ภาษาศาสตร์ประยุกต์
Permanent URI for this collection
บทความวิจัยและวิทยานิพนธ์ในสาขาวิชาภาษาศาสตร์ที่สังกัดสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย ในสายภาษาศาสตร์ประยุกต์ ได้แก่ การแปล (Translation) การรับภาษาที่สอง (Second (Foreign) language acquisition) การรับภาษาที่หนึ่ง (First language acquisition) การเรียนการสอนภาษา (Language teaching) ภาษากับปริชาน (Language and cognition) ภาษาศาสตร์คลังข้อมูล (Corpus linguistics) ภาษาศาสตร์คอมพิวเตอร์/การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Computational linguistics/Natural language processing) ภาษาศาสตร์จิตวิทยา (Psycholinguistics) ภาษาศาสตร์เชิงคลินิก/การแก้ไขการพูดการได้ยินภาษา/ความผิดปกติในการสื่อความหมาย (Clinical linguistics/Speech-language pathology/Communication disorders) ภาษาศาสตร์เชิงประวัติ/นิรุกติศาสตร์ (Historical linguistics/Philology) ภาษาศาสตร์ปริชาน (Cognitive linguistics) ภาษาศาสตร์เปรียบเทียบ (Comparative linguistics) ภาษาศาสตร์สังคม (Sociolinguistics) วิทยาภาษาถิ่น (Dialectology)
Browse
Browsing ภาษาศาสตร์ประยุกต์ by browse.metadata.researchtheme2 "ภาษากับปริชาน (Language and cognition)"
Now showing 1 - 15 of 15
Results Per Page
Sort Options
- PublicationAn Interface between Language and Cognition: Evidence from the Acquisition of Classifiers in ThaiTuaycharoen, Pintipบทความนี้แสดงให้เห็นหลักการสำคัญในกระบวนการแรกรับภาษาแม่ของเด็ก โดยพิจารณาว่าการพัฒนาทางภาษาเกิดควบคู่กับการพัฒนาทางพุทธิปัญญา (cognitive development) ทั้งนี้เห็นได้จากกลวิธีการพัฒนาลักษณะนามของเด็กไทยซึ่งผู้เขียนศึกษาในระยะยาว กลวิธีดังกล่าวมีหลายขั้นตอนคือ ขั้นเริ่มรับรู้การปรากฏของลักษณนาม (2 - 2.5 ขวบ) ขั้นการใช้นามซ้ำรูปแทนลักษณนาม (2 - 2.5 ขวบ) ขั้นตัดนามซ้ำรูปซึ่งใช้แทนลักษณนาม (2.5 - 3 ขวบ) ขั้นขยายการใช้ลักษณะนามอื่นด้วยลักษณนามเดิมที่เรียนรู้มาแล้ว (3 - 4.5 ขวบ) ขั้นลองผิดลองถูกเมื่อต้องใช้ลักษณนามหลากหลาย (4.5 - 5 ขวบ) และขั้นเลี่ยงการใช้ลักษณนามด้วยการใช้คำอธิบาย (4.5 - 5 ขวบ)
- Publication
- PublicationThe polyfunctionality of the word form /tôŋ/ in Thai : a cognitive linguistic studyChancharu, Naruadol (2009)พหุหน้าที่คือ ปรากฏการณ์ทางภาษาศาสตร์ที่รูปภาษาหนึ่งสามารถทำหน้าที่ทางวากยสัมพันธ์ได้มากกว่าหนึ่งหน้าที่ และให้ความหมายที่แตกต่างแต่สัมพันธ์กัน ปรากฏการณ์นี้เป็นที่สนใจศึกษาในทั้งแนวทางของแบบลักษณ์ภาษา ภาษาศาสตร์เชิงประวัติ และภาษาศาสตร์ปริชาน การศึกษานี้มุ่งเน้นไปที่คำว่า "ต้อง" ในภาษาไทย ซึ่งเป็นกรณีของพหุหน้าที่ที่น่าสนใจ เพราะปรากฏมีคำที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันนี้ในภาษาต่างๆ ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างไรก็ดี ประเด็นที่ยังไม่กระจ่างชัดคือ หน้าที่และความหมายของ "ต้อง" นั้นสัมพันธ์กันอย่างไรทั้งในเชิงพัฒนาการและเชิงมโนทัศน์ เพื่อที่จะตอบประเด็นดังกล่าว การศึกษานี้มุ่งเน้นวิเคราะห์ลักษณะทางวากยสัมพันธ์และอรรถศาสตร์ของ "ต้อง" สืบหาแนวทางและทิศทางของการเปลี่ยนแปลงทางวากยสัมพันธ์และอรรถศาสตร์ และระบุกลไกที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว การศึกษานี้พบว่า คำว่า "ต้อง" มีหน้าที่ทางวากยสัมพันธ์สองหน้าที่คือ หน้าที่กริยาและหน้าที่กริยานุเคราะห์ ซึ่งสามารถแยกออกจากกันโดยใช้เกณฑ์ในเรื่องความเป็นประพจน์ ตำแหน่งการวาง การควบคุมและการปฏิเสธ ในทางเดียวกันพบว่า ทั้งแปดความหมายของ "ต้อง" สามารถแยกออกได้เป็นสองกลุ่มคือ ความหมายเชิงศัพท์ อันได้แก่ "สัมผัสทางกายภาพ" "สอดคล้องกัน" “จำนนต่ออำนาจเหนือธรรมชาติ" และ "ได้รับข้อกำหนดทางสังคม" และความหมายเชิงมาลาอันได้แก่ "มีข้อกำหนดต้องทำ" "มีความจำเป็นต้องทำ" "มีความต้องการทำ" และ "มีความแน่นอนว่าจะทำ" พัฒนาการของ "ต้อง" จากหน้าที่กริยาไปสู่หน้าที่กริยานุเคราะห์นั้นมีหกขั้นตอน โดยการวิเคราะห์ใหม่และการเทียบแบบ คือกลไกที่มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงนี้ แต่มีบทบาทต่างกันในแต่ละขั้นตอน นอกจากนี้ยังพบว่า พัฒนาการด้านความหมายของ "ต้อง" มีทั้งหมดสามเส้นทาง และอุปลักษณ์และนามนัย คือกลไกทางปริชานที่มีความเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลง แต่มีความเกี่ยวข้องต่างกันในแต่ละขั้นตอน
- Publicationความสัมพันธ์ระหว่างการบ่งชี้กาลในไวยากรณ์กับระบบปริชาน: การทดสอบสมมติฐานภาษาสัมพัทธ์ในภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีน และภาษาไทยชุติชล เอมดิษฐ; Chutichol Aemdit (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2015)งานวิจัยนี้เกี่ยวข้องกับสมมติฐานภาษาสัมพัทธ์ ซึ่งมีใจความว่าผู้พูดภาษาที่มีระบบไวยากรณ์แตกต่างกันมีความคิดต่างกัน และในทางตรงข้ามผู้พูดภาษาที่มีระบบไวยากรณ์คล้ายคลึงกันมีโลกทัศน์คล้ายคลึงกัน มีงานวิจัยจำนวนมากที่ต้องการทดสอบสมมติฐานนี้โดยทำการทดลองกับผู้พูดภาษาที่มีระบบไวยากรณ์ต่างกัน เช่น ลิงค์ พจน์ และลักษณนาม แต่ยังไม่พบงานวิจัยที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบ่งชี้กาลในไวยากรณ์กับความคิดเกี่ยวกับเวลา ดังนั้นวิทยานิพนธ์นี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความแตกต่างของการบ่งชี้กาลในไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีน และภาษาไทย และเปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่างการบ่งชี้กาลในไวยากรณ์กับระบบปริชานของผู้พูดภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีน และภาษาไทย ซึ่งตีความได้จากพฤติกรรมทางปริชานในด้านความตระหนักรู้และความจำในการทดลอง โดยมีสมมติฐานในงานวิจัยคือ ผู้พูดภาษาอังกฤษและภาษาญี่ปุ่นซึ่งมีการบ่งชี้กาลในไวยากรณ์มีความตระหนักรู้เรื่องเวลาและสามารถจดจำเวลาได้ถูกต้องมากกว่าผู้พูดภาษาจีนและภาษาไทยซึ่งไม่มีการบ่งชี้กาลในไวยากรณ์ การทดลองเพื่อทดสอบความตระหนักรู้ คือ การทดสอบแบบบรรยายภาพ มีผู้ถูกทดลองทั้งหมด 109 คน ประกอบด้วยผู้พูดภาษาอังกฤษ 26 คน ญี่ปุ่น 30 คน จีน 22 คน และไทย 31 คน ผลการทดลองพบว่า ในการบรรยายภาพ ผู้พูดภาษาอังกฤษและภาษาญี่ปุ่นมีความตระหนักรู้เรื่องเวลาเวลามากกว่าผู้พูดภาษาจีนและภาษาไทย ในการทดลองเพื่อทดสอบความจำซึ่งจำแนกออกเป็น 3 การทดลอง ได้แก่ การทดสอบการเลือกภาพ การทดสอบแบบปรนัย และการทดสอบแบบเติมคำตอบ การทดสอบการเลือกภาพนั้นผู้ถูกทดลองกลุ่มเดียวกับการบรรยายภาพ ส่วนการทดสอบแบบปรนัยและเติมคำตอบมีผู้ถูกทดลองทั้งหมด 112 คน ประกอบด้วยผู้พูดภาษาอังกฤษ 22 คน ญี่ปุ่น 32 คน จีน 20 คน และผู้ไทย 38 คน ในการทดสอบแบบเติมคำตอบ ผู้พูดภาษาอังกฤษและภาษาญี่ปุ่นสามารถจดจำเวลาได้ถูกต้องมากกว่าผู้พูดภาษาไทย แต่ผู้พูดภาษาจีนจดจำเวลาได้ดีกว่าผู้พูดภาษาไทย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะผู้พูดภาษาจีนเดาได้ว่าผู้วิจัยกำลังทดสอบเกี่ยวกับเวลา ส่วนการทดสอบแบบปรนัย ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างผู้พูดภาษาทั้ง 4 ภาษาซึ่งอาจเป็นเพราะแบบทดสอบมีคำถามน้อยเกินไป จากผลการทดลองทั้งหมด สรุปได้ว่าการบ่งชี้กาลในไวยากรณ์ส่งผลให้ “เวลา” กลายเป็นลักษณะเด่นชัดในระบบปริชานของผู้พูดภาษาอังกฤษและภาษาญี่ปุ่น ทำให้ผู้พูดภาษาอังกฤษและภาษาญี่ปุ่นมีตระหนักรู้เรื่องเวลาและจดจำเวลามากกว่าผู้พูดภาษาจีนและภาษาไทย จึงสรุปได้ว่าผลงานวิจัยนี้สนับสนุนสมมติฐานภาษาสัมพัทธ์
- Publicationความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างประโยคบอกเงื่อนไขความสมมุติ ซึ่งตรงข้ามกับความเป็นจริงกับระบบปริชานของผู้พูดภาษาไทย และภาษาเยอรมัน : การตรวจสอบสมมุติฐานภาษาสัมพัทธ์นารดา รุธิรโก; Narada Ruthirago (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2011)วิทยานิพนธ์ชิ้นนี้เป็นการพิสูจน์สมมุติฐานภาษาสัมพัทธ์ของเบนจามิน ลี วอร์ฟ และแนวคิดของวิลล์เฮม ฟอน ฮุมโบลดท์ที่ว่าภาษาต่างประเทศมีอิทธิพลต่อมโนทัศน์ของมนุษย์ โดยวิเคราะห์ความแตกต่างของภาษาไทยและภาษาเยอรมันในเรื่องของไวยากรณ์ที่ใช้ในประโยคเงื่อนไขแสดงการสมมุติซึ่งตรงข้ามกับความเป็นจริง และเปรียบเทียบพฤติกรรมการรับรู้และความเข้าใจของผู้รับการทดลองทั้ง 4 กลุ่ม จำนวนกลุ่มละ 30 คน ได้แก่ กลุ่มผู้พูดภาษาไทย กลุ่มผู้พูดภาษาไทยที่รู้ภาษาเยอรมัน กลุ่มผู้พูดภาษาเยอรมันที่รู้ภาษาไทย และกลุ่มผู้พูดภาษาเยอรมัน ใช้เนื้อเรื่องสำหรับการทดลองจํานวน 1 เรื่อง เป็นฉบับภาษาไทย 1 ฉบับ และฉบับภาษาเยอรมัน 1 ฉบับ โดยมีคำถามที่ใช้ในการทําการทดลองจำนวน 5 ข้อ สมมุติฐานของงานวิจัยชิ้นนี้มี 3 ประการ คือ 1) ภาษาไทยและภาษาเยอรมันมีโครงสร้างการแสดงประโยคบอกเงื่อนไขแสดงการสมมุติที่แตกต่างกัน 2) เมื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมทางด้านการรับรู้และความเข้าใจของผู้พูดภาษาไทยและภาษาเยอรมัน น่าจะพบว่ากลุ่มผู้พูดภาษาเยอรมันมีความเข้าใจมากกว่า และตอบคำถามได้รวดเร็วกว่ากลุ่มผู้พูดภาษาไทย และหากเปรียบเทียบภายในกลุ่มผู้ที่มีภาษาแม่เดียวกัน ผู้ที่รู้ภาษาต่างประเทศเพิ่มเติมน่าจะมีการรับรู้และความเข้าใจต่อเรื่องราวสมมุติมากกว่าผู้ที่พูดภาษาแม่เพียงภาษาเดียวและไม่รู้ภาษาต่างประเทศอื่นๆ 3) ความสัมพันธ์ของผลการทดลอง จะสอดคล้องกับการปรากฏและความเข้มข้นในการแสดงเงื่อนไขของประโยคสมมุติในแต่ละภาษา ผลการทดลองสนับสนุนสมมุติฐานภาษาสัมพัทธ์ คือกลุ่มผู้พูดภาษาเยอรมัน ซึ่งเป็นภาษาที่มีการผันกริยาเป็นพิเศษในการแสดงการสมมุติจะมีคะแนนสูงกว่า และใช้เวลาตอบสั้นกว่ากลุ่มผู้พูดภาษาไทย นอกจากนี้ผลการทดลองยังสนับสนุนแนวคิดเรื่องภาษาต่างประเทศมีอิทธิพลต่อความคิดในบางส่วน คือกลุ่มผู้พูดภาษาไทยที่รู้ภาษาเยอรมันจะใช้เวลาในการตอบคำถามสั้นกว่าผู้ที่ไม่รู้ แต่อย่างไรก็ตามไม่พบความแตกต่างในกลุ่มผู้พูดภาษาเยอรมันกับผู้พูดภาษาเยอรมันที่รู้ภาษาไทย
- Publicationความสัมพันธ์ระหว่างประเภทไวยากรณ์ของคำนามกับระบบปริชานของผู้พูดภาษาไทยและภาษาอังกฤษจรัลวิไล จรูญโรจน์; M.L. Jaralvilai Charunrochana (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2000)พิสูจน์สมมุติฐานภาษาสัมพัทธ์ผ่านการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ ระหว่างประเภททางไวยากรณ์ในภาษาไทยและภาษาอังกฤษ 3 ประเภท ซึ่งได้แก่ พจน์ การนับได้ และลักษณนาม กับระบบปริซานของผู้พูดภาษา ซึ่งตีความได้จากพฤติกรรมความใส่ใจ ความจำ และการจำแนกประเภทวัตถุในการทดลอง 3 ช่วง ผู้รับการทดลองคือผู้พูดภาษาอังกฤษและภาษาไทยเป็นภาษาแม่ ภาษาละ 30 คน ในการทดลองความใส่ใจ ผู้รับการทดลองต้องมองและกล่าวบรรยาย สิ่งที่ตนเห็นในภาพจำนวน 6 ภาพ ในการทดลองความจำ ผู้รับการทดลองจะต้องตอบคำถามเกี่ยวกับ ภาพที่ตนเห็นในการทดลองเพื่อทดสอบความใส่ใจ ในการทดลองการจำแนกประเภท ผู้รับการทดลองจะต้องตัดสินว่าวัตถุตัวเลือกใดจาก 2 หรือ 3 ตัวเลือกมีความคล้ายคลึงกับวัตถุต้นแบบมากที่สุด ในแต่ละชุดวัตถุรวม 13 ชุด งานวิจัยนี้มีสมมุติฐาน 3 ประการ สมมุติฐานแรกคือผู้รับการทดลองที่พูดภาษาอังกฤษจะใส่ใจ และสามารถจดจำเกี่ยวกับจำนวนได้ดีกว่าผู้พูดภาษาไทย และน่าจะจำแนกประเภทวัตถุไปตามเกณฑ์ของจำนวน มากกว่าผู้ที่พูดภาษาไทย ผลการทดลองในส่วนนี้สนับสนุนสมมุติฐานของผู้วิจัย ผู้รับการทดลองที่พูดภาษาอังกฤษมีค่าความใส่ใจจำนวนมากกว่า ผู้รับการทดลองที่พูดภาษาไทย 14% มีความจำเกี่ยวกับจำนวนดีกว่าผู้รับการทดลองที่พูดภาษาไทย 10.34% และมีการจำแนกประเภทโดยเกณฑ์จำนวนมากกว่า ผู้รับการทดลองที่พูดภาษาไทย 3.33% สมมุติฐานที่ 2 คือผู้รับการทดลองที่พูดภาษาอังกฤษ มีความใส่ใจและความจำเกี่ยวกับจำนวนของวัตถุที่แยกจากกันได้ มากกว่าจำนวนของวัตถุที่เป็นเนื้อสสาร ในขณะที่ผู้รับการทดลองที่พูดภาษาไทยไม่มีความแตกต่างดังกล่าว และผู้รับการทดลองที่พูดภาษาอังกฤษ มีการจำแนกวัตถุโดยเกณฑ์เนื้อสสารมากกว่าด้วย ผลการทดลองสนับสนุนสมมุติฐานเป็นบางส่วน กล่าวคือเมื่อเปรียบเทียบกับผู้รับการทดลองที่พูดภาษาไทยแล้ว ผู้รับการทดลองที่พูดภาษาอังกฤษ มีความแตกต่างระหว่างความใส่ใจจำนวนของวัตถุ ที่แยกกันได้กับจำนวนวัตถุที่เป็นเนื้อสสาร มากกว่าผู้รับการทดลองที่พูดภาษาไทย 13.69% และมีความแตกต่างระหว่างความจำจำนวนของวัตถุ 2 ประเภท มากกว่าผู้รับการทดลองที่พูดภาษาไทย 21.67% ผลการทดลองส่วนที่ไม่ตรงกับสมมุติฐานคือ ไม่มีความแตกต่างที่มีนัยสำคัญทางสถิติ ระหว่างการจำแนกประเภทวัตถุโดยเกณฑ์เนื้อสสาร ระหว่างผู้รับการทดลองทั้งสองกลุ่ม สมมุติฐานที่ 3 คือ ผู้รับการทดลองที่พูดภาษาไทย มีความใส่ใจรูปทรงและความจำเกี่ยวกับรูปทรงดีกว่า ผู้รับการทดลองที่พูดภาษาอังกฤษ ผลการทดลองในส่วนนี้ไม่ตรงตามสมมติฐานของผู้วิจัย ผู้รับการทดลองที่พูดภาษาไทยไม่ได้แสดงความแตกต่างที่มีนัยสำคัญทางสถิติจากผู้รับการทดลองที่พูดภาษาอังกฤษในด้านความใส่ใจและความจำเกี่ยวกับรูปทรง ในทางตรงกันข้าม ผู้รับการทดลองที่พูดภาษาอังกฤษยังสามารถจำเกี่ยวกับรูปทรงได้มากกว่าผู้รับการทดลองที่พูดภาษาไทย 8.7% ด้วย ผลการทดลองจำให้พอสรุปได้ว่าแบบแผนทางภาษามีความสอดคล้องกับแบบแผนทางพฤติกรรมของผู้พูดภาษานั้นๆ ผู้พูดภาษาอังกฤษซึ่งเป็นภาษาที่มีพจน์มีความใส่ใจและความจำเกี่ยวกับจำนวนมากกว่าผู้พูดภาษาไทย และมีการจำแนกประเภทบนพื้นฐานของจำนวนมากกว่าด้วย จึงอาจอนุมานได้ว่าประเภททางไวยากรณ์มีอิทธิพลต่อปรีชานของผู้พูดภาษา แม้ผลการศึกษาประเภททางไวยากรณ์เรื่องการนับได้ และลักษณนามจะยังมิได้แสดงความสัมพันธ์กับพฤติกรรมของผู้รับการทดลองที่ไม่ชัดเจนมากกว่าเท่าความสัมพันธ์ในเรื่องพจน์
- Publicationความหมายของกริยาแสดงการรับรู้ด้วยสายตาของคำว่า boda ในภาษาเกาหลี เปรียบเทียบกับคำว่า ดู และ เห็น ในภาษาไทย : การศึกษาตามแนวภาษาศาสตร์ปริชานแชมุน ลี; Chae Moon Lee (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2012)งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความหมายของคำว่า 보다 [boda: “see”] ในภาษาเกาหลี กับคำว่า ดู และ เห็น ในภาษาไทย อีกทั้งเพื่อวิเคราะห์ลักษณะการขยายความหมายของคำว่า H [boda: “see”] และคำว่า ดู และ เห็น ตามแนวคิดทฤษฎีภาษาศาสตร์ปริชาน ข้อมูลที่นำมาใช้ศึกษามาจากคลังข้อมูลภาษาของภาษาเกาหลีและภาษาไทย ได้แก่คลังข้อมูลภาษาเกาหลีเซจง และคลังข้อมูลภาษาไทย CU-Concordance โดยเก็บตัวอย่างที่มีการใช้คำว่า H [boda: “see”] กับคำว่า ดู และ เห็น ที่อยู่ในตำแหน่งกริยาหลัก เป็นจำนวนคำละ500 ประโยค ผลการศึกษาพบว่า คำว่า EC [boda: “see”] มีกลุ่มความหมายหลัก 3 กลุ่ม ได้แก่ การเห็น การคิด และการทำ โดยมีความหมายทั้งหมด 16 ความหมาย ความหมายการเห็นหมายถึงรับรู้เป้าหมายด้วยตา” ในความหมายการคิด พบว่ามีความหมาย 7 ความหมาย ได้แก่ “ชม” “อ่าน” “ทำนาย” รับรู้ เรียนรู้ เข้าใจ” “พิจารณา” “ประเมิน” และคาดคะเน” สำหรับความหมายการทำ มีความหมาย 8 ความหมาย ได้แก่ “แสดงอาการเกี่ยวกับกรรม” “เอาใจใส่” “ตรวจร่างกาย “ซื้อ” “จัดเตรียม “ขับถ่าย” “แสดงผลที่เกิดขึ้นใหม่ และแสดงการมีครอบครัวสมาชิกใหม่” จากการวิเคราะห์ความหมายของคำว่า ดู พบว่ามีกลุ่มความหมายหลัก 3 กลุ่ม ได้แก่ การเห็น การคิด และการทำ โดยมีความหมายทั้งหมด 9 ความหมาย ความหมายการเห็นหมายถึงรับรู้เป้าหมายด้วยตาโดยเจตนา" ความหมายการคิด มีความหมาย 6 ความหมาย ได้แก่ "ชม" “อ่าน” “ทำนายติดตามสถานการณ์" "พิจารณา” และคาดคะเน” ในความหมายการทำ มีความหมาย 2 ความหมาย ได้แก่ “แสดงอาการเกี่ยวกับคำนามที่ตามมา” และเอาใจใส่” ส่วนคำว่า เห็น มีกลุ่ม ความหมายหลัก 2 กลุ่ม ได้แก่ การเห็น และการคิด โดยมีความหมายทั้งสิ้น 4 ความหมาย ความหมายการเห็น หมายถึงรับรู้เป้าหมายด้วยตา โดยมีเจตนาหรือไม่ก็ได้” ในความหมายการคิดพบว่า มีความหมาย 3 ความหมาย ได้แก่ รับรู้ภาพในความคิด” รับรู้และเข้าใจ” และแสดงความคิดเห็น' จากผลการวิเคราะห์การเปรียบเทียบลักษณะการขยายความหมายของคำว่า [boda: “see”] กับคำว่า ดู และ เห็น พบว่า 3 คำนี้ มีคุณสมบัติที่ไม่เหมือนกัน ทำให้มีการขยายความหมายของแต่ละคำแตกต่างกันไปด้วย คุณสมบัติของคำว่า EC [boda: “see”] คือ [มีเป้าหมาย] [รับรู้ภาพเกิดขึ้น] คุณสมบัติของคำว่า ดู คือ (เจตนา], [มีเป้าหมายอย่างแน่นอน] คุณสมบัติของคำว่า เห็น คือ [เจตนาหรือไม่เจตนาก็ได้), (รับรู้ภาพเกิดขึ้นอย่างชัดเจน แสดงให้ เห็นว่า มโนทัศน์เกี่ยวกับการรับรู้ด้วยสายตาของผู้ใช้ภาษาเกาหลีและผู้ใช้ภาษาไทยไม่เหมือนกันกล่าวคือ คนเกาหลีมีมโนทัศน์เกี่ยวกับการรับรู้ด้วยสายตาว่า มีการใช้สายตายังเป้าหมายแล้วภาพจะเกิดขึ้นทันที ซึ่งถือได้ว่าเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยรวมทั้งหมด ขณะเดียวกัน คนไทยมองว่า การรับรู้ด้วยสายตาแยกออกได้เป็น 2 ส่วน ได้แก่ การใช้สายตายังเป้าหมาย และอาการเห็นภาพ ผลการวิจัยยังพบว่า อุปลักษณเชิงมโนทัศน์เป็นกลไกที่มีความสำคัญในการขยายความหมาย โดยการโยงความสัมพันธ์ระหว่างความหมายต่าง ๆ ทั้งในภาษาเกาหลีและภาษาไทย
- Publicationความหมายของคำว่า được 'ได้' ในภาษาเวียดนาม : การศึกษาตามแนวภาษาศาสตร์ปริชานโสรัจ เรืองมณี; Soraj Ruangmanee (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2010)การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อจำแนกความหมายของคำว่า được ในภาษาเวียดนาม วิเคราะห์คุณลักษณะทางความหมายและทางโครงสร้าง ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความหมาย ต่างๆ และอธิบายกระบวนการทางปริชานที่ใช้สำหรับขยายความหมายออกไปสู่ความหมายต่างๆ เหล่านั้น การวิจัยครั้งนี้ใช้แนวคิดอรรถศาสตร์ปริชาน ผู้วิจัยใช้แนวความคิดในเรื่องของคำหลาย ความหมายอย่างมีหลักการมาใช้เป็นเกณฑ์ในการจำแนกความหมายต่างๆ ออกจากกัน และใช้ใน แนวคิดในเรื่องของ คำหลายความหมายสี่ประเภทมาใช้ในการวิเคราะห์กระบวนการขยาย ความหมายต่างๆ เหล่านั้น ผลการวิจัยพบว่า คำว่า được ในภาษาเวียดนามนั้น สามารถแบ่งความหมายออกมาได้ เป็น 2 ประเภท ได้แก่ ความหมายประจำคำ และความหมายทางไวยากรณ์ และมีความหมายรวม ทั้งหมด 12 ความหมาย ได้แก่ (1) ได้มาครอบครอง (2) ชนะ (3) มีเพศสัมพันธ์ (4) ดีแล้ว/ใช้การได้ (5) ได้โอกาสในการกระทำบางสิ่งบางอย่าง (6) กรรมวาจก (7) ทัศนภาวะแสดงความสามารถ (8) ทัศนภาวะแสดงความสามารถที่อ้างอิงจากสถานการณ์แวดล้อม (9) ทัศนภาวะอนุญาต (10) ทัศนภาวะแสดงความเป็นไปได้ (11) การณ์ก่อผล และ (12) การณ์สัมฤทธิ์ผล โดยความหมายที่ (1) ถึง (5) เป็นความหมายประจำคำ และความหมายที่ (6) ถึง (12) เป็นความหมายทางไวยากรณ์ ความหมายต่างๆ ของคำว่า được มีความสัมพันธ์กันแบบเครือข่าย ซึ่งสามารถแสดงได้ ด้วยรูปแบบของการแผ่รังสี มีความหมายที่ (1) เป็นความหมายพื้นฐานและเป็นความหมาย ศูนย์กลาง โดยความหมายทุกๆ ความหมายจะขยายออกมาจากความหมายพื้นฐาน และความหมาย ทางไวยากรณ์ที่ (7) ถึง (12) ขยายออกมาจากความหมายที่ (2) กระบวนการทางปริชานที่ใช้ในการ ขยายความหมายออกมาจากความหมายพื้นฐานนั้นมีอยู่ 2 กระบวนการ ได้แก่ กระบวนการนามนัย และกระบวนการกลายเป็นคำไวยากรณ์ โดยกระบวนการนามนัยที่ใช้แบ่งออกได้เป็น 3 แบบ ได้แก่ (1) การนามนัยแบบเน้นผลลัพธ์ (2) การนามนัยโดยใช้บริบท และ (3) การนามนัยแบบเน้น ส่วนประกอบย่อย ส่วนการกลายเป็นคำไวยากรณ์นั้นจะทำให้คำว่า được เปลี่ยนสถานะจาก คำกริยากลายไปประเภททางไวยากรณ์แสดงกรรมวาจก ทัศนภาวะ และ การณ์ลักษณะ
- Publicationอิทธิพลของเพศทางไวยากรณ์ต่อระบบปริชานของผู้พูดสองภาษารัสเซีย-อังกฤษเปรียบเทียบกับผู้พูดภาษารัสเซียและผู้พูดภาษาอังกฤษเพียงภาษาเดียวกุสุมา ทองเนียม; Kusuma Thongniam (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2017)มีงานวิจัยจำนวนมากที่ศึกษาประเภททางไวยากรณ์เพื่อทดสอบสมมติฐานภาษาสัมพัทธ์ซึ่งกล่าวว่าผู้พูดภาษาที่มีประเภททางไวยากรณ์แตกต่างกันย่อมมีความคิดแตกต่างกันด้วย แต่งานด้านนี้ส่วนใหญ่มักทดสอบกับผู้พูดภาษาเดียว โดยมิได้คำนึงถึงผู้พูดสองภาษา เกี่ยวกับสมมติฐานภาษาสัมพัทธ์ ถึงแม้วอร์ฟมิได้กล่าวถึงผู้พูดสองภาษาโดยตรง แต่ก็พูดเป็นนัยไว้ว่าคนที่พูดได้หลายภาษามากเท่าใดก็จะมีความเป็นกลางในความคิดมากเท่านั้น ทำให้ผู้วิจัยสงสัยว่าประเภททางไวยากรณ์ที่อยู่ในตัวผู้พูดสองภาษามีอิทธิพลต่อความคิดของเขาอย่างไร นอกจากนี้ ผลงานในอดีตที่เกี่ยวกับเพศทางไวยากรณ์ในภาษารัสเซียแทบไม่มีเลย งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของการมีและไม่มีเพศทางไวยากรณ์ของคำนามกับพฤติกรรมทางปริชานด้านการจำแนกประเภทของผู้พูดภาษารัสเซีย ผู้พูดภาษาอังกฤษ และผู้พูดสองภาษารัสเซีย-อังกฤษ และเปรียบเทียบพฤติกรรมทางปริชานด้านการจำแนกประเภทของผู้พูดทั้ง 3 กลุ่มเพื่อทดสอบสมมติฐานภาษาสัมพัทธ์ ผู้วิจัยมีสมมติฐานว่า ผู้พูดภาษารัสเซียซึ่งเป็นภาษาที่คำนามมีเพศทางไวยากรณ์มีพฤติกรรมทางปริชานด้านการจำแนกประเภทตามเกณฑ์เพศทางไวยากรณ์มากกว่าผู้พูดภาษาอังกฤษซึ่งเป็นภาษาที่คำนามไม่มีเพศทางไวยากรณ์ และผู้พูดสองภาษารัสเซีย-อังกฤษมีพฤติกรรมทางปริชานด้านการจำแนกประเภทตามเกณฑ์เพศทางไวยากรณ์น้อยกว่าผู้พูดภาษารัสเซียภาษาเดียวแต่มากกว่าผู้พูดภาษาอังกฤษภาษาเดียว ข้อมูลที่ใช้วิเคราะห์มาจากการทดสอบพฤติกรรมทางปริชานด้านการจำแนกประเภทสรรพสิ่ง โดยให้ผู้พูดภาษารัสเซีย 39 คน ผู้พูดภาษาอังกฤษ 30 คน และผู้พูดสองภาษารัสเซีย-อังกฤษ 54 คน ดูภาพสัตว์หรือสิ่งของชุดละ 3 ภาพและตัดสินว่าภาพใดไม่เข้าพวกกับภาพอื่นเพื่อที่จะทดสอบว่าผู้พูดแต่ละกลุ่มใช้เพศทางไวยากรณ์หรือลักษณะของสรรพสิ่งเป็นเกณฑ์ในการจำแนกประเภท ผลการทดลองพบว่าผู้พูดภาษารัสเซียจำแนกประเภทสรรพสิ่งตามเกณฑ์เพศทางไวยากรณ์มากกว่าผู้พูดภาษาอังกฤษ ซึ่งสนับสนุนสมมติฐานภาษาสัมพัทธ์ ส่วนผู้พูดสองภาษารัสเซีย-อังกฤษจำแนกประเภทสรรพสิ่งตามเกณฑ์เพศทางไวยากรณ์น้อยกว่าผู้พูดภาษารัสเซียภาษาเดียว แต่ไม่แตกต่างจากผู้พูดภาษาอังกฤษภาษาเดียวแสดงให้เห็นอิทธิพลของภาวะสองภาษา ซึ่งมีปัจจัยสำคัญคือความเชี่ยวชาญในภาษาที่สองในระดับสูง
- Publicationอุปลักษณ์เชิงมโนทัศน์ของการใช้คำว่า "ใจ" ในภาษาไทยสุกัญญา รุ่งแจ้ง; Sukanya Roongjang (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2005)
- Publicationอุปลักษณ์เชิงมโนทัศน์ในบทเพลงที่ประพันธ์โดย นิติพงษ์ ห่อนาคอันธิกา ดิษฐกิจ; Antika Dittakit (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2012)
- Publicationอุปลักษณ์ในข่าวเศรษฐกิจในหนังสือพิมพ์ไทยดีเลิศ ศิริวารินทร์; Deelert Siriwarin; ดีเลิศ ศิริวารินทร์ (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2007)
- Publicationอุปลักษณ์ประสาทสัมผัสในภาษาไทย : การศึกษาตามแนวภาษาศาสตร์ปริชานนันทนา วงษ์ไทย; Nuntana Wongthai (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2009)
- Publicationอุปลักษณ์สงครามในข่าวกีฬาในหน้งสือพิมพ์ภาษาไทยจิตติมา จารยะพันธุ์; Jittimar Jarayapun (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 1996)
- Publicationอุปลักษณ์แสดงอารมณ์รักในเพลงไทยสากลสำหรับวัยรุ่นไทยสินีนาฎ วัฒนสุข; Sineenat Wattanasuk (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2006)