วัฒนธรรมภารตะ
Permanent URI for this collection
บทความวิจัย บทความวิชาการ รายงานการวิจัย วิทยานิพนธ์ สารนิพนธ์ และหนังสือเกี่ยวกับวัฒนธรรมอินเดียโบราณ พระเวท ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาพุทธ
Browse
Browsing วัฒนธรรมภารตะ by Title
Now showing 1 - 20 of 39
Results Per Page
Sort Options
- Publicationการเฉลิมฉลองเทศกาลทุรคาบำรุง คำเอก; Kam-Ek, Bamroong (2010)ใบบรรดาเทศกาลอินเดียที่สำคัญ ทุรคาบูชา เป็นเทศกาลที่ถูกเฉลิมฉลองอย่างพิเศษทั่วอินเดียโดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐเบงกอล เรียกว่า “นวราตรี” เพราะมีการบูชาพระเทวีทุรคา 9 คืน และถึงวันที่ 10 เรียก “วิชัยทศมี” ทุรคารูปน่ากลัวเป็นศักดิของพระศิวะ พระองค์ได้ถูกพวกเทวดาเชิญให้ไปปราบมหิษาสูรผู้มาทำความเดือดร้อนพวกเขา มีกล่าวไม่ในสกันทปูราณะเรื่องพระเทวีต่อสู้กับอสูร เรารู้เรื่องพระทุรคาเทวีจากปุราณะ ตันตระก็ถือผู้หญิงเป็นดั่งเทพสตรีเหมือนกัน แต่ตันตระเกี่ยวกับการบูชาเด็กสาวผู้ถูกถือว่าเป็นพระแม่เทวีผู้มีชื่อเสียง ดังนั้นการบูชาพระเทวี (กุมารีบูชา) ได้เกิดในสมัยตันตระ การบูชาทุรคา ส่วนมากได้ปฏิบัติกันในรัฐเบงกอล ระหว่างเวลานี้ประชาชนผู้ภักดีอ่านคัมภีร์มาหาตมยะทุกวัน วันสุดท้ายก็จะลอยรูปพระเทวีในแม่น้ำมีชื่อพระทุรคา ที่รู้กันดีคือ ปารวตี กาลี อุมา เป็นต้น กล่าวไว้ในปูราณะ การบูชาพระเทวีด้วยเนื้อสัตว์และมนุษย์ มาจากคนชั้นต่ำ แล้วคนชั้นสูงได้ยืมไปปฏิบัติ ในเวลานี้ คนทางอุตตรประเทศ(ทางเหนือ) เชื่อว่าพระรามได้ชนะพระราวณะ(ทศกัณฑ์) หลังจากสู้กันเป็นเวลา 10 วัน แล้วประชาชนก็จะเผาหุ่นใหญ่ของพระราวณะ เมฆนาถ และกุมภกรรณในเมืองหลวงใหญ่ ในเมืองไทยที่ถนนสีลม กรุงเทพฯ วัดพระศรีมหาอุมาเทวี เพิ่งจะเฉลิมฉลองเทศกาลทุรคาบูชาไปเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2553 นี้เอง
- Publicationการศึกษาการกำเนิดและพัฒนาการด้านอายุรเวทในวรรณคดีสันสกฤตเบญจมาศ ขุนประเสริฐ; ชัยณรงค์ กลิ่นน้อย; Khunprasert, Benjamas; Klinnoi, Chainarong (2022)บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ ศึกษารูปแบบเนื้อหาด้านอายุรเวทในวรรณคดีสันสกฤตและ ศึกษาพัฒนาการองค์ความรู้ด้านอายุรเวทในวรรณคดีสันสกฤตเพื่อเห็นการสืบทอดและพัฒนาการทางการแพทย์โบราณจากอดีตถึงปัจจุบัน โดยศึกษาความรู้ด้านการแพทย์โบราณเฉพาะที่ปรากฏในวรรณคดีสันสกฤตได้แก่ ฤคเวทสังหิ อถรฺพเวท จรกสํหิตา และครุฑปุราณะ โดยใช้ระเบียบการวิจัยเอกสาร นําเสนอผลการวิจัยในรูปแบบการพรรณนาวิเคราะห์ ซึ่งแสดงผลการศึกษาโดยการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ ผลการศึกษาพบว่า ความรู้ด้านอายุรเวทเป็นศาสตร์ที่มีเนื้อหาส่วนใหญ่กล่าวถึง โรค สาเหตุ อาการ ยา และข้อปฏิบัติต่าง ๆ เพื่อป้องกันโรคภัยและการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง โดยมีการปรับการดําเนินชีวิตให้สอดคล้องกับฤดูกาล และพัฒนาการองค์ความรู้ด้านอายุรเวทในวรรณคดีสันสกฤต พบว่าอายุรเวทนั้นได้เกิดขึ้นในสมัยพระเวทและได้รับการสืบทอดและพัฒนาโดยไม่ขาดสายจาก อถรฺพเวทมาสู่คัมภีร์ครุฑปุราณะกลายเป็นคัมภีร์ด้านการแพทย์จํานวนมาก
- Publicationการศึกษาชื่อสถานที่ในอาณาจักรเขมรทรงธรรม ปานสกุณ; Pansakul, Songtham (2011)การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิเคราะห์และจัดหมวดหมู่ชื่อเฉพาะของสถานที่ ภาษาสันสกฤต และภาษาเขมรในศิลาจารึกอาณาจักรเขมรโบราณ และชื่อเฉพาะของสถานที่ปัจจุบันในจังหวัดเสียมเรียบโดยอิงตามกลุ่มความหมาย รวมทั้งดูแนวคิดและความนิยมการตั้งชื่อเฉพาะของสถานที่ในสังคมเขมรในยุคสมัยที่แตกต่างกัน ผลการวิจัยพบว่า 1. ชื่อเฉพาะของสถานที่ศึกษาสันสกฤตในสมัยก่อนพระนคร มีลักษณะที่เกี่ยวข้องกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเทพเจ้า มากที่สุด รองลงมาคือ ความเป็นมงคล บุคคล ทิศทางตามลำดับ ส่วนในสมัยพระนคร พบว่ามีลักษณะที่เกี่ยวข้องกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเทพเจ้า มากที่สุด รองลงมาคือ ความเป็นมงคล บุคคล พืชพรรณ สัตว์ ลักษณะทางภูมิศาสตร์ สิ่งของเครื่องใช้ สิ่งที่น่ากลัว ทิศทาง น้ำหรือแหล่งน้ำ ตัวเลขสิ่งก่อสร้างหรือที่อยู่อาศัย ตามลำดับ 2. ชื่อเฉพาะของสถานที่ภาษาเขมรโบราณในสมัยก่อนพระนคร มีลักษณะที่เกี่ยวข้องกับพืชพรรณ มากที่สุด รองลงมาคือ แหล่งน้ำ บุคคล ลักษณะภูมิศาสตร์ สิ่งของเครื่องใช้ สิ่งก่อสร้างทิศทางสัตว์ อวัยวะ ตามลำดับ ในสมัยพระนคร พบว่ามีลักษณะที่เกี่ยวข้องกับพืชพรรณมากที่สุด ด้วยเช่นกัน รองลงมาคือ แหล่งน้ำ ลักษณะภูมิศาสตร์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ สัตว์ สิ่งของเครื่องใช้ สิ่งก่อสร้างหรือที่อยู่อาศัย คำคุณศัพท์ ทิศทาง บุคคล ชนชาติหรือชาติพันธุ์ ตามลำดับ 3. ชื่อเฉพาะของสถานที่ในปัจจุบัน มีลักษณะที่เกี่ยวข้องกับ พืชพรรณ มากที่สุด รองลงมา คือ ลักษณะทางภูมิศาสตร์ แหล่งน้ำ บุคคล สิ่งก่อสร้าง สัตว์ สิ่งของ คำคุณศัพท์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ความมีมงคล และพิธีกรรม 4. จากการศึกษายังสะท้อนให้เห็นว่า ชื่อสถานที่ที่เป็นภาษาสันสกฤตในอาณาจักรเขมรโบราณทั้งสมัยก่อนพระนครและสมัยพระนคร ส่วนมากมีความเกี่ยวข้องกับความเชื่อและศาสนา ในขณะที่ชื่อสถานที่ภาษาเขมรทั้งสมัยโบราณและสมัยปัจจุบันมีแนวคิดและความนิยมการตั้งชื่อสถานที่ตามลักษณะแวดล้อมทางกายภาพของพื้นที่เป็นสำคัญเหมือนกัน นอกจากนี้ในส่วนของลักษณะโครงสร้างชื่อสถานที่ พบว่า ชื่อสถานที่ในภาษาสันสกฤตจะมีโครงสร้างเป็นแบบ ชื่อเฉพาะและตามด้วยชื่อทั่วไป แต่ชื่อสถานที่ภาษาเขมรโบราณและภาษาเขมรปัจจุบันจะมีลักษณะโครงสร้างเป็นแบบชื่อทั่วไปตามด้วยชื่อเฉพาะ
- Publicationการศึกษาเชิงวิเคราะห์คัมภีร์สุริยยาตรฉบับภาคกลาง ฉบับล้านนา และฉบับไทลื้อยุทธพร นาคสุข; Naksuk, Yuttaporn (2009)วิทยานิพนธ์นี้ มีจุดมุ่งหมายที่จะศึกษาวิเคราะห์คัมภีร์สุริยยาตรฉบับภาคกลาง ฉบับล้านนา และฉบับไทลื้อ ในด้านประวัติความเป็นมา คำศัพท์ และสูตรคำนวณในคัมภีร์ วิทยานิพนธ์นี้แบ่งออกเป็น 5 บท บทที่ 1 เป็นบทนำ บทที่ 2 ว่าด้วยลักษณะของคัมภีร์สุริยยาตรในด้านขอบเขตของเนื้อหา ต้นกำเนิด ที่มาและประวัติการใช้ ความสำคัญของคัมภีร์ต้นฉบับที่นำมาศึกษาและตัวอักษรที่ใช้บันทึก บทที่ 3 ว่าด้วยความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับคำศัพท์ที่ปรากฏในคัมภีร์ บทที่ 4 เป็นการวิเคราะห์สูตรคำนวณที่ปรากฏในคัมภีร์ทั้ง 3 ฉบับ และบทที่ 5 เป็นบทสรุปและข้อเสนอแนะ ผลของการวิจัยอาจสันนิษฐานได้ว่า คัมภีร์สุริยยาตรน่าจะพัฒนามาจากคัมภีร์ดาราศาสตร์โบราณของอินเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคัมภีร์สุริยสิทธานตะ เพราะเกณฑ์ตัวเลขส่วนใหญ่ตรงกันและศัพท์เฉพาะที่ปรากฏในคัมภีร์ส่วนหนึ่งก็ตรงกันด้วย สูตรคำนวณที่ปรากฏในคัมภีร์ทั้ง 3 ฉบับ โดยนับรวมสูตรคำนวณที่ซ้ำกันด้วยมีทั้งหมด 97 สูตร พบในคัมภีร์ฉบับภาคกลาง จำนวน 28 สูตร ฉบับล้านนาจำนวน 42 สูตร และฉบับไทลื้อจำนวน 27 สูตร สูตรคัมภีร์ที่ใช้สำหรับคำนวณตำแหน่งและระยะการโคจรของพระอาทิตย์กับพระจันทร์เพื่อใช้ทำปฏิทินประจำปี และนำไปประยุกต์ใช้ในทางโหราศาสตร์ ผลการวิเคราะห์พบว่าสูตรคำนวณส่วนใหญ่ตรงกัน จึงยืนยันว่าคัมภีร์ทั้ง 3 มีต้นเค้ามาจากแหล่งกำเนิดเดียวกัน และมีสูตรจำนวนหนึ่งที่เป็นสูตรจำเพาะของแต่ละภูมิภาค อันเนื่องมาจากนักปราชญ์ในท้องถิ่นได้คิดค้นสูตรขึ้นเพื่อให้สะดวกแก่การคำนวณและเพื่อให้สอดคล้องกับระบบปฏิทินของภูมิภาคของตน การศึกษาคัมภีร์สุริยยาตรทำให้เห็นคุณค่าของคัมภีร์นี้ในฐานะที่มีความสำคัญต่อการทำปฏิทินและต่อวงการโหราศาสตร์ สมควรที่จะอนุรักษ์และเผยแพร่ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างต่อไป
- Publicationการศึกษาเชิงวิเคราะห์บทบาทของหญิงร้ายในชาตกัฏฐกถาพระมหาณรงค์ เพชรบุญดี; Petbundi, Phramaha Narong (1996)
- Publicationการศึกษาเชิงวิเคราะห์เรื่อง การพนันในวรรณคดีสันสกฤตและวรรณคดีบาลีรัตน์ สนแก้ว; Sonkaw, Rut (1987)วิทยานิพนธ์นี้มุ่งศึกษาความ เป็นมา แนวความคิด และผลกระทบของการ เล่นการพนัน รวมทั้งความสำคัญของการพนัน ตามที่ปรากฏในวรรณคดีสันสกฤตและบาลี ข้อมูลของการวิจัย ได้จากคัมภีร์ฤคเวท อถรรพเวท มหาภารตะ ธรรมศาสตร์ อรรถศาสตร์ ทศกุมารจริต กถาสริตสาคร พระไตรปิฎก และชาตกัฎฐกถา เป็นต้น ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า ทรรศนะ เรื่องการพนันมีมาตั้งแต่สมัยพระ เวทแล้ว โดยที่กระจัดกระจายอยู่ในคัมภีร์ต่างๆของอินเดีย การพนันถือเป็นเรื่องสำคัญที่ผูกพันกับชีวิตประจำวัน ของชาวอินเดียมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมของชาวอินเดียในฐานะที่เป็นกีฬาบันเทิงของพระราชา แต่เป็นความชั่วร้ายในแง่ของศาสนา นักการพนันมีแรงจูงใจ 2 ประการ คือ แรงจูงใจภายในจิตใจของตน เอง และแรงจูงใจจากภายนอก คือการ เห็นสมบัติและทรัพย์สิน ของผู้อื่น การเล่นการพนันมีผลกระทบต่อนักการพนัน ครอบครัวของนักการพนัน และสังคม ในด้านต่างๆ หลายด้าน โดย เฉพาะอย่างยิ่งด้านเศรษฐกิจ ส่วนความสำคัญของการพนันนั้นขึ้น อยู่กับสิ่ง 3 สิ่ง คือ เทพเจ้า พิธีกรรม และผู้นำประเทศโดยสรุป คัมภีร์ต่างๆ ที่เป็นวรรณคดีสันสกฤตและบาลีแสดงให้เห็นถึงผลร้ายที่การพนัน มีต่อการดำเนินชีวิตของตัวบุคคล ครอบครัว และสังคม บุคคลจึงไม่ควรเล่นการพนันแม้เพียง เพี่อความสนุกสนาน มีข้อเสนอแนะให้มีการศึกษา เปรียบ เทียบ เรื่องกฎหมายว่าด้วยการพนันในคัมภีร์ ธรรมศาสตร์กับกฎหมายลักษณะการพนันของไทยในสมัยรัตนโกสินทร์
- Publicationการศึกษาเชิงวิเคราะห์เรื่องน้ำโสมและเครื่องดื่มอื่นๆ ในคัมภีร์พระเวทอุดม จันทะดวง; Chantaduang, Udom (1987)
- Publicationการศึกษาเปรียบเทียบแนวคิดเรื่องพระเคราะห์ ทศา และนรลักษณ์ในคัมภีร์พฤหัตปาราศรโหราศาสตร์และตำราพรหมชาติฉบับราษฎร์ของไทยณัฐพล บ้านไร่; Banrai, Nattapaul (2019)วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อปริวรรตและแปลคัมภีร์พฤหัตปาราศรโหราศาสตร์ เฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระเคราะห์ ทศา และนรลักษณ์ จากต้นฉบับภาษาสันสกฤตเป็นภาษาไทย เพื่อนำมาศึกษาและเปรียบเทียบแนวคิดดังกล่าวในคัมภีร์พฤหัตปาราศรโหราศาสตร์และตำราพรหมชาติฉบับราษฎร์ ผลการศึกษาพบว่า ตำราพรหมชาติฉบับราษฎร์น่าจะได้รับอิทธิพลมาจากอินเดีย เนื่องจากมีแนวคิดด้านโหราศาสตร์ที่ใกล้เคียงกับคัมภีร์พฤหัตปาราศรโหราศาสตร์ โดยเฉพาะแนวคิดเรื่องพระเคราะห์ และทศา ในประเด็นแนวคิดเรื่องพระเคราะห์ ชื่อพระเคราะห์ที่ปรากฏในตำราพรหมชาติฉบับราษฎร์มีทั้งมาจากภาษาบาลีและสันสกฤต โดยส่วนใหญ่มีรากศัพท์เดียวกับคำเรียกขานพระเคราะห์ในคัมภีร์พฤหัตปาราศรโหราศาสตร์ซึ่งแต่ละชื่อมักมีความหมายที่บ่งบอกเหล่ากอ ลักษณะ และสถานภาพของพระเคราะห์แต่ละดวง หากแต่ตำราพรหมชาติฉบับราษฎร์กลับระบุว่าพระเคราะห์เกิดจากการทรงสร้างของพระอิศวร แม้ว่าพระเคราะห์ในคัมภีร์พฤหัตปาราศรโหราศาสตร์และตำราพรหมชาติฉบับราษฎร์จะมีคุณสมบัติประจำพระเคราะห์ และความสัมพันธ์ที่แตกต่างกันอยู่บ้าง แต่ในส่วนมาตรฐานพระเคราะห์นั้นมีความคล้ายคลึงกันอยู่มาก ทั้งตำแหน่งเกษตร อุจจ์ และนิจ สำหรับแนวคิดเรื่องทศา ตำราพรหมชาติฉบับราษฎร์นิยมเรียกว่า “ทักษา” ซึ่งมหาทักษาในตำราพรหมชาติฉบับราษฎร์มีความคล้ายคลึงกับอัษโฏตตรีทศาในคัมภีร์พฤหัตปาราศรโหราศาสตร์อยู่มาก ทั้งในเรื่องอายุบริบูรณ์ของทศา 108 ปี อายุพระเคราะห์ และการคำนวณหาช่วงเวลาการเสวยแทรกของพระเคราะห์ แตกต่างกันเพียงการหาพระเคราะห์ที่เริ่มต้นเสวยอายุ โดยคัมภีร์พฤหัตปาราศรโหราศาสตร์ต้องอาศัยนักษัตรฤกษ์ที่ชนมจันทร์สถิตอยู่ แต่ตำราพรหมชาติฉบับราษฎร์ใช้พระเคราะห์ประจำวันเกิดเป็นพระเคราะห์ที่เริ่มเสวยอายุทักษา ในเรื่องของการคำนวณหาช่วงเวลาการเสวยแทรกอายุทศานั้นใช้วิธีการเทียบบัญญัติไตรยางศ์คล้ายคลึงกัน แต่ในส่วนของการพยากรณ์คัมภีร์พฤหัตปาราศรโหราศาสตร์จะต้องพิจารณาถึงคุณภาพของพระเคราะห์ประกอบด้วย สำหรับเนื้อหาของคำพยากรณ์ก็พบว่าส่วนใหญ่มีความแตกต่างกัน ส่วนแนวคิดเรื่องนรลักษณ์ ทั้งการทำนายโดยอาศัยลักษณะร่างกายหรือการดูตำหนิ ไฝ ปาน พบว่าคัมภีร์พฤหัตปาราศรโหราศาสตร์มักใช้ทำนายสตรีโดยเฉพาะ แม้ว่าในช่วงท้าย อัธยายะที่ 81 และในส่วนของคำทำนายตำหนิในอัธยายะที่ 82 บางตำแหน่งปรากฏคำทำนายสำหรับบุรุษอยู่บ้างก็ตาม หากแต่ตำราพรหมชาติฉบับราษฎร์นั้นสามารถใช้ทำนายได้ทั้งชายและหญิง ในส่วนของคำทำนายพบว่ามีคำทำนายที่ดี-ไม่ดีคล้ายคลึงกันค่อนข้างมาก แต่ทว่าเนื้อหาของคำทำนายกลับมีความแตกต่างกันแทบทั้งสิ้น
- Publicationการศึกษาเปรียบเทียบเรื่องทาสในคัมภีร์พระไตรปิฎกเถรวาท คัมภีร์มานวธรรมศาสตร์และกฎหมายตราสามดวงทองสุข จารุเมธีชน; Jarumetheechon, Thongsookh (1984)
- Publicationการศึกษาราชทินนามของพระราชาคณะในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์พระมหาปกรณ์ จัดไธสง; Jadthaisong, Phramaha Pakorn (2008)วิทยานิพนธ์ฉบับนี้เป็นการศึกษาราชทินนามของพระราชาคณะในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ถึงรัชการปัจจุบัน ปีพุทธศักราช 2551 โดยได้ศึกษาประวัติความเป็นมาของราชทินนามและศึกษา โครงสร้างคำ การสร้างคำ การเรียงคำรวมทั้งศึกษาการเปลี่ยนแปลงของราชทินนาม ในด้านแนวคิดคือวิธีการตั้งราชทินนามอันเป็นเหตุให้เกิดมีราชทินนามในหลายแขนง หลายชื่อ หลายความหมาย โดยศึกษาจากราชทินนามของพระราชาคณะชั้นสามัญจนถึงสมเด็จพระราชาคณะ ทั้งหมาด 1,730 ชื่อ จากการศึกษาพบว่า ราชทินนามส่วนใหญ่มีการนำภาษาบาลีสันสกฤตมาประกอบเป็นราชทินนาม คำที่ใช้นั้นดัดแปลงให้เข้ากับภาษาไทย และเข้ากับความหมายที่ต้องการ ได้มีการนำวิธีการสมาสและสนธิมาเป็นตัวเชื่อมสร้างราชทินนามและพบว่ามีการนำเอาอุปสรรคและนิบาตซึ่งใช้ในภาษาบาลีสันสกฤตมาประกอบเข้ากับศัพท์ การเรียงคำ มีการเรียงคุณศัพท์ไว้หน้านาม เรียงนามไว้หน้าคุณศัพท์บ้าง เรียงนามกับนามด้วยกันบ้าง มีการเรียงนามไว้หน้ากริยาและมีการเรียงกริยาไว้หน้านามบ้าง มีการเรียงคุณศัพท์ไว้หน้ากริยาและมีการเรียงกริยาไว้หน้าคุณศัพท์บ้าง ส่วนวิธีการตั้งราชทินนามของพระราชาคณะนั้นพบว่า มีการนำนามของพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์มาเป็นส่วนหนึ่งของราชทินนาม มีการนำชื่อ ฉายาและราชทินนามเดิม วัดและเขตที่อยู่มาปรับแต่งเป็นชื่อราชทินนม อนึ่งได้มีการตั้งถวายพระสงฆ์ซึ่งทำหน้าที่ต่างกันในหลายแขนงได้แก่ พระสงฆ์ผู้มีหน้าที่หรือบทบาทในสายการปกครอง สายพระธรรมกถึก สายการศึกษา สายวิปัสสนา สายต่างประเทศและสายการพัฒนา ยังปรากฏมีราชทินนามพิเศษที่ได้พระราชทานแก่ พระสงฆ์ผู้เป็นพระราชวงศ์ พระสงฆ์ที่เป็นเชื้อสายมอญรามัญและเป็นกรณีพิเศษเฉพาะบางรูปและในโอกาสพิเศษอีกด้วย
- Publicationการศึกษาวิเคราะห์ดอกบัวในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาทจารวี มั่นสินธร; Monsintorn, Jarawee (2005)วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเรื่องดอกบัวที่ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท ศึกษาความเป็นมาของดอกบัว ศึกษาแนวความคิดเรื่องดอกบัวที่ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท และอิทธิพลความเชื่อเรื่องดอกบัวที่มีต่อสังคมไทยดอกบัวเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งในพระพุทธศาสนา ชาวพุทธใช้ดอกบัวเป็นสื่อในการบรรยายเรื่องราวหรือเหตุการณ์ในคัมภีร์ ซึ่งหมายถึงคุณลักษณะพิเศษที่แฝงมากับดอกบัวลักษณะพิเศษของดอกบัวคือ เกิดในน้ำ เติบโตในน้ำ เจริญในน้ำ แต่ไม่แปดเปื้อนน้ำ ชาวพุทธถือว่านี่คือพระพุทธลักษณะที่ทรงอุบัติในโลก แต่ไม่ถูกครอบงำด้วยโลกธรรม ได้แก่ การมีลาภ การเสื่อมลาภ การมียศ การเสื่อมยศ การถูกนินทา การได้รับคำยกย่อง การมีสุข และการมีทุกข์ความเชื่อที่เนื่องด้วยพระพุทธศาสนา ซึมซาบและได้ฝังรากลึกเป็นรากฐานของวัฒนธรรมไทย ปรากฏให้เห็นในศิลปวัฒนธรรมหลายด้าน ดอกบัวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนาก็ได้ปรากฏในศิลปวัฒนธรรมไทย ทั้งในด้านวรรณกรรม สถาปัตยกรรม ประติมากรรมและจิตรกรรม นอกจากนี้ คนไทยรู้จักประโยชน์ของดอกบัวด้านการแพทย์ และในฐานะให้คุณค่าด้านโภชนาหารอีกด้วยชาวพุทธใช้ดอกบัวเป็นสื่อในการพรรณนาเรื่องราวและเหตุการณ์ เพราะชาวพุทธถือว่าดอกบัวเป็นสัญลักษณ์แห่งความงาม ความสะอาดบริสุทธิ์ และการตรัสรู้ธรรม
- Publicationการศึกษาวิเคราะห์โรคและพืชสมุนไพรในคัมภีร์จรกสัมหิตาอุเทน วงศ์สถิตย์ (2015)
- Publicationการศึกษาสถานภาพของครูและศิษย์ในคัมภีร์ธรรมศาสตร์วีรยุทธ เอกพันธ์; Eggapun, Weerayud (1985)ทัศนะเรื่องครูและศิษย์ที่ปรากฏในคัมภีร์ต่างๆ ของอินเดียนั้นมีมาตั้งแต่สมัยพระเวทแล้ว แต่ปรากฏในลักษณะที่กระจัดกระจายกันอยู่ คัมภีร์ธรรมศาสตร์ต่างๆ อันถือว่าเป็นบันทึกที่สำคัญที่สุดของสังคมอินเดียโบราณในยุคที่พราหมณ์มีอำนาจสูงสุด ส่วนหนึ่งได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับพราหมณ์ในด้านความเป็นครูและความสัมพันธ์ที่มีต่อศิษย์ไว้เป็นอันมาก และพราหมณ์เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์และดำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมของอินเดีย และมีความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมของไทยมาแต่สมัยโบราณในฐานะผู้ประกอบพระราชพิธีต่างๆ แต่ว่าหน้าที่อันแท้จริงของพราหมณ์คือการเป็นครู ซึ่งยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายในเมืองไทยเหมือนหน้าที่ในการประกอบพระราชพิธีต่างๆ คัมภีร์ธรรมศาสตร์เป็นหลักฐานสำคัญที่น่าสนใจ ควรแก่การศึกษาวิเคราะห์วิจัยในส่วนที่เกี่ยวกับครูและศิษย์ให้แจ่มแจ้ง ผู้วิจัยจึงได้รวบรวมข้อมูลจากคัมภีร์ธรรมศาสตร์ฉบับต่างๆ ที่เป็นภาษาสันสกฤตและเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องแล้วศึกษาวิจัยจนได้ผลอันเด่นชัดว่า ครูมีความจำเป็นต่อระบบการศึกษาของอินเดียโบราณ ความสำคัญของครูอยู่ที่ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ คือการถ่ายทอดความรู้ให้แก่ศิษย์ ตามหลักฐานที่ปรากฏในคัมภีร์ธรรมศาสตร์ ครูต้องเป็นพราหมณ์เท่านั้น ครูที่เป็นกษัตริย์หรือไวศยะก็มีบ้าง แต่น้อยและไม่เป็นที่นิยม เนื่องจากครูเป็นผู้ที่อยู่ในวรรณะสูง ครูจึงเป็นผู้ที่สังคมให้เกียรติอย่างสูง เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า ผู้ใดจะดูหมิ่นเหยียดหยามครูไม่ได้ ทุกคนต้องให้ความเคารพครู ชีวิตครูขึ้นกับบุคคลอื่น จึงไม่มีหลักเกณฑ์ที่แน่นอนเกี่ยวกับรายได้ของครู รายได้ที่เป็นวัตถุสิ่งของอาจจะไม่มีมากนัก แต่ผลที่ได้ทางด้านจิตใจนั้น ครูได้รับความเคารพนับถือเหมือนเทพเจ้า ความสัมพันธ์ของครูกับศิษย์เป็นความสัมพันธ์อันใกล้ชิดเหมือนบิดากับบุตร ศิษย์ต้องอาศัยในบ้านของครู ครูจะสอนวิชาความรู้ให้เมื่อมีความพอใจและมีเวลาว่าง ครูจะไม่สอนแก่บุคคลที่ไม่คุ้นเคย ดังนั้นจึงมีหลักปฏิบัติมากมายสำหรับศิษย์ เพื่อทำให้ครูถ่ายทอดความรู้ให้ด้วยความเต็มใจ ครูเองก็ปฏิบัติต่อศิษย์เหมือนศิษย์เป็นบุคคลในครอบครัวของตน เมื่อศิษย์มีความผิดก็ตำหนิลงโทษตามความเหมาะสม ศิษย์ผู้อยู่ในวัยเรียนได้รับเกียรติในสังคมอินเดียโบราณเป็นอย่างดี แต่ศิษย์ผู้เรียนสำเร็จและผ่านพิธีสนานเป็นสนาตกะแล้วจะได้รับเกียรติสูงกว่าศิษย์ผู้อยู่ในวัยเรียน ในด้านบทบาทการสั่งสอนวิชาความรู้แก่ศิษย์นั้นคล้ายคลึงกับระบบการเรียนการสอนของไทยสมัยโบราณ มีการหวงวิชาความรู้ไว้เพื่อถ่ายทอดแก่ศิษย์ผู้ใกล้ชิดโดยใช้วิธีถ่ายทอดแบบสอนปากเปล่า หลักปฏิบัติต่างๆ ของศิษย์ เช่น การหาน้ำ การนวดให้ครู ตลอดจนมารยาทในการนั่ง นอน ยืน และอื่นๆ ก็มีส่วนคล้ายคลึงกัน สำหรับส่วนที่แตกต่างกันคือคนในสังคมไทยมีโอกาสได้ศึกษาเล่าเรียนโดยไม่ถูกจำกัดด้วยวรรณะเหมือนระบบการศึกษาของอินเดียโบราณและครูที่ปรากฏหลักฐานในคัมภีร์ธรรมศาสตร์เป็นครูอาชีพ กำหนดว่าเป็นหน้าที่หลักของพราหมณ์แต่ครูของไทยสมัยโบราณไม่ปรากฏมีครูอาชีพ ผู้มีความรู้สามารถตั้งตัวเป็นครูได้ตามแต่สังคมจะยอมรับว่ามีความสามารถเพียงใดหรือไม่มากกว่า.
- Publicationความสัมพันธ์ระหว่างเกณฑ์การจัดหมู่อัญมณีในยุกติกัลปตรุของโภชะกับหลักอายุรเวทอรุณวรรณ คงมีผล; Kongmebhol, Aroonwan (2022)ในรัตนปรีกษาฉบับยุกติกัลปตรุซึ่งประพันธ์โดยพระเจ้าโภชะ อัญมณีส าคัญบางชนิดได้รับการจัดหมู่โดยใช้เกณฑ์หลายรูปแบบเกณฑ์ส่วนใหญ่อ้างถึงแนวคิดทางอายุรเวท ซึ่งจ าเป็นต้องมีการศึกษาค้นคว้าเพื่อพิสูจน์ความเที่ยงตรงของข้อมูล บทความวิจัยนี้มุ่งศึกษาเกณฑ์การจัดหมู่อัญมณีประเภทเพชรและไข่มุกในรัตนปรีกษาฉบับยุกติกัลปตรุโดยเน้นเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับหลักวิชาอายุรเวทและศึกษาในแง่ของลักษณะการจัดหมู่ภายในตัวบทและความเชื่อมโยงระหว่างตัวบทกับหลักวิชาอายุรเวทผลการศึกษาแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างการจัดหมู่อัญมณีกับหลักการพื้นฐานของอายุรเวทอย่างมีนัยส าคัญได้แก่ปัญจมหาภูตะตริโทษะรวมถึงวรรณะ4 ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับพื้นฐานของอายุรเวทได้ด้วยส่วนความคลาดเคลื่อนของการน าเสนอข้อมูลพบค่อนข้างน้อย ลักษณะเช่นนี้แสดงว่าผู้แต่งยุกติกัลปตรุมีแนวโน้มที่พยายามน าหลักอายุรเวทมาประยุกต์ใช้กับการตรวจสอบคุณสมบัติของอัญมณีอีกทั้งสะท้อนธรรมชาติของงานนิพนธ์ประเภทศาสตร์ของอินเดียที่ผสมผสานความรู้ต่างสาขาเข้ากับความรู้มูลฐาน เพื่อให้การศึกษาความรู้มูลฐานเป็นไปโดยกระจ่างและลึกซึ้ง
- Publicationความสําคัญของไข่มุกในตํารานีติศาสตร์อินเดีย มานโสลลาสะอรุณวรรณ คงมีผล; Kongmebhol, Aroonwan (2022)บทความนี้มุ่งศึกษาบทประพันธ์คัดสรรเกี่ยวกับไข่มุกจากตํารานีติศาสตร์อินเดียภาษาสันสกฤต "มานโสลลาสะ" ซึ่งเชื่อกันว่าพระเจ้าโสเมศวระที่ 3แห่งราชวงศ์จาลุกยะเป็นผู้ประพันธ์บทประพันธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของบทบัญญัติว่าด้วยขุมทรัพย์ เนื้อหาสาระอธิบายความสําคัญของขุมทรัพย์ทางทะเลโดยอ้างถึงคติเรื่องมหาสมุทรในทางจักรวาลวิทยาและเทพปกรณัมฮินดูประเด็นที่น่าสนใจคือ เนื้อหาของบทประพันธ์ช่วยเสริมมุมมองความคิดเรื่องคุณค่าของไข่มุกในศาสตร์แห่งอัญมณีอินเดียโบราณ สามารถอธิบายเหตุที่ทําให้ไข่มุกได้รับความนิยมอย่างสูงในวรรณคดีอินเดีย อีกทั้งยังสะท้อนความสําคัญของไข่มุกด้านเศรษฐกิจในสมัยของผู้ประพันธ์นอกจากนี้ผู้เขียนบทความได้เสนอว่า สาระของคําอธิบายเรื่องขุมทรัพย์ทางทะเลอาจสัมพันธ์กับการกําหนดมาตรฐานการชั่งตวงวัดและราคาอัญมณี ซึ่งปรากฏเฉพาะในเรื่องการตรวจสอบไข่มุก(มุกตาปรีกษา) เพียงเรื่องเดียว ไม่พบในการตรวจสอบอัญมณีประเภทอื่นในการศึกษาครั้งนี้ผู้เขียนได้สอบเทียบตัวบทงานนิพนธ์ดั้งเดิมที่เป็นฉบับพิมพ์ 2ฉบับ และแปลเป็นภาษาไทย นําเสนอไว้ในบทความนี้ด้วยเพื่อประโยชน์ในทางวิชากา
- Publicationนิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎกกิตติ กันภัย (2014)
- Publicationบทบาทของสตรีในวรรณคดีบาลีเปรม หิมจันทร์; Himachandra, Prem (1978)
- Publicationบทบาทและฐานะสตรีในมหาภารตะภิญโญ บุญทอง; Boonthong, Pinyo (1980)วิทยานิพนธ์เรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะศึกษารวบรวมและวิเคราะห์เรื่องราวของสตรี เกี่ยวกับพฤติกรรม และบทบาทตามฐานะต่างๆ จากกาพย์มหาภารตะ วิทยานิพนธ์แบ่งออกเป็น 4 บท บทแรกเป็นบทนำ ซึ่งกล่าวถึงความเป็นมาของปัญหา ตลอดจนวิธีดำเนินการวิจัย บทที่ 2 กล่าวถึงเรื่องมหาภารตะ โดยแยกกล่าวเป็น 3 หัวข้อ คือ ความเป็นมายุคสมัยของการแต่ง ตัวเรื่อง และแบบลักษณะทั่วๆไปของสตรี บทที่ 3 กล่าวถึงบทบาทสตรีในฐานะลูก คนรัก ภรรยา สะใภ้ มารดา ชู้ และผู้บำเพ็ญพรต บทที่ 4 เป็นบทสรุปและข้อเสนอแนะ ผลการวิจัยทำให้ทราบว่า สตรีในมหาภารตะ เมื่อพิจารณาจากความเป็นมาต่างๆ แล้ว แบ่งออกเป็น 5 ประเภทคือ ประเภทที่ 1 เทวี และสตรีที่เป็นบุคคลาธิษฐาน กวีตั้งขึ้นจากธรรมชาติ นามธรรม และอาการนาม ประเภทที่ 2 เทวี ผู้เป็นชายาของเทวะ และเทพธิดา ประเภทที่ 3 นางอัปสร ประเภทที่ 4 สตรีที่ให้กำเนิดสัตว์ พืช และที่เป็นลูกเมียของสัตว์ ประเภทที่ 5 นางมนุษย์ ประเภทนี้ผู้วิจัยได้หยิบยกสตรีที่สำคัญๆ มาศึกษาวิจัยตามฐานะต่างๆ อีกครั้งหนึ่งด้วย
- Publicationบริบทของดอกบัวในพระไตรปิฎกณัฎฐาพรรณ กรรภิรมย์พชิรา; พระศรีวินยาภรณ์; Kanpirompachira, Nattapan; Phrasrivinayaphon (2020)บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 2ประการคือ 1)เพื่อศึกษาความหมายและสัญญาลักษณ์ของดอกบัวที่ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎก2)เพื่อศึกษาวิเคราะห์บริบทของดอกบัวในคัมภีร์พระไตรปิฎกเป็นบทความเชิงเอกสาร ผลการศึกษาพบว่า บริบทของดอกบัวในพระไตรปิฎกนั้น นับเป็นดอกไม้ที่มีสัญลักษณ์ในทางพระพุทธศาสนาที่มีคุณประโยชน์สําคัญมากมายหลายประการ ด้วยคุณสมบัติของบัวเอง นอกจากนี้ เราใช้ดอกบัวในการบูชาพระแล้ว ดอกบัวยังมีคุณสมบัติที่เป็นสมุนไพรในการรักษาโรค ส่วนประกอบของบัวสามารถนํามาใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วน หากเมื่อเราย้อนคิดกลับไปถึงการที่พระพุทธเจ้าทรงเปรียบดอกบัวในหลายเรื่องราว นับได้ว่า ดอกบัวเป็นพันธุ์ไม้น้ําที่มีความสําคัญต่อชีวิตมนุษย์มากมายเลยทีเดียว
- Publicationพระพิฆเนศวร "เจ้าผู้มีอำนาจเหนืออุปสรรค"จิรพัฒน์ ประพันธ์วิทยา (คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต, 2009)