ประวัติศาสตร์ยุโรปตะวันออก
Permanent URI for this collection
Browse
Recent Submissions
มหายุทธการกอบกู้ปิตุภูมิ - จุดหักเหของสงครามโลกครั้งที่ 2
เมื่อเยอรมนีบุกโจมตีสหภาพโซเวียตในวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 1941 อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ผู้นำนาซีมุ่งมั่นที่จะมีชัยชนะต่อสหภาพโซเวียตและบีบบังคับให้ยอมแพ้ภายใน 2 เดือน กองทัพเยอรมันซึ่งใช้ยุทธวิธีสงครามสายฟ้าแลบมีชัยชนะในทุกแนวรบ อย่างไรก็ตาม สตาลินผู้นำโซเวียตสั่งกองทัพไม่ให้ยอมจำนนหรือล่าถอยซึ่งป้องกันให้สหภาพโซเวียตพ่ายแพ้ ปราฟดาหนังสือพิมพ์พรรคคอมมิวนิสต์รายงานข่าวสงครามเป็นบทความขนาดยาวเรื่อง “มหายุทธการกอบกู้ปิตุภูมิของประชาชนโซเวียต” เพื่อผลักดันประชาชนให้ปกป้องปิตุภูมิโซเวียตและขับไล่ผู้รุกราน ดังนั้นสหภาพโซเวียตจึงเรียกสงครามระหว่างสหภาพโซเวียตกับนาซีเยอรมนีช่วงวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 1941 - 9 พฤษภาคม ค.ศ. 1945 ว่ามหายุทธการกอบกู้ปิตุภูมิ จุดเปลี่ยนของสงคราม คือยุทธการที่สตาลินกราดและยุทธการที่คูรส์คใน ค.ศ. 1943 เป็นจุดเปลี่ยนของสงคราม เพราะกองทัพเยอรมันพ่ายแพ้และไม่มีชัยชนะในแนวรบด้านตะวันออกอีกเลย กองกำลังโซเวียตเริ่มปลดปล่อยประเทศและขับไล่เยอรมนีอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 ปีต่อมาจนโซเวียตสามารถยึดกรุงเบอร์ลินได้ในเดือน เมษายน ค.ศ. 1945 สงครามสิ้นสุดลงด้วยความพ่ายแพ้อย่างราบคาบของนาซีเยอรมนี้ ในสหภาพโซเวียต การสิ้นสุดของสงครามเป็นวันที่ ๙ พฤษภาคม ค.ศ.1945 เมื่อเยอรมนียอมจำนนอย่างเป็นทางการ ในวันดังกล่าวเรียกว่า วันแห่งชัยชนะซึ่งถือเป็นวันหยุดของชาติ
100 ปีการปฏิวัติรัสเซีย (1917-2017)
ใน ค.ศ. 2017 เป็นวาระครบรอบ 100 ปีของเหตุการณ์ประวัติศาสตร์โลก ค.ศ. 1917 ซึ่งเริ่มจากการปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์ในรัสเซียและท้ายที่สุดในเดือนตุลาคม ในเหตุการณ์ "10 วันเขย่าโลก" ซึ่งโค่นล้มรัฐบาลเฉพาะกาล พรรคบอลเชวิค ซึ่งมีวลาดิมีร์ เลนิน และเลออน ตรอตสกี เป็นผู้นำยึดอำนาจทางการเมืองได้ การปฏิวัติเดือนตุลาคมจึงเป็นการเริ่มต้นของการปฏิวัติสังคมนิยมโลกและให้แรงบันดาลใจทางการเมืองแก่การต่อสู้ปฏิวัติในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งขยายไปข้ามโลก
ปัญหาการบูรณาการทางสังคมและวัฒนธรรมของไครเมียกับรัสเซียบนความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและยูเครน
บทความนี้ เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่อง บทบาทของคาบสมุทรไครเมียต่อรัสเซียจากอดีตสู่ศตวรรษที่ 21 เป็นการนำเสนอมุมมองปัญหาการบูรณาการทางสังคมและวัฒนธรรมของไครเมียกับรัสเซียบนความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและยูเครน จากความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างรัสเซียและยูเครนกับความเชื่อมโยงดินแดนไครเมียที่เป็นภูมิรัฐศาสตร์สำคัญสำหรับทั้งสองประเทศ แต่กลับมาเป็นชนวนเหตุความขัดแย้ง ในขณะที่มีความสัมพันธ์ร่วมกันทางประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ศาสนา และชาติพันธุ์ ที่ผ่านช่วงเวลาร่วมกันทั้งภายใต้อาณาจักรออตโตมัน จักรวรรดิรัสเซีย และสหภาพโซเวียต แม้ว่าช่วงสหภาพโซเวียตจะมีคำสั่งยกดินแดนไครเมียให้แก่ยูเครนให้เห็นเป็นลายลักษณ์อักษร จนกระทั่งเกิดวิกฤติการณ์ทางการเมืองในยูเครนในปลาย ค.ศ. 2013 ทำให้ไครเมียได้โอกาสที่จะประกาศตนเป็นอิสรภาพและกลับไปอยู่ภายใต้รัสเซียอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 18 มีนาคม ค.ศ. 2014 แต่ยูเครนได้กล่าวต่อรัสเซียว่ายึดครองดินแดนของตน ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน ทำให้หลายฝ่ ายมองว่าไครเมียคือปมปัญหาที่สำคัญ แต่ผู้วิจัยวิเคราะห์ว่า ปัญหาของการรวมดินแดนไครเมียเข้าสู่รัสเซียอีกครั้งไม่ได้ส่งผลให้ความขัดแย้งหรือเป็นปัญหามากเท่ากับปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนภายในเป็นสิ่งสำคัญมากกว่า
ติโต-รัฐบุรุษแห่งยูโกสลาเวีย
ยอซิป บรอซ ตีโต เป็นนักปฏิวัติชาวยูโกสลาฟและเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งยูโกสลาเวีย (ค.ศ.1939-1980) ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาเป็นผู้นําขบวนการต่อต้านที่เรียกว่าปาร์ติซานต่อสู้กับเยอรมนี และในเดือนตุลาคม ค.ศ.1944 เขาได้ปลดปล่อยยูโกสลาเวีย หลัง ค.ศ.1945 ติโตเป็นนายกรัฐมนตรี (ค.ศ.1945-1953) และได้สถาปนาสมาพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยม แม้ติโตจะเป็นคนที่นิยมสตาลินแต่เขาก็มีความคิดเห็นที่ขัดแย้งกับโจเซฟ สตาลินหลายเรื่อง และใน ค.ศ.1948 เขานํายูโกสลาเวียออกจากการเป็นสมาชิกองค์การโคมินเทิร์น เขาเป็นผู้นําคอมมิวนิสต์คนแรกที่ท้าทายอํานาจของสหภาพโซเวียตและนํายูโกสลาเวียไปสู่สังคมนิยมด้วยนโยบายของตนเอง ใน ค.ศ.1953 เขาได้เป็นประธานาธิบดี และใน ค.ศ.1974 เป็นประธานาธิบดีตลอดชีวิต เขาสถาปนาระบบคณะผู้นําร่วมหมุนเวียนกันไป ตีโตมีชื่อเสียงทางสากลในกลุ่มประเทศสงครามเย็นทั้งสองค่ายและเป็นผู้นําคนสําคัญของขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด