สมัยใหม่ มีอิทธิพลต่อหลักคณิตศาสตร์ ภาษาศาสตร์และปรัชญาอินเดีย 2. พระอัศวโฆษมีชีวิตอยู่ระหว่าง 50 ปีก่อน ค.ศ. ถึง ค.ศ. 100 เป็นกวีคนแรกที่แต่งบทละครสันสกฤต ได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งบทละครสันสกฤต ท่านได้นำไวยากรณ์สันสกฤตมาพัฒนาต่อยอดผลิตผลของไวยากรณ์ในรูปของบทกวี เช่น พุทธจริต เสานทรนันทะ เป็นต้น จนได้รับยกย่องว่าเป็นมหากาพย์ที่มีอิทธิพลต่อความเจริญรุ่งเรืองของวรรณคดีสันสกฤตในสมัยต่อมา 3. กระบวนการสร้างคำตามตำราเรียนในปัจจุบันเป็นการทำให้ง่ายขึ้นสำหรับการเรียนไวยากรณ์สันสกฤตแบบใหม่ ซึ่งไม่ละเอียดเหมือนกระบวนการสร้างคำแบบอ้างอิงสูตรปาณินิ ส่วนฉันทลักษณ์ในมหากาพย์เสานทรนันทะ สรรคที่ 1, 2 และ 3 จำนวน 169 โศลก มีฉันท์ประเภทต่าง ๆ คือ 1) อนุษฏุภฉันท์ 8 พยางค์ 2) ตริษฏุภฉันท์ 11 พยางค์ 3) อติชคตีฉันท์ 13 พยางค์ 4) ศักวรีฉันท์ 14 พยางค์ 5) วาควัลลภฉันท์ โศลกที่มีคณะไม่เท่ากัน 6) อุปชาติ โศลกที่มีคณะเสมอกันครึ่งหนึ่ง และอลังการมี 2 ประเภท คือ 1) อลังการทางเสียง มีครบทั้ง 10 ประเภท มี ปรสารทคุณ เป็นต้น 2) อลังการทางความหมาย มี 3 ประเภท คือ (ก) รูปกาลังการ การแสดงความเป็นสิ่งเดียวกันระหว่างอุปมานะและอุปไมย (ข) อุปมาลังการ การเปรียบเทียบความเหมือนกันระหว่างสิ่งสองสิ่ง (ค) รสีอลังการ อลังการมีอรรถรส กล่าวคือแต่งให้เกิดรสต่าง ๆ มีศฤงคารรสเป็นต้น
- Publicationการศึกษาวิเคราะห์คำสมาสในเรื่องฤตุสํหาร ของกาลิทาสศรีสมร ศิลวัฒนาวงศ์; Silawatanawongse, Srisamorn (2021)การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ ๒ ประการ คือ ๑) ศึกษาเนื้อหาในวรรณคดีสันสกฤตเรื่อง ฤตุสํหาร ๒) ศึกษาวิเคราะห์การใช้คำสมาสใน เรื่องฤตุสํหารของกาลิทาส ต้นฉบับที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้คือ ต้นฉบับอักษรเทวนาครีของ เอ็ม. อาร์. กาเล ตีพิมพ์เมื่อ ค.ศ. ๑๙๖๗ และต้นฉบับแปลเป็นภาษา ไทยของ วรลักษณ์ พับบรรจง ตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๗ มีขอบเขตการศึกษา คือเรื่องฤตุสํหาร ของกาลิทาส มีขั้นตอนการศึกษา คือ ศึกษาแยกศัพท์คำสมาส จากนั้นนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ประเภทของสมาส เพื่อเรียบเรียงและสรุปผลการศึกษา ผลการศึกษาพบว่า ฤตุสํหาร ของกาลิทาส เป็นกวีนิพนธ์ประเภทขัณฑกาพย์ เป็นบทประพันธ์ร้อยกรองขนาดสั้น เด่นด้วยอรรถาลังการประเภทสวภาโวกติ คือการพรรณนาธรรมชาติ ตามที่เป็นจริง ประพันธ์ขึ้นด้วยฉันท์ทั้งหมด ๗ ชนิด ได้แก่ ๑) อินทรวัชราฉันท์ ๒) อุเปนทรวัชราฉันท์ ๓) อุปชาติฉันท์ ๔) วํศัสถะฉันท์ ๕) วสันตติลกาฉันท์ ๖) มาลินีฉันท์ และ ๗) ศารทูลวิกรีฑิตฉันท์ จำนวนฉันท์ทั้งหมด ๑๔๔ บท แบ่งออกเป็นบทหรือสรรค รวม ๖ สรรค ๖ ฤดู ตามฤดูทั้งหกของอินเดีย ได้แก่ สรรคที่ ๑ ฤดูร้อน, สรรคที่ ๒ ฤดูฝน, สรรคที่ ๓ ฤดูใบไม้ร่วง, สรรคที่ ๔ ฤดูหนาว, สรรคที่ ๕ ฤดูเย็น และ สรรคที่ ๖ ฤดูใบไม้ผลิ กวีนิพนธ์เรื่อง ฤตุสํหาร พบว่ากาลิทาสนิยมใช้สร้างคำด้วยวิธีสมาสในการประพันธ์ ซึ่งมีการใช้รูปแบบและฉันทลักษณ์ที่หลากหลาย มีการสร้างคำด้วยวิธีสมาสเป็นจำนวนมาก ครอบคลุมสมาสแทบทุกประเภท คือ ๑) ทวันทวสมาส ๒) ตัตปุรุษสมาส ๓) พหุวรีหิสมาส และ ๔) อวยยีภาวสมาส โดยสมาสที่ใช้มาก ส่วนใหญ่จะเป็นสมาสที่อยู่ในกลุ่มตัตปุรุษสมาสมากกว่ากลุ่มอื่นๆ รองลงมา ได้แก่ พหุวรีหิสมาส, อวยยีภาวสมาส และทวันทวสมาส
- Publicationการสร้างคำนามและคุณศัพท์จากธาตุด้วยอุณาทิสูตรญาณธวัช มายะ; Maya, Yanthawat (2021)อุณาทิ เป็นชื่อของปัจจัยกลุ่มหนึ่งสำหรับลงท้ายธาตุ (verbal roots) ในการสร้างคำนามและคุณศัพท์ต่างๆ โดยกำหนดเอาปัจจัยตัวแรกคือ อุณฺ ปัจจัย มาใช้แทนการเรียกชื่อปัจจัยทั้งหมด อุณาทิ จึงหมายถึง กลุ่มปัจจัยมี อุณฺ ปัจจัย เป็นต้น เนื่องจากปัจจัยในกลุ่มนี้มีอยู่เป็นจำนวนมากนั่นเอง การสร้างคำนามด้วยวิธีแห่งอุณาทิปัจจัยมีวิธีการอย่างเดียวกันกับกฤตปัจจัย ต่างกันเพียงวิธีการแห่งกฤตปัจจัยเมื่อสำเร็จแล้วใช้เป็นกริยาบ้าง คำนามบ้าง ส่วนอุณาทิปัจจัยเมื่อสำเร็จแล้วจะใช้เป็นคำนามและคุณศัพท์เท่านั้น การศึกษาวิธีการสร้างคำนามและคุณศัพท์จากธาตุด้วยอุณาทิสูตร โดยผ่านกระบวนการลงอุณาทิปัจจัยนี้ จะช่วยให้เข้าใจถึงที่มาของรากศัพท์ในภาษาสันสกฤตแต่ละศัพท์ได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าการสร้างคำนามในภาษาสันสกฤตจะมีอยู่มากมายหลายวิธีก็ตาม แต่วิธีแห่งอุณาทิสูตรมีใช้มากที่สุด ความเป็นหลากหลายดังกล่าวสะท้อนออกมาในตัวอุณาทิสูตรเองว่า อุณาทโย พหุลมฺ. (ปา.สู. 3.3.1) “อุณาทิปัจจัยมีใช้อย่างหลากหลาย” จากการศึกษาพบว่า การสร้างคำนามและคุณศัพท์ด้วยอุณาทิปัจจัยมีขอบเขตจำกัด เนื่องจากรูปสำเร็จของแต่ละคำต้องอาศัยสูตรหลัก ต่างจากสมาสและตัทธิตซึ่งใช้สูตรครอบคลุม จึงสร้างคำได้อย่างไม่จำกัด แต่เพราะจำนวนที่มากของอุณาทิปัจจัย จึงมีคำศัพท์ใช้อย่างเพียงพอ
- Publicationกิริยาอาขยาตในบาลีไวยากรณ์มูลกัจจายน์ทรัพย์ ประกอบสุข; Prakobsuk, Sapya (1977)วิทยานิพนธ์นี้มีความมุ่งหมายเพื่อจะศึกษาความเป็นมาของคัมภีร์มูลกัจจายน์ และการใช้คัมภีร์นี้ในการศึกษาภาษาบาลีในประเทศไทยในสมัยโบราณ ตลอดจนเปรียบเทียบให้เห็นความคล้ายคลึงและความแตกต่างของคัมภีร์นี้กับคัมภีร์ไวยากรณ์บาลีอื่นๆ ที่รู้จักกันอยู่ในประเทศไทย นอกจากนี้ผู้เขียนได้นำตัวสูตร วุตติ และอุทาหรณ์ของสูตรที่ว่าด้วยกริยาอาขยาต พร้อมด้วยคำแปลมารวมไว้ในวิทยานิพนธ์นี้ โดยจัดทำคำอธิบายเพิ่มเติมให้ชัดเจนยิ่งขึ้น และได้รวบรวมกิริยาอาขยาตที่ใช้ในภาคกิริยาอาขยาตของคัมภีร์นี้มารวมรวมไว้ในตอนท้ายด้วย ผู้เขียนได้รวบรวมหลักฐานข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับคัมภีร์นี้จากกระแสต่างๆ หลายกระแสด้วยกัน ทั้งที่เป็นลายลักษณ์อักษร และที่เป็นมุขปาฐะ โดยอาศัยคำบอกเล่า จากพระภิกษุตามวัดต่างๆ ในกรุงเทพฯ และหัวเมือง และจากนักปราชญ์ทางภาษาบาลี ผู้ศึกษาวิชานี้มาตามระบบเก่า และยังได้รวบรวมข้ออ้างอิงตามคัมภีร์ต่างๆ ตลอดจนข้อเขียนต่างๆ ที่กล่าวพาดพิงถึงวิธีการศึกษาภาษาบาลีในประเทศไทยตามระบบเก่าด้วย บทแรกของวิทยานิพนธ์นี้ กล่าวถึงความเป็นมาของปัญหา และเป็นบทนำที่กล่าวถึงการศึกษาวิชาภาษาบาลีในประเทศไทยโดยทั่วไป บทที่2 เป็นคำบรรยายถึงประวัติของคัมภีร์มูลกัจจายน์โดยเปรียบเทียบกับคัมภีร์อื่น และวิธีการศึกษาภาษาบาลีในประเทศไทยสมัยโบราณโดยเฉพาะ บทที่ 3 เป็นคำแปลและอธิบายสูตรต่างๆ ของคัมภีร์มูลกัจจายน์ภาคที่ 5 โดยแยกวิภัตติปัจจัยออกให้ปรากฏ แล้วจัดไว้เป็นหมวดหมู่ตามลำดับอักษร ส่วนบทสุดท้าย เป็นบทสรุปและเสนอแนะ โดยที่ผู้เขียนได้เสนอให้ผู้สนใจในการศึกษาทางวิชาภาษาบาลีในประเทศไทย ทำการวิจัยต่อไปในลักษณะอื่นๆ ที่มีคัมภร์มูลกัจจายน์ เพื่อจะให้การศึกษาคัมภีร์นี้เป็นไปโดยสมบูรณ์ เพื่อที่จะสามารถใช้เป็นหลักฐานประกอบการศึกษาต่อไปในอนาคตด้วย
- Publicationบทบาลีในคัมภีร์อภิธัมมัตถวิภาวินี ปัญจิกา อัตถโยชนา ตามสูตรคัมภีร์สัททาวิเสส : ศึกษาเชิงวิเคราะห์พระมหาโกมล แก้วดึง; พระมหาชิต อนุชิโต; Kaeodueng, Phramaha Komon (2019)การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ (๑) เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมาของคัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะและคัมภีร์อภิธัมมัตถวิภาวินี ปัญจิกา อัตถโยชนา (๒) เพื่อวิเคราะห์บทบาลีตามสูตรคัมภีร์สัททาวิเสสในคัมภีร์อภิธัมมัตถวิภาวินี ปัญจิกา อัตถโยชนา ผลการวิจัยพบว่า คัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะรจนาโดยพระอนุรุทธาจารย์ ชาวเมืองท่ากาเวริ อินเดียตอนใต้ ได้พักที่วัดมหาเมฆวัน เมืองอนุราธบุรี ประเทศศรีลังกา คัมภีร์นี้เปรียบเสมือนเพชรน้ำเอกทางวรรณกรรมบาลีของท่าน ส่วนคัมภีร์อภิธัมมัตถวิภาวินี ปัญจิกา อัตถโยชนา รจนาโดยพระญาณกิตติเถระแห่งล้านนา ชาวเชียงใหม่ ขณะจำพรรษาอยู่วัดปนสาราม เมื่อ พ.ศ. ๒๐๔๕ เป็นพระอาจารย์ของพระเจ้าติโลกราช และเคยไปศึกษาที่ประเทศลังกาในรัชกาลกษัตริย์กรุงลังกาปรักกรมพาหุที่ ๖ หลักการสำคัญในการรจนาคัมภีร์โยชนา คือการนำเสนอเนื้อหา ๔ ประการ คือ (๑) วากยานุสัมพันธ์- การสัมพันธ์ประโยค (๒) รูปวิเคราะห์สมาส ตัทธิต และกิตก์ พร้อมกับการประกอบรูปศัพท์ มีกระบวนการสร้างคำโดยนำสูตรจากกลุ่มคัมภีร์สัททาวิเสส มีคัมภีร์กัจจายนะ เป็นต้น รวมสูตรที่ปรากฏในปริจเฉทที่ ๑ จำนวน ๒๓๘ สูตร บรรดาสูตรเหล่านั้น วิธิสูตรมีจำนวนมากที่สุด คือ ๒๒๘ สูตร (๓) ความหมายของอุปสัคและนิบาต (๔) ความสัมพันธ์ของประโยคภาษาบาลี พระญาณกิตติเถระได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้แตกฉานไวยากรณ์บาลีและสันสกฤต เป็นปราชญ์ผู้รอบรู้หลักธรรมวินัยอย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่อดีตกระทั่งปัจจุบัน
- Publicationภาษาสันสกฤตในตำรายาแพทย์แผนไทยธีร์ พุ่มทับทิม; Phumthapthim, Theer (2002)
- Publicationรายงานการวิจัยเรื่องการวิเคราะห์คำบาลีสันสกฤตในภาษาไทย : คำกิตก์ คำอุปสรรค คำสมาส-สนธิและคำตัทธิตพัฒน์ เพ็งผลา (ภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออก มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 1989)
- Publicationรายงานการวิจัยเรื่องการศึกษาวิเคราะห์ธาตุภาษาสันสกฤตและภาษาบาลีจิรภัทร แก้วกู่ (มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น, 2006)
- Publicationไวยากรณ์ภาษาบาลี (ตัทธิต)ฐานิสร์ ชาครัตพงศ์ (คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ, 1998)
- Publicationไวยากรณ์ภาษาบาลี (นามกิตก์และกิริยากิตก์)ฐานิสร์ ชาครัตพงศ์ (คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ, 1997)
- Publicationไวยากรณ์ภาษาบาลี (นามและอัพยยศัพท์)ฐานิสร์ ชาครัตพงศ์ (คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ, 1996)
- Publicationไวยากรณ์ภาษาบาลี (สมาส)ฐานิสร์ ชาครัตพงศ์ (คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ, 1997)