วัฒนธรรมภารตะ
Permanent URI for this collection
บทความวิจัย บทความวิชาการ รายงานการวิจัย วิทยานิพนธ์ สารนิพนธ์ และหนังสือเกี่ยวกับวัฒนธรรมอินเดียโบราณ พระเวท ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาพุทธ
Browse
Browsing วัฒนธรรมภารตะ by Degree Department "คณะอักษรศาสตร์"
Now showing 1 - 13 of 13
Results Per Page
Sort Options
- Publicationการศึกษาเชิงวิเคราะห์บทบาทของหญิงร้ายในชาตกัฏฐกถาพระมหาณรงค์ เพชรบุญดี; Petbundi, Phramaha Narong (1996)
- Publicationการศึกษาเชิงวิเคราะห์เรื่อง การพนันในวรรณคดีสันสกฤตและวรรณคดีบาลีรัตน์ สนแก้ว; Sonkaw, Rut (1987)วิทยานิพนธ์นี้มุ่งศึกษาความ เป็นมา แนวความคิด และผลกระทบของการ เล่นการพนัน รวมทั้งความสำคัญของการพนัน ตามที่ปรากฏในวรรณคดีสันสกฤตและบาลี ข้อมูลของการวิจัย ได้จากคัมภีร์ฤคเวท อถรรพเวท มหาภารตะ ธรรมศาสตร์ อรรถศาสตร์ ทศกุมารจริต กถาสริตสาคร พระไตรปิฎก และชาตกัฎฐกถา เป็นต้น ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า ทรรศนะ เรื่องการพนันมีมาตั้งแต่สมัยพระ เวทแล้ว โดยที่กระจัดกระจายอยู่ในคัมภีร์ต่างๆของอินเดีย การพนันถือเป็นเรื่องสำคัญที่ผูกพันกับชีวิตประจำวัน ของชาวอินเดียมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมของชาวอินเดียในฐานะที่เป็นกีฬาบันเทิงของพระราชา แต่เป็นความชั่วร้ายในแง่ของศาสนา นักการพนันมีแรงจูงใจ 2 ประการ คือ แรงจูงใจภายในจิตใจของตน เอง และแรงจูงใจจากภายนอก คือการ เห็นสมบัติและทรัพย์สิน ของผู้อื่น การเล่นการพนันมีผลกระทบต่อนักการพนัน ครอบครัวของนักการพนัน และสังคม ในด้านต่างๆ หลายด้าน โดย เฉพาะอย่างยิ่งด้านเศรษฐกิจ ส่วนความสำคัญของการพนันนั้นขึ้น อยู่กับสิ่ง 3 สิ่ง คือ เทพเจ้า พิธีกรรม และผู้นำประเทศโดยสรุป คัมภีร์ต่างๆ ที่เป็นวรรณคดีสันสกฤตและบาลีแสดงให้เห็นถึงผลร้ายที่การพนัน มีต่อการดำเนินชีวิตของตัวบุคคล ครอบครัว และสังคม บุคคลจึงไม่ควรเล่นการพนันแม้เพียง เพี่อความสนุกสนาน มีข้อเสนอแนะให้มีการศึกษา เปรียบ เทียบ เรื่องกฎหมายว่าด้วยการพนันในคัมภีร์ ธรรมศาสตร์กับกฎหมายลักษณะการพนันของไทยในสมัยรัตนโกสินทร์
- Publicationการศึกษาเชิงวิเคราะห์เรื่องน้ำโสมและเครื่องดื่มอื่นๆ ในคัมภีร์พระเวทอุดม จันทะดวง; Chantaduang, Udom (1987)
- Publicationการศึกษาเปรียบเทียบเรื่องทาสในคัมภีร์พระไตรปิฎกเถรวาท คัมภีร์มานวธรรมศาสตร์และกฎหมายตราสามดวงทองสุข จารุเมธีชน; Jarumetheechon, Thongsookh (1984)
- Publicationการศึกษาสถานภาพของครูและศิษย์ในคัมภีร์ธรรมศาสตร์วีรยุทธ เอกพันธ์; Eggapun, Weerayud (1985)ทัศนะเรื่องครูและศิษย์ที่ปรากฏในคัมภีร์ต่างๆ ของอินเดียนั้นมีมาตั้งแต่สมัยพระเวทแล้ว แต่ปรากฏในลักษณะที่กระจัดกระจายกันอยู่ คัมภีร์ธรรมศาสตร์ต่างๆ อันถือว่าเป็นบันทึกที่สำคัญที่สุดของสังคมอินเดียโบราณในยุคที่พราหมณ์มีอำนาจสูงสุด ส่วนหนึ่งได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับพราหมณ์ในด้านความเป็นครูและความสัมพันธ์ที่มีต่อศิษย์ไว้เป็นอันมาก และพราหมณ์เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์และดำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมของอินเดีย และมีความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมของไทยมาแต่สมัยโบราณในฐานะผู้ประกอบพระราชพิธีต่างๆ แต่ว่าหน้าที่อันแท้จริงของพราหมณ์คือการเป็นครู ซึ่งยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายในเมืองไทยเหมือนหน้าที่ในการประกอบพระราชพิธีต่างๆ คัมภีร์ธรรมศาสตร์เป็นหลักฐานสำคัญที่น่าสนใจ ควรแก่การศึกษาวิเคราะห์วิจัยในส่วนที่เกี่ยวกับครูและศิษย์ให้แจ่มแจ้ง ผู้วิจัยจึงได้รวบรวมข้อมูลจากคัมภีร์ธรรมศาสตร์ฉบับต่างๆ ที่เป็นภาษาสันสกฤตและเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องแล้วศึกษาวิจัยจนได้ผลอันเด่นชัดว่า ครูมีความจำเป็นต่อระบบการศึกษาของอินเดียโบราณ ความสำคัญของครูอยู่ที่ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ คือการถ่ายทอดความรู้ให้แก่ศิษย์ ตามหลักฐานที่ปรากฏในคัมภีร์ธรรมศาสตร์ ครูต้องเป็นพราหมณ์เท่านั้น ครูที่เป็นกษัตริย์หรือไวศยะก็มีบ้าง แต่น้อยและไม่เป็นที่นิยม เนื่องจากครูเป็นผู้ที่อยู่ในวรรณะสูง ครูจึงเป็นผู้ที่สังคมให้เกียรติอย่างสูง เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า ผู้ใดจะดูหมิ่นเหยียดหยามครูไม่ได้ ทุกคนต้องให้ความเคารพครู ชีวิตครูขึ้นกับบุคคลอื่น จึงไม่มีหลักเกณฑ์ที่แน่นอนเกี่ยวกับรายได้ของครู รายได้ที่เป็นวัตถุสิ่งของอาจจะไม่มีมากนัก แต่ผลที่ได้ทางด้านจิตใจนั้น ครูได้รับความเคารพนับถือเหมือนเทพเจ้า ความสัมพันธ์ของครูกับศิษย์เป็นความสัมพันธ์อันใกล้ชิดเหมือนบิดากับบุตร ศิษย์ต้องอาศัยในบ้านของครู ครูจะสอนวิชาความรู้ให้เมื่อมีความพอใจและมีเวลาว่าง ครูจะไม่สอนแก่บุคคลที่ไม่คุ้นเคย ดังนั้นจึงมีหลักปฏิบัติมากมายสำหรับศิษย์ เพื่อทำให้ครูถ่ายทอดความรู้ให้ด้วยความเต็มใจ ครูเองก็ปฏิบัติต่อศิษย์เหมือนศิษย์เป็นบุคคลในครอบครัวของตน เมื่อศิษย์มีความผิดก็ตำหนิลงโทษตามความเหมาะสม ศิษย์ผู้อยู่ในวัยเรียนได้รับเกียรติในสังคมอินเดียโบราณเป็นอย่างดี แต่ศิษย์ผู้เรียนสำเร็จและผ่านพิธีสนานเป็นสนาตกะแล้วจะได้รับเกียรติสูงกว่าศิษย์ผู้อยู่ในวัยเรียน ในด้านบทบาทการสั่งสอนวิชาความรู้แก่ศิษย์นั้นคล้ายคลึงกับระบบการเรียนการสอนของไทยสมัยโบราณ มีการหวงวิชาความรู้ไว้เพื่อถ่ายทอดแก่ศิษย์ผู้ใกล้ชิดโดยใช้วิธีถ่ายทอดแบบสอนปากเปล่า หลักปฏิบัติต่างๆ ของศิษย์ เช่น การหาน้ำ การนวดให้ครู ตลอดจนมารยาทในการนั่ง นอน ยืน และอื่นๆ ก็มีส่วนคล้ายคลึงกัน สำหรับส่วนที่แตกต่างกันคือคนในสังคมไทยมีโอกาสได้ศึกษาเล่าเรียนโดยไม่ถูกจำกัดด้วยวรรณะเหมือนระบบการศึกษาของอินเดียโบราณและครูที่ปรากฏหลักฐานในคัมภีร์ธรรมศาสตร์เป็นครูอาชีพ กำหนดว่าเป็นหน้าที่หลักของพราหมณ์แต่ครูของไทยสมัยโบราณไม่ปรากฏมีครูอาชีพ ผู้มีความรู้สามารถตั้งตัวเป็นครูได้ตามแต่สังคมจะยอมรับว่ามีความสามารถเพียงใดหรือไม่มากกว่า.
- Publicationบทบาทของสตรีในวรรณคดีบาลีเปรม หิมจันทร์; Himachandra, Prem (1978)
- Publicationบทบาทและฐานะสตรีในมหาภารตะภิญโญ บุญทอง; Boonthong, Pinyo (1980)วิทยานิพนธ์เรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะศึกษารวบรวมและวิเคราะห์เรื่องราวของสตรี เกี่ยวกับพฤติกรรม และบทบาทตามฐานะต่างๆ จากกาพย์มหาภารตะ วิทยานิพนธ์แบ่งออกเป็น 4 บท บทแรกเป็นบทนำ ซึ่งกล่าวถึงความเป็นมาของปัญหา ตลอดจนวิธีดำเนินการวิจัย บทที่ 2 กล่าวถึงเรื่องมหาภารตะ โดยแยกกล่าวเป็น 3 หัวข้อ คือ ความเป็นมายุคสมัยของการแต่ง ตัวเรื่อง และแบบลักษณะทั่วๆไปของสตรี บทที่ 3 กล่าวถึงบทบาทสตรีในฐานะลูก คนรัก ภรรยา สะใภ้ มารดา ชู้ และผู้บำเพ็ญพรต บทที่ 4 เป็นบทสรุปและข้อเสนอแนะ ผลการวิจัยทำให้ทราบว่า สตรีในมหาภารตะ เมื่อพิจารณาจากความเป็นมาต่างๆ แล้ว แบ่งออกเป็น 5 ประเภทคือ ประเภทที่ 1 เทวี และสตรีที่เป็นบุคคลาธิษฐาน กวีตั้งขึ้นจากธรรมชาติ นามธรรม และอาการนาม ประเภทที่ 2 เทวี ผู้เป็นชายาของเทวะ และเทพธิดา ประเภทที่ 3 นางอัปสร ประเภทที่ 4 สตรีที่ให้กำเนิดสัตว์ พืช และที่เป็นลูกเมียของสัตว์ ประเภทที่ 5 นางมนุษย์ ประเภทนี้ผู้วิจัยได้หยิบยกสตรีที่สำคัญๆ มาศึกษาวิจัยตามฐานะต่างๆ อีกครั้งหนึ่งด้วย
- Publicationพฤติกรรมของสัตว์ในชาตกัฏฐกถา : การศึกษาเชิงวิเคราะห์สมพงษ์ โอศรีสกุล; Osrisakun, Sompong (1982)วิทยานิพนธ์เรื่องนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและรวบรวมพฤติกรรมของสัตว์ที่ปรากฏในชาตกัฏฐกถา รวมทั้งคติธรรมคำสอนที่ได้จากพฤติกรรมของสัตว์ ในการศึกษาและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของสัตว์นี้ ผู้วิจัยได้รวบรวมจากหนังสือชาตกัฏฐกถาฉบับสยามรัฐของมหามกุฎราชวิทยาลัย ซึ่งเป็นภาษาบาลีพิมพ์ด้วยอักษรไทย พิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2465 – 2467 จำนวน 10 เล่มเป็นหลักสำคัญในการค้นคว้า วิทยานิพนธ์นี้มี 6 บทด้วยกันบทที่ 1 เป็นบทนำซึ่งกล่าวถึงความเป็นมาของปัญหาวัตถุประสงค์แลวิธีการดำเนินการวิจัย บทที่ 2 ว่าด้วยความหมายและลักษณะของชาตกัฏฐกถา บทที่ 3 ว่าด้วยบทบาทสำคัญและพฤติกรรมของสัตว์ในชาตกัฏฐกถา บทที่ 4 ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างสัตว์ในชาตกัฏฐกถากับมนุษย์ บทที่ 5 ว่าด้วยการศึกษาสัตว์ในชาตกัฏฐกถาเชิงวรรณคดีสัมพันธ์ และบทที่ 6 เป็นบทสรุปและข้อเสนอแนะ จากการวิจัยนี้ แสดงให้เห็นว่าพฤติกรรมของสัตว์ที่ปรากฏในชาตกัฏฐกถาไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมที่ประกอบด้วยคุณธรรม หรือพฤติกรรมที่ขาดคุณธรรม แท้ที่จริงก็คือพฤติกรรมของมนุษย์นั่นเอง เพียงแต่เอาสัตว์มาแสดงพฤติกรรมแทนพฤติกรรมของมนุษย์เท่านั้น
- Publicationวรรณะศูทรในสมัยพระเวทจริยา เจรีรัตน์; Jereerad, Jariya (1979)วิทยานิพนธ์นี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษารวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับวรรณะศูทร ในสมัยพระเวท คือ นับตั้งแต่สมัยแรกที่ชาวอารยันอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย เมื่อประมาณ 3500 ปีมาแล้ว จนกระทั่งชาวอารยันเหล่านี้ได้อพยพไปทางทิศตะวันออกและตังหลักแหล่งอยู่ในบริเวณที่ราบตอนกลางของประเทศ ในสมัยดังกล่าวนี้ปรากฏว่า วรรณะศูทรเป็นวรรณะที่สี่ของสังคมอินเดีย และมีเรื่องราวกล่าวถึงในคัมภีร์ต่างๆ ในสมัยนั้น นอกจากนี้ ผู้วิจัยยังได้รวบรวมข้อมูลและแนวความคิดต่างๆเกี่ยวกับระบบวรรณะ และโดยเฉพาะวรรณะศูทรเท่าที่จะค้นได้จากคัมภีร์พระไตรปิฎก และได้ค้นคว้าศึกษาบทความและแนวความคิดเห็นต่างๆ ของนักปราชญ์สมัยปัจจุบัน ทั้งชาวอินเยและชาวต่างประเทศอื่นๆ เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับแนวความคิดที่ปรากฏในวรรณคดีสันสกฤตโดยตรง เพื่อทำให้ความรู้ที่ได้เกี่ยวกับวรรณะศูทรสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้ วิทยานิพนธ์นี้แบ่งออกเป็น 5 บท บทแรกเป็นบทนำ กล่าวถึงหัวข้อวิทยานิพนธ์ความเป็นมาของปัญหา และวิธีดำเนินการวิจัย บทที่ 2 กล่าวถึงระบบวรรณะของสังคมอินเดียโดยสังเขป ปละประวัติความเป็นมาของวรรณะศูทร บทที่ 3 วิเคราะห์ฐานะทางสังคมของวรรณะศูทร จากคัมภีร์สังหิตา หราหมณะ อุปนิษัท และคัมภีร์สูตรต่างๆ รวมทั้งเสนอความคิดเกี่ยวกับระบบวรรณะ และวรรณะศูทร จากคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา คือ พระไตรปิฎก บทที่ 4 กล่าวถึงชีวิตวามเป็นอยู่ หน้าที่อาชีพ การแต่งงาน ตลอดจนอุดมคติในการดำเนินชีวิตของศูทร บทสุดท้ายเป็นบทสรุปและข้อเสนอแนะ โดยที่วิทยานิพนธ์เรื่องนี้เป็นผลการศึกษาและวิจัยเรื่องของวรรณะศูทรจาก วรรณคดีสันสกฤตที่เป็นผลงานของบุคคลในวรรณะพราหมณ์ และเป็นงานที่ถือเอาศาสนาเป็นแกนกลาง ผู้วิจัยจึงเสนอให้มีการศึกษาเรื่องราวของวรรณะศูทรจากวรรณคดีสันสกฤตอื่นๆ ที่ผู้ประพันธ์อาศัยหลักการอื่นที่มิใช่ศาสนาเป็นหลักสำคัญ เช่น อรรถศาสตร์ที่เกาฏิลยะเป็นผู้แต่ง หรือจากวรรณคดีบาลี เช่น อรรถกถาธรรมบทและชาดก เป็นต้น งานวิจัยเรื่องนี้แสดงว่า ศูทรส่วนใหญ่ของอินเดียสมัยโบราณเป็นชาวพื้นเมืองอินเดียที่ต้องตกเป็นเชลยของชาวอารยัน ชนพวกนี้ในครั้งนั้นมีอารยธรรมสูงกว่าชาวอารยัน และมีรูปร่างลักษณะต่างกับชาวอารยันโดยเฉพาะที่มีกล่าวในวรรณคดีสันสกฤต คือมีผิวดำ และจมูกแบน ชนพวกนี้ต้องเข้ามาอยู่ร่วมในสังคมอารยันในฐานะทาส แต่ก็ถูกกีดกันไม่ให้เข้าร่วมพิธีทางศาสนา การแต่งงานระหว่างบุคคลในวรรณะศูทรกับชาวอารยันก็ถูกห้ามอย่างเด็ดขาด นอกจากนี้ ศูทรยังถูกจำกัดสิทธิและถูกบีบคั้นนานาประการ อย่างไรก็ตาม ก็มีข้อความบางตอนที่แสดงถึงความเห็นใจศูทรอยู่บ้าง เช่น ศูทรที่อยู่กับนายมานานแล้ว เมื่อแก่ตัวลงผู้เป็นนายก็จะต้องให้ความอุปการะเลี้ยงดู ส่วนฐานของศูทรในสังคมพุทธศาสนาโดยทั่วไปแล้ว ดีกว่าที่ปรากฏในวรรณคดีสันสกฤตมาก
- Publicationศาสตร์แห่งการยุทธด้วยธนูในคัมภีร์ธนุรเวทและมหาภารตะเจียระไน วิทิตกูล; Vithidkul, Jiaranai (2015)วิทยานิพนธ์นี้มุ่งศึกษาเนื้อหาส่วนที่ว่าด้วยการฝึกฝนธนูในวรรณคดีธนุรเวทฉบับ อัคนิปุราณะ ธนุรเวทฉบับศารงคธรปัทธติ และวรรณคดีเรื่องมหาภารตะในส่วนอาทิบรรพ เพื่อศึกษากระบวนการฝึกฝนธนูของอินเดียโบราณ และสภาพทางสังคมและวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับการฝึกฝนธนู ผลการศึกษาพบว่า การฝึกฝนธนูเป็นศาสตร์ที่ได้รับการศึกษา วิเคราะห์ และกำหนดกฎเกณฑ์ไว้ชัดเจนตั้งแต่โบราณ มีขั้นตอนและกลวิธีในการพัฒนาผู้เรียนอย่างหลากหลาย โดยเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการฝึกฝนธนูในวรรณคดีธนุรเวททั้งสองฉบับนั้นสามารถแบ่งได้เป็น 5 ประเด็น ได้แก่ ท่าทางในการยิงธนู, วิธีการยิงธนู, หลักสูตรในการฝึกธนู, ข้อผิดพลาดใน การยิงและวิธีแก้ไข, และการยิงธนูรูปแบบพิเศษ ทุกประเด็นล้วนมุ่งให้นักธนูยิงได้แม่นยำ และสามารถพลิกแพลงในสถานการณ์ต่างๆได้ดี ซึ่งทักษะเหล่านี้ก็เกื้อหนุนจุดประสงค์สูงสุดในการฝึกธนูของอินเดียโบราณ นั่นคือการใช้ธนูได้อย่างมีประสิทธิภาพในยามสงคราม ในด้านสังคมและวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องนั้น พบว่าการฝึกฝนธนูของภารตะโบราณต้องอยู่ภายใต้ระบบการเรียนการสอนที่มีครูเป็นผู้กำกับดูแลอย่างเบ็ดเสร็จ ทั้งยังเป็นระบบการศึกษาที่สัมพันธ์กับศาสนาอย่างลึกซึ้ง ดังนั้น แม้การเรียนการสอนธนูจะมีรายละเอียดและเนื้อหาที่เรียนต่างจากการเรียนสาขาอื่นๆ แต่เมื่อพิจารณาระบบและลักษณะโดยรวมแล้ว ก็จะเห็นได้ว่าไม่แตกต่างกันนัก หรืออาจกล่าวได้ว่า การศึกษาด้านการธนูนั้นก็เป็นไปตามขนบธรรมเนียมด้านการศึกษาของสังคมอินเดียโบราณนั่นเอง
- Publicationสารัตถะและความสำคัญของศาสตร์แห่งอัญมณีอินเดียโบราณอรุณวรรณ คงมีผล; Kongmebhol, Aroonwan (2018)วิทยานิพนธ์เรื่องนี้มุ่งศึกษาสารัตถะและความสำคัญของศาสตร์แห่งอัญมณีอินเดียโบราณจากงานนิพนธ์ว่าด้วยศาสตร์แห่งอัญมณีที่บรรจุแทรกในวรรณคดีสันสกฤตประเภทศาสตร์ 5 เรื่อง ได้แก่ อรรถศาสตร์ของเกาฏิลยะ, พฤหัตสํหิตาของวราหมิหิระ, ยุกติกัลปตรุของโภชะ, มานโสลลาสะของโสเมศวระ และศุกรนีติสาระของศุกราจารย์ วิธีดำเนินการวิจัยแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือ การศึกษาสารัตถะ โดยมีการเปรียบเทียบระหว่างข้อมูลปฐมภูมิ 5 เรื่อง กับงานนิพนธ์ว่าด้วยศาสตร์แห่งอัญมณีที่เป็นเรื่องเดี่ยว ส่วนที่สองคือการศึกษาความสำคัญของศาสตร์แห่งอัญมณีในบริบทของสังคมและวัฒนธรรม โดยพิจารณาจากข้อความตัวบทที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างเรื่องแทรกว่าด้วยศาสตร์แห่งอัญมณีกับงานนิพนธ์เรื่องหลัก รวมทั้งพิจารณาบทบาทของศาสตร์แห่งอัญมณีที่ปรากฏในงานนิพนธ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งในอดีตและปัจจุบัน ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า สารัตถะของศาสตร์แห่งอัญมณีอินเดียโบราณ คือ การถ่ายทอดความรู้เชิงปฏิบัติเกี่ยวกับวิธีการตรวจสอบและจำแนกสิ่งมีค่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งอัญมณี นำไปสู่การประเมินมูลค่าและคุณค่า เพื่อตอบสนองความมั่นคงของราชอาณาจักร องค์ความรู้เรื่องการตรวจสอบอัญมณีจำแนกได้เป็น 4 หมวด ได้แก่ หมวดการตรวจสอบอัญมณี หมวดการประเมินค่าอัญมณี หมวดการกำหนดราคาอัญมณี และหมวดเบ็ดเตล็ดซึ่งครอบคลุมศิลปะการทำอัญมณีตลอดจนความเชื่อ และวัฒนธรรมเกี่ยวกับการใช้อัญมณี เนื้อหาสาระของตำราอัญมณีประเภทเรื่องแทรกที่นำมาศึกษาครั้งนี้ โดยมากพ้องกับตำราอัญมณีประเภทเรื่องเดี่ยว สิ่งที่แตกต่างกันคือรายละเอียดปลีกย่อยและบริบทของการนำไปใช้ซึ่งมุ่งในแวดวงของราชสำนัก ส่วนความสำคัญของศาสตร์แห่งอัญมณีอินเดียโบราณนั้นแบ่งเป็น 4 ด้าน ได้แก่ ด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจและการเมือง ด้านสังคมและวัฒนธรรม ด้านภาษาและวรรณคดี และด้านการศึกษา สะท้อนให้เห็นว่า ศาสตร์แห่งอัญมณีอินเดียโบราณมีคุณูปการต่อสังคมในวงกว้างตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จึงมีการสืบทอด การผลิตช้า การดัดแปลง และการอ้างอิงศาสตร์แห่งอัญมณีอินเดียในงานนิพนธ์ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องจวบจนปัจจุบัน
- Publicationหงส์ในวรรณคดีสันสกฤตและบาลีละเอียด วัฒนไพศาล; Vatanapaisal, La-eaid (1982)
- Publicationอัญมณีวิทยาในวรรณคดีสันสกฤตและวรรณคดีไทยอรุณวรรณ คงมีผล; Kongmebhol, Aroonwan (2013)วิทยานิพนธ์เรื่องนี้มุ่งศึกษาความรู้เรื่องอัญมณีที่ปรากฏในวรรณคดีสันสกฤตและวรรณคดีไทย จากหลักฐานชั้นต้น คือ ตำรารัตนปรีกษาภาษาสันสกฤตและตำรานพรัตน์ของไทย เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตำราทั้งสอง วิธีดำเนินการวิจัยแบ่งออกเป็นสามส่วน ส่วนที่หนึ่งเป็นการนำเสนอข้อมูลจากตำรารัตนปรีกษาสองฉบับ ได้แก่ รัตนปรีกษาของพุทธภัฏฏะ และรัตนปรีกษาธยายะในคัมภีร์ครุฑปุราณะ พร้อมด้วยข้อมูลตามหลักอัญมณีวิทยาปัจจุบัน ส่วนที่สองเป็นการนำเสนอข้อมูลจากตำรานพรัตน์สามฉบับ ได้แก่ ลิลิตตำรานพรัตน์ ตำรานพรัตน์ฉบับร้อยแก้ว และตำรารัตนสาตร์จบบริบูรรณ์ และส่วนที่สามเป็นการวิเคราะห์เปรียบเทียบเนื้อหาระหว่างตำรารัตนปรีกษากับตำรานพรัตน์ ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า ตำรารัตนปรีกษามีลักษณะสอดคล้องกับอัญมณีวิทยา เนื้อหาสาระประกอบด้วยการกำเนิด แหล่งกำเนิด คุณสมบัติ อานุภาพ การทำเทียม การเจียระไน การปรับปรุงคุณภาพ การประเมินน้ำหนักและราคาอัญมณี ส่วนตำรานพรัตน์นั้น มีเนื้อหาสาระคล้ายกับตำรารัตนปรีกษา เพียงแต่ไม่ปรากฏเรื่องการทำเทียม การเจียระไน และการปรับปรุงคุณภาพของอัญมณี ลักษณะการพรรณนาที่ร่วมกัน คือ การพรรณนาคุณสมบัติด้านสีด้วยการเปรียบเทียบกับดอกไม้ พืช สัตว์ และสิ่งที่ให้แสงสว่าง ลักษณะการพรรณนาที่ต่างกันมีหลายประการ ประการสำคัญคือ การพรรณนาอานุภาพของอัญมณี ตำรารัตนปรีกษาเน้นอานุภาพด้านการป้องกันภัยอันตราย ความเจริญรุ่งเรือง และการรักษาโรค ส่วนตำรานพรัตน์เน้นอานุภาพของอัญมณีในด้านการเป็นเครื่องรางของขลัง มีอานุภาพบันดาลความสุข ความมั่งคั่ง ความเจริญรุ่งเรือง และชัยชนะในศึกสงคราม จึงสรุปได้ว่า ตำรารัตนปรีกษามีความสัมพันธ์กับตำรานพรัตน์ในฐานะที่เป็นต้นแบบของการแต่งตำราวิชาการด้านอัญมณี ความแตกต่างระหว่างตำรารัตนปรีกษาและตำรานพรัตน์เกิดจากวัตถุประสงค์ในการแต่งตำรา คือ ตำรารัตนปรีกษาเป็นคู่มือสำหรับการประเมินคุณภาพและราคาอัญมณีในการทำธุรกิจการค้าระหว่างพ่อค้าอัญมณีกับผู้ซื้อ ในขณะที่ตำรานพรัตน์นั้น ผู้แต่งและผู้รวบรวมทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เพื่อเป็นต้นฉบับประจำราชสำนัก