ปรัชญาตะวันออก
Permanent URI for this collection
Browse
Browsing ปรัชญาตะวันออก by browse.metadata.researchtheme1 "อื่นๆ"
Now showing 1 - 17 of 17
Results Per Page
Sort Options
- PublicationThe influence of Chinese geomancy on the site selection of the Ancient Chinese Emperors' TombsJing Wang (2022)Chinese geomancy (堪舆 KanYu) is also known as the art of matching places with one another. The Chinese character "堪 Kan" refers to a high place, which is astronomy, and "舆 Yu" refers to a lower place, which is geography. Geomancy is not only an interdisciplinary model in ancient China, but it also forms a subjective evaluation system for human beings in their natural environment for the sake of practice, involving site selection of dwellings and tombs to achieve a "overall dynamic balance" between human energy space and cosmic natural energy. Therefore, these space energy fields involving man and nature fully is related to the important philosophical themes of harmony between man and nature, and “Tao Taking Nature as Its Law" (Chapter 10 and 25,Tao Te Ching) in ancient China. Chinese geomancy is a "fossil of life" from ancient Chinese culture, reflecting fundamental traditional approaches to astronomy, geography, calendars, and energy. A long history of interaction with the environment has formed the process of spatial location selection and layout of human dwellings, as well as a comprehensive set of methods and theories of "man-land relationship" in ancient China. At the moment, the study of ancient Chinese geomancy by domestic and foreign scholars is primarily concerned with the practical study of the location and layout of human living space. In comparison to ancient Chinese geomancy, there is little research on tomb location methods and significance, and even less research on the correspondence and correlation between living space and tombs. The purpose of this dissertation is to demonstrate the philosophical and cultural significance of the spatial location of ancient imperial tombs. This dissertation decodes the methods and ideas of space location, and layout of tombs according to ancient Chinese geomancy, and explores the similarities and differences in philosophical ideas such as "sacred and profane," the corresponding energy balance between the "unreal and reality," and the spatial integration theory contained in the space location of imperial tombs, using comparative research, historical research, and literature research. Through the spatial location of ancient imperial tombs, this paper aims to explore the differences between Chinese and Western philosophical understanding of on tomb location methods and significance, and to explore the historical evolution of Chinese geomancy, in such a way that it can inform the modern systems of sustainable development.
- Publicationการตามหาสัจธรรมในโลกหลังสมัยใหม่อุสุมา สุขสวัสดิ์; Usuma Sukhsvasti (2012)บทความนี้กล่าวถึงปรากฏการณ์การหันมาสนใจศึกษาปรัชญาแนวความคิดแบบตะวันออก(Orientalism)ของคนในโลกตะวันตก อันเนื่องด้วยความรู้สึกคลางแคลง ในปรัชญาแนวคิดและความเชื่อของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของศาสนา แนวคิดแบบวิทยาศาสตร์ หรือเศรษฐกิจแบบระบบทุนนิยม ซึ่งหลายครั้งนำมาซึ่งความโลภ ความวุ่นวาย การแบ่งแยก แย่งชิงอำนาจ การก่อการร้าย และสงครามในที่สุด โดยสะท้อนผ่านออกมาทางวรรณกรรมและงานภาพยนตร์ แนวคิดแบบตะวันออก ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมีจุดกำเนิดในแถบชมพูทวีป ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดแบบฮินดู พุทธ เซน เต๋า และอื่นๆ ชาวต่างชาติจำนวนไม่น้อยมักเดินทางมายังประเทศ อินเดียเพื่อศึกษาค้นหาความหมายของความสุข และแนวทางการดำเนินชีวิตที่นำไปสู่ความสมดุล ความสงบสุขในจิตใจ แนวคิดในเรื่องการรู้จักรักษาสมดุล การอยู่ร่วมกับธรรมชาติมากกว่า การพยายามที่จะเอาชนะธรรมชาติ ความเชื่อเรื่องกรรม การ เดินทางสายกลาง ศาสนาฮินดู พุทธ เซน และเต๋า ล้วนเริ่มได้รับความสนใจมากขึ้นในโลกตะวันตก มีการนำแนวคิดปฏิบัติมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันในสมัยใหม่จนเกิดเป็นความนิยม ที่เห็นกันอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการนั่งสมาธิ การออกกำลังกายแบบโยคะหรือมวยจีน การรักษาแบบแพทย์ทางเลือกในรูปแบบต่างๆ อันเป็นที่น่าเสียดายที่ประเทศไทยซึ่งเป็นเมืองพุทธแท้ๆ คนไทยจำนวนไม่น้อยกลับหันไปสนใจในเรื่องการกราบไหว้บูชา และบนบานสานกล่าวเสียมากกว่าจะสนใจศึกษา ศาสนาพุทธในแง่ของแก่นแท้ของคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างลึกซึ้ง
- Publicationการศึกษาเชิงปัญหาด้านปรัชญาญี่ปุ่นในประเทศไทยสรายุทธ เลิศปัจฉิมนันท์; Sarayuddha Lhaspajchimanandh (2018)ปรัชญาญี่ปุ่นเป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงและทำการศึกษษกันในประเทศไทยมาแล้วพอสมควร แต่ก็เป็นที่น่าแปลกใจว่าความเข้าใจเรื่องขอบเขตของปรัชญาญี่ปุ่นนั้น กลับเป็นสิ่งที่คลุมเครือมาโดยตลอดเช่นกัน กระทั่งทำให้ทิศทางของการศึกษาปรัชญาญี่ปุ่นในประเทศไทยมักคลาดเคลื่อนไกลออกไปสู่การศึกษาญี่ปุ่นในเชิงประวัติศาสตร์ อารยธรรม และสังคม บทความนี้จึงมีความมุ่งหมายในการนำสนอข้อถกเถียงของนักปรัชญาญี่ปุ่นสมัยใหม่เพื่อสร้างความชัดเจนทางด้านขอบเขต และนำไปสู่การแยกแยะได้ว่าสิ่งใดเป็นปรัชญาญี่ปุ่น และสิ่งใดเป็นเพียงเรื่องเล่าเชิงพรรณนาทั่วไปเกี่ยวกับญี่ปุ่น
- Publicationการสังเคราะห์บทเรียนในเชิงหลักคิดและหลักปฏิบัติ : กรณีศึกษาเพื่อการขยายผลพัฒนากิจการพระพุทธศาสนาในประเทศไทยบัญชา พงษ์พานิช; วิศรุต บวงสรวง; ไพโรจน์ สิงบัน; กิตติศักดิ์ รุ่งเรืองวัฒนชัย; ณัทภัทรกร จุลรัตน์ (2020)งานวิจัยนี้ มุ่งศึกษาวิเคราะห์เชิงสำรวจเกี่ยวกับองค์กรทางพระพุทธศาสนาในประเทศ ที่มี บทบาทสำคัญในการเผยแผ่แนวคิดทางพระพุทธศาสนาในบริบทสังคมร่วมสมัย เพื่อนำหลักคิด อัตลักษณ์องค์กร แนวทางการบริหารและประสบการณ์ขององค์กรเหล่านั้นมาสังเคราะห์เป็นแนวทาง เพื่อพัฒนากิจการพระพุทธศาสนาในประเทศต่อไป โดยการวิจัยแบ่งออกเป็น ๓ ด้าน ประกอบด้วย ศาสนประเพณี ศาสนธรรม และศาสนสมบัติ ในเชิงภาพรวม กรณีศึกษาเหล่านี้ แสดงให้เห็นการ พยายามสืบทอด รักษา และพัฒนาต่อยอดองค์ความรู้ วิถีปฏิบัติ และการบริหารจัดการที่เป็นอัตลักษณ์ ซึ่งสอดคล้องกับพระธรรมวินัย และการปรับตัวสู่สังคมสมัยใหม่ ดังนี้ (๑) ด้านศาสนประเพณี แบ่งออกเป็น ๒ กรณี คือ (๑) ศาสนประเพณีที่ผูกพันกับวัด อันเป็น ประเพณีที่มีความเป็นผูกพันกับวัดและชุมชนรอบข้าง ได้รับการสืบสานรักษาต่อมาโดยคณะสงฆ์และ ฆราวาส รวมไปถึงการสร้างประเพณีอื่น ๆ ขึ้นมา เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทสังคม (๒) ศาสนประเพณีที่พัฒนาขึ้นใหม่โดยองค์กรที่ไม่ใช่วัด มีลักษณะเป็นประเพณี พิธีกรรมที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ให้ สอดคล้องกับความเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนโดยฆราวาส และสอดคล้องกับวิถีชีวิตสังคมเมืองยุคใหม่ (๒) ด้านศาสนธรรม กลุ่มตัวอย่างประกอบไปด้วยวัดและองค์กรเผยแผ่ที่ไม่ใช่วัด ผล การศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่เป็นวัดมีแนวทางการสืบทอด รักษาคำสอน และแนวปฏิบัติจากพระ อาจารย์ผู้ก่อตั้งองค์กร มีสถานที่ปฏิบัติเป็นพุทธสถานที่เป็นที่ตั้งแน่นอน และพระภิกษุสงฆ์มีบทบาท นำโดดเด่นในองค์กร ส่วนกลุ่มตัวอย่างที่ไม่ใช่วัด มีแนวคำสอนที่ชัดเจน อยู่บนรากฐานแนวคิดทาง พระพุทธศาสนา แต่การเผยแพร่ การบริหารจัดการ บรรดาศิษย์ฆราวาสที่มีความรู้มีบทบาทสูงใน องค์กร อย่างไรก็ตาม ทั้ง ๒ กรณี มีการสร้างเครือข่าย/สาขาตามแนวทางของตนออกไปอย่าง กว้างขวาง (๓) ด้านศาสนสมบัติ จากการศึกษาพบว่า การบริหารทรัพย์สินมี ๓ แนวทางหลัก ตามความ สอดคล้องกับบริบทของแต่ละวัด คือ การบริหารตามแนวทางพระวินัยให้สังฆะมีบทบาทในการบริหาร ทรัพย์สิน ประการถัดมา คือ การบริหารเพื่อความเป็นระเบียบตามแนวคิดการบริหารร่วมสมัย โดย ความร่วมมือระหว่างพระสงฆ์และฆราวาส สะท้อนภาพความร่วมมือระหว่างวัดกับชุมชน สุดท้าย เป็น การบริหารทรัพย์สินโดยหน่วยงานราชการวางรากฐานให้กับวัด มีการจัดการที่เป็นระบบ พระสงฆ์มี บทบาทน้อย แต่มีความโปร่งใสสูง
- Publicationความตายในปรัชญาของศรี อรพินโทพระพจนันท์ ภุมพล; Phra Pojanun (2019)The study of death in the philosophy of Sri Aurobindo is a qualitative research-based documents. The objectives arc: (1) to study the concept of death in the Western and Eastern world (2) to study the concept of death in the philosophy of Sri Aurobindo and (3) to analyze the concept of death in the philosophy of Sr Aurobindo and influences of death to the individual and social phenomena. This research was operated between September 2016 - April 2019. The research result found that The concept of death in the Western world. Materialism considered death as the end of the various processes of life as voidness from any perception and there was no meaning to be investigated after death, Phenomenology considered death exist along with life, death does not mean physical or biological terms but refers to the end of Dasein, death causes Dasein to be in an Authenticity, and Existentialism because human beings are originated in emptiness, nothing is a substance before, the meaning of death therefore depends on the freedom to choose their own way and derive from internal view. Death encourage for raising the level of Existence to the highest level. As for the concept of death in the Eastern world, Vedanta hold death as an essential substance in guiding individuals to the knowledge of Self, Even if the body is broken, but Atman remains eternal, Buddhist philosophy does not believe that there is an eternal self, death is separation of all five aggregates, Vajrayana Buddhist death is a step by step internal and external breakdown, death is the key to spiritual growth to a good death through the system of Tantra Buddhism. Finally, knowing that the destination of the two lines has converged unbelievably. Sri Aurobindo has a concept of death that has been influenced by both the West and the East tradition, not only it was considered in the same stream with life but also a truth that does not depend on the definition which fixed. Sri Aurobindo emphasizes the role of death as a catalyst for the evolutionary process through Integral yoga practices that apply Tantra concept to liberation and live like A divine life. Having an independent attitude towards death as Integral view, it leads to realize the value of death that eradicates duality and expresses love. Humans should not be afraid of death because Integral yoga leads to the whole truth of death. Death is the way to immortality that bestows a sacred new life. The influences of death on individual phenomena will affect social phenomena. They can divided into two implications, one is a creative phenomenon which is a problem free condition within individuals that would cause real peace to society as a result of seeing death as true to itself and the internal crisis is a problem within the individual which is a source of conflict within individuals and may expand into violence in society that caused by ignorance, duality and ego consciousness.
- Publicationนิตเนม : วัตรและทัศน์แห่งสิกข์อภิรัฐ คำวัง (2020)
- Publicationแนวคิดเชิงปรัชญาและกลวิธีการนำเสนอแนวคิดในนิยายวิทยาศาสตร์ของวินทร์ เลียววาริณบุณฑริกา ขุนวิมล (2015)งานวิจัยนี้มุ่งศึกษาแนวคิดเชิงปรัชญาและกลวิธีการนำเสนอแนวคิดในนิยายวิทยาศาสตร์ของ วินทร์ เลียววาริณ จากหนังสือนิยายวิทยาศาสตร์จำนวน 6 เล่มประกอบด้วยเรื่องสั้น 43 เรื่อง และนวนิยาย 2 เรื่อง รวมทั้งสิ้น 45 เรื่อง โดยเสนอผลการวิจัยแบบพรรณนาวิเคราะห์ ผลการวิจัยพบว่า แนวคิดเชิงปรัชญาของ วินทร์ เลียววาริณ แบ่งเป็น 2 กลุ่มได้แก่ แนวคิดเชิงพุทธปรัชญาและแนวคิดเชิงปรัชญาเต๋า แนวคิดส่วนใหญ่เป็นแนวคิดเชิงพุทธปรัชญา พบ 40 แนวคิด ขณะที่แนวคิดเชิงปรัชญาเต๋าพบ 15 แนวคิด แนวคิดทั้งสองกลุ่มเน้นการวิพากษ์วิจารณ์มนุษย์และสังคมของมนุษย์ พุทธปรัชญาชี้ถึงปัญหาเรื่องความทุกข์ของมนุษย์ในลักษณะต่าง ๆ ส่วนปรัชญาเต๋าชี้ถึงปัญหาจากการฝืนกฎธรรมชาติของมนุษย์ เป้าหมายของแนวคิดทั้งสองกลุ่ม คือ การสอนให้ผู้อ่านมองโลกตามความจริง รู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงและความทุกข์ของตน ด้านกลวิธีการนำเสนอแนวคิด พบ 7 กลวิธี เรียงลำดับจากมากไปหาน้อยได้แก่ การนำเสนอแนวคิดผ่านสัมพันธบท ผ่านชื่อเรื่อง ผ่านพัฒนาการของเรื่องและตัวละคร ผ่านผู้เล่าเรื่อง ผ่านคู่ตรงข้าม ผ่านสัญลักษณ์ และผ่านการประสานทัศนศิลป์เข้ากับวรรณศิลป์ตามลำดับ วินทร์ เลียววาริณ ใช้กลวิธีมากกว่าหนึ่งกลวิธีในการสื่อสารแนวคิดเป็นส่วนใหญ่ ผู้อ่านต้องตีความจากองค์ประกอบแต่ละส่วนและเชื่อมโยงเนื้อหาเข้ากับประสบการณ์ของตน จึงจะเข้าใจแนวคิดที่ วินทร์ เลียววาริณต้องการสื่อสาร
- Publicationแนวคิดพุทธปรัชญามหายานที่ปรากฏในคติความเชื่อและรูปเคารพในท้องถิ่นภาคใต้วรารัตน์ คำมณี; Wararat Khammanee (2020)งานวิจัยชิ้นนี้มุ่งศึกษาวิเคราะห์แนวคิดทางพุทธปรัชญามหายานที่ปรากฏในคติความเชื่อและรูปเคารพในท้องถิ่นภาคใต้ โดยศึกษาแนวคิดสำคัญทางพุทธปรัชญามหายานแล้วนำมาศึกษาวิเคราะห์คติความเชื่อและรูปเคารพในท้องถิ่นภาคใต้ ผลการศึกษาพบแนวคิดสำคัญทางพุทธปรัชญามหายาน 2 ประเด็น คือ ประเด็นแรกแนวคิดเรื่องพระพุทธเจ้า พบในคติการถวายข้าวพระพุทธ ประเด็นที่สองการสร้างพระพุทธรูปปางมารวิชัย 3 องค์ที่ตั้งประดิษฐานในพระอุโบสถ วิหาร หรือศาลาการเปรียญ พบคติการสร้างพระพุทธรูปปางมารวิชัยหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ประเด็นเหล่านี้สอดคล้องกับหลักสำคัญทางพุทธศาสนามหายานที่เชื่อว่า พระพุทธเจ้ามีพระกาย 3 ภาค คือ ภาคธรรมกาย ภาคสัมโภคกาย แลภาคะนิรมานกาย ซึ่งพุทธปรัชญามหายานให้ความสำคัญต่อพระพุทธเจ้าภาคธรรมกายสูงสุด จึงสร้างให้มีขนาดใหญ่หรือประดิษฐานบนฐานบัวโดยสูงกว่าทั้งสององค์ เพราะเชื่อว่าพระพุทธเจ้าภาคธรรมกายนั้นเป็นที่มาของพระพุทธเจ้าภาคสัมโภคกายและภาคนิรมานกาย ส่วนคติการถวายข้าวพระพุทธเป็นการปฏิบัติบูชาต่อพระพุทธเจ้าภาคธรรมกายและสัมโภคกายอันคงอยู่ชั่วนิรันดร์ ไม่ดับสูญไปพร้อมกับการปรินิพพานเหมือนเช่นพระพุทธเจ้าภาคนิรมานกาย และคติการตั้งพระพุทธรูปปางมารวิชัยหันพระพักตร์ทางทิศตะวันออก ก็เพื่อให้พุทธศาสนิกชนแสดงสักการะสู่ทิศตะวันตก อันเป็นที่ตั้งของสุขาวดีพุทธเกษตรของพระอมิตาภพุทธเจ้า และยังมีแนวคิดเรื่องพระโพธิสัตว์ที่พบในคติความเชื่อเรื่องสมเด็จหลวงพ่อทวด ซึ่งสะท้อนจากคำอารธนาบูชาและการสร้างพระเครื่องพระบูชาที่ประดิษฐานบนฐานบัว ที่มีความสอดคล้องกับคติความเชื่อเรื่องพระโพธิสัตว์ตามแนวคิดพุทธปรัชญามหายาน คติดังกล่าวได้รับอิทธิพลจากการนับถือพุทธศาสนามหายานที่เคยเจริญรุ่งเรืองในยุคอาณาจักรศรีวิชัยที่ผ่านมา
- Publicationปรัชญาการศึกษาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัตนพร ราชสะอาด; Rattanaporn Ratchaatd (2017)การศึกษาวิจัยนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาปรัชญาการศึกษาขององค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ โดยมีจุดประสงค์ ๓ ประการ คือ (๑) เพื่อศึกษาประวัติและพัฒนาการ ปรัชญาการศึกษาไทย (๒) เพื่อศึกษาปรัชญาการศึกษาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ (๓) เพื่อวิเคราะห์แนวคิดปรัชญาการศึกษาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พบว่า การจัดการศึกษาของประเทศไทยมีวิวัฒนาการมาตั้งแต่สมัยโบราณเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยความเชื่อที่ว่าการศึกษาจะช่วยกำหนดทิศทางของชาติ เพื่อจะพัฒนาคนไทยให้มีความพร้อมที่จะเป็นกำลังสำคัญสำหรับการพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้า ความเป็นมาของการศึกษาไทยมีประวัติที่น่าสนใจ โดยแบ่งออกเป็นยุคๆ ดังต่อไปนี้ การศึกษาของไทยสมัยโบราณ (พ.ศ. ๑๗๘๑ - ๒๔๑๑) (๑) การศึกษาสมัยกรุงสุโขทัย (พ.ศ. ๑๗๘๑ - ๑๙๒๑) พ่อขุนรามคำแหง (พ.ศ. ๑๘๐๐ - ๑๙๘๑) (๒) การศึกษาสมัยกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. ๑๘๙๓ - ๒๓๑๐) เป็นยุคทองของวรรณคดีไทย ซึ่งก็อยู่ในช่วงรัชสมัยของพระบรมไตรโลกนาถและพระนารายณ์ (พ.ศ. ๑๘๙๓- ๒๓๑๐) (๓) การศึกษาสมัยกรุงธนบุรี (พระเจ้าตากสิน พ.ศ. ๒๓๑๐) และกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นอยู่ในช่วงรัชกาลที่ ๑ - ๔ ซึ่งก็เป็นยุคเริ่มฟื้นฟูสภาวะของประเทศ เช่น การฟื้นฟูทางด้านการศาสนา วรรณคดี ศิลปวัฒนธรรม และด้านการศึกษา (พ.ศ. ๒๓๑๑ - ๒๔๑๑) ในยุคนี้จะไม่มีการแบ่งชั้นเรียนที่แน่นอนเลือกเรียนได้ตามความสมัครใจของผู้เรียน การศึกษาของไทยสมัยปฏิรูปการศึกษา (พ.ศ. ๒๔๑๒ - ๒๔๗๔) อยู่ในช่วงสมัยกรุงรัตน- โกสินทร์ตอนปลายหรือสมัยรัชกาลที่ ๕ - ๗ เป็นการศึกษาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอม เกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ซึ่งสภาวะของประเทศอยู่ในยุคการคุกคามของจักรวรรดินิยมจากทางประ เทศตะวันตกที่แผ่ขยายเข้ามาในประเทศไทยอย่างกว้างขวาง การศึกษาคือรากฐานของการพัฒนาชีวิตและการพัฒนาประเทศ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงริเริ่มวางรากฐานการศึกษาแบบแผนใหม่ที่เป็นระบบขึ้นมาในบ้านเมือง ทรงจัดตั้งโรงเรียนขึ้นมาในพระบรมมหาราชวังแล้วขยายผลการจัดออกไปสู่ราษฎรทุกระดับชั้น ด้วยแนวคิดและวิธีการที่เป็นระบบแบบแผนตามแนวพระราชดำริ.พระบรมราชโองการและพระราชดำรัสของพระองค์ที่ปรากฏอยู่ในด้านการศึกษาแสดงให้เห็นถึงแนวคิดพื้นฐานในด้านการจัดการศึกษาของพระองค์ในหลายๆ ประการ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงตระหนักถึงความสำคัญของการ- ศึกษา ทรงชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่ประชาชนจะต้องได้รับการศึกษา เพราะการศึกษาทำให้คนฉลาด รู้จักคิด.รู้ปฏิบัติอันจะส่งผลถึงความเจริญก้าวหน้าของบ้านเมือง ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การศึกษาเริ่มเป็นแบบแผน มีระเบียบแบบแผน มีการจัดตั้งโรงเรียนสำหรับราษฎรทั่วไป มีการรับเอาแนวคิดและวิทยาการต่างๆ ของชาติตะวันตกเข้ามาใช้ในประเทศ ต้องการบุคคลที่มีความรู้ให้เข้ามารับราชการ สามารถจัดตั้งโรงเรียนขึ้น เน้นการพัฒนาประเทศให้ทัดเทียมนานาอารยประเทศ แปลวรรณคดีต่างประเทศเป็นภาษาไทย วาง แผนโครงการศึกษาใหม่ โดยส่งเสริมให้หาเลี้ยงชีพที่นอกเหนือจากการเข้ารับราชการ ดังนั้น การปฏิรูปการศึกษาในสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นการปฏิรูปการศึกษาเพื่อให้สอดคล้อง กับระบบการศึกษาของประเทศตะวันตกที่มีความเจริญก้าวหน้าไปมากแล้ว ซึ่งเป็นการปรับปรุงประเทศให้ทันสมัยตามแบบสมัยใหม่ที่มีความสำคัญอย่างมากในยุคสมัยนั้น
- Publicationปรัชญาเต๋าในศาสตร์ของฮวงจุ้ยกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตพรภัทรชพัสส์ กาญจนพนัง; กันยาวีร์ สัทธาพงษ์; สวัสดิ์ อโนทัย; Pornpatchapat Kanchanapanang; Kanyawee Sathapong; Sawat Nnothai (2022)บทความนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปรัชญาเต๋าในศาสตร์ฮวงจุ้ยที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต ซึ่งมีพื้นฐานปรัชญาแบบธรรมชาตินิยม (Naturalism) เพื่อค้นหาความจริงด้วยวิธีวิจัยเชิงคุณภาพจะเน้นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตามที่เป็นธรรมชาติ ซึ่งเรียกว่าแนวคิดแบบปรากฏการณ์นิยม (Phenomenalism) เกี่ยวกับวิถีปฏิบัติในศาสตร์แห่งฮวงจุ้ยในเชิงคุณธรรมและจริยธรรม ผลการวิจัยพบว่า ชีวิตที่มี ความสุข ชีวิตที่สามารถปรับตนเองให้เข้ากับธรรมชาติ ทั้งธรรมชาติทางกายภาพและธรรมชาติทาง สังคม และสามารถปรับธรรมชาติให้เข้ากับตนเองโดยไม่เบียดเบียนสังคมและผู้อื่น เมื่อกระบวนทรรศน์ปรัชญาหลังนวยุคสายกลางได้ดำเนินไปย่อมทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนค่านิยมและทำให้การพัฒนาคุณภาพชีวิตกลายเป็นวัฒนธรรมของผู้คนที่มีอยู่ร่วมกันของผู้ถือกระบวนทรรศน์หลังนวยุคสายกลาง เป็นวัฒนธรรมแกนหลักของสังคมในปัจจุบัน เป็นหลักยึดเหนี่ยวที่ไม่ใช่หลักยึดติด นั่นคือ ไม่ว่าจะทำอะไร แต่ก็เปิดโอกาสให้มีความหลากหลาย แตกต่างกันไปตามพื้นที่ เชื้อชาติ ชนชาติได้ และเมื่อเจตจำนงตัดสินใจของผู้ถือกระบวนทรรศน์ปรัชญาหลังนวยุคสายกลางใช้การพัฒนาคุณภาพชีวิตเป็นเกณฑ์สำคัญ ย่อมเกิดปรัชญาจริยะและมาตรการจริยะที่สอดคล้องกัน ผู้คนย่อมศรัทธาในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและปฏิบัติตามด้วยความเต็มใจ เพราะได้ความสุขแท้จากการปฏิบัติเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต การพัฒนาคุณภาพชีวิตจึงมีคุณค่าเท่ากับเป้าหมายในระดับศาสนา เป็นศาสนากระบวนทรรศน์ปรัชญาหลังนวยุค แต่เป็นศาสนาที่ไม่เรียกร้องสมาชิก ไม่แก่งแย่งแข่งขันหรือเชื่อว่าตนเองถูกฝ่ายเดียว ฝ่ายอื่นผิดทั้งหมด การพัฒนาคุณภาพชีวิตจึงเป็นหลักศาสนาที่แสวงหาความร่วมมือและพร้อมที่จะช่วยเหลือศาสนาอื่นในฐานะหลักการสำคัญในการดำรงตนตามหลักศาสนานั้นๆ
- Publicationพุทธศาสนานิกายเซนกับการจัดสวนญี่ปุ่นพระมหาสุรชัย ชยาภิวฑฺฒโน (พุดชู); Phramaha Surachai Jayabhivaddhano (Phutchu) (2018)บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายแนวคิดการจัดสวนญี่ปุ่น ซึ่งเป็นศิลปวัฒนธรรมญี่ปุ่นอย่างหนึ่งที่ได้รับอิทธิพลมาจากพุทธศาสนาและผสมผสานกับความเชื่อดั้งเดิมในญี่ปุ่นเอง จึงกลายเป็นรูปแบบและแนวคิดการจัดสวนที่สอดแทรกคำสอนทางพุทธศาสนาในเชิงปรัชญาอย่างน่าขบคิด และสะท้อนภูมิปัญญาการจัดสวนของชาวญี่ปุ่นที่ไม่เหมือนใคร การจัดส่วนญี่ปุ่นทั่วไปมี 3 ประเภท คือ 1) สวนภูเขา 2) สวนในที่ราบ และ 3) สวนน้ำชา รูปแบบการจัดแต่ละประเภทมีลักษณะภูมิทัศน์ที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะไม้ประดับตกแต่ง รวมถึงสถานที่และการใช้ประโยชน์ภายในสวน สวนที่สะท้อนแนวคิดตามแบบเซนอย่างแท้จริงก็คือสวนในที่ราบ โดยเฉพาะสวนในพื้นที่แห้งที่มีทรายหรือก้อนกรวดแทนการปลูกหญ้าหรือมอส แล้วสมมติเป็นพื้นน้ำ ก้อนหินวางเรียงสมมติเป็นเกาะ สวนประเภทนี้มีนัยทางพุทธปรัชญาเป็นอย่างมาก เพราะเน้นการตกแต่งให้น้อยที่สุด มีความเรียบง่าย ไม่ฟุ่มเฟือย เพื่อให้อยู่ติดกับธรรมชาติ ขณะที่สวนน้ำชาเป็นการนำลักษณะเด่นของสวนภูเขาและสวนในที่ราบมาผสมผสานและเน้นพิธีชงชาหรือซาโด (Sado) เป็นพิเศษ ญี่ปุ่นได้รับพิธีนี้มาจากวัฒนธรรมจีนและประยุกต์ให้เข้ากับการจัดสวนที่มีกระท่อมชาไว้สำหรับชงชาโดยเฉพาะ พิธีชงชาแบบญี่ปุ่นจะเน้นความมีสติทุกอิริยาบถ ตั้งแต่การชง การริน กระทั่งการดื่มที่ให้รู้สึกถึงรสชาติของชา มีสติกำกับตลอดเวลา รวมจิตเป็นหนึ่งเดียวกับการดื่ม กระทั่งไม่มีการแบ่งแยกระหว่างคำว่าชากับผู้ดื่มพิธีชงชาจึงเป็นการฝึกสติที่ประยุกต์เข้ากับวิถีชีวิต ดังที่ปรากฏในสวนน้ำชาโดยตรงหรือสวนแบบเซนที่นิยมจัดไว้มุมใดมุมหนึ่งภายในวัดเซนเอง
- Publicationวิเคราะห์การผจญมารเชิงธรรมาธิษฐานของพระโพธิสัตว์ตามแนวคัมภีร์มหาวัสตุอวทานวรารัตน์ พัฒนวรเศรษฐ์; Wararat Pattanaworasate (2021)บทความวิชาการครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ วิเคราะห์การผจญมารเชิงธรรมาธิษฐานของพระโพธิสัตว์ตามแนวคัมภีร์มหาวัสตุอวทาน ซึ่งคัมภีร์มหาวัสตุอวทานนี้เป็นคัมภีร์พระพุทธศาสนาของนิกายโลโกตตรวาทที่มีมีความสำคัญ แต่ในประเทศไทยยังไม่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายเท่าใด ในคัมภีร์มหาวัสตุอวทาน เล่ม 2 ได้มีการพรรณนากล่าวถึงการผจญมารของพระโพธิสัตว์จนกระทั่งพญามารได้พ่ายแพ้ให้แก่พระโพธิสัตว์ กล่าวได้ว่า เมื่อศึกษาคัมภีร์เล่มนี้แล้วก็จะพบว่า พระโพธิสัตว์นั้นได้ใช้ปารมิตา 6 ได้แก่ ทาน ศีล กษานติ วีรย ธยาน และปรัชญาปารมิตา ในการต่อสู้กับมารซึ่งก็คือเครื่องขวางกั้นแห่งความดีจนได้รับชัยชนะ อันเป็นแนวทางปฏิบัติแก่ผู้ที่สนในเพื่อนำไปพัฒนาสืบต่อไป
- Publicationศึกษาความสัมพันธ์ของโพธิจิตกับเส้นทางพุทธเกษตรภิกษุณีโสภิตา มะลิกุล; Bhikkhuni Sobhita Malikul (2021)บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาโพธิจิตในพระพุทธศาสนามหายาน 2) ศึกษาพุทธเกษตรในพระพุทธศาสนามหายาน 3) ศึกษาความสัมพันธ์ของโพธิจิตกับเส้นทางพุทธเกษตรในพระพุทธศาสนามหายาน ซึ่งเป็นการศึกษาเชิงคุณภาพ พร้อมทั้งนำเสนอผลการศึกษาด้วยวิธีการพรรณนาเชิงวิเคราะห์ ในการศึกษาถึงเรื่องของโพธิจิต ซึ่งเป็นจิตที่บริสุทธิ์ เป็นจิตที่ว่าง ปราศจากมลทิน เป็นศักยภาพอันลึกซึ้ง และซ่อนเร้นอยู่ในสรรพสัตว์ทั้งหลาย ผู้บำเพ็ญโพธิสัตว์จรรยาย่อมสามารถเข้าถึงพุทธเกษตร หรือวิสุทธิภูมิได้ด้วยหลักธรรมสำคัญที่จะนำไปสู่ความเป็นพระโพธิสัตว์บนฐานจริยธรรม ทั้งนี้ หากผู้ประพฤติปฏิบัติสามารถบำเพ็ญบารมีเต็มเปี่ยม ยกระดับจิตของตนเข้าถึงวิสุทธิภูมิภายในตนแล้ว ก็จะเข้าถึงดินแดนพุทธเกษตรตามคติมหายานได้อย่างเหมาะสม
- Publicationอุปายโกศลวิธี: ทฤษฎีการตีความในพุทธปรัชญาเซนพระมหาสุรชัย ชยาภิวฑฺฒโน (พุดชู); Phramaha Surachai Jayabhivaddhano (Phutchu) (2019)ทฤษฎีการตีความเชิงพุทธปรัชญามหายานที่สำคัญ คือ อุปายโกศลวิธี ซึ่งเป็นตัวอย่างของทฤษฎีบูรณาการหรือสัมพัทธนิยมที่เน้นทั้งการอธิบายความและการตีความ โดยความหมายแล้ว อุปายโกศลวิธี หมายถึง ความฉลาดในการสอนที่มีขอบเขตไม่จำกัด ประยุกต์ได้อย่างหลากหลาย ในพุทธปรัชญาเซนมีเครื่องมือสำคัญที่จัดเป็นอุปายโกศลวิธีเรียกว่า โกอาน ซาเซนและมอนโด ทั้งสามเครื่องมือเป็นรูปแบบการสอนที่เป็นอัตลักษณ์ของเซน ผู้สอนต้องมีประสบการณ์ตรงจากการปฏิบัติหรือการบรรลุธรรม จีงสามารถถ่ายทอดธรรมะผ่านเครื่องมือทั้งสามให้ศิษย์ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ พุทธปรัชญาเซนจึงเน้นประสบการณ์ทางจิตของปัจเจกชน ซึ่งการเข้าถึงประสบการณ์ทางจิตไม่สามารถบันทึกไว้ได้ด้วยภาษาซึ่งมีขอบเขตที่จำกัด กระนั้น ตัวภาษาเองก็มีส่วนสำคัญในฐานะเป็นกระบวนการที่เรียกว่า กายวิญญัติและวจีวิญญัติให้ศิษย์เข้าถึงธรรมะที่มีอยู่แล้วในทุกคนผ่านเครื่องมือ คือการขบคิดปริศนาธรรม (โกอาน) รวมถึงการสนทนาถามตอบแบบฉับพลัน (มอนโด) และการปฏิบัติธรรม (ซาเซน) ที่จัดเป็นทั้งวัจนภาษาและอวัจนภาษาในการสื่อสาร เครื่องมือทั้งสามจึงเป็นตัวอย่างของทฤษฎีอุปายโกศลวิธีที่เน้นการสอนเชิงผลสัมฤทธิ์ คือการเข้าถึงพุทธภาวะในทัศนะของพุทธปรัชญาเซน