ภาษาศาสตร์ประยุกต์
Permanent URI for this collection
บทความวิจัยและวิทยานิพนธ์ในสาขาวิชาภาษาศาสตร์ที่สังกัดสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย ในสายภาษาศาสตร์ประยุกต์ ได้แก่ การแปล (Translation) การรับภาษาที่สอง (Second (Foreign) language acquisition) การรับภาษาที่หนึ่ง (First language acquisition) การเรียนการสอนภาษา (Language teaching) ภาษากับปริชาน (Language and cognition) ภาษาศาสตร์คลังข้อมูล (Corpus linguistics) ภาษาศาสตร์คอมพิวเตอร์/การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Computational linguistics/Natural language processing) ภาษาศาสตร์จิตวิทยา (Psycholinguistics) ภาษาศาสตร์เชิงคลินิก/การแก้ไขการพูดการได้ยินภาษา/ความผิดปกติในการสื่อความหมาย (Clinical linguistics/Speech-language pathology/Communication disorders) ภาษาศาสตร์เชิงประวัติ/นิรุกติศาสตร์ (Historical linguistics/Philology) ภาษาศาสตร์ปริชาน (Cognitive linguistics) ภาษาศาสตร์เปรียบเทียบ (Comparative linguistics) ภาษาศาสตร์สังคม (Sociolinguistics) วิทยาภาษาถิ่น (Dialectology)
Browse
Browsing ภาษาศาสตร์ประยุกต์ by Subject "A Diachronic Study"
Now showing 1 - 4 of 4
Results Per Page
Sort Options
- Publicationการกลายเป็นคำไวยากรณ์ของ "ด้วย"นพรัฐ เสน่ห์; Sanah, Nopparut (2013)งานวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อวิเคราะห์หมวดคำและความหมายเชิงไวยากรณ์ของคำ “ด้วย” ในภาษาไทย ตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงสมัยปัจจุบัน อีกทั้งยังศึกษาถึงปัจจัยและกลไกการเปลี่ยนแปลงของคำ “ด้วย” ตามแนวทฤษฎีการกลายเป็นคำไวยากรณ์ ผู้วิจัยแบ่งสมัยข้อมูลภาษาออกเป็น 6 ช่วงสมัย ได้แก่ ช่วง 1 สมัยสุโขทัย, ช่วง 2 สมัยอยุธยา – ธนบุรี, ช่วง 3 สมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 – รัชกาลที่ 3, ช่วง 4 สมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 4 – รัชกาลที่ 5, ช่วง 5 สมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 6 – รัชกาลที่ 8 และ ช่วง 6 สมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 9 (ปัจจุบัน) ผลการศึกษาพบว่า ช่วง 1 คำ “ด้วย” ปรากฏใช้ใน 2 หมวดคำ ได้แก่ 1. หมวดคำบุพบท และ 2. หมวดคำเชื่อมนาม ช่วง 2 คำ “ด้วย” ปรากฏใช้ใน 3 หมวดคำ ได้แก่ 1. หมวดคำเชื่อมอนุพากย์, 2. หมวดคำบุพบท และ 3. หมวดคำกริยาวิเศษณ์ ช่วง 3 คำ “ด้วย” ปรากฏใช้ใน 5 หมวดคำ ได้แก่ 1. หมวดคำเชื่อมอนุพากย์, 2. หมวดคำบุพบท, 3. หมวดคำเชื่อมนาม, 4. หมวดคำกริยาวิเศษณ์ และ 5. หมวดคำลงท้าย ส่วน ช่วง 4, ช่วง 5 และ ช่วง 6 คำ “ด้วย” ปรากฏใช้ใน 4 หมวดคำ เหมือนกัน ได้แก่ 1. หมวดคำเชื่อมอนุพากย์, 2. หมวดคำบุพบท, 3. หมวดคำกริยาวิเศษณ์ และ 4. หมวดคำลงท้าย เมื่อพิจารณาความหมายเชิงไวยากรณ์ของคำ “ด้วย” ที่ปรากฏใช้ในหมวดคำต่าง ๆ พบว่า คำเชื่อม อนุพากย์ “ด้วย” มีความหมายเชิงไวยากรณ์เพียง 1 ความหมาย ได้แก่ บอก ‘สาเหตุ’ ขณะที่ คำบุพบท “ด้วย” มีความหมายเชิงไวยากรณ์บอกการกของคำนามข้างท้ายมากถึง 9 การก ได้แก่ 1. บอก ‘ผู้ร่วม’, 2. บอก ‘เครื่องมือ’, 3. บอก ‘สาเหตุ’, 4. บอก ‘ลักษณะ’, 5. บอก ‘ผู้ทำ’, 6. บอก ‘สถานที่’, 7. บอก ‘แหล่งเดิม’, 8. บอก ‘วิธีการ’ และ 9. บอก ‘เนื้อความ’ แต่ละช่วงสมัยจำนวนความหมายบอกการกที่ปรากฏมีปริมาณมากน้อยต่างกัน ส่วนหมวดคำเชื่อมนาม “ด้วย”, หมวดคำกริยาวิเศษณ์ “ด้วย” และหมวดคำลงท้าย “ด้วย” ต่างก็มีความหมายเชิงไวยากรณ์หมวดคำละ 1 ความหมาย ได้แก่ บอก ‘ความคล้อยตาม’, บอก ‘การเข้าร่วม’ และบอก “การขอร้อง” ตามลำดับ การเปลี่ยนแปลงของหมวดคำและความหมายเชิงไวยากรณ์ของคำ “ด้วย” เกิดจาก “ปัจจัย” และ “กลไก” ในกระบวนการกลายเป็นคำไวยากรณ์ สำหรับ “ปัจจัย” ที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของหมวดคำและความหมายเชิงไวยากรณ์ของคำ “ด้วย” ได้แก่ 1. ปัจจัยอุปลักษณ์ และ 2. ปัจจัยความใกล้ชิดกันทางชื่อ ส่วนในประเด็น “กลไก” นั้น ผู้วิจัยแบ่งการศึกษาออกสองส่วน คือ 1. ศึกษากลไกที่มีผลต่อพัฒนาการทางด้านความหมายเชิงไวยากรณ์ภายในหมวดคำบุพบท “ด้วย” ได้แก่ “กลไกขยายความหมายเชิงอุปลักษณ์” 2. ศึกษากลไกที่มีผลต่อพัฒนาการทางด้านอรรถวากยสัมพันธ์ระหว่างหมวดคำต่าง ๆ ของคำ “ด้วย” ได้แก่ 1. กลไกการขยายความหมายเชิงอุปลักษณ์, 2. กลไกการจางลงของความหมายเดิม, 3. กลไกการคงเค้าความหมายเดิม, 4. กลไกการวิเคราะห์ใหม่ และ 5. กลไกการสูญลักษณะของหมวดคำเดิม นอกจากนี้ ผู้วิจัยยังพบว่า “กระบวนการเกิดคำใหม่” ก็ยังส่งผลต่อพัฒนาการทางด้านอรรถวากยสัมพันธ์ของคำ “ด้วย” ได้ด้วย
- Publicationการศึกษาเปรียบเทียบคำอ้างถึงพระสงฆ์ไทยสมัยสุโขทัยกับปัจจุบันเอกพล ดวงศรี; Duangsri, Ekapon (2017)พระสงฆ์เป็นผู้ที่มีสถานภาพพิเศษในสังคมไทยมาตั้งแต่โบราณ จึงมีคำที่ใช้อ้างถึงเป็นพิเศษ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาชนิดของคำอ้างถึงพระสงฆ์ไทยสมัยสุโขทัย และการเปลี่ยนแปลงด้านคำศัพท์และความหมายของคำอ้างถึงพระสงฆ์ไทยสมัยสุโขทัยเปรียบเทียบกับปัจจุบัน ศึกษาและเก็บข้อมูลจากจารึกภาษาไทยสมัยสุโขทัยซึ่งตีพิมพ์เผยแพร่เป็นหนังสือหรือเผยแพร่ทางเว็บไซต์แล้ว จำนวน 41 หลัก โดยใช้แนวคิดคำอ้างถึงในภาษาไทยและแนวคิดการเปลี่ยนแปลงของภาษา ผลการศึกษาพบว่า คำอ้างถึงพระสงฆ์ไทยสมัยสุโขทัยมีการปรากฏใช้ทั้งสิ้น 74 คำ ครอบคลุมถ้อยคำหรือรูปภาษาที่หลากหลาย อ้างถึงบุคคลคนเดียวกัน คือ พระสงฆ์ แบ่งเป็น 5 ชนิด ได้แก่ 1) คำนามสามัญ 2) คำบุรุษสรรพนาม 3) คำนำหน้าชื่อ/ราชทินนาม 4) คำบอกลำดับชั้น และ 5) คำบอกตำแหน่ง ด้านการเปลี่ยนแปลงด้านคำศัพท์และความหมายเมื่อเปรียบเทียบกับปัจจุบันพบว่า คำอ้างถึงพระสงฆ์เหล่านี้มีการเปลี่ยนแปลงด้านคำศัพท์ คือ การสูญศัพท์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1) สูญศัพท์โดยสิ้นเชิง และ 2) สูญศัพท์บางส่วน ได้แก่ สูญศัพท์ในบริบทพระสงฆ์ แต่ยังปรากฏใช้ในบริบททั่วไป, สูญศัพท์ในภาษาไทยกรุงเทพฯ แต่ยังปรากฏใช้ในภาษาถิ่น และสูญศัพท์ในบริบททั่วไป แต่ยังปรากฏใช้ในบริบทเฉพาะ ด้านการเปลี่ยนแปลงด้านความหมายพบว่า คำอ้างถึงพระสงฆ์ไทยสมัยสุโขทัยมีการเปลี่ยนแปลงความหมาย 5 ลักษณะ ได้แก่ 1) ความหมายแคบเข้า 2) ความหมายกว้างออก 3) ความหมายย้ายที่ 4) ความหมายดีขึ้น และ 5) ความหมายเลวลง การเปลี่ยนแปลงของคำอ้างถึงพระสงฆ์สะท้อนให้เห็นบริบทสังคมพระพุทธศาสนาสมัยสุโขทัยที่แตกต่างจากปัจจุบัน การใช้คำอ้างถึงพระสงฆ์ไทยสมัยสุโขทัยมีการเปลี่ยนแปลงไปตามบริบทสังคมวัฒนธรรมไทย และมีความสัมพันธ์กับลำดับชั้นของพระสงฆ์ พระสงฆ์ที่มีลำดับชั้นต่างกันจะมีการใช้คำอ้างถึงที่แตกต่างกัน บางลำดับชั้นมีคำอ้างถึงใช้เป็นพิเศษ นอกจากนี้ คำอ้างถึงพระสงฆ์ไทยสมัยสุโขทัยสะท้อนให้เห็นวัฒนธรรม ความเชื่อ และมโนทัศน์เกี่ยวกับพระสงฆ์เป็นหน่อพระพุทธเจ้า การยกย่องพระสงฆ์ในฐานะครู การยกย่องพระสงฆ์ในฐานะผู้เป็นใหญ่ และวัฒนธรรมการรับรูปแบบการตั้งสมณศักดิ์
- Publicationภาษาในกฎหมายลักษณะอาญา กับ ประมวลกฎหมายอาญา : การศึกษาเชิงเปรียบเทียบต่างสมัยสุกัญญา สุวิทยะรัตน์; Sukanya Suwittyarat (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2010)งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อจะวิเคราะห์ลักษณะทางภาษาและความสัมพันธ์ระหว่างการใช้ภาษาในกฎหมายลักษณะอาญา และประมวลกฎหมายอาญากับบริบททางการเมือง สังคมและระบอบการปกครองของประมวลกฎหมายทั้ง ๒ ฉบับ ในด้านโครงสร้างของประมวลกฎหมาย ชนิดของสาระ โครงสร้างของประโยค และการใช้คำ วลี และถ้อยคำสำนวน ข้อมูลเก็บจากประมวลกฎหมายที่ประกาศใช้ฉบับแรกโดยไม่รวมส่วนที่แก้ไขเพิ่มเติมภายหลังทุกมาตรา ในกฎหมายลักษณะอาญา จำนวน ๓๔๐ มาตรา และประมวลกฎหมายอาญา จำนวน ๓๙๘ มาตรา ผลการศึกษาพบว่าประมวลกฎหมายอาญาและกฎหมายลักษณะอาญามีความแตกต่างกันในด้านโครงสร้างของตัวบทกฎหมาย วากยสัมพันธ์ของประโยค และการใช้คำ วลี และถ้อยคำสำนวน โดยประมวลกฎหมายอาญามีความเป็นระบบแบบแผนในการยกร่างมากกว่ากฎหมายลักษณะอาญา และพบสาระที่เป็นคำสั่งหรือข้อบังคับแบบไม่มีเงื่อนไขมากที่สุดในทั้งสองฉบับ ในประมวลกฎหมายอาญา มีจำนวนสาระที่เป็นคำสั่งหรือข้อบังคับแบบไม่มีเงื่อนไขมากกว่าสาระที่เป็นคำสั่งหรือข้อบังคับแบบมีเงื่อนไขอย่างเห็นได้ชัด ผลการศึกษาพบประโยคความซ้อนรวมในกฎหมายลักษณะอาญาเป็นจำนวนมากและมีจำนวนมากกว่าประโยคความซ้อนรวมที่พบในประมวลกฎหมายอาญา ส่วนหน่วยสร้างประโยคกรรม การใช้นามวลีแปลงและ ประโยคละประธาน พบในประมวลกฎหมายอาญามากกว่าในกฎหมายลักษณะอาญาอย่างเห็นได้ชัด กฎหมายทั้งสองฉบับมีการเชื่อมความภายในประโยคมากกว่าการเชื่อมความระหว่างประโยค โดยมีความแตกต่างในประมวลกฎหมายอาญามากกว่า ประมวลกฎหมายอาญา มีความคงที่ในการใช้คำและมีการใช้คำศัพท์เฉพาะทางกฎหมายมากกว่ากฎหมายลักษณะอาญา โดยปรากฏว่ามีการบัญญัติศัพท์ขึ้นใหม่ในประมวลกฎหมายอาญา และการเลิกใช้ศัพท์กฎหมายบางคำที่เคยปรากฏใช้ในกฎหมายลักษณะอาญาไป ในด้านการใช้คำ วลี และถ้อยคำสำนวนทั่วไป พบว่า กฎหมายลักษณะอาญา มีการใช้ภาษาแบบเก่า และภาษาที่แสดงความสำคัญและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ รวมถึงการใช้คำสรรพนาม “ท่าน” “ เขา” และ “มัน” ส่วนประมวลกฎหมายอาญากล่าวถึงพระมหากษัตริย์แบบทั่วไปและน้อยครั้งและไม่มีการกล่าวอ้างถึงพระราชอำนาจในการเป็นผู้ปกครอง คำสรรพนามพบคำว่า “เขา” ครั้งเดียว ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าภาษาที่ใช้ในกฎหมายสามารถสะท้อนให้เห็นความแตกต่างของสภาพสังคม และระบอบการปกครองของสังคมนั้นได้ เช่น ภาษาในกฎหมายลักษณะอาญาสะท้อนให้เห็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ และระบบชนชั้นทางสังคมที่ชัดเจน ส่วนภาษาในประมวลกฎหมายอาญาสะท้อนสถานะของพระมหากษัตริย์ที่ทรงอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ และความเท่าเทียมกันของสังคม งานวิจัยนี้สนับสนุนแนวคิดในงานวาทกรรมวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ที่เชื่อว่าหน้าที่หนึ่งของภาษาคือการสะท้อนภาพสังคมของภาษานั้น และมองว่าภาษาเป็นสิ่งที่สะท้อนวิถีปฏิบัติทางสังคมและสังคมก็เป็นตัวกำหนดการใช้ภาษาของคนในสังคม
- Publicationยัง : การศึกษาเชิงประวัติสุรีเนตร จรัสจรุงเกียรติ; Jaratjarungkiat, Sureenate (2008)งานวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาหน้าที่ทางไวยากรณ์และความหมายของคำว่า ยัง ตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งยังศึกษากระบวนการกลายเป็นคำไวยากรณ์ของคำว่า “ยัง” ข้อมูลที่ใช้ในงานวิจัยนี้ แบ่งออกเป็น 5 สมัย ได้แก่ (1) สมัยสุโขทัย (2) สมัยอยุธยาถึงรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (3) สมัยรัชกาลที่ 4 ถึง 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (4) สมัยรัชกาลที่ 6 ถึง 8 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และ (5) สมัยรัชกาลปัจจุบัน ผลการวิจัยพบว่า คำว่า ยัง ในแต่ละสมัย แสดงหน้าที่ทางไวยากรณ์ได้ 4 หน้าที่ ได้แก่ (1) คำว่า ยัง ที่เป็นคำกริยา ในสมัยสุโขทัยมี 3 ความหมาย ได้แก่ มีอยู่ อยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง และ ครอบครอง ในสมัยอยุธยาถึงรัชกาลที่ 3 มี 3 ความหมายเช่นกัน ได้แก่ มีอยู่ อยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง และความหมายบ่งการีต ในสมัยรัชกาลที่ 4 ถึง 5 และสมัยรัชกาลที่ 6 ถึง 8 พบเพียง 2 ความหมาย ได้แก่ มีอยู่ และความหมายบ่งการีต และสมัยปัจจุบันเหลือความหมายบ่งการีตเพียงความหมายเดียว ซึ่งปรากฏในปริบทที่จำกัด พัฒนาการในเชิงประวัติแสดงให้เห็นว่าคำกริยา ยัง จะมีความหมายน้อยลง เมื่อเข้าใกล้สมัยปัจจุบันมากขึ้น (2) คำว่า ยัง ที่เป็นคำช่วยหน้ากริยา พบว่าในทุกสมัยมีความหมายเดียว คือ การณ์ลักษณะ คงอยู่ (3) คำว่า ยัง ที่เป็นคำบุพบท ในสมัยสุโขทัยมี 1 ความหมาย คือ การก จุดหมาย ในสมัยอยุธยาถึงรัชกาลที่ 3 สมัยรัชกาลที่ 4 ถึง 5 และสมัยรัชกาลที่ 6 ถึง 8 มี 2 ความหมาย ได้แก่ การก สถานที่ และการก จุดหมาย ในสมัยปัจจุบัน คำบุพบท ยัง ต้องปรากฏร่วมกับคำกริยาแสดงการเคลื่อนที่เสมอ โดยเฉพาะคำว่า ไป หรือ มา ดังนั้นคำบุพบท ยัง ในสมัยปัจจุบันจึงมีความหมายบ่งการก จุดหมาย เท่านั้น และ(4) คำว่า ยัง ที่เป็นคำเชื่อมอนุพากย์ ในสมัยสุโขทัย มี 1 ความหมาย คือ แสดงความสัมพันธ์ระหว่างอนุพากย์แบบ การเสริม ในสมัยอยุธยาถึงรัชกาลที่ 3 คำเชื่อมอนุพากย์ ยัง แสดงความสัมพันธ์แบบ การขัดแย้งกับสิ่งที่ควรจะเป็น เพิ่มอีก 1 ความหมาย และสมัยรัชกาลที่ 4 ถึง 5 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ก็แสดงความสัมพันธ์แบบ ‘การขัดแย้งแบบเปรียบเทียบ’ เพิ่มขึ้นมาอีก 1 ความหมาย พัฒนาการในเชิงประวัติแสดงให้เห็นว่า ยิ่งเข้าใกล้สมัยปัจจุบันมากขึ้น คำเชื่อมอนุพากย์ ยัง มีการแสดงความหมายทางไวยากรณ์เพิ่มขึ้น เส้นทางการกลายเป็นคำไวยากรณ์ของคำว่า ยัง มี 4 เส้นทาง ได้แก่ (1) คำกริยา ยัง ที่หมายถึง มีอยู่ กลายไปเป็นคำช่วยหน้ากริยา (2) คำกริยา ยัง ที่หมายถึง มีอยู่ กลายไปเป็นคำเชื่อมอนุพากย์ (3) คำกริยา ยัง ที่หมายถึง มีอยู่ กลายไปเป็นคำกริยาการีต และ (4) คำกริยา ยัง ที่หมายถึง อยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง กลายไปเป็นคำบุพบท จากทั้ง 4 เส้นทางนี้ จะเห็นว่า 3 เส้นทางแรก มีต้นกำเนิดเดียวกัน คือ คำกริยา ยัง ที่หมายถึง มีอยู่ ส่วนเส้นทางสุดท้าย คำต้นกำเนิด คือ คำกริยา ยัง ที่หมายถึง อยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง กริยาต้นกำเนิดทั้งสองนี้มีความสัมพันธ์กันทางความหมายในแง่ สภาพที่มีอยู่ นอกจากนี้กลไกการเปลี่ยนแปลงภาษา ที่เกี่ยวข้องกับการกลายเป็นคำไวยากรณ์ของคำว่า ยัง มี 5 กลไก ซึ่งประกอบด้วย การขยายความหมายเชิงอุปลักษณ์ การเกิดความหมายทั่วไป การดูดซับความหมายปริบท การสูญฐานะของโครงสร้างในหน่วยประกอบ/การวิเคราะห์ใหม่ และการสูญลักษณะของหมวดคำเดิม จากการศึกษาพบว่าพัฒนาการในเชิงประวัติและกระบวนการกลายเป็นคำไวยากรณ์ของคำว่า ยัง แสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไปและเป็นแบบทิศทางเดียว ซึ่งสอดคล้องกับการกลายเป็นคำไวยากรณ์ตามลักษณะที่เป็นสากล