Search Results

Now showing 1 - 6 of 6
No Thumbnail Available
Publication

วงไพบูลย์แห่งลูกเสือและกาชาดไทยการก่อตัวของพลังการเมืองคุณธรรมในทศวรรษ 2500

ภิญญ์พันธุ์ พจนะลาวัณย์, Pinyapan Potjanalawan, ธเนศ วงศ์ยานนาวา, Thanes Wongyannava (2016)

เครือข่ายองค์กรลูกเสือและกาชาดไทยเป็นพื้นที่สำคัญหนึ่งที่มีพัฒนาการและการปรับตัวอย่างมีพลวัตอันแนบแน่นกับสังคมการเมืองไทย จากพื้นที่นอกโรงเรียนสู่การกลายเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรโดยมีรากฐานสำคัญอยู่ที่การผลิตซ้ำอุดมการณ์รอนุรักษ์นิยมที่เติบโตอย่างฟื้นฟูในทศวรรษ 2500 เป็นต้นมา กิจการดังกล่าวเกิดขึ้นพร้อมไปกับการก่อตัวของพลังทางการเมืองของการอ้างศีลธรรมและความดีเชิงพุทธะศาสนาและยังสร้างสะพานเชื่อมต่อเนื่องไปยังกิจการลูกเสือที่เคยรุ่งเรืองในสมัสมบูรณาญาสิทธิราชย์สมัยรัชกาลที่ 6 อีกด้วย คู่ไปกับกิจการลูกเสือเครือข่ายกาชาดเองก็มีลักษณะเดียวกันที่เป็นองค์กรที่หยิบยืมรูปแบบมาจากองค์กรสากลและปรับปรุงให้มีลักษณะเฉพาะของตนเองเ ครือข่ายดังกล่าวยังขยายผ่านโครงสร้างอำนาจการปกครองระดับภูมิภาคที่มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการควบคุมพื้นที่อย่างผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอจนเกิดการสร้างพื้นที่ทางกายภาพและกิจกรรมสาธารณะต่างๆ ขึ้นมาในนามการบำเพ็ญประโยชน์ในอีกด้านหนึ่งพื้นที่ดังกล่าวยังเป็นการควบคุมเพื่อแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนที่น่าเป็นห่วงในทศวรรษ 2500 อีกด้วย ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นจากเครือข่ายนี้จึงเป็นการสั่งสมพลังทางการเมืองในยามที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมทวีบทบาทมากขึ้นตั้งแต่ทศวรรษ 2490 จนประสบความสำเร็จอย่างงดงามในทศวรรษ 2500 ในที่สุดก็สามารถสถาปนาอำนาจที่สัมพันธ์อยู่กับสถานการศึกษาและในชีวิตประจำวันได้สำเร็จ

No Thumbnail Available
Publication

จากไทยแลนด์คัพ สู่ โปรวินเชียลลีก พลวัตของ “จังหวัดนิยม” และพลังของระบบอุปถัมภ์ในกีฬาฟุตบอลไทย

ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์, Pinyapan Potjanalawan, รุ่งนภา เทพภาพ, Rungnapa Thepparp (2018)

บทความนี้ต้องการจะศึกษาประวัติศาสตร์ฟุตบอลในสังคมไทย โดยให้ความสำคัญกับความเปลี่ยนแปลงในระดับภูมิภาคที่ทำให้จังหวัดต่างๆ มีความหมายขึ้นมาในการแข่งขันกีฬาที่เชื่อมโยงกันทั่วประเทศ ปรากฏการณ์นี้แตกต่างจากก่อนหน้านั้นที่กีฬายอดนิยมอย่างฟุตบอลจะทำการแข่งขันกันในเมืองหลวงและให้ความหมายที่จรรโลงอยู่กับชาติ หรือสถาบันของชนชั้นนำ บริบท ทางสังคมการเมืองไทย ตั้งแต่ทศวรรษ 2520 ต่างจังหวัดเปลี่ยนไปจากเดิมด้วยเงื่อนไขเศรษฐกิจ สังคม การเมือง พร้อมไปกับนโยบายรัฐและการปกครองส่วนกลาง-ส่วนภูมิภาคที่เข้มแข็งได้สร้างสิ่งที่เรียกว่า “จังหวัดนิยม” ขึ้นโดยการรวมศูนย์อำนาจการเมืองและทรัพยากรมาอยู่ที่ตัวจังหวัดในเขตเมือง การสร้างทีมฟุตบอลในต่างจังหวัดจึงเกิดขึ้นภายใต้โครงสร้างเครือข่ายอุปถัมภ์ภายในเขตจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหรือนายทุนระดับจังหวัดผ่านองค์กรอย่างสมาคมกีฬาจังหวัด เห็นได้ชัดว่าการประสบความสำเร็จของทีมเกิดขึ้นจากความมีประสิทธิภาพของเครือข่ายดังกล่าว ไปด้วย จังหวัดนิยมจึงไม่ได้เป็นท้องถิ่นนิยมแบบที่มักจะอ้างถึงกัน แต่กลับเป็นการจรรโลงอุดมการณ์การเมืองของรัฐมากกว่า

No Thumbnail Available
Publication

พลวัตของการกลายเป็นท้องถิ่นของ “ความเป็นญี่ปุ่น” ในประเทศไทย ตั้งแต่ทศวรรษ 2520

ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์, Pinyapan Potjanalawan (2015)

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาพลวัตของ “ความเป็นญี่ปุ่น” (Japanese-ness) ในสังคมไทยตั้งแต่ทศวรรษ 2520 เป็นต้นมา ด้วยมุมมองของ “กระบวนการการกลายเป็นท้องถิ่น” (Localization) ที่เกิดจากการปฏิสัมพันธ์อันหลากหลายผ่านแนวคิดวัฒนธรรมประชานิยม (pop culture) ที่มีปฏิบัติการผ่านพื้นทางวัฒนธรรม ในห้วงเวลาทางประวัติศาสตร์ แทนที่จะเป็นการอธิบายด้วยมุมมองของโลกาภิวัตน์ที่ถือว่ากระแสเศรษฐกิจข้ามชาติมีผลต่อการกำหนดวิถีทางวัฒนธรรม นั่นหมายถึงว่า ผู้บริโภคไม่ได้เป็นเพียงผู้ถูกกระทำจากกระบวนการโลกาภิวัฒน์ หรือกระบวนการกลายเป็นญี่ปุ่น (Japanization) เท่านั้น สังคมไทยได้มีส่วนการสร้างสรรค์ความหมายของ “ความเป็นญี่ปุ่น” ในรูปแบบของตนขึ้นมา ตัวอย่างเช่น ความนิยมของละครที่สร้างมาจากนวนิยายคู่กรรม ต้นทศวรรษ 2530 สู่ความนิยมสินค้าชาเขียวในปลายทศวรรษ 2540 ที่ขยายตัวด้วยตลาดการบริโภคที่มีทั้งลักษณะเฉพาะและการบริโภคของเหล่ามวลชน ไปจนถึงการเกิดขึ้นของชุมชนชาวญี่ปุ่นต้นทศวรรษ 2550 ในแต่ละยุคสมัยผู้บริโภคและผู้เกี่ยวข้องในสังคมไทย ล้วนได้มีส่วนสร้าง “ความเป็นญี่ปุ่น” ที่มีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดมา

No Thumbnail Available
Publication

ประวัติศาสตร์การศึกษาไทยภายใต้การรวมศูนย์อำนาจของรัฐ (พ.ศ. 2490 - 2562)

ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์, Pinyapan Potjanalawan, สิโรตม์ ภินันท์รัชต์ธร, Sirot Phinanratchathon (2022)

งานวิจัยนี้มีจุดประสงค์ 2 ประการ นั่นคือ เพื่ออธิบายพลวัตของระบบการศึกษาของไทยผ่านนโยบายการศึกษาที่เน้นการรวมศูนย์อำนาจ และเพื่อแสดงให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ของความพยายามปฏิรูปการศึกษาของรัฐไทย งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์โดยศึกษาผ่านการใช้เอกสารชั้นต้นและชั้นรอง ผลการวิจัยพบว่า ตั้งแต่ พ.ศ. 2490 - 2562 นั้นสังคมไทยอยู่ภายใต้รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารที่มีกลไกการปกครองที่รวมศูนย์อำนาจอยู่ที่หัวหน้าคณะรัฐประหาร และสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่ไม่ยึดโยงกับประชาชนในประเทศ การธำรงอำนาจของคณะรัฐประหารแสดงให้เห็นภาวะรวมศูนย์อำนาจอย่างชัดเจนและที่สำคัญการครองอำนาจการรวมศูนย์เป็นไปอย่างยาวนานกว่าครึ่งหนึ่งของขอบเขตการวิจัย ลักษณะดังกล่าวจึงส่งผลต่อระบบการศึกษาไทยทั้งระบบไปด้วย ช่วงสำคัญ 2 ช่วงที่สะท้อนได้ดีถึงการรวมศูนย์อำนาจที่ส่งผลต่อการศึกษา ได้แก่ การครองอำนาจอย่างยาวนานของคณะรัฐประหารนั่นคือ ช่วง พ.ศ. 2500 - 2516 และ พ.ศ. 2557 - 2562 แวดวงการศึกษาถูกกระชับอำนาจเพื่อสร้างแผนการใหญ่และขับเคลื่อนประเทศ โดยไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมสร้างฉันทามติทางการศึกษาร่วมกัน การเพิ่มอำนาจในการควบคุมพลเมืองในระบบการศึกษาด้วยระเบียบวินัยบนเรือนร่างก็เข้มข้นมากขึ้น ดังนั้นระบบการศึกษาที่รวมศูนย์นี้จึงเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องพิจารณามิติทางการเมืองที่มีบทบาทอย่างเข้มข้นไปด้วย

No Thumbnail Available
Publication

ล้านนาที่เพิ่งสร้าง ประวัติศาสตร์สังคมของดินแดนลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนบน (พ.ศ. 2475 - 2557)

ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์, Pinyapan Potjanalawan, สิโรตม์ ภินันท์รัชต์ธร, Sirot Phinanratchathon (2020)

งานวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อหาปัจจัยความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมผ่านประวัติศาสตร์สังคมของภาคเหนือที่ถูกปิดกั้นศักยภาพการพัฒนาด้วยข้อจำกัดของการรวมศูนย์อำนาจการปกครอง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม งานวิจัยนี้ใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์โดยศึกษาผ่านการใช้เอกสารชั้นต้นและชั้นรอง ผลการวิจัยพบว่า ความเปลี่ยนแปลงราว 8 ทศวรรษที่ผ่านมาของภาคเหนือ หลีกเลี่ยงไม่พ้นไปกับการถูกกำหนดมาจากส่วนกลาง เช่นเดียวกับระบบการเมืองไทยที่เน้นไปที่การรวมศูนย์อำนาจมากกว่าการกระจายอำนาจ โดยเฉพาะการหยุดชะงักด้วยเหตุการณ์รัฐประหาร ภาคเหนือได้กลายเป็นฐานการต่อสู้สำคัญในช่วงสงครามเย็น ในเวลาต่อมาได้เปลี่ยนมาเป็นพื้นที่แห่งอัตลักษณ์และวัฒนธรรมหลังรัฐบาลสามารถเอาชนะพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยได้ กระนั้นความเปลี่ยนแปลงก็ถูกนำโดยรัฐที่ใช้กลไกกระทรวงมหาดไทยโดยมีนายทุนท้องถิ่นที่ได้รับประโยชน์จากการพัฒนาที่รวมศูนย์กลางอยู่ที่เชียงใหม่ แม้หลังรัฐธรรมนูญปี 2540 จะเปิดโอกาสและพื้นที่ใหม่ ๆ ให้แก่ท้องถิ่น ส่งผลต่อการขยายตัวของอัตลักษณ์ “ล้านนา” แต่ลักษณะเช่นนั้นก็ดำรงอยู่ได้ไม่นานเมื่อเกิดรัฐประหารในปี 2549 การรวมศูนย์อำนาจที่มาพร้อมกับการยึดอำนาจจากกำลังทหารทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “อาณานิคมแบบสงครามเย็น” ขึ้นและต่อเนื่องไปถึงรัฐประหารอีกครั้งในปี 2557 ส่งผลให้เกิดความเป็น “ล้านนา” อีกแบบที่ไม่ใช่ล้านนาที่เชื่องและเป็นดินแดนในฝันอย่างที่เคยรับรู้กัน

No Thumbnail Available
Publication

ศิลปณานิคม ในนามของ ศิลป์ พีรศรี ว่าด้วยอำนาจนำวงการศิลปะไทย

ภิญญ์พันธุ์ พจนะลาวัณย์, Pinyapan Potjanalawan, ธเนศ วงศ์ยานนาวา, Thanes Wongyannava (2014)

ความเป็นไทยความเป็นฝรั่งเป็นปัญหาและข้อถูกเถียงเสมอมาในฐานะปรัชญาและความรู้ มักเกิดคำถามว่ามันควรจะมีตำแหน่งแห่งที่อย่างไรในสังคมไทยสมัยใหม่ ความเป็นไทย/ความเป็นฝรั่งยังสัมพันธ์อยู่กับปมจักรวรรดินิยม การตกเป็นเมืองขึ้นหรือดินแดนในอาณานิคมที่สังคมไทยถือกันว่าหลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาให้พม่าแล้วไทยไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของใครจนถึงปัจจุบัน อาจกล่าวได้ว่าในปริมณฑลอื่นๆแล้วอำนาจนำของสถาบันชั้นสูงมีผลอย่างมากในการสถาปนาอำนาจความเป็นเจ้าเหนือสาขาวิชาต่างๆเ ราจึงพบว่า ชนชั้นสูงได้กลายเป็นหมุดหมายอ้างอิงในฐานะบิดาของศาสตร์ต่างๆ อย่างมากมายกระทั่งการสถาปนา ชุดความรู้ที่กล่าวถึงขั้นเรียกกันว่า เป็นปรัชญา อย่างไรก็ตามในวงการศิลปะและการเรียนการสอนศิลปะร่วมสมัยเรากลับพบว่าแทบไม่มีที่ว่างให้กับชนชั้นนำในฐานะที่เป็นผู้ครองความเป็นเจ้าเนื่องจากรากฐานที่วางไว้อย่างเข้มแข็งในนามของ ศิลป์ พีระศรีและมหาวิทยาลัยศิลปากร ศิลป์ พีระศรีและกลุ่มลูกศิษย์สถาปนาอำนาจนำและความรู้ทางด้านศิลปะที่มีการปฏิสัมพันธ์กัน ผ่านโลกศิลปะและโลกสังคมการเมืองในสังคมไทยมาอย่างยาวนานนับตั้งแต่ทศวรรษ 2480 เป็นอย่างช้า อาจกล่าวได้ว่าอำนาจนำ ด้านความรู้ทางศิลปะของสินนั้นมีอยู่สองส่วนคือ ศิลปะสมัยใหม่กับศิลปะแบบจารีต ทั้งคู่มีบทบาทสำคัญในการเสริมแรงให้กับความเป็นไทยในสังคมที่กำลังเปลี่ยนผ่านหลังปฏิวัติสยาม 2475 ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายคณะปฏิวัติหรือฝ่ายอนุรักษ์นิยมก็ตาม ความเป็นสถาบันศิลปะหลักและความสัมพันธ์ส่วนตัวของศิลป์ ทำให้สำนักศิลปากรกลายเป็นกลไกสำคัญของรัฐที่กลุ่มอำนาจความรู้ ความจริงและความงาม จนสามารถสร้างบุคลากรและเครือข่ายอันเข้มแข็งรวมไปถึงการมีอิทธิพลอย่างสูงต่องานประกวดศิลปกรรมแห่งชาติตลอดจนการสร้างความน่าเชื่อถือในนามสถาบันการศึกษาด้านศิลปะชั้นแนวหน้าของเมืองไทย เมื่อผนวกกับสำนึกอุปถัมภ์ในสังคมไทยศิลป์จึงเป็นทางผู้เชี่ยวชาญทางด้านศิลปะด้านทฤษฎีปฏิบัติในอุดมคติของเจ้าสำนักวิชาการสมัยใหม่ไปพร้อมพร้อมกับเป็นปรมาจารย์ที่เป็นต้นสายธารของความรู้ อันเป็นความสัมพันธ์ระหว่างครูและศิษย์ที่แข็งแรงและแน่นแน่นโดยเฉพาะเมื่อเขาเสียชีวิตลงการตีความ คำสอนงานเขียนและผลงานก็มีฐานะที่สูงส่งมากขึ้นทุกที ดังนั้นเมื่อ ศิลป์ พีระศรี ถูกวิพากษ์วิจารณ์จึงนำไปสู่การต่อสู้ทางความคิดกันอย่างเอาจริงเอาจังไม่เพียงเท่านั้นสินยังถูกทำให้กลายเป็นบุรุษศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นเรื่อยเรื่อยจนทำให้ ศิลป์ พีระศรีกลายเป็นบุคคลที่ยากที่จะถูกแตะต้องเพื่อทำการวิพากษ์วิจารณ์ในวงการศิลปะทางที่เขามีบทบาทอย่างมหาศาลในเชิงประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตามความเป็นฝรั่งของศิลป์เองก็มีปัญหาไม่น้อยที่บางครั้งไม่ลงรอยกับคำอธิบายแบบชาตินิยม เชื้อชาตินิยม การเป็นฝรั่งในด้านหนึ่งก็ทำให้ศิลป์มีความเป็นอื่น ขณะที่ความเป็นฝรั่งเองก็มีด้านของความน่าเชื่อถือทางวิชาการและวิชาชีพในสังคมสมัยใหม่ไปในตัวในด้านความเป็นฝรั่งความเป็นนานาชาตินี้เองที่ทำให้ศิลป์มีความหมายในฐานะที่เป็นจุดเชื่อมกับโลกตะวันตกที่เขาจากมางานเขียนนี้จึงเห็นว่า ศิลป์ พีระศรี เป็นทั้งบุคคลและเป็นทางร่างทรงของอาการลงแดงที่คนไทยแก้ไม่ตกตลอดมาพร้อมพร้อมไปกับการสถาปนาอำนาจนำเหนือวงการศิลปะไทย พร้อมทั้งสนับสนุนอุดมการของรัฐโดยที่ความบริสุทธิ์ของศิลปะไม่ต้องแปดเปื้อนกับสังคมการเมืองที่เป็นโลกียวิสัยได้อย่างแนบเนียนอีกด้วย