ปรัชญา : Philosophy
Permanent URI for this community
บทความวิจัย วิทยานิพนธ์สาขาวิชาปรัชญาในหลักสูตรที่สังกัดสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย และงานวิจัยสาขาปรัชญาที่ได้รับทุนสนับสนุนจาก วช. หรือ สกสว.
Browse
Browsing ปรัชญา : Philosophy by browse.metadata.researchtheme2 "ปรัชญาสิ่งแวดล้อม"
Now showing 1 - 13 of 13
Results Per Page
Sort Options
- PublicationEcosophy and environmental education in the philosophy of Arne NaessCharn Mayot (2012)This dissertation is an attempt to respond to the global problem of an environmental crisis that has threatened the well-being and survival of humanity as a whole for decades. The root cause of this crisis is the pursuit of a lifestyle said to be luxurious, civilized, and developed at the expense of the natural world. The pursuit to satisfy unlimited needs and greed in capitalistic societies has propelled the exploitation of the natural environment beyond its carrying capacity. If human continue treating natural world in this manner, they have to suffer its consequences. 'Environmental Ethics', which appeared in the early 1970s, could not solve these complicated problems as they first claimed. Being a branch of applied ethics, environmental ethics uses classical ethical theories such as Aristotelian teleological ethics, utilitarianism of Bentham and Mills, deontology of Immanuel Kant, as well as virtue ethics for solving moral problems. In spite of the differences, these ethical theories share two common features: Firstly, orientedness towards human-to-human relationships, and secondly, an anthropocentric (human-centered) approach. However, anthropocentrism is said to be a motif that drives human needs and greed to exploit the natural environment without respect for the value of and concerns for the carrying capacity of it. Ame Naess's approach in his Ecosophy T is non-anthropocentric. Naess uses Spinoza's ontology to prove the unity and interdependency between man and environment, to approve an intrinsic value of the non-humans, and to establish an equality between humans and non-humans. Moreover, the researcher finds that Naess's Ecosophy T implies environmental education that paves the way for the development of the intuition of an identification with non-humans on a micro, meso and macro level. This proves the possibility of sustainable consciousness for the conservation of the natural environment. Naess further argues that his non-anthropocentric approach supports diversity. His Ecosophy T on Spinoza's philosophy is an example of how one can develop a personal Ecosophy based on one's unique metaphysical or religious backgrounds, either Christian, Buddhist, or in absence of religion. Each person can "reach the system's conclusions using ways of feeling and reason familiar to us, rather than accepting all of Naess' particular steps and differences of his reasoning" (Naess, 1989, p. 4) and without a need to follow Spinoza or him exclusively.
- PublicationEnvironmental values in igbo spiritualityEmmanuel Nweke Okafor (2015)In an age of ethical, economic, environmental and ideological crises, the need to gather together into one place and to explain the riches of environmental ethics has remained uncompromisable. Amidst conflicting views on the importance of environmental ethics, a thoroughly grounded work that sifts useful ideas within Igbo indigenous beliefs and practices which are relevant to sound environmental and social development is of paramount importance. This dissertation focuses on Environmental Values in Igbo Spirituality. The need for such a research arises from what the people actually believe and practice. Hence, in spite of the dialogue with modem trends and other world spiritualities, many elements of lgbo spirituality have been viable means of the survival and sustenance of the ecosystem, peace, and progress for the entire community. Employing therefore the expository and methodological tools of hermeneutics, this research argues for ethical dialogue, while examining how to develop a new philosophy of nature rooted in environmental values that are inherent in Igbo spirituality. Considering the nature and diversified forms of challenges to Igbo spirituality in this age of accelerating scientific advancement with some environmental devaluating attitudes of humans, this dissertation calls on mankind to develop a deeper sense of love and care for mother earth as . a surer route to harmonious co-existence between the living and the dead in Igbo spirituality. This explains the reality of the environment with its resources as the great source of lgbo spirituality and ethics.
- Publicationการเคลื่อน (แต่ไม่ข้าม) ของขอบเขตระหว่างมนุษย์กับสัตว์ ในช่วงการระบาดของโควิด-19พนา กันธา; Pana Kantha (2020)การปรากฏตัวของสัตว์ป่าในช่วงการล็อกดาวน์ เพื่อป้องกันการระบาดของโควิด-19 ถูกนำเสนอในฐานะภาพสะท้อนของการที่สัตว์ได้เคลื่อนข้ามขอบเขตระหว่างมนุษย์กับสัตว์ ขอบเขตระหว่างมนุษย์กับสัตว์ดังกล่าววางอยู่บนภววิทยาแบบธรรมชาตินิยมที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลางของวิธีคิดแบบโลกตะวันตก อย่างไรก็ดี บทความนี้พบว่า การนำเสนอข่าวการปรากฏตัวของสัตว์ป่าในฐานะความตื่นตาตื่นใจ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงการล็อกดาวน์ยังวางอยู่บนวิธีคิดแบบยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลางเช่นเดิม โดยเฉพาะการอธิบายผ่านวิธีคิดว่าด้วยการอนุรักษ์ธรรมชาติและสัตว์ป่าแบบวิทยาศาสตร์ที่แข็งทื่อตายตัว ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าการนำเสนอสัตว์จะมีความพยายามชี้ให้เห็นว่าเป็นการเคลื่อนและข้ามของขอบเขตระหว่างมนุษย์กับสัตว์ แต่บทความนี้กลับพบว่าสัตว์ไม่ได้เคลื่อนและข้ามขอบเขตที่มีอยู่เดิม นั่นคือขอบเขตระหว่างมนุษย์กับสัตว์ที่วางอยู่บนการแยกระหว่างวัฒนธรรมกับธรรมชาติ มุมมองต่อสัตว์ภายใต้ภววิทยาแบบธรรมชาตินิยมที่ปรากฏในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นเพียงการเคลื่อนของเส้นแบ่งระหว่างวัฒนธรรมกับธรรมชาติ แต่ไม่ได้นำไปสู่การข้ามของขอบเขต การเคลื่อนแต่ไม่ข้ามดังกล่าวนำไปสู่การตอกย้ำความเข้มข้นของเส้นแบ่งระหว่างมนุษย์กับสัตว์และยังเสริมความคิดที่ว่ามนุษย์มีสถานะเหนือสัตว์ พร้อม ๆ กับที่นำไปสู่การจัดลำดับชั้นให้แก่สัตว์และโลกธรรมชาติด้วย ทั้งนี้ ยิ่งสัตว์ปรากฏตัวในฐานะสิ่งที่เข้าใกล้สภาวะธรรมชาติมากขึ้นเท่าไร ความตื่นตาตื่นใจต่อการปรากฏตัวของสัตว์ที่กระทบต่ออารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น สภาวะธรรมชาติของสัตว์ดังกล่าวนี้เป็นเพียงธรรมชาติที่ถูกสร้างขึ้นในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมของมนุษย์เท่านั้น
- Publicationการเรียนรู้จิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมตามแนวพุทธปรัชญาบุญเชิด หนูอิ่ม (2015)การเรียนรู้จิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมตามแนวพุทธปรัชญา มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์รูปแบบ แนวทาง เนื้อหา แนวคิดและปรัชญาพื้นฐานในการสร้างกระบวนการเรียนรู้จิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมตามแนวพุทธปรัชญา และเพื่อพัฒนาชุดการเรียนรู้การฝึกอบรมจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมตามแนวพุทธปรัชญา โดยใช้กระบวนการจิตตปัญญาศึกษา เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการวิจัยจากเอกสารการสัมภาษณ์เชิงลึกและการสนทนากลุ่ม ผลการศึกษา พบว่าแนวคิดพื้นฐานเรื่องการสร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม คือ เชื่อมั่นในศักยภาพของความเป็นมนุษย์มีหลักธรรมพื้นฐาน เรื่องศีล เพื่อก่อให้เกิดความเมตตาและความรัก การพิจารณาด้วยใจอย่างใคร่ครวญ การมองสรรพสิ่งด้วยใจที่เปิดกว้าง และเห็นคุณค่าของสรรพสิ่ง สำหรับการพัฒนาชุดการเรียนรู้การฝึกอบรมจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมตามแนวพุทธปรัชญา โดยใช้กระบวนการจิตตปัญญาศึกษา ได้กำหนดกระบวนการเรียนรู้ไว้ 3 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 คือ การตรวจสอบให้ได้ว่าสิ่งใดที่เป็นการเบียดเบียนไม่ว่าต่อตนเอง ต่อผู้อื่น หรือต่อสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัว ให้ละลงเสีย โดยกำหนดชุดการเรียนรู้ค้นหาโลกภายใน ขั้นที่ 2 คือ การสร้างระบบการศึกษาที่ทำให้คนมีความสุขจากการที่ได้ให้ ได้รัก ได้เมตตา โดยกำหนดชุดการเรียนรู้ก่อเกิดโลกใบใหม่ขั้นที่ 3 คือ การเฝ้ามองตามความเป็นจริง นั่นคือ การสร้างปัญญาให้เกิดขึ้น โดยกำหนดชุดการเรียนรู้หนึ่งเดียวกับจักรวาล
- Publicationการศึกษาเชิงเปรียบเทียบการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมตามแนวคิดของพุทธทาสภิกขุกับฟริตจ๊อฟ คาปร้าเอก โกไศยกานนท์; Ake Kosaikanond (2014)วัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อศึกษาแนวคิดการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของพุทธทาสภิกขุและศึกษา แนวคิดการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของฟริตจ๊อฟ คาปร้า ตลอดถึงประยุกต์ค าสอนของพุทธทาสภิกขุกับ ฟริตจ๊ออฟ คาปร้า เพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ผลการศึกษาพบว่า สาเหตุของปัญหาสิ่งแวดล้อมของทั ้งสองท่านสอดคล้องกัน เพียงแต่มุมมอง ของพุทธทาสภิกขุนั ้นลึกซึ ้งกว่า ตามแนวคิดของพุทธทาสภิกขุ ปัญหาสิ่งแวดล้อมเริ่มต้นจากจิต ของมนุษย์ที่วิปริต ลุ่มหลงในวัตถุจนเกินพอดีและไม่สนใจในเรื่องของจิต จนเกิดเป็นวิกฤตการณ์ สิ่งแวดล้อมไปทั่วโลก แนวทางแก้ไข คือ การบังคับจิตให้อยู่ในอ านาจ ทางพุทธศาสนาเรียกว่า การปฏิบัติอานาปานสติ เป็นการบังคับจิตไม่ให้ตกเป็นทาสของวัตถุ มีการศึกษาที่ถูกต้องเพื่อจะได้ รู้จักใช้ความฉลาดในการควบคุมความเห็นแก่ตัว ใช้หลักสหกรณ์กับการอยู่ร่วมกันในชุมชน เพื่อการ ช่วยเหลือเกื ้อกูลกัน แต่แนวคิดการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของฟริตจ๊อฟ คาปร้า เห็นว่าสาเหตุของปัญหา สิ่งแวดล้อมเกิดจากความลุ่มหลงในการบริโภควัตถุของกลุ่มบริโภคนิยม ที่บริโภคกันอย่างฟุ่มเฟือย และเกินจาเป็น แนวทางแก้ไข คือ ปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจให้สัมพันธ์กับสังคมและสิ่งแวดล้อม ปรับแนวคิดและการกระทาที่ถูกต้องต่อธรรมชาติ อยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน และไม่มอง ธรรมชาติว่าเป็นทรัพย์เป็นแหล่งส าหรับหาผลประโยชน์ หลักปฏิบัติเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของทั ้งสองท่านมีความแตกต่างกันในวิธีการ พุทธทาสภิกขุ จะใช้การบังคับจิตให้มีอานาจเหนือวัตถุ ซึ่งมีความลึกซึ ้งในแง่จิตวิญญาณ แต่ของคาปร้าจะใช้วิธีการ ที่เรียกว่าเศรษฐกิจแบบทวนกระแสเพื่อลดขนาดของเศรษฐกิจและสังคม แต่ทั ้งสองท่านต่างเน้นให้ การอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างเรียบง่ายและมีความเป็นมิตรต่อกัน การประยุกต์แนวคิดของทั ้งสองท่าน คือ การให้รู้จักใช้สติควบคู่กับสัมปชัญญะเพื่อควบคุมการบริโภควัตถุให้เหมาะสมกับสังคมและ สิ่งแวดล้อม จะทาให้การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมมีประสิทธิภาพมากขึ ้น
- Publicationการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำของชุมชนแม่เอาะใต้ด้วยแนวคิดนิเวศวิทยาเชิงลึกของอาร์เน เนสส์นิรมล นิรมลมณฑล; Niramon Niramonmonton (2018)การศึกษาวิจัยนี้มุ่งศึกษานิเวศวิทยาเชิงลึกตามทัศนะของอาร์เน เนสส์ แนวคิดการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำของชุมชนแม่เอาะใต้ และวิเคราะห์การอนุรักษ์ป่าต้นน้ำของหมู่บ้านแม่เอาะใต้ด้วยแนวคิดนิเวศวิทยาเชิงลึกของอาร์เน เนสส์ จากการศึกษาวิเคราะห์พบว่า นิเวศวิทยาทั่วไปศึกษาความจริงทางธรรมชาติในด้านข้อเท็จจริงที่เป็นรูปธรรมแต่มิได้ศึกษาในเชิงคุณค่า ทำให้ธรรมชาติถูกลดทอนด้วยการประเมินค่าจากมนุษย์ ในขณะที่นิเวศวิทยาเชิงลึกปฏิเสธแนวคิดที่แยกมนุษย์ออกจากสิ่งแวดล้อม สรรพสิ่งบนโลกมีความกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกัน นอกจากนี้ นิเวศเชิงลึกยังได้เสนอหลักแห่งความเสมอภาค โดยมองว่า ชีวิตทุกรูปแบบมีความเท่าเทียมกันและมีสิทธิที่จะบรรลุเป้าหมายของตัวเอง แนวคิดนิเวศวิทยาเชิงลึก สอดคล้องกับแนวคิดของอาร์เน เนสส์ ที่มองว่า มนุษย์เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ และไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ธรรมชาติต้องได้รับการเคารพและยอมรับจากมนุษย์ในฐานะที่เท่าเทียมกัน เพราะสรรพสิ่งมีคุณค่าในตัวเอง ดังนั้น มนุษย์ควรปรับแนวคิดและการกระทำที่ถูกต้องต่อธรรมชาติ งดเว้นการทำลายสิ่งมีชีวิตอื่นๆ และตักตวงผลจากธรรมชาติ เพื่อวิถีชีวิตที่สอดคล้องและเกื้อกูลกัน สำหรับแนวคิดการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำของชุมชนแม่เอาะใต้ต่างจากนิเวศวิทยาเชิงลึกของอาร์เน เนสส์ ในส่วนของระบบการคิด คือ ชุมชนแม่เอาะใต้มองว่า มนุษย์อยู่เหนือธรรมชาติ และเป็นผู้ควบคุมสรรพสิ่ง ซึ่งเป็นแนวคิดที่ได้รับมาจากหลักคำสอนของศาสนาคริสต์ ในขณะที่อาร์เน เนสส์ให้ความสำคัญกับทุกชีวิตอย่างเท่าเทียม และมนุษย์ไม่ได้อยู่เหนือธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม การดำเนินชีวิตของชุมชนแม่เอาะใต้ มีความสอดคล้องกับวิถีชีวิตตามแนวคิดนิเวศวิทยาเชิงลึกตามที่อาร์เน เนสส์ได้เสนอเอาไว้ คือ มีความเรียบง่าย และอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน
- Publicationความสัมพันธ์ทางศีลธรรมระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมตามแนวทางปรัชญาปฏิบัตินิยมของวิลเลียม เจมส์วีรพงษ์ ศรีสองคอน (2021)งานวิจัยเรื่องความสัมพันธ์ทางศีลธรรมระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมตามแนวทางปรัชญาปฏิบัตินิยมของวิลเลียม เจมส์ มีวัตถุประสงค์ 2 ประการคือ 1) เพื่อศึกษาแนวคิดทางอภิปรัชญาและจริยศาสตร์ในปรัชญาปฏิบัตินิยมในทรรศนะของวิลเลียม เจมส์ และ 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ทางศีลธรรมระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมในปรัชญาปฏิบัตินิยมของวิลเลียม เจมส์ งานวิจัยชิ้นนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพที่เน้นการวิเคราะห์เอกสาร (Documentary Research) โดยการรวบรวมข้อมูลจากหนังสือและงานเขียนของเจมส์ รวมทั้งเอกสารชั้นรองอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมุ่งวิเคราะห์ความสัมพันธ์ทางศีลธรรมระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม ผ่านกรอบแนวคิดจริยศาสตร์สิ่งแวดล้อม แล้วสรุปผลการวิจัยในเชิงพรรณนา จากการศึกษาพบว่าเจมส์มองสรรพสิ่งที่ดำรงอยู่ในจักรวาลนี้ประกอบขึ้นจากส่วนย่อยที่หลากหลาย ทั้งหมดดำรงอยู่ด้วยความเป็นอิสระไม่ขึ้นแก่กันและกัน มีสถานะที่เท่าเทียม ปราศจากการครอบงำหรือมีอำนาจเหนือส่วนอื่นๆ แต่ส่วนย่อยที่หลากหลายเหล่านั้นก็มิได้ดำรงอยู่โดยแยกขาดจากกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งหมดต่างมีปฏิสัมพันธ์กันโดยอยู่ภายใต้กฎธรรมชาติ เช่น กฎแรงโน้มถ่วงหรืออยู่ภายใต้เวลาและอวกาศ ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ในรูปแบบ "และ" หรือ "กับ" เท่านั้น ดังนั้นธรรมชาติของสรรพสิ่งจึงมีลักษณะเป็น "สหภาพ" (Union) ของเครือข่ายความสัมพันธ์ขนาดใหญ่ที่เกิดจากการทำงานร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพของส่วนย่อย เป็นผลให้ธรรมชาติมีลักษณะทั้งหลากหลายและเป็นหนึ่งในเวลาเดียวกัน ลักษณะอีกประการหนึ่งของสรรพสิ่งคือมีความเปลี่ยนแปลงและวิวัฒน์ไปสู่สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา สิ่งต่างๆ ทั้งมีชีวิตและไม่มีชีวิตที่ดำรงอยู่ในโลกธรรมชาติจึงมีความเกี่ยวโยงพึ่งพาซึ่งกันและกัน ภายใต้รูปแบบของความสัมพันธ์ทางศีลธรรมแบบองค์รวม (Holism) ในทางจริยศาสตร์เจมส์เชื่อว่าสำนึกทางศีลธรรมเป็นสิ่งที่ไม่อาจแยกขาดจากการมีอยู่ของมนุษย์ได้ มนุษย์เป็นบ่อเกิดของความคิดทางศีลธรรมทั้งปวง หากโลกนี้ปราศจากมนุษย์แล้วสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรมก็เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ดังนั้นเจมส์จึงปฎิเสธกฎศีลธรรมสัมบูรณ์ (Absolute morality) และแนวคิดที่มองว่าศีลธรรมเป็นสิ่งที่มีอยู่ก่อนประสบการณ์ (A Priori) จอมมองว่าสำนึกทางศีลธรรมเป็นสิ่งที่เกิดจากกระบวนการหล่อหลอมประกอบสร้างทางสังคมหรือเป็นสิ่งที่มาหลังประสบการณ์ (A Posteriori) เกณฑ์ในการตัดสินปัญหาทางจริยธรรมมีความหลากหลายขึ้นอยู่กับค่านิยมความเชื่อของคนในสังคมนั้น เกณฑ์ทางศีลธรรมจึงถูกวัดด้วยผลของการปฏิบัติ หากเกณฑ์ทางศีลธรรมรูปแบบใดสามารถแก้ไขปัญหาความขัดแข้งที่เกิดขึ้น ได้ย่อมถือว่าเป็นเกณฑ์ที่เหมาะสม แม้มนุษย์สามารถกำหนดคุณค่าทางศีลธรรมด้วยตนเอง แต่ไม่ได้เป็นการบอกว่ามนุษย์มีสถานะเป็นศูนย์กลางของโลกธรรมชาติแต่ประการใด มนุษย์ สัตว์ ตลอดจนสรรพสิ่งล้วนเป็นเพียงส่วนย่อยของระบบธรรมชาติขนาดใหญ่ ที่ต่างมีสถานะเท่าเทียมกัน ความสามารถในการใช้เหตุผลการประดิษฐ์ภาษา และวัฒนธรรมของมนุษย์เป็นเพียงผลจากความสามารถของวิวัฒนาการไม่ใช่การยืนยันว่ามนุษย์มีสถานะที่เหนือกว่าสปีชีส์อื่นๆ ในธรรมชาติแต่อย่างใด เจมส์ให้ความสำคัญกับวัตถุที่ดำรงอยู่ในโลกแห่งประสบการณ์นี้ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นอัตลักษณ์บุคคล (Personal identity) ของมนุษย์ ซึ่งเป็นการ สะท้อนว่ามนุษย์และสรรพสิ่งต่างมีความเชื่อมโยงเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันอย่างแยกไม่ออก
- Publicationจริยศาสตร์สิ่งแวดล้อมในชินโตสถาพร ไปเหนือ; สกุล อ้นมา; Sathaphorn Painuea; Sakun Onma (2018)การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์แนวคิดจริยศาสตร์สิ่งแวดล้อมในชินโต และ 2) พิจารณาข้อโต้แย้งเรื่องคุณค่าทางจริยธรรมของโลกธรรมชาติโดยใช้ทฤษฎีจริยศาสตร์สิ่งแวดล้อม ผลการศึกษาพบว่า ชินโตมีท่าทีใกล้เคียงกับแนวคิดมนุษย์ คือ ผู้อภิบาลและแนวคิดแบบองค์รวม มาจากความเชื่อว่าในธรรมชาติมีคะมิสถิตอยู่ ธรรมชาติจึงศักดิ์สิทธิ์และมีคุณค่า มนุษย์ควรให้ความเคารพและอนุรักษ์ธรรมชาติ ขณะเดียวกัน ความมีอยู่ของคะมิในธรรมชาติก็ช่วยปกป้องธรรมชาติเช่นกัน และความเชื่อว่าทุกสิ่งเกิดจากคะมิ ดังนั้น ทุกสิ่งจึงมีความสัมพันธ์กัน ส่วนวิหารชินโตและงานเทศกาล สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ คะมิและสภาพแวดล้อม เนื่องจากวิหารคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่ตั้งของวิหารจึงสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมซึ่งต้องได้รับการดูแลให้ดี งานเทศกาลเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงชุมชนกับคะมิและแสดงให้เห็นความร่วมมือกันของคนในชุมชน ข้อโต้แย้งเรื่องคุณค่าทางจริยธรรมของโลกธรรมชาติ พบว่า แนวคิดที่ยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลาง มองมนุษย์เท่านั้นมีคุณค่าในตัวเอง ขณะที่แนวคิดมนุษย์คือผู้อภิบาล มองโลกธรรมชาติมีคุณค่าเพราะเป็นสิ่งสร้างของพระเจ้าเช่นเดียวกับมนุษย์ มนุษย์จึงต้องดูแลโลกธรรมชาติตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากพระเจ้า ส่วนแนวคิดแบบองค์รวม มองทุกสิ่งมีคุณค่าในตัวเองและมีความสัมพันธ์กันทั้งสิ้น มนุษย์จึงต้องตระหนักถึงคุณค่าของทุกสิ่ง
- Publicationทฤษฎีความเป็นพลเมืองสัตว์กับหลักการการพิจารณาอย่างเท่าเทียมจิรพงศ์ ทรัพย์ขุมทอง; Jirapong Supkhumthong (2019)บทความนี้ต้องการเสนอว่าทฤษฎีสิทธิสัตว์บนฐานความเป็นพลเมืองของโดนัลสันกับคิมลิคก้ามีการแสดงออกถึงการประยุกต์ใช้หลักการการพิจารณาอย่างเท่าเทียมตามความคิดของฟรานซิโอนได้ดีกว่าที่ฟรานซิโอนท าในทฤษฎีการเลิกทาสสัตว์ของเขา โดยล าดับเนื้อหามีดังนี้ 1) หลักการการพิจารณาอย่างเท่าเทียมตามความคิดของฟรานซิโอน 2) การประยุกต์ใช้หลักการดังกล่าวโดยฟรานซิโอนในทฤษฎีการเลิกทาสสัตว์ของเขา 3)ภาพรวมของทฤษฎีสิทธิสัตว์บนฐานความเป็นพลเมืองของโดนัลสันกับคิมลิคก้า ซึ่งไม่มีการพูดถึงหลักการดังกล่าวในทฤษฎี4)การประเมินโดยข้าพเจ้าว่าทฤษฎีสิทธิสัตว์บนฐานความเป็นพลเมืองก็มีการแสดงออกถึงการประยุกต์ใช้หลักการดังกล่าวและทำได้ดีกว่าที่ทฤษฎีการเลิกทาสสัตว์ของฟรานซิโอนทำ
- Publicationพหุภววิทยาในโลกคู่ขนานระหว่างสัตว์กับมนุษย์พนา กันธา; Pana Kantha (2017)วิธิคิดแบบสมัยใหม่ซึ่งวางอยู่บนภววิทยาแบบธรรมชาตินิยม (naturalism) เชื่อว่ามนุษย์แยกออกจากสัตว์ โดยวิธีคิดดังกล่าวจัดวางความสัมพันธ์ให้กับมนุษย์และสัตว์ในลำดับชั้นอย่างตายตัว ซึ่งมีมนุษย์อยู่ในจุดที่สูงส่งกว่าสัตว์ การเกิดขึ้นของภววิทยาแบบธรรมชาตินิยมทำให้มนุษย์สถาปนาอำนาจในฐานะองค์ประธาน (Subject) และสัตว์ถูกผลักให้กลายเป็นเพียงวัตถุหรือกรรม (object) ในงานเขียนที่ชื่อ “Why Look at Animals?” ของ John Berger เริ่มท้าทายภววิทยาแบบธรรมชาตินิยมโดยเสนอว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสัตว์ในลักษณะสภาวะคู่ขนาน (parallelism) แต่ถูกเบียดขับออกไปโดยความคิดแบบธรรมชาตินิยม สภาวะคู่ขนานก็คือ สภาวะที่ทั้งสัตว์และมนุษย์เป็นทั้งสิ่งที่แปลกหน้าซึ่งกันและกัน แต่ในขณะเดียวกันก็ดำรงอยู่ร่วมกันและพึ่งพาอาศัยกัน ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสัตว์ในสภาวะคู่ขนานไม่ได้ให้อำนาจกับฝ่ายใดอย่างสมบูรณ์ เพื่อที่จะขยายความเกี่ยวกับสภาวะคู่ขนานดังกล่าวให้ชัดเจนยิ่งขึ้น บทความชิ้นนี้จะนำข้อเสนอว่าด้วยพหุภววิทยาที่ให้ความสำคัญกับความเป็นองค์ประธานหรือผู้กระทำการของสิ่งอื่นๆที่ไม่ใช่มนุษย์ โดยเฉพาะสัตว์ เมื่อสัตว์มีสถานะเป็นผู้กระทำการที่คิดได้และมีเจตจำนง สัตว์กับมนุษย์จึงสามารถอยู่ในโลกของวัฒนธรรมเดียวกันได้ โดยไม่จำเป็นต้องลดทอนให้สัตว์คือสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติเท่านั้นในแบบที่ธรรมชาตินิยมเชื่อ จากปรากฏการณ์ในโลกสมัยใหม่ มนุษย์ก็ยังไม่สามารถสถาปนาอำนาจเหนือสัตว์ได้อย่างสมบูรณ์ สภาวะคู่ขนานระหว่างมนุษย์กับสัตว์จึงไม่ได้หายไปแต่กลับปรากฏและแสดงตัวเองอยู่ตลอดในรูปแบบต่างๆ มโนทัศน์ว่าด้วยพหุภววิทยาซึ่งเสนอโดย Phillipe Descola ก็คือทางออกจากปัญหาดังกล่าว
- Publicationรูพรุนของเส้นขอบ: เงื่อนไขทางจริยศาสตร์ของการดำรงอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์กับสัตว์ท่ามกลางวิกฤตสิ่งแวดล้อมพนา กันธา; Pana Kantha (2022)บทความนี้มีเป้าหมายเพื่อเสนอเงื่อนไขทางจริยศาสตร์ของการดำรงอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์กับสัตว์ท่ามกลางวิกฤตสิ่งแวดล้อมในโลกทุนนิยม บทความนี้มุ่งความสนใจไปที่สถานะของสัตว์ในฐานะทรัพย์สินของมนุษย์ ซึ่งมนุษย์อ้างสถานะดังกล่าวในการสร้างความชอบธรรมให้กับการกดขี่ขูดรีดสัตว์ ท้ายที่สุด ผลของการขูดรีดสัตว์ขนานใหญ่นำมาสู่ความผันผวนของโลกในยุคปัจจุบัน บนฐานของวิธีคิดแบบเสรีนิยม นักสิ่งแวดล้อมพยายามแก้ไขวิกฤตดังกล่าวด้วยการขยับสถานะของสัตว์และธรรมชาติจากทรัพย์สินไปสู่การเป็นบุคคลด้วยมโนทัศน์ว่าด้วยสิทธิ อย่างไรก็ตาม บทความนี้ตั้งสมมติฐานว่า มโนทัศน์ว่าด้วยสิทธิสัตว์ไม่สามารถนำไปสู่การสร้างเงื่อนไขทางจริยศาสตร์ของการดำรงอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์กับสัตว์ที่แตกต่างไปจากเดิมได้ กล่าวคือความคิดเกี่ยวกับสิทธิสัตว์ไม่สามารถนำไปสู่การทำลายทวิภาวะระหว่างวัฒนธรรมกับธรรมชาติ รวมถึงมนุษย์กับสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ ดังนี้แล้ว สิทธิสัตว์จึงเป็นเพียงการตอกย้ำเส้นแบ่งระหว่างมนุษย์ในฐานะบุคคลกับสัตว์ในฐานะทรัพย์สินเท่านั้น ซึ่งเส้นพรมแดนนี้ เอื้อให้การกดขี่ขูดรีดสัตว์สามารถดำเนินต่อไป ข้อเสนอของบทความคือเงื่อนไขทางจริยศาสตร์ที่สัตว์สามารถเปลี่ยนสถานะจากทรัพย์สินไปเป็นบุคคลได้คือภววิทยาที่เส้นขอบของภาวะการเป็นมี “รูพรุน” ไม่ใช่เส้นขอบที่แข็งทื่อตายตัว รูพรุนดังกล่าวเอื้อให้ภาวะการเป็นสามารถเคลื่อนข้ามขอบเขตและก่อรูปความสัมพันธ์ร่วมกันในรูปแบบที่ไม่ได้แยกโลกธรรมชาติออกจากวัฒนธรรม การให้ความสำคัญกับรูพรุนของเส้นขอบจะสามารถเปิดไปสู่การคิดถึงรูปแบบการดำรงอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์กับสัตว์ในแบบอื่น ๆ ที่ทั้งสัตว์และมนุษย์สัมพันธ์ในโลกเดียวกัน นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ที่ทั้งมนุษย์และสัตว์เป็นบุคคลจะสามารถนำไปสู่การคิดเกี่ยวกับการเผชิญหน้ากับวิกฤตสิ่งแวดล้อมร่วมกันในวิถีทางที่ต่างออกไปได้
- Publicationศึกษาวิเคราะห์แนวคิดทางด้านสิ่งแวดล้อมของพระครูบาศรีวิชัย สิริวิชโยพระอนุชิต อธิปญฺโญ (กาญจนาปกรณ์); Phra Anuchit Adhipanno (Kanjanapakorn) (2017)วิทยานิพนธ์นี้ เรื่อง “ศึกษาวิเคราะห์แนวคิดทางด้านสิ่งแวดล้อมของพระครูบาศรีวิชัย สิริวิชโย” ประกอบด้วย ๓ วัตถุประสงค์ คือ (๑) เพื่อศึกษาแนวคิดทางด้านสิ่งแวดล้อมเชิงปรัชญา (๒) เพื่อศึกษาแนวคิดทางด้านสิ่งแวดล้อมของพระครูบาศรีวิชัย สิริวิชโย และ (๓) เพื่อศึกษาวิเคราะห์แนวคิดทางด้านสิ่งแวดล้อมของพระครูบาศรีวิชัย สิริวิชโย งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research) เป็นหลักโดยทำการสรุปวิเคราะห์ผลการวิจัย ผลการวิจัยพบว่า จริยธรรมสิ่งแวดล้อมจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อเรามีความสัมพันธ์กับธรรมชาติ โดยการเห็น การรู้สึกสัมผัส การเข้าใจความรักและความห่วงใย ที่สำคัญคือ เกิดความศรัทธาโลกทรรศน์ใหม่ ซึ่งเป็นวิถีการคิดและความรู้สึกแบบใหม่ อันเกิดจากการเข้าถึงธรรมชาติ ซึ่งหมายความว่า วิถีชีวิตแบบใหม่จะต้องมีลักษณะเรียบง่าย ปฏิเสธบริโภคนิยม ไม่ลุ่มหลงในวัตถุ และใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งมีค่าในตัวมันเอง มนุษย์ไม่ได้เป็นศูนย์กลางหรือเจ้านายของโลก และธรรมชาติเป็นทาส แต่มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ มองธรรมชาติ พืช สัตว์ มนุษย์ ต่างอิงอาศัยกันและกัน หรือ มองแบบองค์รวม ทุกสิ่งในระบบนี้ ต่างอาศัย เกื้อกูลซึ่งกันและกัน มนุษย์ไม่สามารถแยกตัวจากระบบนิเวศได้เลย ทั้งศาสนาและพุทธปรัชญาเน้นเรื่องความรักและความเมตตาต่อสรรพสัตว์ ไม่เพียงแต่จะห้ามฆ่าสิ่งมีชีวิตเท่านั้น แต่ยังสนับสนุนการอนุรักษ์ชีวิตไม่ว่าจะด้วยวิถีทางใดก็ตาม มนุษย์มีความกลมกลืนกับธรรมชาติ ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติเพื่อสนองตอบต่อปัจจัยขั้นพื้นฐาน ไม่ทำอันตรายต่อโลกทางธรรมชาติที่มนุษย์อาศัยอยู่ มีท่าที่แบบอ่อนโยน ไม่ก้าวเร้า ไม่ตักตวงต่อธรรมชาติ ถ้าเราปฏิบัติตามดำสอนแห่งพุทธปรัชญาที่ยึดหลักนิเวศเป็นศูนย์กลาง มนุษย์สามารถลดวิกฤตการสิ่งแวดล้อมได้ พระครูบาศรีวิชัย คือ พระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดรูปหนึ่งของล้านนา มีบทบาทและความสำคัญในฐานะผู้นำชุมชนและศูนย์รวมของความเชื่อความศรัทธา ที่มาจากวัตรปฏิบัติและแนวทางการบำเพ็ญเพียรที่เคร่งครัด น่าเลื่อมใส การสร้างวัดเป็นการสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืน เพราะวิถีชีวิตของชาวล้านนามีพระพุทธศาสนาเป็นแกนกลาง การสร้างวัดจึงเป็นการสร้างแหล่งบุญ แหล่งกุศล แหล่งความสุขนั่นเอง พระพุทธศาสนาสอนเรื่อง ทาน, ศีล, ภาวนา หรือ ศีล, สมาธิ, ปัญญา เพื่อให้ชาวพุทธทั่วไปได้ใช้เป็นหลักพัฒนาตนเองจนบรรลุคุณธรรมอันเป็นจุดหมาย ๔ ขั้น คือ ขั้นโสดาบัน, สกทาคามี, อนาคามีและอรหันต์ การสร้างถนนขึ้นดอยสุเทพพร้อมสร้างวัดตามจุดต่างๆเพื่อจะให้มีพระภิกษุอยู่จำพรรษาประจำและจะดูแลพื้นที่สิ่งแวดล้อมด้วย เพราะฉะนั้นจึงเห็นได้ว่าแนวคิดและคำสอนที่ออกมาจากการกระทำของท่านให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกเป็นอย่างมาก ทั้งที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม
- Publicationสัตว์กับสิทธิ: ทฤษฎีการเมืองว่าด้วยการปลดปล่อยสัตว์ปวงชน อุนจะนำ; Puangchon Unchanam (2020)ประวัติศาสตร์ของปรัชญาและทฤษฎีการเมืองคือประวัติศาสตร์ที่แฝงไปด้วยอคติ มันคืออคติของการเชิดชูความสามารถของมนุษย์จนเกินจริง ยกให้การเมืองเป็นเรื่องของมนุษย์เท่านั้น ไม่ให้ความสำคัญกับสัตว์ในฐานะประเด็นทางการเมือง และละเลยการกดขี่ขูดรีดที่มนุษย์กระทำต่อสัตว์ อย่างไรก็ดี ในโลกยุคปัจจุบัน การทารุณกรรมที่มนุษย์กระทำต่อสัตว์ สิทธิสัตว์ และการปลดปล่อยสัตว์ ได้กลายเป็นประเด็นที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นทั้งในขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมและในแวดวงวิชาการ บทความวิจัยชิ้นนี้ใช้วิธีการศึกษาค้นคว้าผ่านการอ่าน ตีความ วิเคราะห์ และวิพากษ์ทฤษฎีการเมืองร่วมสมัยว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสัตว์ สิทธิสัตว์ และการปลดปล่อยสัตว์ ทฤษฎีที่ว่านี้สามารถจัดแบ่งออกได้เป็นสามสำนักใหญ่ นั่นก็คือ เสรีนิยม สังคมนิยม และสตรีนิยม บทความชิ้นนี้ชี้ให้เห็นถึงจุดร่วมและจุดต่าง จุดแข็งและจุดอ่อน รวมไปถึงพัฒนาการและอุปสรรคของทฤษฎีจากทั้งสามสำนัก แม้จะมีความเห็นแตกต่างกันและยังไม่สามาถหาข้อสรุปร่วมกันได้ ทฤษฎีการเมืองทั้งสามสำนักต่างก็มีคุณูปการสำคัญ ไม่เพียงแต่ในแง่ของการเป็นทางเลือกให้กับทฤษฎีการเมืองกระแสหลัก หากแต่มันยังให้แรงบันดาลใจและส่งอิทธิพลต่อขบวนการเคลื่อนไหวมวลชนในปัจจุบันที่ต้องการปลดปล่อยสัตว์ให้มีเสรีภาพจากการกักขังและกดขี่ขูดรีดของมนุษย์