Search Results
พัฒนาการจากสโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์สู่องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในบริบททางการเมืองระหว่างปี 2484-2516
พรรณ์ทิพย์ เพ็ชรวิจิตร, Phanthip Petchvichit, กรพนัช ตั้งเขื่อนขันธ์, Kornphanat Tungkeunkunt (2019)
บทบาทของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในวิกฤตการณ์เมืองไทยในเดือนตุลาคม 2516 เป็นที่รับรู้ในวงกว้าง บทบาทและแนวคิดของนักศึกษาธรรมศาสตร์ได้รับการศึกษาและนำเสนออย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ตาม องค์กรนักศึกษาของสถาบันนี้เป็นโครงสร้างสำคัญในการทำกิจกรรมของนักศึกษา...ธรรมศาสตร์ ถูกสร้างและพัฒนาควบคู่กับมหาวิทยาลัยและนักศึกษามาหลายทศวรรษแต่กลับไม่ได้รับความสนใจศึกษาเท่าที่ควร แม้ว่าองค์กรนี้จะมีผลกระทบต่อทั้งสถาบันการศึกษาและการเมืองระดับชาติ บทความนี้จึงมุ่งศึกษากำเนิดและพัฒนาการขององค์กรนักศึกษาในบริบทประวัติศาสตร์
การสร้างภาพลักษณ์ทางการเมืองของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในหนังสือพิมพ์ไทย (พ.ศ. 2500-2506)
อิทธิเดช พระเพ็ชร, Ittidech Prapech (2018)
วิทยานิพนธ์นี้ศึกษาการสร้างภาพลักษณ์ทางการเมืองของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในหนังสือพิมพ์ไทย พ.ศ. 2500-2506 ผ่านการพิจารณาและวิเคราะห์องค์ประกอบการสร้างภาพลักษณ์ในหนังสือพิมพ์ อันได้แก่ แนวคิดทางการเมือง และการถ่ายทอดนำเสนอภาพลักษณ์ทางการเมืองผ่านข้อความ รูปถ่าย และรูปการ์ตูนการเมือง จากการศึกษาพบว่า จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้รับการสร้างภาพลักษณ์ทางการเมืองให้เป็น “พ่อบ้าน” จากฐานทางแนวคิดพ่อขุนหรือคติพ่อปกครองลูก ซึ่งเป็นแนวคิดทางการเมืองสำคัญและมีพลวัตในการปรับคำอธิบายทางแนวคิดให้สอดคล้องไปตามความเปลี่ยนแปลงของบริบทสังคมการเมืองไทย ภาพลักษณ์พ่อบ้านของจอมพลสฤษดิ์แสดงให้เห็นถึงความสำคัญในการสร้างจินตภาพทางการเมืองเพื่ออธิบาย นำเสนอและสร้างความเข้าใจต่อการใช้อำนาจอันเด็ดขาดของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ด้วยโลกทัศน์การใช้อำนาจการปกครองแบบพระเดชพระคุณ นอกจากนี้ วิทยานิพนธ์ได้นำเสนอรูปแบบโครงสร้างความสัมพันธ์ของผู้นำทางการเมืองกับสถาบันทางการเมืองไทยในยุคสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผ่านการวิเคราะห์ภาพลักษณ์ทางการเมือง
ชาตินิยมเกาหลีใต้: กรณีศึกษา ข้อพิพาทเกาะด๊อกโด พ.ศ.2539 - 2556
เกษตรศาสตร์ เดชกุล, Kasetsart Dechkul (2014)
วัตถุประสงค์ของการศึกษาครั้งนี้ ก็เพื่อวิเคราะห์ถึงปัจจัยที่ทำให้ชาวเกาหลีใต้เกิดความรู้สึกทางชาตินิยมต่อกรณีพิพาทเกาะด๊อกโด ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 ถึงปี พ.ศ. 2556 เกาะด๊อกโดคือพื้นที่พิพาทระหว่างเกาหลีใต้กับญี่ปุ่นนับตั้งแต่สิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ผลการศึกษาพบว่ามีปัจจัย 2 ปัจจัยที่กระตุ้นให้ชาวเกาหลีใต้สร้างความรู้สึกชาตินิยมขึ้นมาต่อเกาะด๊อกโด ปัจจัยทั้ง 2 คือ ปัจจัยภายในและปัจจัยภานอก ปัจจัยภายใน คือ การอ้างสิทธิในการครอบครองเกาะด๊อกโดในแบบเรียนโดยรัฐบาลเกาหลีใต้ นอกจากนี้ รัฐบาลเกาหลีใต้ยังทำโฆษณาชวนเชื่อด้วยการกระจายข้อมูลข่าวสารไปบนเว็บไซต์ต่างๆ ด้วย ในช่วงเดียวกันประชาชนที่อยู่ในภาคเอกชนก็ทำทุกอย่างเพื่อสนับสนุนรัฐบาล เช่น การสร้างสรรค์เพลง ละครภาพยนต์ และผลิตสินค้า เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะมีเนื้อหาของความเป็นเจ้าของเกาะด๊อกโแทบทั้งสิ้น ปัจจัยภายนอก มาจากการที่รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศให้เกาะด๊อกโดเป็นของญี่ปุ่น ดังนั้น ความรู้สึกชาตินิยมของคนเกาหลีใต้จึงพุ่งสูงขึ้นมาทุกๆ ครั้งที่มีข้ออพิพาทระหว่างเกาหลีใต้และญี่ปุ่นเกิดขึ้น การประท้วงกลายเป็นประเพณีการแสดงออกทางชาตินิยมของชาวเกาหลีใต้ ข้อความหลากหลายมิติผ่านทางสื่อทันสมัยซึ่งรวมถึงการใช้โปรแกรมเฟสบุ๊ก (Facebook) และโปรแกรมยูทูป (Youtube) กล่าวโดยสรุปแล้ว รัฐบาลเกาหลีใต้พยายามเคลื่อนไหวความเป็นชาตินิยมให้แพร่กระจายไปทั่วโลก โดยการใช้สื่อสารมวลชนหรือโปสเตอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเคลื่อนไหวในประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นพันธมิตรของประเทศเกาหลีใต้
บทบาทของพรรคประชาชนปฏิวัติลาวที่มีต่อการเมืองของสปป.ลาว ระหว่าง ค.ศ. 1992-2016
ณัฐพล อิ้งทม, Nattapol Ingthom (2019)
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มุ่งหวังจะศึกษาเกี่ยวกับบทบาทของพรรคประชาชนปฏิวัติลาว (พปปล.) ที่ส่งผลกระทบต่อการเมืองในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ระหว่าง ค.ศ.1992-2016 โดยใช้วิธีการศึกษาวิจัยเอกสารและนำมาบรรยายแบบพรรณนา วิทยานิพนธ์นี้มุ่งศึกษาการปรับเปลี่ยนบทบาทของ พปปล. รวมถึงผลกระทบของการปรับเปลี่ยนบทบาทดังกล่าวต่อการเมืองของ สปป.ลาว ผลการศึกษาพบว่า ในช่วงระหว่าง ค.ศ.1992-2006 นั้น กองทัพประชาชนลาวเข้ามามีบทบาทนำในพรรคมากขึ้น กลุ่มผู้นำทหารจึงเป็นผู้กำหนดนโยบายของพรรคและเป็นผู้นำทางการเมืองในช่วงเวลานั้น อย่างไรก็ตาม ในระหว่าง ค.ศ.2006-2016 กลับเป็นช่วงที่พลเรือนมีบทบาทมากขึ้น แต่พวกเขาก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายผู้นำเดิม ในการนี้ โครงสร้างหลักของพรรคจึงไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่มีการปรับเปลี่ยนผู้ดำรงตาแหน่งทางการเมืองในแต่ละช่วงเวลาโดยยังคงรักษาลักษณะของการนำรวมหมู่ไว้ แนวทางดังกล่าวสะท้อนถึงการประนีประนอมภายในพรรคเพื่อรักษาสมดุลอำนาจและเครือข่ายอุปถัมภ์ภายใต้ระบบการเมืองแบบพรรคเดียว
ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างปรีดี พนมยงค์ ป๋วย อึ้งภากรณ์ กับสัญญา ธรรมศักดิ์ และกลุ่มอนุรักษ์นิยมในสมัยรัฐบาลถนอม-ประภาส พ.ศ. 2513 -2516
ธนพงษ์ จิตต์สง่า, Tanapong Chitsanga, ธิกานต์ ศรีนารา, Thikan Srinara (2015)
บทความนี้ศึกษาเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างปรีดี พนมยงค์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ และสัญญา ธรรมศักดิ์ กลุ่มผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กลุ่มอนุรักษ์นิยม และรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร ที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ระหว่าง พ.ศ. 2513 – 2516 การศึกษาพบว่า...ธรรมศาสตร์ก็พยายามจะเผยแพร่เรื่องราวปรีดี ซึ่งผ่านการผลิตหนังสือประชาสัมพันธ์ของสโมสรนักศึกษา แต่ก็ถูกผู้บริหารมหาวิทยาลัยและฝ่ายความมั่นคงระงับไม่ให้เผยแพร่ออกไป ในเวลาเดียวกัน สถาบันกษัตริย์ก็สนใจปัญหาต่างๆ กิจการของนักศึกษาธรรมศาสตร์ เช่น พระบาทสมเด็จ
แนวคิดการรวบรวมพระพุทธรูปช่วงสร้างกรุงเทพฯ ถึงรัชกาลที่ 5
วิราวรรณ นฤปิติ, Wirawan Naruepiti (2014)
วิทยานิพนธ์นี้ศึกษาความคิดเรื่องการรวบรวมและอัญเชิญพระพุทธรูปจากหัวเมืองมายังกรุงเทพฯ ตั้งแต่ช่วงสร้างกรุงเทพฯ จึงถึงรัชกาลที่ 5 ผลการศึกษาพบว่าการรวบรวมและอัญเชิญพระพุทธรูปช่วงสร้างกรุงมีความประสงค์เพื่อทำนุบำรุงศาสนา และประดิษฐานความศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อทางศาสนาในพระนครใหม่ นอกจากนี้การอัญเชิญพระพุทธรูปบางองค์มีเหตุผลทางการเมืองด้วย คืออัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญจากหัวเมืองที่ตกอยู่ภายใต้การปกครองของกรุงเทพฯ คล้ายกับการแสดงตัวตนทางการเมือง ว่ากรุงเทพฯ มีอำนาจทางการเมืองเหนือหัวเมืองเหล่านั้น ตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ 2 ถึงรัชกาลที่ 3 เริ่มมีความคิดบูชาพระพุทธรูปในบ้านเรือนแต่ยังไม่พบหลักฐานที่แน่ชัด และเปิดกว้างให้พ่อค้าคหบดีมีส่วนร่วมในการทำนุบำรุงศาสนามากขึ้น แม้ยังพบว่ามีการอัญเชิญพระพุทธรูปจากหัวเมืองอยู่เมื่อครั้งปรากบฎเจ้าอนุวงศ์ เป็นไปตามจารีตเดิมคือเพื่อแสดงอำนาจทางการเมืองของกรุงเทพฯ สมัยรัชกาลที่ 4 ถึงรัชกาลที่ 5 วัฒนธรรมตะวันตกมีอิทธิพลทางความคิดสูง ส่งผลต่อความคิดเรื่องพระพุทธรูปเป็นอย่างมาก จากพระบรมราชาธิบายเรื่องพระพุทธรูปของรัชกาลที่ 4 ที่อธิบายประวัติของพระพุทธรูปด้วยเหตุผลมากกว่าตำนาน นอกนี้เริ่มมีการศึกษาอดีตจากโบราณสถานและวัตถุ จากนั้นเป็นต้นมาความคิดเรื่องพระพุทธรูปเปลี่ยนแปลงไปโดยได้กลายมาเป็นวัตุที่ให้ความรู้แก่ผู้ชมแม้ว่าจะประดิษฐานในพระอารามก็ตาม
คนเอเชียในบังคับของชาติตะวันตกกับการสร้างความเป็นพลเมืองของรัฐสยามสมัยใหม่ พ.ศ. 2416-2456
ศิวศิลป์ จุ้ยเจริญ, Siwasin Juicharoen (2017)
จุดประสงค์ของวิทยานิพนธ์นี้ คือ การศึกษาเกี่ยวกับการสร้างความเป็นพลเมืองสมัยใหม่ของสยามอันเป็นผลกระทบจากปัญหาสิทธิสภาพนอกอาณาเขตและคนเอเชียในบังคับของชาติตะวันตก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2416 ถึง 2456 อันเป็นปีที่รัฐบาลสยามประกาศใช้พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2456 อย่างเป็นทางการ จากปัญหาสิทธิสภาพนอกอาณาเขตและคนเอเชียในบังคับต่างประเทศและแนวทางการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลสยามในช่วงเวลาดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงการปะทะสังสรรค์กันระหว่างแนวคิดความเป็นพลเมืองของสยามแบบเดิมกับแนวคิดความเป็นพลเมืองของตะวันตกที่มาเข้าพร้อมกับสิทธิสภาพนอกอาณาเขต การศึกษานี้พบว่าการสร้างความเป็นพลเมืองของสยามเป็นหนึ่งในกระบวนการสร้างรัฐสมัยใหม่ โดยความเป็นพลเมืองของสยามนั้นเกิดขึ้นจากการต่อรองกับชาติตะวันตกในการจำกัดคนในบังคับต่างประเทศ โดยเฉพาะกับคนเอเชียในบังคับ กระบวนการดังกล่าวเกิดขึ้นพร้อมกับการร่างและการใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดลักษณะชาติของสยามตามแบบตะวันตก การปะทะสังสรรค์กันระหว่างแนวคิดแบบจารีตของสยามและแนวคิดสมัยใหม่ของตะวันตกก่อให้เกิดการสร้างพลเมืองตามกฎหมายของสยามและกลายเป็นพื้นฐานสำคัญของการออกพระราชบัญญัติแปลงชาติ ร.ศ. 130 และพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2456
การต่อต้านสินค้าญี่ปุ่น พ.ศ.2515-2527
อัจฉราพร แสนอาทิตย์, Atcharaporn Sanartid (2014)
นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น นายกรัฐมตรีนากาโซเน่ ยาสุฮิโระ และเกิดการต่อต้านสินค้าญี่ปุ่นขึ้นในเดือนธันวาคม 2527 โดยนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่การต่อต้านในช่วงหลังนี้ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนจำนวนน้อย ขณะที่การรณรงค์ที่แสดงถึงการนิยมไทยกลับได้รับการ
โฆษณาชวนเชื่อในนิตยสารเสรีภาพ พ.ศ. 2497-2518
ธงนรินทร์ นามวงศ์, Thongnarin Namwong (2019)
สหรัฐอเมริกาและประเทศไทยมีความสัมพันธ์ต่อกันอย่างลึกซึ้งทั้งในทางการเมือง เศรษฐกิจและวัฒนธรรม ประเทศไทยได้กลายเป็นป้อมปราการของการต่อต้านคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไทยยังได้นำพาตัวเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของระบบทุนนิยมโลกที่นำโดยสหรัฐอเมริกา หลักฐานหนึ่งที่แสดงความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ คือ สิ่งพิมพ์ในช่วงเวลาดังกล่าว วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ศึกษาการโฆษณาชวนเชื่อในนิตยสารเสรีภาพที่ถูกพิมพ์และเผยแพร่โดยสำนักข่าวสารอเมริกัน (USIS) ตั้งแต่ พ.ศ. 2497 ถึง พ.ศ. 2518 โดยนิตยสารฉบับนี้เป็นเครื่องมือหนึ่งของฝ่ายต่อต้านคอมมิวนิสต์ วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มุ่งศึกษากระบวนการทำงานของเสรีภาพในช่วงเวลาที่ปราศจากคู่แข่งในทางการเมืองภายหลังจากการกวาดล้างของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ใน พ.ศ. 2501 เป็นต้นมา จากการศึกษาพบว่านิตยสารเสรีภาพมีโครงเรื่อง (plot) ที่นำเสนอเนื้อหาที่แสดงให้เห็นขั้วตรงข้ามระหว่างความเลวร้ายของโลกคอมมิวนิสต์กับความดีงามของโลกเสรี ซึ่งคอมมิวนิสต์กลายมาเป็นภัยคุกคามต่อ “ความเป็นไทย” อันมี “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” นอกจากนั้นเสรีภาพยังนำเสนอบทบาทของหน่วยงานราชการและบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ในการเป็น “สัญลักษณ์” ในการต่อต้านคอมมิวนิสต์และเป็น “ผู้เผยแพร่” วัฒนธรรมอเมริกันด้วย เสรีภาพยังโฆษณาชวนเชื่อให้เห็นภาพของความดีงามของสหรัฐอเมริกาและประเทศไทยที่เกิดจากขึ้นจากการเข้าไปอยู่ภายใต้ระเบียบโลกที่นำโดยสหรัฐอเมริกาผ่านทางการนำเสนอ วัฒนธรรมอเมริกัน แนวคิดแบบประชาธิปไตย ทุนนิยมและการพัฒนา รวมถึงในท้ายที่สุดได้นำพาคนไทยให้เข้าสู่การ “บริโภคนิยมแบบอเมริกัน” ในช่วงสงครามเย็นด้วย
ทัศนะของสื่อหนังสือพิมพ์และปัญญาชนสาธารณะที่มีต่อสถานะและบทบาทของสถาบันกษัตริย์ ระหว่าง พ.ศ. 2535-2540
กิตติศักดิ์ สุจิตตารมย์, Kittisak Sujittarom (2014)
วิทยานิพนธ์นี้มุ่งศึกษาทัศนะของสื่อหนังสือพิมพ์และปัญญาชนสาธารณะที่มีต่อสถานะและบทบาทของสถาบันกษัตริย์ ระหว่าง พ.ศ. 2535-2540 นับตั้งแต่เหตุการณ์พฤษภา 2535 สู่การเคลื่อนไหวการปฏิรูปการเมืองจนถึงร่างรัฐธรรมนูญ 2540 จากการศึกษาพบว่า สื่อหนังสือพิมพ์และปัญญาชนสาธารณะซึ่งมีบทบาทอันโดดเด่นหลังพฤษภา 2535 ได้เสนอแนวคิดกษัตริย์นิยม (royalism) ควบคู่กับการสร้างทัศนะวิพากษ์ต่อความชอบธรรมของนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ดังในกรณีต่างๆ ได้แก่ เหตุการณ์พฤษภา 35 ที่นักวิชาการมีบทบาทนำในการเคลื่อนไหวเสนอให้สถาบันกษัตริย์ใช้อำนาจยุบสภา หลังจากเหตุการณ์มีการเคลื่อนไหวเรียกร้องนายกรัฐมนตรี "คนกลาง"/"พระราชทาน" จนกระทั้งได้นายกรัฐมนตรีอนันท์ ปันยารชุน จากนั้นมีการถวายฎีกา "สภากระจก" ซึ่งอาศัยอำนาจในการก่อตั้งสมัชชาแห่งชาติเพื่อช่วยงานรัฐสภา ข้อเรียกร้องให้มี "การปฏิรูปการเมือง" ก็ได้เสนอให้สถาบันพระมหากษัตริย์มีส่วนในการกำหนดผู้นำในการปฏิรูป ระหว่างกระบวนการรณรงค์นี้ได้มีการผลิตความคิด "ถวายพระราชอำนาจ" ที่ต้องการกีดกันไม่ให้รัฐสภามีอำนาจในการกำหนดการปฏิรูปอีกด้วย ทั้งหมดนี้ สื่อหนังสือพิมพ์และปัญญาชนสาธารณะมีบทบาทหลักในการเสนอความคิด จากกรณีที่กล่าวมา คุณลักษณะใหม่ของกระแสความคิดกษัตริย์นิยมในแง่ที่ถูกเปรียบเทียบกับนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งมีอย่างน้อย 3 ประการ ประการแรก ในแง่ความเป็นตัวแทน เสนอว่า สถาบันกษัตริย์เป็นตัวแทนเจตจำนงของประชาชนมากกว่านักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ประการที่สอง ในแง่ความเป็นผู้นำ เสนอว่า สถาบันกษัตริย์สามารถแสดงความเป็นผู้นำในการกำหนดวาระทางสังคมได้มากกว่านักการเมือง ประการที่สาม ในแง่ขอบเขตอำนาจ เสนอว่า ควรขยายพระราชอำนาจในรัฐธรรมนูญให้สถาบันกษัตริย์ ในขณะที่ควรจำกัดการใช้อำนาจของนักการเมือง