Search Results
แนวคิดและกลยุทธ์ในงานพัฒนาของคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อกลุ่มชาติพันธุ์ในภาคเหนือของไทย พ.ศ. 2530-2550
พรรณ์ทิพย์ เพ็ชรวิจิตร, Phanthip Petchvichit (2016)
วิทยานิพนธ์นี้มุ่งศึกษาองค์กรพัฒนาเอกชนที่มีพื้นฐานความเชื่อทางศาสนา ซึ่งสะท้อนการปรับตัวของศาสนาในโลกสมัยใหม่ โดยเฉพาะศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกที่มีการปรับตัวอย่างโดดเด่นท่ามกลางบริบทแวดล้อมโลกที่เน้นแนวทางการพัฒนา ศาสนาที่ถูกลดความสำคัญลงและจำกัดบทบาทให้อยู่ในพื้นที่ส่วนบุคคลมาระยะเวลาหนึ่งแล้วจึงยิ่งถูกละเลยในบริบทเช่นนี้ นั่นเป็นเหตุให้ศาสนจักรมีการปรับตัวครั้งสำคัญผ่านการสังคายนาวาติกันครั้งที่ 2 อันจะส่งผลต่องานแพร่ธรรมกับงานพัฒนาของศาสนจักรท้องถิ่นที่มีความเป็นอิสระและเข้าใจวัฒนธรรมท้องถิ่นมากขึ้น นอกจากนี้ศาสนจักรคาทอลิกยังหันมาเน้นบทบาทด้านการพัฒนาและมิได้มุ่งหวังผลในการเปลี่ยนศาสนาเหมือนก่อนหน้าการสังคายนา ผู้วิจัยได้เลือกกรณีศึกษาของศาสนจักรคาทอลิกไทยโดยเน้นที่งานแพร่ธรรมและงานพัฒนากลุ่มชาติพันธุ์ของฝ่ายคาทอลิกซึ่งมีการทำงานอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ พ.ศ. 2493 เพื่อสะท้อนให้เห็นการปรับตัวของศาสนจักรคาทอลิกไทยท่ามกลางบริบทแวดล้อมของประเทศไทยในแต่ละช่วงเวลา โดยเฉพาะการเกิดขึ้นของคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อกลุ่มชาติพันธุ์ที่ทำงานกับกลุ่มชาติพันธุ์ในประเด็นเฉพาะด้านสิทธิและสถานะบุคคล การศึกษานี้ไม่เพียงเปิดเผยให้เห็นการปรับตัวของศาสนจักรไทยตามแนวทางการสังคายนาควบคู่ไปกับการประเมินสถานการณ์แวดล้อมในสังคมไทย ทว่ายังช่วยให้เข้าใจคุณลักษณะขององค์กรพัฒนาเอกชนที่มีพื้นฐานความเชื่อทางศาสนาได้ชัดเจนมากขึ้น
พัฒนาการธุรกิจเสื้อผ้าสำเร็จรูป ทศวรรษที่ 2510-2530
กวินวัฒน์ หิรัญบูรณะ, Kawinwat Hiranburana (2015)
ธุรกิจเสื้อผ้าสำเร็จรูปเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ให้กับประเทศไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีพ.ศ.2529-2535ที่เสื้อผ้าสำเร็จรูปกลายเป็นสินค้าส่งออกที่สร้างรายได้สูงสุดของไทย ธุรกิจเสื้อผ้าสำเร็จรูปถือเป็นธุรกิจที่เกิดขึ้นใหม่ในระบบเศรษฐกิจของไทยที่แต่เดิมพึ่งพาการค้าสินค้าเกษตรมาตั้งแต่ช่วงสนธิสัญญาเบาว์ริง พ.ศ.2398 ธุรกิจเสื้อผ้าสำเร็จรูปในประเทศไทยเกิดขึ้นปีพ.ศ.2509 เมื่อมีการตั้งโรงงานเสื้อผ้าสำเร็จรูปของบริษัทไทยเอ็กซ์พอร์ตการ์เมนท์ของนักลงทุนชาวฮ่องกงโดยมีพัฒนาการสามารถแบ่งได้2 ช่วงดังต่อไปนี้คือพ.ศ.2510-2525 และพ.ศ. 2526-2537 แม้ว่าเสื้อผ้าสำเร็จรูปในไทยจะยังไม่ได้รับความนิยมแพร่หลายมากเท่าใดนัก ธุรกิจเสื้อผ้าสำเร็จรูปพ.ศ.2510-2525กลับขยายตัวขึ้นได้โดยมีปัจจัยสนับสนุนมาจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่2และ3ซึ่งมีความต้องการให้เกิดการลงทุนและการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก จึงทำให้เกิดนโยบายสนับสนุนทางด้านการลงทุนและเพื่อการส่งออกจำนวนมากจากภาครัฐ ทั้งนโยบายจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนและนโยบายช่วยเหลือทางด้านภาษีเป็นต้น ประกอบกับการเข้าร่วมในสนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยสิ่งทอหรือข้อตกลงว่าด้วยการค้าสิ่งทอระหว่างประเทศ(Multi-fibre arrangement)ทำให้ธุรกิจเสื้อผ้าสำเร็จรูปของไทยสามารถแข่งขันกับประเทศผู้ส่งออกอื่นๆได้ ทิศทางของธุรกิจเสื้อผ้าสำเร็จรูปในระยะนี้จึงเน้นเพื่อการส่งออกเป็นหลัก ในขณะที่ตลาดในประเทศเริ่มพบการนำตราสินค้าวาโก้เข้ามาผลิตและจำหน่ายในประเทศไทยโดยบริษัทในเครือบริษัทสหพัฒนพิบูล แต่ก็ถือเป็นส่วนน้อยของธุรกิจเสื้อผ้าสำเร็จรูปทั้งหมด ในช่วงที่2 แม้ว่าธุรกิจเสื้อผ้าสำเร็จรูปยังคงผลิตเพื่อการส่งออกเป็นหลัก แต่ธุรกิจเสื้อผ้าสำเร็จรูปของไทยกลับได้รับผลกระทบจากสนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยสิ่งทอ เมื่อประเทศผู้นำเข้าเริ่มมอบโควตาที่ไม่เพียงพอต่อผู้ประกอบการไทยส่งผลให้ประเทศไทยเริ่มส่งสินค้าเกินโควตาที่ได้รับจนเกิดข้อพิพาทระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกาในปีพ.ศ.2525-2526 และปีพ.ศ.2528ซึ่งสหรัฐประกาศห้ามนำเข้าสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปจากไทย ทำให้ธุรกิจเสื้อผ้าสำเร็จรูปเพื่อการส่งออกเริ่มประสบปัญหาในเรื่องตลาด ทำให้ผู้ประกอบการจึงต้องแก้ไขปัญหาไปใน2ทิศทางคือ 1.ส่งออกไปยังประเทศนอกสนธิสัญญาสิ่งทอระหว่างประเทศว่าด้วยสิ่งทอให้มากขึ้น 2.ปรับเปลี่ยนมาหาตลาดในประเทศมากขึ้น จึงทำให้พบผู้ประกอบการเสื้อผ้าสำเร็จรูปเดิมหันมาสร้างตราสินค้าของตนเองมากยิ่งขึ้น มีทั้งการนำเข้าลิขสิทธิ์มาจากต่างประเทศและการสร้างตราสินค้าขึ้นเอง ผู้ประกอบการที่นำเข้าตราสินค้ามาจากต่างประเทศมักมีความได้เปรียบกับผู้ประกอบการท้องถิ่นอื่นๆ อาทิ ทุน และการรวมตัวในแนวดิ่งและแนวนอนทำให้ผู้ประกอบการเหล่านี้สามารถผลิตวัตถุดิบที่เหมาะสม เป็นต้น ในขณะที่ผู้ประกอบการที่สร้างตราสินค้าขึ้นเองต้องประสบปัญหา โดยการพยายามนำเสนอสินค้าโดยเน้นเรื่องวัตถุดิบและราคาที่ถูกกว่าเพื่อแข่งขันกับผู้ประกอบการอื่นๆแทน
ปัจจัยแห่งความสำเร็จของธนาคารกรุงเทพ: พ.ศ. 2487 - 2523
ปัทวี แดงโกเมน, Pattawee Daengkomane, ตามไท ดิลกวิทยรัตน์, Tamthai Dilokvidhyarat (2020)
ธนาคารกรุงเทพก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2487 ภายหลังการก่อตั้งได้ 4 ปี ธนาคารก็ประสบปัญหาการขาดสภาพคล่องทางการเงิน นายชิน โสภณพนิช ได้รับมอบหมายให้แก้ไขปัญหาโดยอาศัยการสร้างสายสัมพันธ์กับอำนาจทางการเมือง ทำให้ธนาคารกรุงเทพเติบโตอย่างรวดเร็วและกลายเป็นธนาคารที่มีสินทรัพย์รวมมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2523 อย่างไรก็ตาม นอกจากปัจจัยทางด้านการเมืองแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นที่เกื้อหนุนต่อความสำเร็จของธนาคาร เช่น การขยายสาขาทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะหลัง พ.ศ. 2504 ภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาล จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ธนาคารกรุงเทพขยายสาขาในต่างจังหวัดจนกลายเป็นธนาคารที่มีจำนวนสาขาและระดมเงินฝากได้มากที่สุด และเป็นธนาคารแรกที่อำนวยสินเชื่อให้กับเกษตรกร นอกจากนี้ ธนาคารกรุงเทพยังมีบุคลากรที่มีความสามารถสูง บุคลากรคนสำคัญของธนาคารกรุงเทพหลายคนได้เข้าไปมีบทบาททางการเมืองและเศรษฐกิจไทย ทำให้ธนาคารกรุงเทพสามารถดำรงสถานะความเป็นผู้นำด้านการธนาคารระหว่างประเทศ
“เพื่อความก้าวหน้าของประมงไทย...เพื่อชีวิตคือความมีเงิน”: การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีประมงทะเลไทย พ.ศ. 2489 - 2503
Nipaporn Ratchatapattanakull, นิภาพร รัชตพัฒนากุล, จันทิมา อังคพณิชกิจ, Jantima Angkapanichkit (2021)
บทความนี้ศึกษาการถ่ายทอดเทคโนโลยีประมงทะเลจากต่างประเทศเข้าสู่ประเทศไทยในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 งานศึกษาเกี่ยวกับการกลายเป็นอุตสาหกรรมในระยะแรกของไทยถูกอธิบายด้วยกรอบการวิเคราะห์แบบทุนนิยมข้าราชการและเศรษฐกิจแบบชาตินิยม โดยอธิบายว่าภายหลังสงครามโลกครั้ง 2 ถึงทศวรรษ 1960 ช่วงต้น กลุ่มพวกพ้องของข้าราชการทหารและพลเรือนเป็นผู้กระทำการหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจภายใต้ความช่วยเหลือทางการเงินจากสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตามจากการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมประมงทะเลทั้งจากแง่มุมระบบเทคโนโลยีและการถ่ายทอดเทคโนโลยีเผยให้เห็นว่านักอุตสาหกรรมเอกชนเป็นอีกหนึ่งตัวแสดงที่สำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมประมงทะเลช่วงแรกเริ่ม พวกเขาเป็นผู้บุกเบิกที่กระตือรือร้นในการสร้างระบบเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมประมงทะเล บทบาทของพวกเขาในด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยีมีผลลัพธ์ที่หลากหลายตั้งแต่ประสบความสำเร็จ ปรับใช้ และล้มเหลว เรื่องราวของนักอุตสาหกรรมเหล่านี้ให้ภาพการมีส่วนร่วมอย่างกระตือรือร้นของภาคเอกชนและการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ซึ่งมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการทำความเข้าใจช่วงเริ่มต้นของการกลายเป็นอุตสาหกรรมในไทย
เรือประมง แพปลา ห้องเย็น และโรงงาน: ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจจังหวัดสตูล พ.ศ. 2504-2547
เอมวิการ์ อินทรคช, Aimwika Intharakhot (2018)
พัฒนาการของการทำประมงพาณิชย์ของไทยเกิดขึ้นหลังการผลักดันการประมงให้เข้าสู่กระบวนการพัฒนาในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1 พ.ศ. 2504 ตลอดจนการสำรวจแหล่งประมงฝั่งทะเลอันดามันในปี พ.ศ.2507 ซึ่งทำให้เกิดการขยายแหล่งประมงของไทยจากฝั่งทะเลอ่าวไทยมายังฝั่งทะเลอันดามัน เงื่อนไขทั้งสองประการทำให้การทำประมงทะเลกลายเป็นอาชีพที่สำคัญของคนไทย และผลผลิตจากประมงทะเลกลายเป็นสินค้าเกษตรตัวใหม่ที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ การทำประมงทะเลของสตูลในช่วงปี พ.ศ. 2504 – 2547 ที่เติบโตขึ้นภายใต้เงื่อนไขดังกล่าว โดยการศึกษานี้มีจุดมุ่งหมายในการอธิบายความเป็นมาและการเปลี่ยนแปลงของประมงพาณิชย์ในจังหวัดสตูล ซึ่งมิติด้านประมงทะเลนี้เป็นส่วนหนึ่งของความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของจังหวัดสตูลในช่วงเวลาที่ทำการศึกษา จากการศึกษาพบว่าการทำประมงพาณิชย์ในสตูลมีองค์ประกอบที่เป็นกลไกสำคัญ คือ เรือประมง แพปลา ห้องเย็น และโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปสัตว์น้ำ อย่างครบวงจร ซึ่งองค์ประกอบที่ครบวงจรเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในทุกพื้นที่ที่มีการทำประมงทะเลพาณิชย์ ลักษณะเช่นนี้จึงเป็นจุดเด่นของประมงพาณิชย์ในจังหวัดสตูล อย่างไรก็ตามสตูลไม่ใช่เพียงพื้นที่เดียวที่มีการทำประมงพาณิชย์แบบครบวงจร ปัจจัยที่ทำให้การประมงพาณิชย์ของสตูลมีกลไกอย่างครบวงจร คือ การเชื่อมต่อเส้นทางคมนาคมทางบกระหว่างสตูลและพื้นที่รอบนอก ทำให้แหล่งผลิตทางการประมงของสตูลเชื่อมต่อกับแหล่งเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ นอกจากนั้น การที่สตูลมีชายแดนเชื่อมต่อกับประเทศมาเลเซียทั้งทางบกและทะเลยังทำให้สินค้าและบริการพื้นฐานของการทำประมงทะเลมีตลาดในประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย จากเงื่อนไขดังกล่าวตลาดรับซื้อผลผลิตประมงของสตูลจึงขยายตัว และยังเป็นผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น กิจการโรงงานผลิตน้ำแข็ง ธุรกิจแพปลา เติบโตอีกด้วย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วง พ.ศ. 2515 – 2520 ส่วนการพัฒนาอุตสาหกรรมห้องเย็น และโรงงานแปรรูปสัตว์น้ำนั้นเกิดขึ้นในช่วง พ.ศ. 2530 เป็นต้นมา โดยเอกชนเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในกระบวนการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
อุดมคติทางธุรกิจของผู้ประกอบการไทยเชื้อสายจีน: กรณีศึกษากลุ่มผู้นำหอการค้าจีน (พ.ศ. 2488-2540)
วิภาวี สุวิมลวรรณ, Wipawee Suwimolwan (2016)
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มุ่งศึกษาการเปลี่ยนแปลงการดำเนินธุรกิจและอุดมคติทางธุรกิจของผู้ประกอบการไทยเชื้อสายจีนภายใต้ช่วงเวลาระหว่าง พ.ศ. 2488-2540 ผ่านการพิจารณาลักษณะการดำเนินธุรกิจ กิจกรรมด้านการกุศล ตลอดจนแนวคิดและคุณค่าต่างๆ ที่ผู้ประกอบการไทยเชื้อสายจีนยึดถือเป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจ โดยเลือกผู้นำหอการค้าจีน ได้แก่นายมา บูลกุล นายสหัท มหาคุณ นายชิน โสภณพนิช นายสมาน โอภาสวงศ์ และนายเกียรติ วัธนเวคินเป็นกรณีศึกษา เนื่องจากบุคคลเหล่านี้ถือเป็นชนชั้นนำทางเศรษฐกิจของไทยที่มีบทบาทสำคัญทั้งต่อวงการเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมของทั้งชาวไทยและชาวไทยเชื้อสายจีนตลอดมา ผลการศึกษาพบว่าแนวทางการดำเนินธุรกิจและอุดมคติการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการไทยเชื้อสายจีนมีพื้นฐานที่วางอยู่บนหลักความสัมพันธ์และการบริหารงานแบบครอบครัวเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามเมื่อเงื่อนไขทางเศรษฐกิจและการเมืองเปลี่ยนแปลงไป การดำเนินธุรกิจของคนเหล่านี้จึงมีการปรับเปลี่ยนตามไปด้วย ในช่วง พ.ศ. 2488–ทศวรรษ 2520 ผู้ประกอบการไทยเชื้อสายจีนมีแนวทางการดำเนินธุรกิจที่โดดเด่น 3 แนวทางคือ การดำเนินธุรกิจร่วมกับรัฐ การดำเนินธุรกิจภายใต้การเข้าสมาคมธุรกิจ และการดำเนินธุรกิจที่อาศัยการขยายฐานพันธมิตรทางธุรกิจโดยการร่วมทุน ส่วนในทศวรรษ 2520 เมื่อเศรษฐกิจเกิดการเปลี่ยนแปลงและภาครัฐมีบทบาทต่อภาคธุรกิจลดน้อยลงไป แนวทางการดำเนินธุรกิจร่วมกับรัฐจึงค่อยๆ ลดบทบาทลง ในขณะที่แนวทางการดำเนินธุรกิจภายใต้ความร่วมมือในรูปสมาคมธุรกิจ และการขยายธุรกิจจากการร่วมทุนมีความสำคัญเพิ่มขึ้น ส่วนในด้านอุดมคติทางธุรกิจ การศึกษาพบว่าอุดมคติทางธุรกิจของผู้ประกอบการไทยเชื้อสายจีนเน้นความสำคัญด้านการตอบแทนสังคมและการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในสังคมเป็นสำคัญโดยถือว่าการช่วยเหลือสังคมเป็นหน้าที่ทางวัฒนธรรมของผู้ที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจ อย่างไรก็ดีขอบข่ายของกิจกรรมทางสังคมของผู้ประกอบการไทยเชื้อสายจีนในแต่ละช่วงเวลามีความแตกต่างกันออกไป โดยมีปัจจัยของความเปลี่ยนแปลงคือปัญหาการเมืองระหว่างประเทศและมาตรฐานของวัฒนธรรมแห่งชาติที่แตกต่างกัน ในช่วง พ.ศ. 2488–ทศวรรษ 2520 ผู้ประกอบการไทยเชื้อสายจีนเน้นการให้ความช่วยเหลือชาวจีนด้วยกันเองเป็นพิเศษ เนื่องจากต้องการจรรโลงคุณค่าของพ่อค้าที่ดีตามความเชื่อของวัฒนธรรมจีนเอาไว้และในขณะเดียวกันก็มีการสงเคราะห์ผู้คนในสังคมไทยและดำเนินกิจกรรมที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมของชาติไทยหลายประการเพื่อแสดงให้เห็นถึงการเป็นผู้ประกอบการที่ดีและไม่เป็นอันตรายต่อชาติไทย ถัดมาในช่วงหลังทศวรรษ 2520 เมื่อเงื่อนไขการเมืองระหว่างประเทศเกิดการเปลี่ยนแปลง การเป็นจีนไม่ได้เป็นอันตรายต่อชาติไทยอีกต่อไป ผู้ประกอบการไทยเชื้อสายจีนจึงดำเนินกิจกรรมเพื่อฟื้นฟูวัฒนธรรมจีนและการจรรโลงคุณค่าของความเป็นจีนมากขึ้น ควบคู่กับการรักษาวัฒนธรรมสำคัญตามอุดมคติของชาติไทยนั่นคือการกตัญญูต่อชาติ การส่งเสริมพระพุทธศาสนา และการจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์
สหรัฐอเมริกาและการล้มเหลวของระบบแบรตตันวู้ด: นัยยะสำคัญต่อประชาคมยุโรปในทศวรรษ 1970
จุฬาพร เอื้อรักสกุล, Julaporn Euarukskul (2015)
ในเดือนสิงหาคม 1971 ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสันได้ประกาศยุติการแลกดอลลาร์สหรัฐเป็นทองคำ ประกาศนี้ถือได้ว่าเป็นการดำเนินการทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ผลที่ตามมาในที่สุดคือ การล้มของระบบแบรตตันวู้ด ซึ่งเป็นระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ที่ใช้ทั่วโลกตั้งแต่หลังสงคราม นโยบายเศรษฐกิจสหรัฐและดอลลาร์ที่อ่อนค่าทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจและการเงินทั่วโลกแทบทั้งทศวรรษ ประชาคมยุโรปต้องเผชิญวิกฤติจากภายนอกที่รุนแรงที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งองค์กร แผนบูรณาการหลายแผนหยุดชะงักและสกุลเงินยุโรปบางสกุลอยู่ในภาวะใกล้ล้ม ในท่ามกลางปัญหายุ่งยากนี้ สมาชิกประชาคมเริ่มต้นแสวงหาความเป็นอิสระทางการเงินและเศรษฐกิจจากสหรัฐ ความพยายามในเบื้องแรกเป็นไปอย่างยากลำบากและประสบผลสำเร็จอย่างจำกัดมากในปลายทศวรรษ อย่างไรก็ตาม การดำเนินการนี้จะเป็นการวางพื้นฐานสำคัญของโครงการบูรณาการเศรษฐกิจและการเงินยุโรปในเวลาต่อมา ทั้งยังเป็นการปูทางไปสู่ความสำเร็จของสหภาพการเงินและเงินสกุลเดียวของยุโรปในทศวรรษ 1980 และ 1990
จาก "โรสซาวด์ มิวสิค" สู่ "บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน)" พ.ศ. 2525-2552: การศึกษาประวัติศาสตร์ธุรกิจ
สุพลธัช เตชะบูรณะ, Suphontat Techaburana (2016)
งานวิจัยเล่มนี้มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาอยู่ 2 ประการ ได้แก่ ประการแรก ศึกษาการเปลี่ยนแปลงการประกอบธุรกิจทางด้านเพลงไทยสากลของอาร์เอส และประการต่อมาคือ ศึกษาและวิเคราะห์แนวทางการประกอบธุรกิจของอาร์เอสโดยการขยายไปยังธุรกิจสื่อและธุรกิจอื่นๆ ในฐานะที่เป็นผู้ให้บริการเนื้อหา (content provider) โดยกำหนดระยะเวลาการศึกษาไว้ระหว่าง พ.ศ. 2525-2552 ซึ่งเป็นช่วงที่อาร์เอสยังคงมีสถานะทางธุรกิจในฐานะผู้ให้บริการเนื้อหาอยู่ และงานวิจัยชิ้นนี้จะใช้แนวทางการศึกษาตามรูปแบบของประวัติศาสตร์ธุรกิจ (business history) งานวิจัยชิ้นนี้ต้องการแสดงข้อเสนอหลักอยู่ 2 ประการเพื่ออธิบายลักษณะการเปลี่ยนแปลงการประกอบธุรกิจของอาร์เอสในช่วงเวลาดังกล่าวคือ ประการแรก การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีของสื่อเป็นปัจจัยสำคัญในการปรับตัวและกำหนดทิศทางธุรกิจของอาร์เอส และประการต่อมาคือ ลักษณะความเป็นธุรกิจครอบครัวของอาร์เอสถือเป็นข้อดีที่ช่วยส่งเสริมการบริหารจัดการและการปรับตัวของบริษัทให้เป็นไปอย่างรวดเร็วซึ่งสอดรับกับธรรมชาติของธุรกิจบันเทิงที่ต้องอิงอาศัยกระแสความนิยมในตลาดอยู่ตลอดเวลา จากการศึกษาพบว่า พัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงการประกอบธุรกิจของอาร์เอส สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ช่วง ได้แก่ ช่วงแรก พ.ศ. 2525-2534 เป็นช่วงที่อาร์เอสปรับตัวทางธุรกิจจากการเป็นผู้รับจ้างอัดแผ่นเสียงและเทปคาสเสทขาย มาเป็นค่ายเพลงอย่างเต็มตัว โดยเพิ่มส่วนงานการผลิตศิลปินและบทเพลงเข้าไป ทำให้อาร์เอสมีรูปแบบธุรกิจที่ครบวงจรในการดำเนินธุรกิจนี้ ได้แก่ กระบวนการผลิต กระบวนการทำการตลาด และกระบวนการจัดจำหน่าย ส่วนลักษณะทางธุรกิจในช่วงนี้ของอาร์เอสจะมีความเป็นธุรกิจครอบครัวโดยสมบูรณ์ซึ่งจะเห็นได้จากการถือหุ้นที่กระจุกตัวอยู่กับบุคคลในตระกูลเชษฐโชติศักดิ์เป็นส่วนใหญ่ และอำนาจการบริหารจัดการจะรวมศูนย์อยู่ที่เกรียงไกร เชษฐโชติศักดิ์ ช่วงที่สอง พ.ศ. 2525-2545 ถือเป็นช่วงที่อาร์เอสปรับเปลี่ยนแนวทางการทำการตลาดโดยการเจาะกลุ่มผู้ฟังที่เป็นนักเรียน-นักศึกษาเป็นหลักจนประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง พร้อมกันนี้อาร์เอสยังขยายธุรกิจออกไปในแขนงอื่นๆ เพื่อเป็นเครื่องมือสนับสนุนการตลาดเพลงอย่างหนึ่ง ประกอบด้วย ธุรกิจสื่อ ธุรกิจภาพยนตร์ ธุรกิจแฟนคลับ และธุรกิจร้านค้าปลีก ส่วนลักษณะธุรกิจยังคงเป็นแบบธุรกิจครอบครัวอยู่ ดังจะเห็นได้จากการถือหุ้นที่ล้วนกระจุกตัวอยู่กับบุคคลในตระกูลเชษฐโชติศักดิ์ทั้งสิ้น และอำนาจการบริหารจัดการจะรวมศูนย์อยู่ที่สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ช่วงสุดท้าย พ.ศ. 2545-2552 เป็นช่วงที่อาร์เอสแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน พร้อมกับเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีสื่อ นั่นคือ การเข้ามาของระบบดิจิทัลและเทคโนโลยีสารสนเทศจนทำให้พฤติกรรมในการบริโภคเพลงของคนในสังคมเปลี่ยนแปลงไป เป็นเหตุให้อาร์เอสลดความสำคัญของธุรกิจเพลงลง และหันไปขยายธุรกิจอื่นๆ ได้แก่ ธุรกิจสื่อ ธุรกิจภาพยนตร์และละคร ธุรกิจกีฬา และธุรกิจโชว์บิซ (showbiz) ส่วนลักษณะทางธุรกิจนั้น แม้ว่าอาร์เอสจะมีสถานะเป็นบริษัทมหาชนแล้วก็ตาม แต่สัดส่วนการถือหุ้นยังคงกระจุกตัวอยู่กับบุคคลในตระกูลเชษฐโชติศักดิ์เป็นส่วนใหญ่เพื่อรักษาอำนาจความเป็นเจ้าของและสิทธิในการบริหารนั่นเอง
พัฒนาการของอุตสาหกรรมไก่เนื้อในประเทศไทย พ.ศ. 2503-2527
นิติศักดิ์ อัศวโชคอนันท์, Nitisak Assawachokanan (2013)
ก่อนทศวรรษ 2500 การผลิตไก่เนื้อในประเทศไทยยังเป็นการเลี้ยงแบบหลังบ้านและเป็นการผลิตที่ยังไม่ได้แยกออกจากการผลิตไก่ไข่ ต่อมาได้รับการส่งเสริมจากหน่วยงานของรัฐให้ประชาชนหันมาเลี้ยงไก่ให้มากขึ้นด้วยการแจกไก่พันธุ์ดีและการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงไก่ในหมู่ประชาชน ซึ่งเป็นไปตามแนวคิดของชนชั้นนำในยุคนั้นว่า หากต้องการพัฒนาการเลี้ยงไก่ในประเทศไทย ก็จำเป็นต้องพึ่งพาและศึกษาหาความรู้ด้านเทคโนโลยีการเฃลี้ยงไก่จากต่างประเทศ ช่วยให้เกิดการเลี้ยงไก่ขึ้นอย่างแพร่หลาย เกิดฟาร์มเลี้ยงไก่เชิงพาณิชย์ที่จำเป็นต้องใช้ไก่พันธุ์ดีและอาหารไก่ที่มีคุณค่าทางโภชนาการในการนำมาเลี้ยง เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ต้องการและนำไปจำหน่ายเป็นรายได้ของครอบครัวขึ้นในทศรรษ 2490 แต่การส่งเสริมของรัฐบายไม่ได้ทำให้เกิดการเลี้ยงไก่แบบฟาร์มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ขึ้น และการขยายตัวของฟาร์มเลี้ยงไก่ยังเป็นไปอย่างค่อนข้างจำกัด เนื่องจากในขณะนั้นรัฐบาลยังประสบปัญหาด้านการตลาดให้กับสินค้าไก่เนื้อ การหาแหล่งทุนให้กับเกษตรกร และการขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ด้านสัตวบาลในการให้คำแนะนำเรื่องการเลี้ยงไก่แก่เกษตรกรอย่างทั่วถึง อุตสาหกรรมไก่เนื้อของประเทศไทยได้เริ่มพัฒนาขึ้นตั้งแต่ทศวรรษ 2510 เป็นต้นมา โดยมีบริษัทเอกชนผู้ผลิตอาหารสัตว์ซึ่งได้ดำเนินกิจการมาตั้งแต่ก่อนทศวรรษ 2510 บริษัทเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้เริ่มสะสมทุนมาจากธุรกิจการค้าพืชไร่ที่เริ่มขยายตัวในช่วงทศวรรษ 2500 และได้ร่วมทุนกับบริษัทต่างชาติเพื่อประโยชน์ด้านเทคโนโลยีการผลิตไก่พันธุ์ อาหารสัตว์ การเลี้ยงไก่ และการตลาด ตั้งแต่กลางทศวรรษ 2510 เป็นต้นมา ก่อให้เกิดการพัฒนาด้านลูกไก่พันธุ์และสูตรอาหารไก่ที่ช่วยให้ไก่โตเร็ว มีระยะเวลาในการเลี้ยงสั้น และมีอัตราการแลกอาหารเป็นเนื้อที่ดี ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นของวิทยาการความรู้ทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ในการเลี้ยงไก่เนื้อแบบอุตสาหกรรม ปัญหาไข่ไก่ล้นตลาดและราคาตกต่ำในปี พ.ศ. 2503 ส่งผลให้การเลี้ยงไก่เนื้อได้รับความนิยมมากขึ้น จนเกิดฟาร์มเลี้ยงไก่เนื้อโดยเฉพาะขึ้นอย่างแพร่หลายในประเทศไทยและมีการนำลูกไก่เนื้อพันธุ์ดีจากบริษัทต่างประเทศเข้ามาจำหน่ายและเพาะเลี้ยงไว้เป็นไก่กระทง แต่ด้วยข้อจำกัดในการขยายพันธุ์ไก่ที่เป็นสินค้าของบริษัทต่างประเทศเหล่านี้ ทำให้ฟาร์มเลี้ยงไก่เนื้อจำเป็นต้องพึ่งพากลุ่มบริษัทผู้ผลิตอาหารสัตว์และลูกไก่พันธุ์มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดภาวะผันผวนของราคาไก่เนื้อในตลาด จนเกิดเป็นธุรกิจฟาร์มเลี้ยงไก่แบบพันธะสัญญา (contract farming) ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมที่สำคัญยิ่งในการพัฒนาและการขยายตัวของอุตสาหกรรมไก่เนื้อในประเทศไทย กลางทศวรรษ 2510 บริษัทเอกชนผู้ผลิตอาหารสัตว์ได้ขยายกิจการไปสู่ธุรกิจการฆ่าชำแหละเนื้อไก่ อันเป็นธุรกิจปลายน้ำในการผลิตไก่เนื้อแบบครบวงจร ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับการเกิดขึ้นมาก่อนแล้วในสหรัฐอเมริกา บริษัทผู้ผลิตอาหารสัตว์เหล่านี้ได้ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่ทันสมัยและการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพในการลดต้นทุนการผลิตและการหาตลาดในต่างประเทศ โดยได้รับความช่วยเหลือจากบริษัทต่างประเทศที่ได้ลงทุนร่วมกัน จัดตั้งบริษัทผลิตเนื้อไก่แช่เย็นเพื่อการส่งออกให้ได้มาตรฐานด้านความสะอาดและอนามัย จนไทยกลายเป็นผู้ส่งออกเนื้อไก่แช่เย็นที่สำคัญรายหนึ่งของโลกได้ในกลางทศวรรษ 2520 โดยมีข้อได้เปลี่ยบในการส่งออกสินค้าเหนือประเทศคู่แข็งในด้านค่าและและการขนส่งที่ต่ำ ระยะเวลาในการขนส่งน้อยกว่า และมีความสามารถในการตอบสนองต่อความต้องการของตลาดในญี่ปุ่น ขณะที่ผู้บริโภคในประเทศไทยก็ได้รับประโยชน์จากการซื้อสินค้าเนื้อไก่ที่มีราคาถูกลงและมีมาตรฐานด้านความสะอาดในกระบวนการผลิตที่ดีขึ้น
การเปลี่ยนแปลงและการขยายตัวของธุรกิจเพลง ไทยสากลในทศวรรษที่ 2520
สุพลธัช เตชะบูรณะ, Suphontat Techaburana, กรพนัช ตั้งเขื่อนขันธ์, Kornphanat Tungkeunkunt (2016)
บทความนี้มุ่งศึกษาธุรกิจเพลงไทยสากลในช่วงทศวรรษที่ 2520 ในด้านการเปลี่ยนแปลงและการขยายตัว โดยใช้วิธีการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องแล้วนำเสนอโดยการพรรณนาเชิงวิเคราะห์ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในธุรกิจนี้ เกิดจากปัจจัยสำคัญ คือ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการบันทึกเสียง นั่นคือการเข้ามาของเทปคาสเสต และการออกพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ในปี 2521เพื่อแก้ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ที่เกิดจากความนิยมในการฟังเพลงผ่านเทปคาสเสตในกลุ่มผู้บริโภค ส่วนการขยายตัวของธุรกิจนี้ เกิดจากปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจเป็นสำคัญ โดยสามารถพิจารณาได้จากรายได้เฉลี่ยต่อเดือนในครัวเรือนและการถือครองวิทยุและโทรทัศน์ตามบ้านเรือนที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งการทำการตลาดของค่ายเพลงต่างๆ ที่รุนแรงและเข้มข้นเป็นอย่างมากในช่วงทศวรรษนี้