บาลีและสันสกฤต : Pali and Sanskrit
Permanent URI for this community
Browse
Browsing บาลีและสันสกฤต : Pali and Sanskrit by Language "th"
Now showing 1 - 20 of 633
Results Per Page
Sort Options
- PublicationMara in the Pali Canonจิระศักดิ์ สังเมฆ; ประกาศิต ประกอบผล; Sungmek, Jirasak; Prakobphol, Prakasit (2019)คำว่า “มาร”ในบางพระสูตรแห่งคัมภีร์พระไตรปิฎก มารมีลักษณะเป็นตัวตนหรือที่เรียกว่า“บุคคลาธิษฐาน”คือจ าแลงตนเป็นสัตว์ เช่น งู ช้าง หรือ โคเป็นต้น บางพระสูตรมารจำแลงตนเป็นมนุษย์ เช่น ชาวนา พราหมณ์ เป็นต้น อย่างไรก็ดี แต่ละพระสูตรไม่ว่ามารจะจำแลงตนเป็นอะไรนั้น เนื้อหาของการสนทนาระหว่างพระพุทธเจ้ากับมาร ภิกษุกับมาร หรือภิกษุณีกับมาร ส่วนมากจะเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับหลักปรัชญาชีวิต แต่เนื้อหาบางพระสูตรมารมีลักษณะเป็นนามธรรมหรือเรียกว่า “ธรรมาธิษฐาน”กล่าวคือ กิเลสมาร มารคือกิเลสขันธมารมารคือเบญจขันธ์อภิสังขารมาร มารคืออภิสังขาร เทวปุตตมารมารคือเทพบุตร และมัจจุมารมารคือความตาย
- PublicationPāniniSatya Vrat Sastri (1989)
- PublicationTridanฺdฺi-sutra ในคัมภีร์ทีรฆาคมะฉบับใบลานภาษาสันสกฤตKazunobu, Matsuda (2016)Tridaṇḍi-sūtra เป็นปฐมสูตรแห่งนิบาตลำดับสุดท้ายที่เรียกว่า “ศีลสกันธิกะ” ในคัมภีร์ทีรฆาคมะฉบับใบลาน ซึ่งได้ค้นพบที่กิลกิตเมื่อไม่นานมานี้ จวบจนกระทั่งปัจจุบัน Tridaṇḍi-sūtra ยังเป็นเพียงที่รู้จักโดยผ่านการอ้างถึงจากคัมภีร์ของฎีกาจารย์ทั้งหลาย เช่นอภิธรรมโกศวฺยาขฺยา รจนาโดยพระยโศมิตร คัมภีร์อภิธรรมโกศฎีกา อุปายิกา รจนาโดยพระศมถเทวะ แม้จะมีการอ้างถึงจากฎีกาจารย์ทั้งหลายทางฝ่ายเหนือแต่ก็ไม่พบพระสูตรใดที่มีชื่อคล้ายกับ Tridaṇḍi-sūtra ในสายอื่น ๆ ทั้ง สายคัมภีร์บาลี หรือแม้กระทั่งสายคัมภีร์อาคมะในพระไตรปิฎกจีนและพระไตรปิฎกทิเบตเองก็ตาม ผู้วิจัยได้เสนอเนื้อหาของ Tridaṇḍi-sūtra ที่เป็นปฐมสูตรพร้อมกับพระสูตรลำดับที่ 2 คือ Piṅgalātreya-sūtra ซึ่งมีเนื้อหาคล้ายกับ Tridaṇḍi-sūtra ที่ปรากฏในโครงสร้างของคัมภีร์ทีรฆาคมะของนิกายสรวาสติวาท อีกทั้งผู้วิจัยได้พบว่าโครงสร้างของ Tridaṇḍi-sūtra และ Piṅgalātreya-sūtra คล้ายกับพระสูตรในคัมภีร์บาลี 2 พระสูตร และสันนิษฐานว่า พระสูตรทั้งหลายเหล่านี้มาจากแหล่งที่เป็นต้นกำเนิดเดียวกัน
- Publicationกฎหมายมรดกในคัมภีร์ธรรมศาสตร์กับกฎหมายตราสามดวงบุณฑริกา บุญโญ; Boonyo, Boondarika (2015)วิทยานิพนธ์เรื่องนี้มุ่งศึกษาเรื่องกฎหมายมรดกในคัมภีร์ธรรมศาสตร์ 4 ฉบับ ได้แก่ เคาตมธรรมสูตร มนุสมฤติ ยาชญวัลกยสมฤติ และนารทสมฤติ และเปรียบเทียบกับพระอัยการลักษณะมรดกในกฎหมายตราสามดวงเพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ โดยแบ่งออกเป็น 5 ประเด็น ได้แก่ ช่วงเวลาในการแบ่งมรดก ทรัพย์สินที่ตกทอดได้ ผู้มีสิทธิ์รับมรดก ผู้หมดสิทธิ์รับมรดก และปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการแบ่งมรดก ผลการศึกษาพบว่า กฎหมายมรดกทั้งในคัมภีร์ธรรมศาสตร์และกฎหมายตราสามดวงมีประเด็นหลักคล้ายคลึงกันแต่มีรายละเอียดแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด แนวคิดเรื่องความเป็นเจ้าของเหนือทรัพย์มรดกส่งผลให้การแบ่งมรดกตามคัมภีร์ธรรมศาสตร์สามารถกระทำได้ในขณะที่เจ้ามรดกยังมีชีวิตอยู่เนื่องจากถือว่าเป็นสิทธิ์โดยชอบธรรมของทายาท ในขณะที่ตามกฎหมาย ตราสามดวงสิทธิ์เหนือกองมรดกเป็นของเจ้ามรดก การแบ่งมรดกจึงต้องทำเมื่อเจ้าของ ทรัพย์มรดกเสียชีวิตไปแล้ว ในด้านปัจจัยที่ส่งผลต่อส่วนแบ่งมรดกนั้น คัมภีร์ธรรมศาสตร์จะเน้นไปที่ เพศและวรรณะของทายาท ซึ่งเกี่ยวข้องกับสถานภาพในสังคมโดยตรง ส่วนกฎหมายตราสามดวงเน้นความกตัญญูเป็นสำคัญ ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อส่วนแบ่งมรดกตามกฎหมายตราสามดวงจึงเป็นเรื่องของการรักษาพยาบาลและช่วยปลงศพผู้ตาย ส่วนปัจจัยอื่น ๆ เช่น สถานะในครอบครัวขยายหรือการทำงานเป็นปัจจัยรองลงมา ความแตกต่างอย่างยิ่งในรายละเอียดของกฎหมายมรดกในคัมภีร์ธรรมศาสตร์กับกฎหมายตราสามดวงจึงทำให้ไม่อาจสรุปได้ว่ากฎหมายตราสามดวงได้รับอิทธิพลมาจากคัมภีร์ธรรมศาสตร์ของอินเดีย
- Publicationกริยากรรมวาจกและกริยาการีตในภาษาสันสกฤตสมัยมหากาพย์ศุภรางศุ์ อินทรารุณ; Indraruna, Subhrangsu (1977)วิทยานิพนธ์เล่มนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะศึกษาการสร้างและการใช้กริยากรรมวาจกและกริยาการีต จากคัมภีร์มหากาพย์สองเล่มที่สำคัญที่สุดของอินเดีย คือ รามายณะ และมหาภารตะ ด้วยเหตุที่สมัยมหากาพย์เป็นสมัยต่อเนื่องระหว่างสมัยพระเวทกับสมัยสันสกฤตมาตรฐาน การศึกษานี้จะครอบคลุมทั้งในลักษณะที่เป็นกริยาสำคัญ และเป็นนามกิตก์ กริยากิตก์ ตลอดจนอนุพันธ์อื่น ๆ นอกจากนี้ยังจะได้ศึกษาความสัมพันธ์ของกริยาทั้งสองชนิดนี้กับกริยาขั้นที่หนึ่งและกริยาขั้นที่สองชนิดต่าง ๆ อีกทั้งลักษณะพิเศษในการใช้ภาษาสันสกฤตสมัยมหากาพย์ ที่ทำให้ภาษาสมัยนี้แตกต่างไปจากภาษาสมัยอื่นในด้านที่เกี่ยวกับกริยากรรมวาจกและกริยาการีตอีกด้วย เนื้อเรื่องของวิทยานิพนธ์แบ่งออกเป็น 9 บท บทที่ 1 คือ บทนำ กล่าวถึงจุดประสงค์ และขอบเขตของการวิจัย บทที่ 2 กล่าวถึงศัพท์ทางไวยากรณ์ที่ใช้ในวิทยานิพนธ์เล่มนี้ พร้อมทั้งความหมายและคำจำกัดความ บทที่ 3 กล่าวถึงการสร้างและการใช้กริยากรรมวาจกในลักษณะที่เป็นกริยาสำคัญในประโยค บทที่ 4 กล่าวถึงการสร้างและการใช้กริยาการีตในลักษณะเดียวกับบทที่ 3 บทที่ 5 กล่าวถึงการสร้างและการใช้กริยาขั้นที่สาม อันเกิดจากกริยาขั้นที่สอง ตั้งแต่สองชนิดขึ้นไปผสมกัน บทที่ 6 กล่าวถึงการสร้างและการใช้กิตก์และตัทธิต อันหมายถึงคำประเภทต่าง ๆ ที่สร้างจากธาตุ ในลักษณะที่มิได้เป็นกริยาสำคัญในประโยค บทที่ 7 กล่าวถึงความแตกต่างของภาษาสมัยมหากาพย์กับภาษาสมัยอื่น บทที่ 8 กล่าวถึงความสัมพันธ์ของคำชนิดต่าง ๆ ในประโยคภาษาสันสกฤตโดยมีกริยากรรมวาจกและกริยาการีตเป็นหลัก และบทที่ 9 เป็นบทสรุปผลการวิจัยและเสนอแนะ
- Publicationกลวิธีการสอนของพระพุทธเจ้าเชิงภาษาภาพพจน์ในพระสุตตันตปิฎกนาชัย, พระมหากิตติธัช; Nachai, Phramaha Kittithat (2019)บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของดุษฎีนิพนธ์เรื่อง กลวิธีการสอนของพระพุทธเจ้าเชิงภาษาภาพพจน์ในพระสุตตันตปิฎก มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยคือ (๑) เพื่อศึกษาวิธีการสอนของพระพุทธเจ้า (๒) เพื่อศึกษาวิธีการสอนของพระพุทธเจ้าเชิงภาษาภาพพจน์ (๓) เพื่อศึกษาคุณค่าคำสอนของพระพุทธเจ้า การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงเอกสาร ข้อมูลที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ คือ พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬา เล่มที่ ๙ – ๑๑ ผลการวิจัยพบว่า วิธีการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธเจ้า ในครั้งพุทธกาล ทรงใช้วิธีการสอนแบบประยุกต์เข้ากับสภาพแวดล้อม ที่แตกต่างกัน ได้แก่ (๑) พุทธวิธีในการสอนแบบตอบปัญหา (๒) พุทธวิธีในการสอนแบบบรรยายธรรม (๓) พุทธวิธีในการสอนแบบสนทนา พุทธวิธีในการสอนเชิงภาษาภาพพจน์ ลำดับแรกที่พบได้แก่ (๑) อุปมา และ สมพจนัย นอกจากนี้ยังพบว่า คุณค่าที่ได้รับในคำสอนของพระพุทธเจ้า แบ่งเป็นประเภท ต่าง ๆ ได้ดังนี้ (๑) ด้านบุคคล, (๒) ด้านสังคม, (๓) ด้านการศึกษา, (๔) ด้านการสอน, (๕) ด้านระบบจักรวาลและ (๖) ด้านประวัติพุทธศาสนา
- Publicationกษัตริย์ในอุดมคติตามแนวคิดในมหาภารตะและรามายณะที่ปรากฏในจารึกแม่บุญตะวันออกและจารึกแปรรูปของพระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2พระมหากวีศักดิ์ วาปีกุลเศรษฐ์; Wapeekunlaset, Phramaha Kaweesak (2020)บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะความเป็นกษัตริย์ในอุดมคติตามแนวคิดในมหาภารตะและรามายณะที่ปรากฏในจารึกแม่บุญตะวันออกและจารึกแปรรูปของพระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 โดยศึกษาจากเนื้อหาที่กวีได้ใช้ตัวละครจากมหาภารตะและรามายณะเพื่อเปรียบกับพระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 ว่าสะท้อนความเป็นกษัตริย์ในอุดมคติด้านใดบ้าง ผลการศึกษาพบว่า เนื้อความในจารึกทั้งสองหลักที่กวีนำตัวละครจากมหาภารตะและรามายณะมาเปรียบเทียบกับพระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 นั้นสะท้อนให้เห็นลักษณะเด่น 3 ด้าน คือ (1) ความเป็นกษัตริย์นักรบ (2) ความเป็นกษัตริย์นักปกครอง และ (3) ความเป็นกษัตริย์ผู้ทรงธรรม อันแสดงให้เห็นถึงลักษณะความเป็นกษัตริย์ในอุดมคติตามแนวคิดในมหาภารตะและรามายณะ ซึ่งอาจเกิดจากบริบทด้านเมืองหรือการสงครามในสมัยพระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 กวีจึงอ้างถึงตัวละครจากวรรณคดีทั้งสองเรื่องที่มุ่งเน้นการรบเพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์อันสูงส่งให้แก่สถาบันกษัตริย์
- Publicationกัจจายนสุตตนิเทส กัณฑ์ที่ 1-2 (สนธิและนาม) : การตรวจชำระและศึกษาพระมหาธิติพงศ์ เข็มสันเทียะ (2007)วิทยานิพนธ์เรื่องนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อปริวรรตและตรวจชำระคัมภีร์กัจจายนสุตตนิเทสกัณฑ์ที่ ๑ – ๒ (สนธิ-นาม) เพื่อศึกษาในด้านเนื้อหา วิธีการนำเสนอสาระทางไวยากรณ์ ตลอดถึงวิธีจาร ลงในใบลาน เป็นคัมภีร์อธิบายสูตรของคัมภีร์กัจจายนะ อนึ่ง คัมภีร์กัจจายนสุตตนิเทสนี้ แต่งขึ้นที่ประเทศพม่า โดยพระสัทธัมมโชติปาลเถระ ประมาณศตวรรษที่ ๒๐ ในการตรวจชำระได้ใช้ต้นฉบับเทพชุมนุม วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ซึ่งจารขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งจารได้สมบูรณ์กว่าทุกฉบับมาเป้นต้นฉบับ แล้วนำฉบับอื่นที่หาได้และมีความสมบูรณ์พอที่จะนำมาตรวจชำระ ที่มีอยู่ในหอสมุดแห่งชาติ ๔ ฉบับ คือ ฉบับชาดทึบ-ล่องชาด, ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา, ฉบับล่องชาด ไม้ประกับทาชาด และฉบับล่องชาด ไม้ประกับลายกำมะลอ พร้อมกันนั้นก็ได้นำฉบับอักษรพม่าและอักษรสีหลมาตรวจสอบเทียบเคียงอีก ๒ ฉบับ รวมเป็น ๗ ฉบับ ในด้านเนื้อหาคัมภีร์กัจจายนสุตตนิเทส (สนธิ-นาม) แบ่งเนื้อหาออกเป็น ๕ บท คือ บทที่ ๑ ว่าด้วยบทนำ พรรณนาถึงความเป็นมา ความสำคัญของปัญหา วิธีดำเนินการวิจัย และการตรวจสอบชำระคัมภีร์ บทที่ ๒ ว่าด้วยการศึกษาวิเคราะห์กัจจายนสุตตนิเทส (สนธิและนาม) ในด้านต่างๆ คือ ความหมาย ประวัติผู้แต่ง สมัยที่แต่ง รวมทั้งเนื้อหาของคัมภีร์กัจจายนสุตตนิเทส เฉพาะสนธิและนาม ต้นฉบับตัวเขียนที่ใช้ในการวิจัยตรวจสอบชำระ วิวัฒนาการความเป้นมาของการจารและคัดลอก ข้อผิดพลาดในการจารแต่ละฉบับ บทที่ ๓ ว่าด้วยกัจจายนสุตตนิเทส (สนธิและนาม) ที่ปริวรรตชำระตรวจสอบแล้ว
- Publicationกาพยสารวิลาสินีและกาพยคันถะ : ตำราฉันทลักษณ์ไทยที่เขียนเป็นภาษาบาลีประคอง นิมมานเหมินท์ (อมรินทร์พริ้นติ้งกรุ๊พ, #VALUE!)
- Publicationกามเทพในวรรณคดีสันสกฤตสุมาลี อุดมพงษ์; Udompong, Sumalee (1980)วิทยานิพนธ์เรื่องนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อค้นคว้าเรื่องราวความเป็นมา ตลอดจนบทบาทของกามเทพจากวรรณคดีสันสกฤต ตั้งแต่เมื่อเป็นเพียงนามธรรม จนกระทั่งวิวัฒนาการเป็นเทพเจ้าแห่งความรัก ทั้งนี้เพราะเรื่องของความรักมีกล่าวถึงในวรรณคดีแทบทุกเรื่อง ข้อมูลและหลักฐานต่างๆ ผู้วิจัยได้รวบรวมจากวรรณคดีสันสกฤตต่างๆ ได้แก่ คัมภีร์ฤคเวท คัมภีร์อถรรพเวท มหาภารตะ หริวงศ์ และปุราณะฉบับต่างๆ ผลของการวิจัยนั้นพอสรุปได้ว่า ในคัมภีร์ฤคเวท กามเทพเป็นเพียงนามธรรมอย่างหนึ่ง และปรากฏตัวตนในคัมภีร์อถรรพเวทในฐานะเทพผู้ยิ่งใหญ่องค์หนึ่ง ส่วนบทบาทในฐานะเทพเจ้าแห่งความรักปรากฏแน่ชัดในสมัยกาพย์และปุราณะ บทบาทครั้งสำคัญของกามเทพคือเป็นสื่อรักระหว่างพระศิวะกับพระนางปารวตี จนทำให้กามเทพสูญเสียร่างกายได้นามว่าอนงค์ แต่หลังจากที่กามเทพได้รับพรจากพระศิวะ กามเทพได้เกิดเป็นโอรสของพระกฤษณะกับนางรุกมิณี ชื่อประทยุมน์ บทบาทของประทยุมน์คือเป็นนักรบผู้เก่งกล้า ในทางพุทธศาสนา กามเทพคือมาร ผู้คอยขัดขวางการบำเพ็ญความเพียรของพระพุทธเจ้า ก่อนที่พระองค์จะได้ตรัสรู้ บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ ในวรรณคดีไทยนั้นปรากฏว่าในสมัยสุโขทัย มีเพียงนามกามเทพปรากฏในหลักศิลาจารึกสมัยอยุธยาเป็นต้นมา กามเทพมีฐานะเป็นเทพผู้มีรูปงาม ส่วนผู้ที่ทำให้บทบาทของกามเทพเด่นชัดนั้นได้แก่ พระบาทสมเด็จพระมงกฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระองค์ได้ทรงพระราชนิพนธ์วรรณคดีเรื่องต่างๆ และได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายเรื่องราวของเทวต่างๆ ของอินเดีย จนทำให้กามเทพเป็นที่รู้จักกันดีในปัจจุบัน.
- Publicationการกลายเสียงคำบาลี-สันสกฤตเอื้อน เล่งเจริญ (1977)
- Publicationการกลายเสียงสระของคำยืมภาษาบาลีและสันสกฤตในภาษาไทยสาโรจน์ บัวพันธุ์งาม; Buaphanngam, Saroj (2017)คําายืมในภาษาไทยกว่าครึ่งหนึ่งเป็นคําาที่ยืมมาจากภาษาบาลีและสันสกฤตทั้งนี้เพราะภาษาบาลีและสันสกฤตกับภาษาไทยเกิดการสัมผัสกันนานนับพันปีบทความนี้มุ่งศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางเสียงของคําายืมภาษาบาลีและสันสกฤตในภาษาไทยเฉพาะการกลายเสียงสระเท่านั้น โดยอาศัยแนวคิดด้านการศึกษาภาษาศาสตร์เชิงประวัติและเปรียบเทียบ การเปลี่ยนแปลงทางเสียงของคําายืมภาษาบาลีและสันสกฤตในภาษาไทยเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการกลายเสียงสระในคําายืมภาษาบาลีและสันสกฤตนั้นก็เพื่อปรับลดจําานวนพยางค์ในคําาให้สอดคล้องกับโครงสร้างพยางค์ของคําาไทย กระบวนการกลายเสียงสระในคําายืมภาษาบาลีและสันสกฤต ได้แก่ การยืดสระเสียงสั้นให้เป็นสระเสียงยาว การทอนสระเสียงยาวให้เป็นสระเสียงสั้น การเลื่อนเสียงสระ การกลายเสียงสระจากสระเดี่ยวเป็นสระประสม การกลายเสียงสระจากสระประสมเป็นสระเดี่ยวการกลายเสียงสระเป็นพยัญชนะ และการสูญเสียงสระท้ายคํา
- Publicationการกำเนิดและพัฒนาการของคัมภีร์พระไตรปิฎกสุทัศน์ อร่ามรัตน์; ประเวศ อินทองปาน; Aramrattana, Sutus; Intongpan, Praves (2022)งานวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยมีระเบียบวิธีวิจัยเชิงเอกสาร มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการกำเนิดและพัฒนาการของคัมภีร์พระไตรปิฎก ผลการวิจัยพบว่า ช่วงก่อนพุทธปรินิพพาน เป็นการท่องจำเนื้อหาคำสอนโดยพระสงฆ์ที่ได้รับฟังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรียกเนื้อหาเหล่านั้นว่า “พระธรรมวินัย” เมื่อพระพุทธเจ้าทยอยบัญญัติสิกขาบท ก็มีการท่องจำถ่ายทอดกันในกลุ่มพระสงฆ์สายพระอุบาลี เป็นกลุ่มภิกษุผู้เชี่ยวชาญพระวินัยเรียกว่า พระวินัยธร ส่วนพระธรรม จัดเป็นกลุ่มเนื้อหาแบบนวังคสัตถุสาสน์ท่องจำถ่ายทอดโดยกลุ่มพระภิกษุผู้เชี่ยวชาญพระสูตร ซึ่งเป็นพระสงฆ์สายพระอานนท์ที่เรียกว่า พระสุตตันติกะ แล้วมีอีกกลุ่มหนึ่งเรียกว่า พระธรรมกถิกะ มีการสนทนาธรรม คือ ต้นเค้าของพระอภิธรรม ภายหลังพระสารีบุตรได้อ้างเหตุจากการแตกกันของศิษย์นิครนถ์นาฏบุตร จึงขออนุญาตจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสาธิตวิธีการรวบรวมจัดหมวดหมู่พระธรรมวินัยขึ้น ช่วงหลังพุทธปรินิพพาน พบว่า การสังคายนาครั้งที่ 1 ใช้เพียงคำว่า ”พระธรรมและวินัย” เท่านั้น ส่วนการสังคายนาครั้งที่ 2 พบว่าได้มีพระไตรปิฎกแล้ว มีการเพิ่มพระวินัยในส่วนปริวาร แบ่งพระสูตรเป็น 5 นิกายเพิ่มคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค นิทเทส ในส่วนของ ขุททกนิกาย และปรากฏพระอภิธรรมปิฎก 6 คัมภีร์ ส่วนการสังคายนาครั้งที่ 3 ได้กล่าวถึงการรวบรวมเป็นพระไตรปิฎกครบทั้งพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎกและพระอภิธรรมปิฎก มีการรจนาคัมภีร์กถาวัตถุของพระโมคคัลลีปุตติสสเถระขึ้น และผนวกเข้าในพระอภิธรรมปิฎก
- Publicationการเฉลิมฉลองเทศกาลทุรคาบำรุง คำเอก; Kam-Ek, Bamroong (2010)ใบบรรดาเทศกาลอินเดียที่สำคัญ ทุรคาบูชา เป็นเทศกาลที่ถูกเฉลิมฉลองอย่างพิเศษทั่วอินเดียโดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐเบงกอล เรียกว่า “นวราตรี” เพราะมีการบูชาพระเทวีทุรคา 9 คืน และถึงวันที่ 10 เรียก “วิชัยทศมี” ทุรคารูปน่ากลัวเป็นศักดิของพระศิวะ พระองค์ได้ถูกพวกเทวดาเชิญให้ไปปราบมหิษาสูรผู้มาทำความเดือดร้อนพวกเขา มีกล่าวไม่ในสกันทปูราณะเรื่องพระเทวีต่อสู้กับอสูร เรารู้เรื่องพระทุรคาเทวีจากปุราณะ ตันตระก็ถือผู้หญิงเป็นดั่งเทพสตรีเหมือนกัน แต่ตันตระเกี่ยวกับการบูชาเด็กสาวผู้ถูกถือว่าเป็นพระแม่เทวีผู้มีชื่อเสียง ดังนั้นการบูชาพระเทวี (กุมารีบูชา) ได้เกิดในสมัยตันตระ การบูชาทุรคา ส่วนมากได้ปฏิบัติกันในรัฐเบงกอล ระหว่างเวลานี้ประชาชนผู้ภักดีอ่านคัมภีร์มาหาตมยะทุกวัน วันสุดท้ายก็จะลอยรูปพระเทวีในแม่น้ำมีชื่อพระทุรคา ที่รู้กันดีคือ ปารวตี กาลี อุมา เป็นต้น กล่าวไว้ในปูราณะ การบูชาพระเทวีด้วยเนื้อสัตว์และมนุษย์ มาจากคนชั้นต่ำ แล้วคนชั้นสูงได้ยืมไปปฏิบัติ ในเวลานี้ คนทางอุตตรประเทศ(ทางเหนือ) เชื่อว่าพระรามได้ชนะพระราวณะ(ทศกัณฑ์) หลังจากสู้กันเป็นเวลา 10 วัน แล้วประชาชนก็จะเผาหุ่นใหญ่ของพระราวณะ เมฆนาถ และกุมภกรรณในเมืองหลวงใหญ่ ในเมืองไทยที่ถนนสีลม กรุงเทพฯ วัดพระศรีมหาอุมาเทวี เพิ่งจะเฉลิมฉลองเทศกาลทุรคาบูชาไปเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2553 นี้เอง
- Publicationการใช้ภาษาบาลีพระมหาเทียบ สิริญาโณ (มาลัย) (ภาควิชาบาลีและสันสกฤต คณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2004)
- Publicationการใช้สังเกตสังขยาในจารึกกัลยาณี ชัยณรงค์ กลิ่นน้อย; Klinnoi, Chainarong (2015)บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่อง “การศึกษาวิเคราะห์คำศัพท์ภาษาบาลีในจารึกมยะเจดีย์และจารึกกัลยาณีในประเทศพม่า” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะนำเสนอองค์ความรู้ใหม่ที่ได้รับหลังจากการทำวิจัยในหัวข้อดังกล่าว ในประเด็นเกี่ยวกับการใช้คำสังขยาที่ปรากฏในจารึกกัลยาณี ซึ่งจากการศึกษาพบว่าในจารึกดังกล่าวมีการใช้คำสังขยาทั้ง 3 รูปแบบ ได้แก่ ปกติสังขยา ปูรณสังขยา และสังเกตสังขยา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สังเกตสังขยาที่มีใช้ในจารึกกัลยาณี เป็นเพราะว่า จารึกกัลยาณีมีตัวเลขที่ระบุถึงปีศักราช ดังนั้นเพื่อให้การกำหนดปีศักราช มีกำหนดแน่นอนตายตัว จึงนิยมใช้สังเกตสังขยาเป็นส่วนใหญ่ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาเรื่องศัพท์สัญลักษณ์ที่ใช้แทนเลขศักราชในจารึกภาษาสันสกฤตที่นักวิชาการได้ศึกษาไว้
- Publicationการใช้อรรถกถาวินิจฉัยศัพท์ดั้งเดิม: กรณีศึกษาคัมภีร์ทีฆนิกายบรรเจิด ชวลิตเรืองฤทธิ์; Chaowarithreonglith, Bunchird (2020)คัมภีร์อรรถกถาบาลีถือเป็นแหล่งข้อมูลขนาดมหึมาที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการศึกษาการสืบทอดพระไตรปิฎกบาลี บทบาทของคัมภีร์อรรถกถายังทวีความสำคัญยิ่งขึ้นเมื่อใช้เป็นเครื่องมือช่วยวินิจฉัยหาคำศัพท์ดั้งเดิมจากบรรดาคำต่างที่ไม่ลงรอยกันที่ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎกบาลีฉบับใบลานรวมถึงฉบับพิมพ์ต่างๆ บทความนี้จะยกตัวอย่างปัญหาคำต่างที่พบในคัมภีร์ทีฆนิกาย พร้อมอธิบายการนำคัมภีร์อรรถกถาที่มีชื่อว่าสุมังคลวิลาสินีมาใช้ในการช่วยวินิจฉัยหาคำศัพท์ดั้งเดิมในพระไตรปิฏก สำหรับต้นฉบับใบลานที่เป็นคัมภีร์ทีฆนิกายนั้นได้รวบรวมโดยโครงการพระไตรปิฎกวิชาการ ประกอบด้วยคัมภีร์ใบลาน 5 สายจารีต ได้แก่ สายอักษรสิงหล พม่า ขอม ธรรม และมอญ รวมจำนวนทั้งสิ้น 48 ฉบับ ทั้งนี้ผู้วิจัยได้แสดงแนวทางการนำคัมภีร์อรรถกถามาใช้งานไว้ 4 แนวทาง คือ (1) ใช้คัมภีร์อรรถกถาเป็นจุดอ้างอิงร่วมกันของนักวิชาการ (2) ใช้บทตั้งในอรรถกถาในฐานะที่เป็นคำศัพท์เก่าแก่ในสมัยพระพุทธโฆสาจารย์ (3) ใช้ตัวช่วยจากข้อมูลที่พบในอรรถาธิบายของอรรถกถาจารย์ และ (4) ใช้ค้นหาคำต่างโบราณอื่นๆ จากสมัยพระพุทธโฆสาจารย์ การฝึกฝนนำคัมภีร์อรรถกถามาใช้งานในรูปแบบดังกล่าว ถือเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการศึกษาคัมภีร์อรรถกถาผ่านภูมิทัศน์แบบใหม่ที่จะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้คัมภีร์บาลีแบบ Active Learning เนื่องจากผู้ศึกษาต้องอ่านต้นฉบับบาลีและทำความเข้าใจอรรถกถาจากแง่มุมต่างๆ โดยต้องศึกษาเปรียบเทียบคำต่าง คิดวิเคราะห์ ตั้งคำถาม และค้นหาคำตอบด้วยตัวเองอยู่ตลอดเวลา
- Publicationการตรวจชำระและแปลคัมภีร์จตุรารักขาอรรถกถาบาลีสุปราณี พณิชยพงศ์ (สุขุมวิทการพิมพ์, 2020)
- Publicationการตรวจชำระและศึกษาพุทธานุสสติในคัมภีร์จตุรารักขาอรรถกถาบาลีสุปราณี พณิชยพงศ์; Supranee Panitchayapong (2019)การปฏิบัติธรรมแบบพุทธานุสสติ (การระลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) ได้รับการสรรเสริญจาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เป็นเลิศกว่าบรรดากรรมฐานทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้ จึงถูกจัดเป็นกรรมฐานตัวแรกของจตุกรรมฐานซึ่งเป็นที่นิยมปฏิบัติกันอย่างแพร่หลายในหมู่พระภิกษุ สามเณร และพุทธบริษัทในประเทศแถบเอเชียใต้ และเอเชียอาคเนย์ เช่น ศรีลังกา ไทย และเมียนมาร์ เป็นต้น งานวิจัยนี้ศึกษาการเจริญพุทธานุสสติในคัมภีร์นอกพระไตรปิฎกบาลีฉบับหนึ่ง ชื่อว่า “จตุรารักขาอรรถกถา” แม้ว่าจะมีเอกสารใบลานคัมภีร์จตุรารักขาอรรถกถาเป็นจำนวนมากถูกเก็บรักษาไว้ที่หอสมุดแห่งชาติ และวัดวาอารามต่าง ๆ ในประเทศไทย แต่ยังไม่พบว่า คัมภีร์ฉบับนี้ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่สำหรับผู้อ่านแต่อย่างใด ดังนั้นก่อนที่จะศึกษาเนื้อหาในคัมภีร์ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องทำการตรวจชำระการปฏิบัติธรรมแบบพุทธานุสสติก่อน โดยการตรวจชำระนี้ ได้ใช้เอกสารใบลานอักษรขอมที่เก็บรักษาไว้ที่หอสมุดแห่งชาติ กรุงเทพ ฯ จำนวน 5 ฉบับ จากนั้นจะเป็นการวิเคราะห์รายละเอียดอื่น ๆ ของคัมภีร์ ได้แก่ ลักษณะของเอกสารใบลานคัมภีร์ จตุรารักขาอรรถกถา ผู้แต่งและวันที่แต่ง สถานที่แต่งและการแพร่หลาย รวมทั้งเนื้อหาสำคัญของคัมภีร์ การวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่า ผู้แต่งคัมภีร์จตุรารักขาอรรถกถามีความรู้เกี่ยวกับหลักธรรมในพระไตรปิฎกและอรรถกถาบาลีเป็นอย่างดี ท่านสามารถที่จะแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า พุทธานุสสติ คือ การปฏิบัติธรรมโดยการระลึกถึงคุณสมบัติของกายสองกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ รูปกาย และธรรมกาย ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่เหนือปรากฏการณ์ธรรมชาติ และเป็นเรื่องอจินไตย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณสมบัติของพระธรรมกายของพระองค์นั้นมีมากเหลือคณานับไม่มีที่สิ้นสุด คุณสมบัติเหล่านั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงที่พบได้ทั่วไปในอรรถกถาบาลีทั้งหลายซึ่งถูกแต่งขึ้นในช่วงราวศริสต์ศตวรรษที่ 4-5
- Publicationการตรวจสอบชำระการศึกษาเชิงวิเคราะห์ คัมภีร์โลกสัณฐานโชตรตนคัณฐีทองคำ สุธรรม; Sutham, Thongkam (1990)