ภาษาศาสตร์ประยุกต์
Permanent URI for this collection
บทความวิจัยและวิทยานิพนธ์ในสาขาวิชาภาษาศาสตร์ที่สังกัดสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย ในสายภาษาศาสตร์ประยุกต์ ได้แก่ การแปล (Translation) การรับภาษาที่สอง (Second (Foreign) language acquisition) การรับภาษาที่หนึ่ง (First language acquisition) การเรียนการสอนภาษา (Language teaching) ภาษากับปริชาน (Language and cognition) ภาษาศาสตร์คลังข้อมูล (Corpus linguistics) ภาษาศาสตร์คอมพิวเตอร์/การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Computational linguistics/Natural language processing) ภาษาศาสตร์จิตวิทยา (Psycholinguistics) ภาษาศาสตร์เชิงคลินิก/การแก้ไขการพูดการได้ยินภาษา/ความผิดปกติในการสื่อความหมาย (Clinical linguistics/Speech-language pathology/Communication disorders) ภาษาศาสตร์เชิงประวัติ/นิรุกติศาสตร์ (Historical linguistics/Philology) ภาษาศาสตร์ปริชาน (Cognitive linguistics) ภาษาศาสตร์เปรียบเทียบ (Comparative linguistics) ภาษาศาสตร์สังคม (Sociolinguistics) วิทยาภาษาถิ่น (Dialectology)
Browse
Browsing ภาษาศาสตร์ประยุกต์ by Degree Department "คณะอักษรศาสตร์"
Now showing 1 - 20 of 242
Results Per Page
Sort Options
- PublicationA dependency analysis of Thai sentences for a computerized parsing systemAroonmanakun, Wirote; วิโรจน์ อรุณมานะกุล (1990)วิเคราะห์ประโยคภาษาไทยตามแนวทฤษฎีไวยากรณ์พึ่งพา เพื่อใช้ในระบบการแจงส่วนประโยคด้วยคอมพิวเตอร์ โดยได้เลือกประโยคสำหรับใช้ทดสอบจำนวน 50 ประโยค การวิเคราะห์เน้นที่การหาโครงสร้างที่แสดงความสัมพันธ์แบบพึ่งพา ทั้งในระดับวากยสัมพันธ์ คือ การหาโครงสร้างต้นไม้พึ่งพา และในระดับอรรถศาสตร์ คือ การหาโครงสร้างสายใยความหมาย การวิเคราะห์หาโครงสร้างต้นไม้พึ่งพานั้น อาศัยความรู้ที่สำคัญ คือ เรื่องของหมวดคำและวากยการกของภาษาไทย การกำหนดความสัมพันธ์ในโครงสร้างตันไม้พึ่งพานั้น ใช้การเรียงลำดับความสำคัญสามลักษณะเป็นเกณฑ์ คือ ความสำคัญในแนวลึก ความสำคัญในระยะใกล้ และความสำคัญในความเป็นไปได้ ส่วนการวิเคราะห์หาโครงสร้างสายใยความหมายนั้น อาศัยความรู้ที่สำคัญ คือ เรื่องของการกสัมพันธ์และเงื่อนไขการก การวิเคราะห์ทั้งในสองระดับนี้ แสดงได้ด้วยกฎการแจงส่วนประโยค ซึ่งเขียนขึ้นเพื่อใช้กับระบบการแจงส่วนประโยค CUPARSE กฎเหล่านี้จะถูกจัดเป็นชุดกฎต่างๆ โดยที่ในระดับวากยสัมพันธ์นั้น ใช้กฎ 10 ชุด ส่วนในระดับอรรถศาสตร์นั้น ใช้กฎ 4 ชุด
- PublicationFirst words : communicative development of 9 - to 24-month-old Thai childrenRungrojsuwan, Sorabud (2003)งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพัฒนาการทางเสียงและพัฒนาการในการรู้คำของเด็กไทย ระหว่างช่วงอายุ 9 ถึง 24 เดือน จากการศึกษาพบว่า การรู้ภาษาแม่เป็นกระบวนการที่ซับซ้อน มีปัจจัยหลายประการที่มีความสำคัญต่อการรู้ภาษา ได้แก่ ลักษณะสากลลักษณ์ และลักษณะเฉพาะภาษา นอกจากนี้ยังพบว่าสภาพแวดล้อม ความหลากหลายและความชอบของเด็กแต่ละคน พร้อมทั้งลักษณะของภาษาป้อนเข้า ก็มีความสำคัญด้วยเช่นกัน จากการศึกษาพัฒนาการทางเสียงพบว่า ความสามารถในการออกเสียงของเด็กมีจำกัด กล่าวคือ เด็กจะออกเสียงบางเสียงบ่อยกว่าเสียงกลุ่มอื่น เช่น ในกลุ่มเสียงพยัญชนะต้น คือ เสียงกัก > เสียงนาสิก > เสียงต่อเนื่อง > เสียงเสียดแทรก, ในกลุ่มเสียงสระเดี่ยว คือ /a/ > /i/ > /u/ > /O/ > /x/ > /o/ > /e/ > /U/ > /q/, ในกลุ่มเสียงวรรณยุกต์ คือ สามัญ > โท > เอก > ตรี > จัตวา ตามลำดับ ในระบบพยางค์หนักเบา คือ พยางค์หนักเป็นเอก > พยางค์หนักเป็นโท > พยางค์เบา เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบว่า เด็กสามารถออกเสียงที่มีโครงสร้างทางเสียงที่มีความซับซ้อนน้อยได้ก่อนเสียงที่มีโครงสร้างทางเสียงที่ซับซ้อนมากกว่า เช่น โครงสร้างพยางค์แบบเปิด คือ CV > CVV > CCV, ในโครงสร้างพยางค์แบบปิด คือ CVC > CVVC > CCVC, เสียงพยัญชนะ คือ C > CC, เสียงสระ คือ V > VV อย่างไรก็ดี จากการศึกษาเปรียบเทียบสัดส่วนของเสียงแต่ละกลุ่มกับภาษาผู้ใหญ่ (ศศิธร หาญพานิช, 2536) พบว่า ลักษณะทางเสียงในภาษาของเด็กจะค่อยๆ พัฒนาไปสู่รูปแบบของเสียงในภาษาของผู้ใหญ่ จากการศึกษาพัฒนาการในการรู้คำพบว่า เด็กเริ่มรู้คำชุดแรกเมื่ออายุประมาณ 9-15 เดือน อัตราในการรู้คำของเด็กที่พบมี 2 ลักษณะ คือ แบบค่อยเป็นค่อยไปและแบบฉับพลัน ซึ่งระยะเวลาของอัตราในการรู้คำแบบฉับพลันนั้นส่งผลโดยตรงต่อปริมาณคำศัพท์ที่เด็กรู้เมื่อมีอายุได้ 24 เดือน จากการศึกษาประเภทของคำที่เด็กรู้พบว่า เด็กรู้คำหลักก่อนและในปริมาณที่มากกว่าคำไวยากรณ์ และรู้คำที่อ้างถึงสรรพสิ่งก่อนและในปริมาณที่มากกว่าคำที่อ้างถึงอาการ ลักษณะ และความสัมพันธ์ของสรรพสิ่ง จากการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเข้าใจกับการพูดพบว่า โดยปกติเด็กจะเข้าใจความหมายของคำก่อนที่จะพูด แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงระยะที่มีการรู้คำศัพท์ใหม่ๆ เป็นจำนวนมากนั้น เด็กอาจพูดเลียนแบบเสียงคำบางคำได้ก่อนที่จะเข้าใจความหมายของคำเหล่านั้น จากการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาษาป้อนเข้ากับคำชุดแรกของเด็กไทยพบว่า มีความสัมพันธ์ในแบบที่ไม่ชัดเจนนักระหว่างประเภทของคำในภาษาป้อนเข้ากับประเภทของคำในภาษาของเด็ก จากข้อค้นพบดังกล่าว ผู้วิจัยจึงอภิปรายว่า อาจจะเกิดจากปริมาณความสนใจของเด็กที่มีต่อผู้ใหญ่และสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการรู้ภาษา
- PublicationFurther classification of Southwestern TaiRobinson, Edward Raymond III (1994)
- PublicationModels of mental lexicon in bilinguals with high and low second language experience : an experimental study of lexical accessNa Ayudhyam Panornuag Sudasna (2002)งานวิจัยนี้ประกอบด้วยการศึกษาเชิงทดลอง 5 การทดลองเพื่อศึกษาการนึกรู้คำภาษาที่ 1 และ ภาษาที่ 2 ในผู้พูดทวิภาษาและเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประสบการณ์ภาษาที่ 2 กับกระบวนการนึกรู้คำ การทดลองที่ 1 เป็นการทดลองแบบสตรูปในภาษาไทย-ภาษาอังกฤษ ซึ่งผู้ทดลองต้องบอกชื่อสีของหมึกในคำที่เขียนด้วยสีซึ่งขัดแย้งกับความหมายของคำ เช่น ในคำว่า เขียว ที่เขียนด้วยหมึกสีแดง ผู้ทดลองจะต้องบอกว่า "แดง" สิ่งเร้าหรือคำจะถูกเขียนเป็นภาษาไทยหรืออังกฤษและผู้ทดลองต้องตอบเป็นภาษาไทยหรืออังกฤษ โดยมีการทดลอง 4 เงื่อนไขคือ คำเรียกสีและการบอกชื่อสีเป็นภาษาที่ 1 (L1-L1) คำเรียกสีเป็นภาษาที่ 1 และการบอกชื่อสีเป็นภาษาที่ 2 (L1-L2) คำเรียกสีเป็นภาษาที่ 2 และการบอกชื่อสีเป็นภาษาที่ 1 (L2-L1) และคำเรียกสีและการบอกชื่อสีเป็นภาษาที่ 2 (L2-L2) การทดลองแสดงว่า ในกรณีของการนึกรู้ภายในภาษาเดียว คือ L1-L1 และ L2-L2 ผู้พูดทวิภาษาที่มีประสบการณ์ทางภาษาที่ 2 สูง (กลุ่มสูง) มี การแทรกแซงจากความหมายของคำสูงกว่าผู้พูดทวิภาษาที่มีประสบการณ์ทางภาษาที่ 2 ต่ำ (กลุ่มต่ำ) ในการนึกรู้คำในภาษาที่ 2 (L2-L2) กลุ่มสูงมีการแทรกแซงของความหมายของคำใกล้เคียงกับการนึกรู้คำในภาษาที่ 1 เมื่อเทียบกับการนึกรู้คำในภาษาที่ 2 ของกลุ่มต่ำ ส่วนในการนึกรู้คำข้ามภาษา (L1-L2 และ L2-L1) การแทรกแซงจากความหมายของคำเกิดขึ้นสูงกว่าในกลุ่มตัวอย่างประสบการณ์ต่ำมากกว่าในกลุ่มสูง การทดลองที่ 2-5 ศึกษาการนึกรู้คำโดยใช้การทดลองแบบกระตุ้นเร้าความหมายของคำข้ามภาษา ซึ่งผู้ทดลองต้องตอบว่าคำที่เห็นบนจอภาพเป็นคำเรียกญาติหรือไม่ โดยก่อนที่คำจะปรากฏบนจอภาพความหมายของคำจะถูกกระตุ้นด้วยคำซึ่งกำหนดให้ปรากฏเป็นระยะเวลา 150 มิลลิวินาที คำที่ใช้ในการกระตุ้นนี้มีทั้งที่มีความหมายสัมพันธ์กับคำทดลองและไม่สัมพันธ์ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย 4 กลุ่ม คือ (1) ผู้พูดทวิภาษาไทย-อังกฤษ (2) ผู้พูดทวิภาษาอังกฤษ-ไทย (3) ผู้พูดทวิภาษาจีนกลาง-อังกฤษ และ (4) ผู้พูดทวิภาษาอังกฤษ-จีนกลาง ผลการทดลองแสดงว่าการกระตุ้นเร้าความหมายของคำมีผลต่อการนึกรู้คำทั้งในกลุ่มสูงและต่ำ ความแตกต่างในการนึกรู้คำนี้เป็นผลจากประสบการณ์ทางภาษาซึ่งแสดงให้เห็นชัดด้วยความแตกต่างของอัตราความเร็วในการนึกรู้คำ ซึ่งแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผลการทดลองทุกการทดลองสนับสนุนว่าผู้พูดทวิภาษามีระบบคำของภาษาที่ 1 และ ภาษาที่ 2 แยกกัน แต่มี ระบบความหมายของภาษาที่ 1 และ 2 ร่วมกัน นอกจากนี้ ผลการทดลองเสนอแนวคิดที่ว่า ผู้พูดทวิภาษาที่มีประสบการณ์ทางภาษาที่ 2 ต่ำ มีการนึกรู้คำภาษาที่ 1 โดยตรงจากระบบความหมายและคำศัพท์แต่มีการนึกรู้คำภาษาที่ 2 ผ่านระบบคำในภาษาที่ 1 อย่างไรก็ตาม ผู้พูดทวิภาษาที่ปีประสบการณ์ภาษาที่ 2 สูง มีการนึกรู้คำภาษาที่ 2 โดยตรง จากระบบความหมายไม่ได้นึกรู้ผ่านภาษาที่ 1เช่นในกลุ่มประสบกลุ่มประสบการณ์ต่ำ
- PublicationSTRATEGIES FOR TRANSLATING THE SPEECH ACTS OF DIRECTIVES, REJECTIONS, AND INQUIRIES IN ENGLISH DIALOGUES INTO THAIKlinkajorn, Nicha (2014)งานวิจัยนี้ต้องการศึกษาความเหมือนและความแตกต่างในการแสดงวัจนกรรมการกล่าวชี้นำ การกล่าวปฏิเสธ และการกล่าวเพื่อถามในตัวบทภาษาอังกฤษและบทแปลภาษาไทย รวมถึงกลวิธีในการแปลวัจนกรรมเหล่านี้จากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย โดยมุ่งวิเคราะห์รูปภาษาในการกล่าวชี้นำ การกล่าวปฏิเสธ และการกล่าวเพื่อถามในตัวบทภาษาอังกฤษและบทแปลภาษาไทย ตลอดจนปัจจัยต่างๆในการควบคุมรูปภาษาเหล่านี้ ทั้งยังวิเคราะห์กลวิธีในการแปลที่ใช้เพื่อจัดการกับความแตกต่างในรูปภาษาที่ใช้แสดงวัจนกรรมทั้งสามของทั้งสองภาษา งานวิจัยนี้ได้วิเคราะห์บทสนทนาในนวนิยายอังกฤษร่วมสมัย 2 เรื่อง ได้แก่ Bridget Jones’s Diary (1996) และ Turning Thirty (2000) และบทแปลภาษาไทยของแต่ละเรื่องใน 3 มิติการวิเคราะห์ทางภาษาศาสตร์ ได้แก่ วัจนกรรมตรง-วัจนกรรมอ้อม โครงสร้างทางวัจนปฏิบัติศาสตร์ และ กลวิธีความสุภาพ ผลการวิเคราะห์พบว่ารูปภาษาแบบตรงพบในตัวบทภาษาอังกฤษมากกว่าในบทแปลภาษาไทย และรูปภาษาแบบอ้อมพบในบทแปลภาษาไทยมากกว่าในตัวบทภาษาอังกฤษตามที่ได้ตั้งสมมติฐานไว้ นี้เป็นผลมาจากอิทธิพลของบริบททางวัฒนธรรม เพราะภาษาอังกฤษเป็นภาษาในวัฒนธรรมแบบพึ่งพาบริบทน้อย ขณะที่ภาษาไทยเป็นภาษาในวัฒนธรรมแบบพึ่งพาบริบทมากแม้ในตัวบทที่เป็นบทแปลก็ตาม สำหรับเรื่องของกลวิธีการแปล ปรากฏว่าการแปลตรงตัว (literal translation) ถูกเลือกมาใช้เพื่อทำให้บทแปลเกิดสมมูลภาพทางวัจนปฏิบัติศาสตร์มากกว่าการแปลเอาความ (free translation) และผลการวิจัยสนับสนุนสมมติฐานที่ว่ากลวิธีการแปลที่เลือกใช้จะเป็นไปในทิศทางใดนั้นขึ้นอยู่กับระดับการรบกวนคู่สนทนาของแต่ละวัจนกรรม
- PublicationThe polyfunctionality of the word form /tôŋ/ in Thai : a cognitive linguistic studyChancharu, Naruadol (2009)พหุหน้าที่คือ ปรากฏการณ์ทางภาษาศาสตร์ที่รูปภาษาหนึ่งสามารถทำหน้าที่ทางวากยสัมพันธ์ได้มากกว่าหนึ่งหน้าที่ และให้ความหมายที่แตกต่างแต่สัมพันธ์กัน ปรากฏการณ์นี้เป็นที่สนใจศึกษาในทั้งแนวทางของแบบลักษณ์ภาษา ภาษาศาสตร์เชิงประวัติ และภาษาศาสตร์ปริชาน การศึกษานี้มุ่งเน้นไปที่คำว่า "ต้อง" ในภาษาไทย ซึ่งเป็นกรณีของพหุหน้าที่ที่น่าสนใจ เพราะปรากฏมีคำที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันนี้ในภาษาต่างๆ ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างไรก็ดี ประเด็นที่ยังไม่กระจ่างชัดคือ หน้าที่และความหมายของ "ต้อง" นั้นสัมพันธ์กันอย่างไรทั้งในเชิงพัฒนาการและเชิงมโนทัศน์ เพื่อที่จะตอบประเด็นดังกล่าว การศึกษานี้มุ่งเน้นวิเคราะห์ลักษณะทางวากยสัมพันธ์และอรรถศาสตร์ของ "ต้อง" สืบหาแนวทางและทิศทางของการเปลี่ยนแปลงทางวากยสัมพันธ์และอรรถศาสตร์ และระบุกลไกที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว การศึกษานี้พบว่า คำว่า "ต้อง" มีหน้าที่ทางวากยสัมพันธ์สองหน้าที่คือ หน้าที่กริยาและหน้าที่กริยานุเคราะห์ ซึ่งสามารถแยกออกจากกันโดยใช้เกณฑ์ในเรื่องความเป็นประพจน์ ตำแหน่งการวาง การควบคุมและการปฏิเสธ ในทางเดียวกันพบว่า ทั้งแปดความหมายของ "ต้อง" สามารถแยกออกได้เป็นสองกลุ่มคือ ความหมายเชิงศัพท์ อันได้แก่ "สัมผัสทางกายภาพ" "สอดคล้องกัน" “จำนนต่ออำนาจเหนือธรรมชาติ" และ "ได้รับข้อกำหนดทางสังคม" และความหมายเชิงมาลาอันได้แก่ "มีข้อกำหนดต้องทำ" "มีความจำเป็นต้องทำ" "มีความต้องการทำ" และ "มีความแน่นอนว่าจะทำ" พัฒนาการของ "ต้อง" จากหน้าที่กริยาไปสู่หน้าที่กริยานุเคราะห์นั้นมีหกขั้นตอน โดยการวิเคราะห์ใหม่และการเทียบแบบ คือกลไกที่มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงนี้ แต่มีบทบาทต่างกันในแต่ละขั้นตอน นอกจากนี้ยังพบว่า พัฒนาการด้านความหมายของ "ต้อง" มีทั้งหมดสามเส้นทาง และอุปลักษณ์และนามนัย คือกลไกทางปริชานที่มีความเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลง แต่มีความเกี่ยวข้องต่างกันในแต่ละขั้นตอน
- Publicationกฎการกล่าวขอบคุณในสังคมไทย : การศึกษาตามแนวภาษาศาสตร์สังคมสิงหชาต ไตรจิตต์; Singhachart Thrichit (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สถาบันวิทยบริการ, 2006)งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะวิเคราะห์การกล่าวขอบคุณในภาษาไทยปัจจุบันในแง่รูปแบบและการแปรตาม ปัจจัย 3 ประการคือ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง ความเป็นทางการของสถานการณ์ และความพึงพอ ใจของผู้พูดต่อสิ่งที่ได้รับ ข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์ได้มาจากการตอบแบบสอบถามของข้าราชการทำงาน อยู่ในสำนักงาน 5 สำนัก ของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล จำนวน 96 คน เกณฑ์ที่ใช้ใน การแบ่งประเภทของการกล่าวขอบคุณมี 2 เกณฑ์คือ 1) โครงสร้าง และ 2) ความซับซ้อนในเชิงโครงสร้าง พบว่าการกล่าวขอบคุณมี 3 แบบใหญ่ ๆ คือ 1) การกล่าวขอบคุณตรง 2) การกล่าวขอบคุณอ้อม และ 3) การกล่าวขอบคุณตรง+การกล่าวขอบคุณอ้อม การกล่าวขอบคุณตรงประกอบไปด้วยส่วนประกอบสำคัญ 2 ส่วน ส่วนแรกคือ คำขอบคุณตรง ซึ่งต้องปรากฏเสมอ และส่วนที่สองคือ ส่วนเสริม ซึ่งอาจปรากฏหรือไม่ ก็ได้ ส่วนเสริมที่ปรากฏหน้าคำขอบคุณตรงเรียกว่า ส่วนเกริ่นนำ ส่วนเสริมที่ปรากฏหลังคำขอบคุณตรง เรียกว่า ส่วนเสริมท้าย ส่วนการกล่าวขอบคุณอ้อมนั้นมีโครงสร้างเป็น การกล่าวขอบคุณอ้อมเท่านั้น จากโครงสร้างและส่วนประกอบของโครงสร้างดังกล่าวสามารถแบ่งรูปแบบการกล่าวขอบคุณได้ทั้งสิ้น 9 รูปแบบ ในเชิงความซับซ้อน ผู้วิจัยได้ใช้เกณฑ์ 2 มาจำแนกการกล่าวขอบคุณ คือ 1) เกณฑ์จำนวน องค์ประกอบซึ่งใช้จำแนกในระดับรูปแบบ และ 2) เกณฑ์ความหมายทางสังคมซึ่งใช้จำแนกในระดับคำ ขอบคุณ ผลการศึกษาพบว่ารูปแบบการกล่าวขอบคุณที่จำแนกตามจำนวนองค์ประกอบมีทั้งหมด 7 รูปแบบ คือรูปแบบที่มีตั้งแต่ 1 องค์ประกอบไปจนถึงรูปแบบที่มี 7 องค์ประกอบ ส่วนคำขอบคุณที่จำแนกตาม ความหมายทางสังคมพบว่า คำว่า ขอบพระคุณ มีความหมายทางสังคมที่ซับซ้อนมากที่สุด รองลงมาคือ ขอบคุณ และ ขอบใจ ตามลำดับ จากการวิเคราะห์การแปรของการกล่าวขอบคุณตามความสัมพันธ์ระหว่าง ผู้พูดกับผู้ฟังซึ่งถูกกำหนดโดยบทบาททางสังคมและความสนิทสนมพบว่า เมื่อผู้พูดมีสถานภาพสูงกว่าผู้ฟัง ผู้พูดจะใช้รูปแบบการกล่าวขอบคุณที่ซับซ้อนน้อยกว่าเมื่อผู้พูดมีสถานภาพต่ำกว่าผู้ฟังและเท่าเทียมกับผู้ฟัง ส่วนเมื่อผู้พูดกับผู้ฟังมีความสนิทสนมและไม่สนิทสนมกันพบว่ารูปแบบการกล่าวขอบคุณที่ใช้ไม่แตกต่าง กันยกเว้นบทบาทเพื่อนเท่านั้นที่พบว่าตัวคำขอบคุณที่ใช้มีความแตกต่างกันตามความสนิทสนม สำหรับ การแปรของการกล่าวขอบคุณตามความเป็นทางการของสถานการณ์พบว่า สถานการณ์ไม่มีอิทธิพลต่อ การกล่าวขอบคุณในทุกความสัมพันธ์ ยกเว้นเมื่อผู้พูดมีสถานภาพต่ำกว่าผู้ฟังเท่านั้น ที่พบว่า ผู้พูดจะใช้รูปแบบการกล่าวขอบคุณที่ซับซ้อนในสถานการณ์เป็นทางการมากกว่าในสถานการณ์ไม่เป็นทางการ ส่วนการแปรของการกล่าวขอบคุณตามความพึงพอใจของผู้พูดต่อสิ่งที่ได้รับพบว่า เมื่อผู้พูดมีความพึงพอใจมากต่อสิ่งที่ได้รับ ผู้พูดจะใช้รูปแบบการกล่าวขอบคุณที่ซับซ้อนมากกว่าเมื่อผู้พูดมีความพึงพอใจน้อยต่อสิ่งที่ได้รับในทุกความสัมพันธ์ยกเว้นแต่เมื่อผู้พูดมีสถานภาพสูงกว่าผู้ฟังเท่านั้นที่พบว่าตัวคำขอบคุณที่ใช้ไม่แตกต่างกันตามความพึงพอใจ
- Publicationกระบวนการกลายเป็นคำไวยากรณ์ของคำ "ไว้"สัณห์ธวัช ธัญวงษ์; Thanyawong, Santhawat (2014)งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหน้าที่ทางไวยากรณ์ (หมวดคำ) และความหมายของคำ “ไว้” และวิเคราะห์กระบวนการกลายเป็นคำไวยากรณ์ของคำ “ไว้” ตั้งแต่สมัยสุโขทัยต่อเนื่องจนถึงสมัยปัจจุบัน ผลการศึกษาหน้าที่และความหมายของคำ “ไว้” ในแต่ละสมัย พบว่า (1) คำ “ไว้” ทุกสมัยปรากฏหน้าที่คำกริยาซึ่งมีความหมายบอกเนื้อความและหน้าที่คำหลังกริยาแสดง “การคงสภาพผลต่อไป” (2) คำ “ไว้” ตั้งแต่สมัยอยุธยาเป็นต้นมาปรากฏหน้าที่คำหลังกริยาแสดงความหมายทางไวยากรณ์ “การดำเนินเหตุการณ์ต่อไป” เพิ่มเติม และ (3) คำ “ไว้” ตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ (รัชกาลที่ 8) เป็นต้นมาปรากฏหน้าที่คำเชื่อมอนุพากย์แสดงความหมายไวยากรณ์ความสัมพันธ์ทางเวลา (อนาคตกาล) โดยภาพรวม คำ “ไว้” มีหน้าที่ทางไวยากรณ์ 3 หน้าที่ และมีความหมายทั้งสิ้น 4 ความหมาย ผลการวิเคราะห์กระบวนการกลายเป็นคำไวยากรณ์ของคำ “ไว้” พบว่า คำ “ไว้” มีเส้นทางกลายเป็นคำไวยากรณ์ 3 เส้นทาง ได้แก่ (1) คำกริยา “ไว้” กลายไปเป็น คำหลังกริยา “ไว้” แสดง “การคงสภาพผลต่อไป” (2) คำหลังกริยา “ไว้” แสดง “การคงสภาพผลต่อไป” กลายไปเป็น คำหลังกริยา “ไว้” แสดง “การดำเนินเหตุการณ์ต่อไป” และ (3) คำกริยา “ไว้” กลายไปเป็น คำเชื่อมอนุพากย์ “ไว้” แสดงความสัมพันธ์ทางเวลา (อนาคตกาล) แต่ละเส้นทางประกอบด้วยขั้นตอนการกลายเป็นคำไวยากรณ์ 4 ขั้นตอน ได้แก่ (1) การปรากฏในปริบทที่ทำให้เกิดความหมายทางไวยากรณ์ (2) กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางความหมาย (3) กลไกการเปลี่ยนแปลงทางวากยสัมพันธ์ และ (4) การเปลี่ยนแปลงทางความหมายและวากยสัมพันธ์ กระบวนการกลายเป็นคำไวยากรณ์เส้นทางที่ (1) และ (3) ซึ่งเป็นเส้นทางที่เริ่มต้นจากคำกริยา “ไว้” ผ่านขั้นตอนของกระบวนการตามลำดับดังนี้ (1) การปรากฏในหน่วยสร้างกริยาเรียง (2) กลไกและกระบวนการ มี 2 ประเภท ได้แก่ กระบวนการทางความหมาย ซึ่งได้แก่ กระบวนการนามนัยและกระบวนการอุปลักษณ์ กับกลไกทางวากยสัมพันธ์ ซึ่งได้แก่ กลไกการวิเคราะห์ใหม่และกลไกการเทียบแบบ (3) ผลจากการเปลี่ยนแปลงทางความหมายและวากยสัมพันธ์ มี 5 ประการ ได้แก่ (1) การสูญคุณสมบัติของหมวดคำเดิม (2) การทำให้มีความเป็นทั่วไป (3) การคงเค้าความหมายเดิม (4) การปรากฏซ้อนกันในแต่ละหน้าที่ทางไวยากรณ์ และ (5) การเปลี่ยนแปลงความถี่ในแต่ละหน้าที่ทางไวยากรณ์
- Publicationการกลายเป็นคำไวยากรณ์ของ "ด้วย"นพรัฐ เสน่ห์; Sanah, Nopparut (2013)งานวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อวิเคราะห์หมวดคำและความหมายเชิงไวยากรณ์ของคำ “ด้วย” ในภาษาไทย ตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงสมัยปัจจุบัน อีกทั้งยังศึกษาถึงปัจจัยและกลไกการเปลี่ยนแปลงของคำ “ด้วย” ตามแนวทฤษฎีการกลายเป็นคำไวยากรณ์ ผู้วิจัยแบ่งสมัยข้อมูลภาษาออกเป็น 6 ช่วงสมัย ได้แก่ ช่วง 1 สมัยสุโขทัย, ช่วง 2 สมัยอยุธยา – ธนบุรี, ช่วง 3 สมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 – รัชกาลที่ 3, ช่วง 4 สมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 4 – รัชกาลที่ 5, ช่วง 5 สมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 6 – รัชกาลที่ 8 และ ช่วง 6 สมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 9 (ปัจจุบัน) ผลการศึกษาพบว่า ช่วง 1 คำ “ด้วย” ปรากฏใช้ใน 2 หมวดคำ ได้แก่ 1. หมวดคำบุพบท และ 2. หมวดคำเชื่อมนาม ช่วง 2 คำ “ด้วย” ปรากฏใช้ใน 3 หมวดคำ ได้แก่ 1. หมวดคำเชื่อมอนุพากย์, 2. หมวดคำบุพบท และ 3. หมวดคำกริยาวิเศษณ์ ช่วง 3 คำ “ด้วย” ปรากฏใช้ใน 5 หมวดคำ ได้แก่ 1. หมวดคำเชื่อมอนุพากย์, 2. หมวดคำบุพบท, 3. หมวดคำเชื่อมนาม, 4. หมวดคำกริยาวิเศษณ์ และ 5. หมวดคำลงท้าย ส่วน ช่วง 4, ช่วง 5 และ ช่วง 6 คำ “ด้วย” ปรากฏใช้ใน 4 หมวดคำ เหมือนกัน ได้แก่ 1. หมวดคำเชื่อมอนุพากย์, 2. หมวดคำบุพบท, 3. หมวดคำกริยาวิเศษณ์ และ 4. หมวดคำลงท้าย เมื่อพิจารณาความหมายเชิงไวยากรณ์ของคำ “ด้วย” ที่ปรากฏใช้ในหมวดคำต่าง ๆ พบว่า คำเชื่อม อนุพากย์ “ด้วย” มีความหมายเชิงไวยากรณ์เพียง 1 ความหมาย ได้แก่ บอก ‘สาเหตุ’ ขณะที่ คำบุพบท “ด้วย” มีความหมายเชิงไวยากรณ์บอกการกของคำนามข้างท้ายมากถึง 9 การก ได้แก่ 1. บอก ‘ผู้ร่วม’, 2. บอก ‘เครื่องมือ’, 3. บอก ‘สาเหตุ’, 4. บอก ‘ลักษณะ’, 5. บอก ‘ผู้ทำ’, 6. บอก ‘สถานที่’, 7. บอก ‘แหล่งเดิม’, 8. บอก ‘วิธีการ’ และ 9. บอก ‘เนื้อความ’ แต่ละช่วงสมัยจำนวนความหมายบอกการกที่ปรากฏมีปริมาณมากน้อยต่างกัน ส่วนหมวดคำเชื่อมนาม “ด้วย”, หมวดคำกริยาวิเศษณ์ “ด้วย” และหมวดคำลงท้าย “ด้วย” ต่างก็มีความหมายเชิงไวยากรณ์หมวดคำละ 1 ความหมาย ได้แก่ บอก ‘ความคล้อยตาม’, บอก ‘การเข้าร่วม’ และบอก “การขอร้อง” ตามลำดับ การเปลี่ยนแปลงของหมวดคำและความหมายเชิงไวยากรณ์ของคำ “ด้วย” เกิดจาก “ปัจจัย” และ “กลไก” ในกระบวนการกลายเป็นคำไวยากรณ์ สำหรับ “ปัจจัย” ที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของหมวดคำและความหมายเชิงไวยากรณ์ของคำ “ด้วย” ได้แก่ 1. ปัจจัยอุปลักษณ์ และ 2. ปัจจัยความใกล้ชิดกันทางชื่อ ส่วนในประเด็น “กลไก” นั้น ผู้วิจัยแบ่งการศึกษาออกสองส่วน คือ 1. ศึกษากลไกที่มีผลต่อพัฒนาการทางด้านความหมายเชิงไวยากรณ์ภายในหมวดคำบุพบท “ด้วย” ได้แก่ “กลไกขยายความหมายเชิงอุปลักษณ์” 2. ศึกษากลไกที่มีผลต่อพัฒนาการทางด้านอรรถวากยสัมพันธ์ระหว่างหมวดคำต่าง ๆ ของคำ “ด้วย” ได้แก่ 1. กลไกการขยายความหมายเชิงอุปลักษณ์, 2. กลไกการจางลงของความหมายเดิม, 3. กลไกการคงเค้าความหมายเดิม, 4. กลไกการวิเคราะห์ใหม่ และ 5. กลไกการสูญลักษณะของหมวดคำเดิม นอกจากนี้ ผู้วิจัยยังพบว่า “กระบวนการเกิดคำใหม่” ก็ยังส่งผลต่อพัฒนาการทางด้านอรรถวากยสัมพันธ์ของคำ “ด้วย” ได้ด้วย
- Publicationการกลายเป็นคำไวยากรณ์ของ “ใน” ในภาษาไทยเอกชิต สุขประสงค์; Sukprasong, Akachit (2020)วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์หมวดคำและความหมายเชิงไวยากรณ์ของคำว่า “ใน” ตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงสมัยปัจจุบัน ตามปริบททางอรรถวากยสัมพันธ์ และวิเคราะห์กระบวนการ กลายเป็นคำไวยากรณ์ของคำว่า “ใน” ตามแนวคิดของไฮเนอและคูเทวา (2007) ผู้วิจัยเก็บข้อมูลคำว่า “ใน” ในสมัยสุโขทัยจากจารึก 37 หลักตามหนังสือ “ประชุมจารึกภาคที่ 8 จารึกสุโขทัย” สมัยอยุธยาจนถึงสมัยปัจจุบัน จากจดหมายเหตุ พงศาวดาร บันทึก กฎหมาย ประชุมประกาศ คำให้การ ตำรา พระบรมราชาธิบาย เรื่องสั้น นวนิยาย พระราชสาส์น และพระราชหัตถเลขา รวม 50 เล่ม ซึ่งผู้วิจัยเลือกศึกษาเฉพาะ 30 หน้าแรกของแต่ละเล่ม และเก็บข้อมูลคำว่า “ใน” ในทุกสมัยที่ปรากฏเป็นคำเดี่ยวเท่านั้น ผลการวิจัย พบว่า คำว่า “ใน” มีทั้งสิ้น 2 หมวดคำ ได้แก่ 1. หมวดคำบุพบท และ 2. หมวดคำเชื่อมนาม นอกจากนี้ คำว่า “ใน” มีทั้งสิ้น 10 ความหมาย ได้แก่ 1. ความหมาย “บอกความสัมพันธ์ทางพื้นที่แบบปิดล้อม” 2. ความหมาย “บอกความสัมพันธ์ทางเวลา” 3. ความหมาย “บอกความสัมพันธ์ทางสังคม” 4. ความหมาย “บอกความสัมพันธ์ทางความเป็นเจ้าของ” 5. ความหมาย “บอกความสัมพันธ์ทางเอกสาร หรือข้อความ” 6. ความหมาย “บอกความสัมพันธ์ทางบุคคล” 7. ความหมาย “บอกความสัมพันธ์ทางจำนวน” 8. ความหมาย “บอกความสัมพันธ์ทางความรู้สึกนึกคิด” 9. ความหมาย “บอกความสัมพันธ์ทางการกระทำ” และ 10. ความหมาย “บอกความสัมพันธ์ทางเรื่อง ประเด็น หรือหัวข้อ” คำว่า “ใน” เกิดการขยายความหมายเชิงไวยากรณ์ ซึ่งเป็นการขยายความหมายภายในหมวดคำเดียวกัน ความหมายใหม่ที่เพิ่มขึ้นจากความหมายในสมัยก่อนหน้า มี 8 ความหมาย ได้แก่ 1. ความหมาย “บอกความสัมพันธ์ทางเวลา” 2. ความหมาย “บอกความสัมพันธ์ทางสังคม” 3. ความหมาย “บอกความสัมพันธ์ทางเอกสารหรือข้อความ” 4. ความหมาย “บอกความสัมพันธ์ทางจำนวน” 5. ความหมาย “บอกความสัมพันธ์ทางเรื่อง ประเด็น หรือหัวข้อ” 6. ความหมาย “บอกความสัมพันธ์ทางบุคคล” 7. ความหมาย “บอกความสัมพันธ์ทางความรู้สึกนึกคิด” และ 8. ความหมาย “บอกความสัมพันธ์ทางการกระทำ” ความหมายที่ 1-7 พัฒนามาจากความหมาย “บอกความสัมพันธ์ทางพื้นที่แบบปิดล้อม” ส่วนความหมายที่ 8 พัฒนามาจากความหมาย “บอกความสัมพันธ์ทางสังคม” และความหมาย “บอกความสัมพันธ์ทางเรื่อง ประเด็น หรือหัวข้อ” ซึ่งความหมายทั้ง 8 ความหมายเหล่านี้เกิดจากกระบวนการกลายเป็นคำไวยากรณ์ 2 กระบวนการ ได้แก่ 1. การขยายขอบเขต และ 2. การจางลงทางความหมาย
- Publicationการกลายเป็นคำไวยากรณ์ของคำสรรพนามบุรุษที่ 1 ในภาษาไทยสมัยรัตนโกสินทร์กนกวรรณ วารีเขตต์; Wareeket, Kanokwan (2013)งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางไวยากรณ์ของคำสรรพนามบุรุษที่ 1 ที่ปรากฏใช้มากในภาษาไทยกรุงเทพฯ ปัจจุบัน จำนวน 5 คำ ได้แก่ คำว่า เรา ผม หนู ข้า และข้าพเจ้า โดยใช้ข้อมูลจากเอกสารที่ตีพิมพ์เผยแพร่แล้วในสมัยรัตนโกสินทร์ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 จนถึงปัจจุบัน (พ.ศ. 2325 - 2555) ผลการศึกษาพบว่า คำสรรพนามบุรุษที่ 1 ทั้ง 5 คำ ได้แก่ คำว่า เรา ผม หนู ข้า และข้าพเจ้า มีการเปลี่ยนแปลงหมวดคำ เช่น มีการเพิ่มหมวดคำจากหมวดคำนามเป็นหมวดคำบุรุษ สรรพนาม (คำนาม “ผม” ขยายหน้าที่เป็นคำสรรพนามบุรุษที่ 1 “ผม” ในสมัยรัชกาลที่ 4-5) มีการเพิ่มหมวดคำจากหมวดคำนามเป็นส่วนของคำลงท้าย (คำนาม “ผม” ขยายหน้าที่เป็นส่วนของคำ ลงท้าย “ครับผม” ในสมัยรัชกาลที่ 6-8) และมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางไวยากรณ์ เช่น คำบุรุษสรรพนาม “เรา” มีการขยายหน้าที่จากบุรุษที่ 1 เป็นบุรุษที่ 2 และมีการขยายหน้าที่จากพหูพจน์เป็นเอกพจน์ เป็นต้น การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวข้างต้นมีลักษณะสอดคล้องกับกระบวนการกลายเป็นคำไวยากรณ์ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการกลายเป็นคำไวยากรณ์ของคำสรรพนามบุรุษที่ 1 ทั้ง 5 คำ มี 2 ปัจจัยใหญ่ ๆ ได้แก่ (1) ปัจจัยทางวัฒนธรรม ได้แก่ วัฒนธรรมในเรื่องของความอาวุโสหรือชั้นทางสังคม วัฒนธรรมการใช้คำแทนของสังคมไทย และปัจจัยความสุภาพ (2) ปัจจัยทางภาษา ได้แก่ ปัจจัยอุปลักษณ์ ปัจจัยนามนัย ปัจจัยการใกล้ชิดกันของชื่อ ปัจจัยความเป็นพหูพจน์ ปัจจัยการรวมผู้ฟัง ปัจจัยการมีลักษณะทางความหมายร่วมกัน และปัจจัยการใช้ซ้ำจนเป็นแบบแผน ส่วนกระบวนการสำคัญที่ทำให้เกิดการกลายเป็นคำไวยากรณ์ของคำสรรพนามบุรุษที่ 1 มีรวมทั้งสิ้น 7 กระบวน จำแนกเป็นกระบวนการทางวากยสัมพันธ์ ได้แก่ กระบวนการแยก กระบวนการสูญคุณสมบัติของหมวดคำเดิม และกระบวนการบังคับการปรากฏ กระบวนการทางอรรถศาสตร์ ได้แก่ กระบวนการจางลงทางความหมาย และกระบวนการคงเค้าความหมายเดิม กระบวนการทางเสียง ได้แก่ กระบวนการกร่อน และการรวมเป็นคำเดียวกัน/การรวมเสียง
- Publicationการกำหนดแนวแบ่งเขตภาษาไทยถิ่นใต้ตะวันออกกับภาษาไทยถิ่นใต้ตะวันตก โดยใช้พยางค์ที่มีสระเสียงยาวกับพยัญชนะท้าย /k/ หรือ /?/ฌัลลิกา มหาพูนทอง; Chanlika Mahaphunthong (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สถาบันวิทยบริการ, 1996)งานวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อกำหนดแนวแบ่งเขตภาษาไทยถิ่นใต้ตะวันออกกับภาษาไทยถิ่นใต้ตะวันตก โดยใช้การแปรระหว่าง /k/ กับ /?/ ในตำแหน่งพยัญชนะท้ายของพยางค์ที่มีสระเสียงยาวเป็นเกณฑ์ จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องผู้วิจัยจึงตั้งสมมติฐานว่า บริเวณที่น่าจะเป็นที่ตั้งของแนวแบ่งเขตภาษาดังกล่าวที่เป็นพื้นที่ราบ มีอยู่ 5 บริเวณคือ 1.บริเวณระหว่างอำเภอเมือง กับอำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี 2.บริเวณระหว่างอำเภอนาบอนกับอำเภอลานสกา จังหวัดนครศรีธรรมราช 3.บริเวณระหว่างอำเภอทุ่งสง กับอำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช 4.บริเวณระหว่างอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช กับอำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง 5.บริเวณระหว่างอำเภอสิเกา จังหวัดตรัง กับอำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ ผู้วิจัยได้เก็บข้อมูลรวมทั้งสิ้น 89 จุด ซึ่งเลือกมาอย่างมีระบบใน 5 บริเวณดังกล่าวข้างต้น ข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์ได้จากการสัมภาษณ์ผู้บอกภาษาที่คัดเลือกตามเกณฑ์ที่ได้กำหนดไว้จุดละ 5 คน ผลการวิจัยพบว่า แนวแบ่งเขตภาษาไทยถิ่นใต้ตะวันออกกับภาษาไทยถิ่นใต้ตะวันตกโดยใช้พยางค์ที่มีสระเสียงยาวกับพยัญชนะท้าย /k/ หรือ /?/ เป็นเกณฑ์นั้น อยู่ในบริเวณที่ตั้งสมมติฐานไว้ โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. เส้นแบ่งเขตการปกครองระหว่างอำเภอเมือง กับอำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี 2. เส้นแบ่งเขตการปกครองระหว่างอำเภออนาบอน กับอำเภอลานสกา จังหวัดนครศรีธรรมราช 3. บ้านหนองหว้า อำเภอทุ่งสง เป็นจุดแบ่งเขตในพื้นที่ระหว่างอำเภอทุ่งสง กับอำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช 4. บ้านวังเต่า ซึ่งอยู่ทางตอนล่างของอำเภอทุ่งสง เป็นจุดแบ่งเขตในพื้นที่ระหว่างอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช กับกิ่งอำเภอรัษฎา (ซึ่งเดิมรวมอยู่ในอำเภอห้วยยอด) จังหวัดตรัง 5. บริเวณตรงกึ่งกลางระหว่างบ้านคลองท่อมใต้กับบ้านห้วยน้ำขาว อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ หากพิจารณาแนวแบ่งเขตที่ลากผ่าน 5 บริเวณนี้และที่ลากผ่านเทือกเขาในบริเวณที่ต่อเนื่องกัน จะได้แนวแบ่งเขตภาษาไทยถิ่นใต้ตะวันออกกับภาษาไทยถิ่นใต้ตะตก ซึ่งเริ่มจากอ่าวไทยในจังหวัดสุราษฎร์ธานีลงมาทางใต้ตามเทือกเขานครศรีธรรมราช แล้วมุ่งสุ่ทางทิศตะวันตกผ่านเทือกเขาหน้าแดงไปจรดทะเลอันดามัน
- Publicationการเกิดความต่างด้านความสั้นยาวของสระกลางและสระต่ำในภาษาไทยพุทธชาติ ธนัญชยานนท์; Putthachat Thananchayanon (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สถาบันวิทยบริการ, 1993)การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสันนิษฐานช่วงเวลาที่ความต่างด้านความสั้นยาวของสระกลาง 𝖾 ο และสระต่ำ Ɛ Ͻ ปรากฏในภาษาไทย และเพื่อค้นหาปัจจัยที่ทำให้เกิดความต่างของสระสั้นยาวกลุ่มนี้โดยใช้วิธีการศึกษาเชิงประวัติและเชิงเปรียบเทียบ ผลการวิจัยพบว่า ความต่างด้านความสั้นยาวของสระ 𝖾 Ɛ ο Ͻ ปรากฏในภาษาไทยในระยะเวลาที่ต่างกัน คือ ความต่างด้านความสั้นยาวของสระ ο ปรากฏอย่างชัดเจนในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ส่วนความต่างด้านความสั้นยาวของสระ 𝖾 Ɛ และ Ͻ ปรากฏอย่างชัดเจนในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนกลาง สำหรับปัจจัยที่ทำให้เกิดความต่างของสระสั้นยาวกลุ่มนี้พบว่า การยืมคำจากภาษาบาลีสันสกฤตน่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มองเห็นความต่างของสระสั้นยาวกลุ่มกลาง 𝖾 และ ο และปัจจัยสำคัญที่น่าจะทำให้มองเห็นความต่างของสระสั้นยาวกลุ่มต่ำ Ɛ และ Ͻ คือ การสร้างคำใหม่ในภาษาไทยโดยการเทียบแบบกับคำยืมภาษาเขมร
- Publicationการแก้ไขเกินเหตุของ (ล) ในภาษาไทย ของบุคลากรประจำสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยช่อง 11ประภา ภิรมย์; Phrapa Phirom (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สถาบันวิทยบริการ, 1999)งานวิจัยนี้ศึกษาพฤติกรรมการแก้ไขเกินเหตุของ (ล) หรือการออกเสียง (ล) เป็น [r] ในภาษาไทยของบุคลากรประจำสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยช่อง 11 โดยเปรียบเทียบความสัมพันธ์ของอัตราการเกิดของพฤติกรรมดังกล่าวกับตัวแปรทางสังคม 3 ตัวแปรได้แก่ ระดับการศึกษา อาชีพและวัจนลีลา และนำผลที่ได้มาทดสอบนัยสำคัญทางสถิติด้วยค่าไคสแควร์ สมมติฐานของการวิจัยนี้มี 3 ประการ ได้แก่ (1) บุคลากรที่มีการศึกษาระดับปานกลางมีความถี่ของการออกเสียง (ล) เป็น [r] สูงที่สุด (2) ระหว่างบุคลากรที่เป็นผู้ประกาศข่าวกับผู้ที่ทำหน้าที่อื่น บุคลากรที่ทำหน้าที่อื่นมีความถี่ของการออกเสียง (ล) เป็น [r] สูงกว่าผู้ประกาศข่าว (3) ในแง่วัจนลีลาการแก้ไขเกิดเหตุจะพบในการอ่านข่าวมากกว่าในการให้สัมภาษณ์ ในการเปรีบเทียบอัตราการแก้ไขเกินเหตุของ (ล) กับตัวแปรเรื่องระดับการศึกษา ผู้วิจัยเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างที่มีการศึกษาระดับสูง ระดับปานกลางและระดับต่ำกลุ่มละ 15 คน ผลปรากฏว่าบุคลากรที่มีการศึกษาสูงมีอัตราการแก้ไขเกิดเหตุของ (ล) สูงที่สุด รองลงมาคือ บุคลากรที่มีการศึกษาระดับปานกลาง และบุคลากรที่มีการศึกษาระดับต่ำไม่มีอัตราการแก้ไขเกิดเหตุของ (ล) อยู่เลย ในการออกเสียงทั้งสองปริบท ส่วนการศึกษาอัตราการแก้ไขเกินเหตุ (ล) กับตัวแปรเรื่องอาชีพ ผู้วิจัยเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ประกาศข่าว และบุคลากรอื่นซึ่งมีการศึกษาระดับเดียวกับผู้ประกาศข่าว คือ ระดับสูง และผลการวิจัยปรากฏว่าบุคลากรอื่นมีอัตราการแก้ไขเกินเหตุของ (ล) สูงกว่าผู้ประกาศข่าวในการออกเสียงทั้งสองปริบทเช่นกัน สำหรับการศึกษาความสัมพันธ์ของอัตราการแก้ไขเกินเหตุของ (ล) กับตัวแปรวัจนลีลา ผู้วิจัยเปรียบเทียบการออกเสียงของผู้ประกาศข่าว ในการให้สัมภาษณ์กับการอ่านออกอากาศจริง ผลการวิจัยปรากฏว่าผู้ประกาศข่าวมีอัตราการแก้ไขเกินเหตุของ (ล) ในวัจนลีลาการให้สัมภาษณ์สูงกว่าในวัจนลีลาการอ่านออกอากาศ ในปริบทที่เป็นพยัญชนะเดี่ยว แต่ในปริบทที่เป็นพยัญชนะควบกล้ำผู้ประกาศข่าวมีอัตราการแก้ไขเกินเหตุของ (ล) เท่ากันในทั้งสองวัจนลีลา
- Publicationการจำแนกความต่างตามเพศในการใช้สรรพนามบุรุษที่ 1 และคำลงท้ายบอกความสุภาพ ของนิสิตคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโสมพิทยา คงตระกูล; Somphitthaya Khongthrakun (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สถาบันวิทยบริการ, 1996)การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการใช้คำสรรพนามบุรุษที่ 1 และคำลงท้ายบอกความสุภาพของผู้พูดเพศชาย เพศหญิง และเพศชายที่มีจิตใจเป็นหญิง และเพื่อศึกษาการแปรของการใช้คำสรรพนามบุรุษที่ 1 และคำลงท้ายบอกความสุภาพของเพศชายที่มีจิตใจเป็นหญิงเปรียบเทียบกับของเพศชายและของเพศหญิง ตามบทบาทของผู้พูดและผู้ฟังที่มีสัมพันธ์กัน ความสนิทสนม และเพศของผู้ฟัง โดยศึกษาข้อมูลที่ได้จากแบบสอบถามซึ่งสุ่มตัวอย่างจากนิสิตคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทุกชั้นปี จำนวน 433 คน แยกเป็นเพศชาย 25คน เพศหญิง 392 คน และเพศชายที่มีจิตใจเป็นหญิง 16 คน ผู้วิจัยแบ่งประเภทคำสรรพนามและคำลงท้ายที่พบในข้อมูลออกเป็น 3 ประเภทคือ 1) คำสรรพนามและคำลงท้ายบอกเพศชาย ได้แก่ ผม และ ครับ 2) คำสรรพนามและคำลงท้ายบอกเพศหญิง ได้แก่ หนู ดิฉัน น้อง เรา เค้า เขา และคะ ค่ะ ขา จ๊ะ จ๋า ฮ่ะ และ 3) คำสรรพนามและคำลงท้ายไม่บอกเพศ ได้แก่ ลูก ใช้ชื่อ และ ฮะ ทอดเสียง ไม่ใช่ ผลการวิเคราะห์แสดงว่า เพศชาย เพศหญิง และเพศชายที่มีจิตใจเป็นหญิงใช้คำสรรพนามและคำลงท้ายต่างกัน คือ เพศชายใช้คำสรรพนามและคำลงท้ายบอกเพศชาย เพศหญิงใช้คำสรรพนามและคำลงท้ายบอกเพศหญิง ส่วนเพศชายที่มีจิตใจเป็นหญิงใช้ทั้งสรรพนามและคำลงท้ายบอกเพศชายและบอกเพศหญิง แต่ทั้ง 3 กลุ่มมีการใช้คำสรรพนามและคำลงท้ายไม่บอกเพศเหมือนกัน นอกจากนี้ ยังพบว่าการใช้คำสรรพนามและคำลงท้ายของเพศชาย เพศหญิง และเพศชายที่มีจิตใจเป็นหญิง ขึ้นอยู่กับบทบาทของผู้พูดและผู้ฟังที่สัมพันธ์กัน และความสนิทสนม คือ เมื่อพูดกับผู้ฟังที่เป็นพ่อแม่หรือผู้ที่สนิท เพศชายและผู้หญิงจะใช่คำสรรพนามและคำลงท้ายไม่บอกเพศมากกว่าเมื่อพูดกับผู้ฟังที่เป็นครูหรือผู้ที่ไม่สนิท ส่วนเพศชายที่มีจิตใจเป็นหญิงจะใช้คำสรรพนามและคำลงท้ายบอกเพศหญิง และคำไมบอกเพศเพิ่มขึ้นเมื่อพูดกับพ่อแม่หรือผู้ที่ไม่สนิทมากกว่าเมื่อพูดกับครูหรือผู้ที่ไม่สนิท แต่ไม่พบว่าเพศของผู้ฟังมีอิทธิพลต่อการใช้คำสรรพนามและคำลงท้ายของทั้ง 3 กลุ่ม
- Publicationการจำแนกความต่างระหว่างพยัญชนะกักก้อง กักไม่ก้องไม่พ่นลม และกักไม่ก้องพ่นลมของภาษาไทย ในผู้พูดที่ใช้หลอดลม-หลอดอาหาร : การวิเคราะห์ทางกลสัทศาสตร์และการทดสอบการรับรู้นรินธร สมบัตินันท์; Narinthorn Sombatnan (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สถาบันวิทยบริการ, 2002)ศึกษาลักษณะทางกลสัทศาสตร์ของพยัญชนะกักตำแหน่งต้นพยางค์และระหว่างสระที่ ออกเสียง โดยผู้พูดที่ใช้หลอดลม-หลอดอาหาร เพื่อพิสูจน์สมมติฐานว่า ลักษณะทางกลสัทศาสตร์ต่างๆ ได้แก่ ค่าระยะเวลาการสั่นของเส้นเสียงจากจุดระบายลม ค่าระยะเวลาการกักกั้นลม (ในพยัญชนะกักระหว่างสระ) ค่าความเข้ม และค่าความถี่มูลฐานของพยางค์สามารถจำแนกพยัญชนะกักก้อง กักไม่ก้องไม่พ่นลม และกักไม่ก้องพ่นลมได้ และนำลักษณะทางกลสัทศาสตร์เหล่านี้มาเปรียบเทียบกับของผู้พูดปกติ พร้อมทั้งทดสอบการรับรู้ของคนปกติ ในการฟังเสียงพยัญชนะกักตำแหน่งต้นพยางค์ และระหว่างสระที่ออกเสียงโดยผู้พูดที่ใช้หลอดลม-หลอดอาหาร เพื่อพิสูจน์สมมติฐานว่า ผู้ฟังสามารถรับรู้ความแตกต่างของเสียงพยัญชนะกักก้องและกักไม่ก้องได้ แต่ไม่สามารถรับรู้ความแตกต่างของเสียงพยัญชนะกักไม่ก้องไม่พ่นลมและกักไม่ ก้องพ่นลม ทั้งต้นพยางค์และระหว่างสระได้ ข้อมูลที่ใช้ในงานวิจัยนี้ได้มาจากการอ่านรายการคำของผู้พูดที่ใช้หลอดลม -หลอดอาหารจำนวน 3 คน และผู้พูดปกติจำนวน 3 คน ผู้บอกภาษาทั้ง 2 กลุ่ม เป็นเพศชาย มีอายุ การศึกษา ภูมิลำเนา และรูปร่างใกล้เคียงกัน ข้อมูลที่นำมาวิเคราะห์ประกอบด้วยคำ 1 พยางค์ ซึ่งนำด้วยพยัญชนะกัก และคำ 2 พยางค์ ซึ่งพยางค์ที่ 2 นำด้วยพยัญชนะกัก ในการวิเคราะห์ข้อมูลผู้วิจัยใช้โปรแกรม Multi-Speech ในการวิเคราะห์ค่าระยะเวลาการสั่นของเส้นเสียงจากจุดระบายลม ค่าระยะเวลาการกักกั้นลม และค่าความเข้มของพยางค์ และโปรแกรม Praat ในการวิเคราะห์ค่าความถี่มูลฐานของพยางค์ ส่วนการทดสอบการรับรู้ ผู้วิจัยบันทึกคำที่ออกเสียงโดยผู้พูดที่ใช้หลอดลม-หลอดอาหาร ใส่แผ่นบันทึกเสียงซีดี แล้วให้คนปกติจำนวน 30 คน ฟังพร้อมกันจากหูฟังในห้องโสตทัศนูปกรณ์ และเลือกคำที่ได้ยินจากตัวเลือกคำตอบ ในแบบทดสอบการฟัง งานวิจัยนี้พบว่า ในผู้พูดปกติค่าระยะเวลาการสั่นของเส้นเสียงจากจุดระบายลมจำแนกพยัญชนะกัก 3 ประเภท ทั้งตำแหน่ง ต้นพยางค์และระหว่างสระ แต่ในผู้พูดที่ใช้หลอดลม-หลอดอาหาร ค่าระยะเวลาการสั่นของเส้นเสียงจากจุดระบายลมจำแนกพยัญชนะกัก ทั้ง 3 ประเภท เฉพาะในกรณีที่พยัญชนะกักอยู่ระหว่างสระเท่านั้น ส่วนในพยัญชนะกักต้นพยางค์ ค่าระยะเวลาการสั่นของเส้นเสียง จากจุดระบายลมจำแนกเพียงพยัญชนะกักก้องกับกักไม่ก้อง แต่ไม่จำแนกพยัญชนะกักไม่ก้องไม่พ่นลมกับกักไม่ก้องพ่นลม ผู้วิจัยพบว่า ค่าระยะเวลาการกักกั้นลมซึ่งวิเคราะห์ได้เฉพาะตำแหน่งระหว่างสระเท่านั้น จำแนกพยัญชนะกักไม่ก้องไม่พ่นลมกับกักไม่ก้องพ่นลม แต่ไม่จำแนกพยัญชนะกักก้องกับกักไม่ก้อง ขณะที่ค่าความเข้มและค่าความถี่มูลฐานของพยางค์ไม่จำแนกพยัญชนะกัก ทั้งในผู้พูดที่ใช้หลอดลม-หลอดอาหารและผู้พูดปกติ จากผลการวิจัยดังกล่าวผู้วิจัยสรุปว่า ลักษณะทางกลสัทศาสตร์ที่มีบทบาทสำคัญในการจำแนกพยัญชนะกัก ได้แก่ ค่าระยะเวลาการสั่นของเสียงจากจุดระบายลมและค่าระยะเวลาการกักกั้นลม ผลการทดสอบการรับรู้แสดงว่า ผู้ฟังสามารถรับรู้ความแตกต่างของเสียงพยัญชนะกัก ในตำแหน่งระหว่างสระได้ดีกว่าต้นพยางค์อย่างชัดเจน กล่าวคือ ฟังสามารถรับรู้ความแตกต่างของเสียงพยัญชนะกักทั้ง 3 ประเภทในตำแหน่งระหว่างสระได้ แต่ในพยัญชนะกักต้นพยางค์ ผู้ฟังรับรู้เพียงความแตกต่างระหว่างเสียงพยัญชนะกักก้องกับกักไม่ก้องเท่า นั้น ผู้ฟังไม่สามารถรับรู้ความแตกต่างระหว่าง เสียงพยัญชนะกักไม่ก้องไม่พ่นลมกับกักไม่ก้องพ่นลมได้ ผู้วิจัยพบว่า ผลการทดสอบการรับรู้สอดคล้องกับผลการวิเคราะห์ค่าระยะเวลาการสั่นของเส้น เสียง จากจุดระบายลมในผู้พูดที่ใช้หลอดลม-หลอดอาหาร การศึกษาพยัญชนะกักภาษาไทยทั้งตำแหน่งต้นพยางค์และระหว่างสระของผู้พูดที่ ใช้หลอดลม-หลอดอาหารในงานวิจัยนี้ ครอบคลุมมากกว่างานวิจัยที่ผ่านมาของ Gandour et al. (1987) ซึ่งศึกษาเพียงพยัญชนะกักต้นพยางค์ของภาษาไทยในผู้ไร้กล่องเสียง งานวิจัยนี้พบว่า ผู้พูดที่ใช้หลอดลม-หลอดอาหารสามารถออกเสียงพยัญชนะกักระหว่างสระได้ดีกว่า ต้นพยางค์ ผู้วิจัยมีความเห็นว่า ผู้พูดที่ใช้หลอดลม-หลอดอาหารต้องพยายามควบคุม P-E segment ซึ่งทำงานแทนเส้นเสียง ทำให้ผู้พูดที่ใช้หลอดลม-หลอดอาหารออกเสียงในจุดเริ่มเปล่งเสียงได้ไม่ดี แต่หลังจุดเริ่มเปล่งเสียงผู้พูดที่ใช้หลอดลม-หลอดอาหารควบคุม P-E segment ได้ดีขึ้นจึงออกเสียงได้ดี
- Publicationการใช้คำ ที่ ซึ่ง อันพรทิพย์ กิจสมบัติ; Kitsombat, Pornthip (1981)
- Publicationการใช้คำลักษณนามในภาษาไทยมาตรฐานปัจจุบันของผู้พูดต่างวัยศรวนีย์ สรรคบุรานุรักษ์; Sarawanee Sunkaburanuruk. (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สถาบันวิทยบริการ, 1999)วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ที่จะวิเคราะห์การเกิดร่วมของคำลักษณนามกับคำนาม และรูปแบบนามวลีที่มีคำลักษณนามของผู้พูดภาษาไทยมาตรฐานปัจจุบัน ตลอดจนศึกษาการแปรในการใช้คำลักษณนามตามปัจจัยอายุ โดยเก็บข้อมูลจากรายการสัมภาษณ์บุคคลทางโทรทัศน์ และการสนทนาของบุคคล 2 รุ่นอายุ ได้แก่ รุ่นอายุต่ำกว่า 25 ปี และรุ่นอายุมากกว่า 40 ปี ผู้วิจัยมีสมมุติฐานว่าผู้พูดภาษาไทยมาตรฐานปัจจุบันมีการใช้คำลักษณะนามกลาง (generic classifiers) และคำลักษณนามซ้ำคำนามแทนคำลักษณะนามที่ราชบัณฑิตยสถานกำหนดไว้เป็นจำนวนมากและใช้รูปแบบนามวลีที่มีคำลักษณนามหลากหลายกว่าข้อสรุปหลักเกณฑ์ทางไวยากรณ์ที่มีมาในอดีตสำหรับการแปรตามอายุผู้วิจัยคาดว่า ผู้พูดที่มีอายุมากจะใช้คำลักษณนามตรงตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด โดยราชบัณฑิตยสถานและใช้รูปแปรนามวลีที่มีคำลักษณนามตรงตามไวยากรณ์มากกว่าผู้พูดที่มีอายุน้อย ผลการวิจัยที่ได้ตรงตามสมมุติฐานบางส่วนคือ ผู้พูดภาษาไทยมาตรฐานปัจจุบันใช้คำลักษณนามกลาง และคำลักษณนามซ้ำคำนามแทนคำลักษณนามตามหลักเกณฑ์ของราชบัณฑิตยสถานเป็นจำนวนมาก และใช้รูปแบบนามวลีหลากหลายกว่าข้อสรุปหลักเกณฑ์ทางไวยากรณ์ ส่วนประเด็นที่ขัดแย้งกับสมมุติฐานก็คือ การเกิดร่วมของคำลักษณนามกับคำนามพบว่า ผู้พูดที่มีอายุน้อยใช้คำลักษณนามตรงตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดโดยราชบัณฑิตยสถานกว่าผู้พูดที่มีอายุมาก ซึ่งผู้วิจัยคิดว่าน่าจะเป็นผลมาจากผู้พูดอายุน้อยส่วนใหญ่ยังอยู่ในวัยศึกษา จึงมีความใกล้ชิดกับการใช้คำลักษณนามที่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์มากกว่า ส่วนในประเด็นการใช้รูปแบบนามวลีพบว่า ผู้พูดทั้งสองรุ่นอายุต่างใช้รูปแบบนามวลี หลากหลายในอัตราส่วนที่ใกล้เคียงกัน
- Publicationการใช้คำและการใช้เครื่องหมายในภาษาโฆษณาในหนังสือพิมพ์รายวันไทย ปี พ.ศ. 2519 กับปี 2529 : การศึกษาเปรียบเทียบวราภรณ์ รัตนกาญจน์; Rattanakarn, Waraporn (1988)การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายที่จะศึกษาเปรียบเทียบลักษณะทางการใช้คำและการใช้เครื่องหมายในภาษาที่ใช้ในการโฆษณาในหนังสือพิมพ์รายวันไทยปี พ.ศ. 2519 กับปี พ.ศ. 2529 การวิจัยกล่าวถึง การเปรียบเทียบ ชนิดของคำ การใช้คำที่มีลักษณะไม่เป็นทางการ การใช้คำซ้ำ การใช้คำที่มาจากภาษาต่างประเทศ การใช้คำที่ทำให้เกิดภาพ และการใช้เครื่องหมาย ผลการวิจัยสรุปได้ว่า ลักษณะการใช้คำในภาษาโฆษณาในหนังสือพิมพ์รายวันไทยในระยะเวลา 10 ปีนั้น ลักษณะที่เป็นหลักใหญ่ๆ ไม่แตกต่างกัน ส่วนที่แตกต่างกัน คือรายละเอียดในการใช้คำ และความถี่ของคำที่ใช้ในแต่ละปี ส่วนการใช้เครื่องหมายนั้นมีลักษณะแตกต่างกันทั้งรูปเขียนและวิธีใช้
- Publicationการใช้ภาษาในข่าวเศรษฐกิจในหนังสือพิมพ์ไทยระหว่างปี พ.ศ. 2537-2541พรวิภา ไชยสมคุณ; Chaisomkhun, Pornwipa (2000)วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพี่อศึกษาการใช้ภาษาในข่าวเศรษฐกิจในหนังสือพิมพ์ไทยระหว่างปี พ. ศ.๒๕๓๗ - ๒๕๔๑ และความสัมพันธ์ของการใช้ภาษากับเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ ผู้วิจัยเก็บข้อมูลจากหนังสือพิมพ์รายวันและราย ๓ วัน หนังสือพิมพ์รายวัน ได้แก่ กรุงเทพธุรกิจ ผู้จัดการรายวัน และวัฏจักรรายวัน หนังสือพิมพ์ราย ๓ วัน ได้แก่ ฐานเศรษฐกิจ และประชาชาติธุรกิจ รวมจำนวนหนังสือพิมพ์ที่เก็บข้อมูลทั้งหมด ๙๖๐ ฉบับ วิทยานิพนธ์แบ่งออกเป็น ๖ บท บทที่ ๑ กล่าวถึงความเป็นมาของปัญหา วัตถุประสงค์ของการวิจัยสมมติฐานของการวิจัย ขอบเขตของการวิจัย และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง บทที่ ๒ กล่าวถึงการเสนอข่าวเศรษฐกิจในหนังสือพิมพ์ บทที่ ๓ กล่าวถึงลักษณะของคำที่ใช้ในการเสนอข่าวเศรษฐกิจ บทที่ ๔ กล่าวถึงลักษณะของวลีและประโยคที่ใช้ในการเสนอข่าวเศรษฐกิจ บทที่ ๕ กล่าวถึงความสัมพันธ์ของการใช้ภาษากับเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ และบทที่ ๖ สรุปผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ ผลการศึกษาสรุปได้ว่าลักษณะคำในข่าวเศรษฐกิจมีลักษณะเด่น ได้แก่ ใช้คำภาษาต่างประเทศ ใช้คำที่มีความหมายไม่สอดคล้องกัน ใช้คำแสดงภาพพจน์แบบอุปลักษณ์เปรียบการทำการค้ากับการทำสงครามลักษณะอื่นๆ ของคำที่ผู้เขียนข่าวใช้ไม่แตกต่างจากภาษาทั่วไปแต่เพิ่มลักษณะพิเศษ ได้แก่ ใช้คำย่อ – อักษรย่อ ใช้คำสแลง ใช้คำที่มีเสียงสัมผัสคล้องจอง ใช้คำสมญานาม ลักษณะของวลีแตกต่างจากภาษามาตรฐาน ๓ ลักษณะได้แก่ ใช้นามวลีบอกจำนวนที่เปลี่ยนรูปแบบ ใช้กริยาวลีแทนกริยาโดยไม่จำเป็น ใช้วลีที่เป็นสำนวนแปลภาษาต่างประเทศ ประโยคมีลักษณะพิเศษ ๖ ลักษณะ ได้แก่ ใช้ประโยคกรรม ใช้ประโยคที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า ‘'ซึ่ง” ใช้ประโยคที่ขึ้นต้นด้วยบุพบทวลี ใช้ประโยคที่ละหน่วยประโยค ใช้ประโยคที่ใช้คำบุพบทโดยไม่จำเป็นใช้ประโยคความซ้อน การใช้ภาษาสัมพันธ์กับเหตุการณ์ เมื่อสภาพเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงก็จะมีคำศัพท์ที่แสดงสภาพเศรษฐกิจตลอดจนคำศัพท์ที่แสดงมาตรการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเกิดขึ้น