วัฒนธรรมภารตะ
Permanent URI for this collection
บทความวิจัย บทความวิชาการ รายงานการวิจัย วิทยานิพนธ์ สารนิพนธ์ และหนังสือเกี่ยวกับวัฒนธรรมอินเดียโบราณ พระเวท ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาพุทธ
Browse
Browsing วัฒนธรรมภารตะ by Issue Date
Now showing 1 - 20 of 39
Results Per Page
Sort Options
- Publicationภาษาสันสกฤตและลัทธิมหายานในเมืองไทยม.ร.ว. พันธุ์ทิพย์ บริพัตร (โรงพิมพ์กรุงสยามการพิมพ์, 1969)
- Publicationบทบาทของสตรีในวรรณคดีบาลีเปรม หิมจันทร์; Himachandra, Prem (1978)
- Publicationวรรณะศูทรในสมัยพระเวทจริยา เจรีรัตน์; Jereerad, Jariya (1979)วิทยานิพนธ์นี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษารวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับวรรณะศูทร ในสมัยพระเวท คือ นับตั้งแต่สมัยแรกที่ชาวอารยันอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย เมื่อประมาณ 3500 ปีมาแล้ว จนกระทั่งชาวอารยันเหล่านี้ได้อพยพไปทางทิศตะวันออกและตังหลักแหล่งอยู่ในบริเวณที่ราบตอนกลางของประเทศ ในสมัยดังกล่าวนี้ปรากฏว่า วรรณะศูทรเป็นวรรณะที่สี่ของสังคมอินเดีย และมีเรื่องราวกล่าวถึงในคัมภีร์ต่างๆ ในสมัยนั้น นอกจากนี้ ผู้วิจัยยังได้รวบรวมข้อมูลและแนวความคิดต่างๆเกี่ยวกับระบบวรรณะ และโดยเฉพาะวรรณะศูทรเท่าที่จะค้นได้จากคัมภีร์พระไตรปิฎก และได้ค้นคว้าศึกษาบทความและแนวความคิดเห็นต่างๆ ของนักปราชญ์สมัยปัจจุบัน ทั้งชาวอินเยและชาวต่างประเทศอื่นๆ เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับแนวความคิดที่ปรากฏในวรรณคดีสันสกฤตโดยตรง เพื่อทำให้ความรู้ที่ได้เกี่ยวกับวรรณะศูทรสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้ วิทยานิพนธ์นี้แบ่งออกเป็น 5 บท บทแรกเป็นบทนำ กล่าวถึงหัวข้อวิทยานิพนธ์ความเป็นมาของปัญหา และวิธีดำเนินการวิจัย บทที่ 2 กล่าวถึงระบบวรรณะของสังคมอินเดียโดยสังเขป ปละประวัติความเป็นมาของวรรณะศูทร บทที่ 3 วิเคราะห์ฐานะทางสังคมของวรรณะศูทร จากคัมภีร์สังหิตา หราหมณะ อุปนิษัท และคัมภีร์สูตรต่างๆ รวมทั้งเสนอความคิดเกี่ยวกับระบบวรรณะ และวรรณะศูทร จากคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา คือ พระไตรปิฎก บทที่ 4 กล่าวถึงชีวิตวามเป็นอยู่ หน้าที่อาชีพ การแต่งงาน ตลอดจนอุดมคติในการดำเนินชีวิตของศูทร บทสุดท้ายเป็นบทสรุปและข้อเสนอแนะ โดยที่วิทยานิพนธ์เรื่องนี้เป็นผลการศึกษาและวิจัยเรื่องของวรรณะศูทรจาก วรรณคดีสันสกฤตที่เป็นผลงานของบุคคลในวรรณะพราหมณ์ และเป็นงานที่ถือเอาศาสนาเป็นแกนกลาง ผู้วิจัยจึงเสนอให้มีการศึกษาเรื่องราวของวรรณะศูทรจากวรรณคดีสันสกฤตอื่นๆ ที่ผู้ประพันธ์อาศัยหลักการอื่นที่มิใช่ศาสนาเป็นหลักสำคัญ เช่น อรรถศาสตร์ที่เกาฏิลยะเป็นผู้แต่ง หรือจากวรรณคดีบาลี เช่น อรรถกถาธรรมบทและชาดก เป็นต้น งานวิจัยเรื่องนี้แสดงว่า ศูทรส่วนใหญ่ของอินเดียสมัยโบราณเป็นชาวพื้นเมืองอินเดียที่ต้องตกเป็นเชลยของชาวอารยัน ชนพวกนี้ในครั้งนั้นมีอารยธรรมสูงกว่าชาวอารยัน และมีรูปร่างลักษณะต่างกับชาวอารยันโดยเฉพาะที่มีกล่าวในวรรณคดีสันสกฤต คือมีผิวดำ และจมูกแบน ชนพวกนี้ต้องเข้ามาอยู่ร่วมในสังคมอารยันในฐานะทาส แต่ก็ถูกกีดกันไม่ให้เข้าร่วมพิธีทางศาสนา การแต่งงานระหว่างบุคคลในวรรณะศูทรกับชาวอารยันก็ถูกห้ามอย่างเด็ดขาด นอกจากนี้ ศูทรยังถูกจำกัดสิทธิและถูกบีบคั้นนานาประการ อย่างไรก็ตาม ก็มีข้อความบางตอนที่แสดงถึงความเห็นใจศูทรอยู่บ้าง เช่น ศูทรที่อยู่กับนายมานานแล้ว เมื่อแก่ตัวลงผู้เป็นนายก็จะต้องให้ความอุปการะเลี้ยงดู ส่วนฐานของศูทรในสังคมพุทธศาสนาโดยทั่วไปแล้ว ดีกว่าที่ปรากฏในวรรณคดีสันสกฤตมาก
- Publicationบทบาทและฐานะสตรีในมหาภารตะภิญโญ บุญทอง; Boonthong, Pinyo (1980)วิทยานิพนธ์เรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะศึกษารวบรวมและวิเคราะห์เรื่องราวของสตรี เกี่ยวกับพฤติกรรม และบทบาทตามฐานะต่างๆ จากกาพย์มหาภารตะ วิทยานิพนธ์แบ่งออกเป็น 4 บท บทแรกเป็นบทนำ ซึ่งกล่าวถึงความเป็นมาของปัญหา ตลอดจนวิธีดำเนินการวิจัย บทที่ 2 กล่าวถึงเรื่องมหาภารตะ โดยแยกกล่าวเป็น 3 หัวข้อ คือ ความเป็นมายุคสมัยของการแต่ง ตัวเรื่อง และแบบลักษณะทั่วๆไปของสตรี บทที่ 3 กล่าวถึงบทบาทสตรีในฐานะลูก คนรัก ภรรยา สะใภ้ มารดา ชู้ และผู้บำเพ็ญพรต บทที่ 4 เป็นบทสรุปและข้อเสนอแนะ ผลการวิจัยทำให้ทราบว่า สตรีในมหาภารตะ เมื่อพิจารณาจากความเป็นมาต่างๆ แล้ว แบ่งออกเป็น 5 ประเภทคือ ประเภทที่ 1 เทวี และสตรีที่เป็นบุคคลาธิษฐาน กวีตั้งขึ้นจากธรรมชาติ นามธรรม และอาการนาม ประเภทที่ 2 เทวี ผู้เป็นชายาของเทวะ และเทพธิดา ประเภทที่ 3 นางอัปสร ประเภทที่ 4 สตรีที่ให้กำเนิดสัตว์ พืช และที่เป็นลูกเมียของสัตว์ ประเภทที่ 5 นางมนุษย์ ประเภทนี้ผู้วิจัยได้หยิบยกสตรีที่สำคัญๆ มาศึกษาวิจัยตามฐานะต่างๆ อีกครั้งหนึ่งด้วย
- Publicationหงส์ในวรรณคดีสันสกฤตและบาลีละเอียด วัฒนไพศาล; Vatanapaisal, La-eaid (1982)
- Publicationพฤติกรรมของสัตว์ในชาตกัฏฐกถา : การศึกษาเชิงวิเคราะห์สมพงษ์ โอศรีสกุล; Osrisakun, Sompong (1982)วิทยานิพนธ์เรื่องนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและรวบรวมพฤติกรรมของสัตว์ที่ปรากฏในชาตกัฏฐกถา รวมทั้งคติธรรมคำสอนที่ได้จากพฤติกรรมของสัตว์ ในการศึกษาและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของสัตว์นี้ ผู้วิจัยได้รวบรวมจากหนังสือชาตกัฏฐกถาฉบับสยามรัฐของมหามกุฎราชวิทยาลัย ซึ่งเป็นภาษาบาลีพิมพ์ด้วยอักษรไทย พิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2465 – 2467 จำนวน 10 เล่มเป็นหลักสำคัญในการค้นคว้า วิทยานิพนธ์นี้มี 6 บทด้วยกันบทที่ 1 เป็นบทนำซึ่งกล่าวถึงความเป็นมาของปัญหาวัตถุประสงค์แลวิธีการดำเนินการวิจัย บทที่ 2 ว่าด้วยความหมายและลักษณะของชาตกัฏฐกถา บทที่ 3 ว่าด้วยบทบาทสำคัญและพฤติกรรมของสัตว์ในชาตกัฏฐกถา บทที่ 4 ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างสัตว์ในชาตกัฏฐกถากับมนุษย์ บทที่ 5 ว่าด้วยการศึกษาสัตว์ในชาตกัฏฐกถาเชิงวรรณคดีสัมพันธ์ และบทที่ 6 เป็นบทสรุปและข้อเสนอแนะ จากการวิจัยนี้ แสดงให้เห็นว่าพฤติกรรมของสัตว์ที่ปรากฏในชาตกัฏฐกถาไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมที่ประกอบด้วยคุณธรรม หรือพฤติกรรมที่ขาดคุณธรรม แท้ที่จริงก็คือพฤติกรรมของมนุษย์นั่นเอง เพียงแต่เอาสัตว์มาแสดงพฤติกรรมแทนพฤติกรรมของมนุษย์เท่านั้น
- Publicationการศึกษาเปรียบเทียบเรื่องทาสในคัมภีร์พระไตรปิฎกเถรวาท คัมภีร์มานวธรรมศาสตร์และกฎหมายตราสามดวงทองสุข จารุเมธีชน; Jarumetheechon, Thongsookh (1984)
- Publicationการศึกษาสถานภาพของครูและศิษย์ในคัมภีร์ธรรมศาสตร์วีรยุทธ เอกพันธ์; Eggapun, Weerayud (1985)ทัศนะเรื่องครูและศิษย์ที่ปรากฏในคัมภีร์ต่างๆ ของอินเดียนั้นมีมาตั้งแต่สมัยพระเวทแล้ว แต่ปรากฏในลักษณะที่กระจัดกระจายกันอยู่ คัมภีร์ธรรมศาสตร์ต่างๆ อันถือว่าเป็นบันทึกที่สำคัญที่สุดของสังคมอินเดียโบราณในยุคที่พราหมณ์มีอำนาจสูงสุด ส่วนหนึ่งได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับพราหมณ์ในด้านความเป็นครูและความสัมพันธ์ที่มีต่อศิษย์ไว้เป็นอันมาก และพราหมณ์เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์และดำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมของอินเดีย และมีความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมของไทยมาแต่สมัยโบราณในฐานะผู้ประกอบพระราชพิธีต่างๆ แต่ว่าหน้าที่อันแท้จริงของพราหมณ์คือการเป็นครู ซึ่งยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายในเมืองไทยเหมือนหน้าที่ในการประกอบพระราชพิธีต่างๆ คัมภีร์ธรรมศาสตร์เป็นหลักฐานสำคัญที่น่าสนใจ ควรแก่การศึกษาวิเคราะห์วิจัยในส่วนที่เกี่ยวกับครูและศิษย์ให้แจ่มแจ้ง ผู้วิจัยจึงได้รวบรวมข้อมูลจากคัมภีร์ธรรมศาสตร์ฉบับต่างๆ ที่เป็นภาษาสันสกฤตและเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องแล้วศึกษาวิจัยจนได้ผลอันเด่นชัดว่า ครูมีความจำเป็นต่อระบบการศึกษาของอินเดียโบราณ ความสำคัญของครูอยู่ที่ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ คือการถ่ายทอดความรู้ให้แก่ศิษย์ ตามหลักฐานที่ปรากฏในคัมภีร์ธรรมศาสตร์ ครูต้องเป็นพราหมณ์เท่านั้น ครูที่เป็นกษัตริย์หรือไวศยะก็มีบ้าง แต่น้อยและไม่เป็นที่นิยม เนื่องจากครูเป็นผู้ที่อยู่ในวรรณะสูง ครูจึงเป็นผู้ที่สังคมให้เกียรติอย่างสูง เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า ผู้ใดจะดูหมิ่นเหยียดหยามครูไม่ได้ ทุกคนต้องให้ความเคารพครู ชีวิตครูขึ้นกับบุคคลอื่น จึงไม่มีหลักเกณฑ์ที่แน่นอนเกี่ยวกับรายได้ของครู รายได้ที่เป็นวัตถุสิ่งของอาจจะไม่มีมากนัก แต่ผลที่ได้ทางด้านจิตใจนั้น ครูได้รับความเคารพนับถือเหมือนเทพเจ้า ความสัมพันธ์ของครูกับศิษย์เป็นความสัมพันธ์อันใกล้ชิดเหมือนบิดากับบุตร ศิษย์ต้องอาศัยในบ้านของครู ครูจะสอนวิชาความรู้ให้เมื่อมีความพอใจและมีเวลาว่าง ครูจะไม่สอนแก่บุคคลที่ไม่คุ้นเคย ดังนั้นจึงมีหลักปฏิบัติมากมายสำหรับศิษย์ เพื่อทำให้ครูถ่ายทอดความรู้ให้ด้วยความเต็มใจ ครูเองก็ปฏิบัติต่อศิษย์เหมือนศิษย์เป็นบุคคลในครอบครัวของตน เมื่อศิษย์มีความผิดก็ตำหนิลงโทษตามความเหมาะสม ศิษย์ผู้อยู่ในวัยเรียนได้รับเกียรติในสังคมอินเดียโบราณเป็นอย่างดี แต่ศิษย์ผู้เรียนสำเร็จและผ่านพิธีสนานเป็นสนาตกะแล้วจะได้รับเกียรติสูงกว่าศิษย์ผู้อยู่ในวัยเรียน ในด้านบทบาทการสั่งสอนวิชาความรู้แก่ศิษย์นั้นคล้ายคลึงกับระบบการเรียนการสอนของไทยสมัยโบราณ มีการหวงวิชาความรู้ไว้เพื่อถ่ายทอดแก่ศิษย์ผู้ใกล้ชิดโดยใช้วิธีถ่ายทอดแบบสอนปากเปล่า หลักปฏิบัติต่างๆ ของศิษย์ เช่น การหาน้ำ การนวดให้ครู ตลอดจนมารยาทในการนั่ง นอน ยืน และอื่นๆ ก็มีส่วนคล้ายคลึงกัน สำหรับส่วนที่แตกต่างกันคือคนในสังคมไทยมีโอกาสได้ศึกษาเล่าเรียนโดยไม่ถูกจำกัดด้วยวรรณะเหมือนระบบการศึกษาของอินเดียโบราณและครูที่ปรากฏหลักฐานในคัมภีร์ธรรมศาสตร์เป็นครูอาชีพ กำหนดว่าเป็นหน้าที่หลักของพราหมณ์แต่ครูของไทยสมัยโบราณไม่ปรากฏมีครูอาชีพ ผู้มีความรู้สามารถตั้งตัวเป็นครูได้ตามแต่สังคมจะยอมรับว่ามีความสามารถเพียงใดหรือไม่มากกว่า.
- Publicationการศึกษาเชิงวิเคราะห์เรื่องน้ำโสมและเครื่องดื่มอื่นๆ ในคัมภีร์พระเวทอุดม จันทะดวง; Chantaduang, Udom (1987)
- Publicationการศึกษาเชิงวิเคราะห์เรื่อง การพนันในวรรณคดีสันสกฤตและวรรณคดีบาลีรัตน์ สนแก้ว; Sonkaw, Rut (1987)วิทยานิพนธ์นี้มุ่งศึกษาความ เป็นมา แนวความคิด และผลกระทบของการ เล่นการพนัน รวมทั้งความสำคัญของการพนัน ตามที่ปรากฏในวรรณคดีสันสกฤตและบาลี ข้อมูลของการวิจัย ได้จากคัมภีร์ฤคเวท อถรรพเวท มหาภารตะ ธรรมศาสตร์ อรรถศาสตร์ ทศกุมารจริต กถาสริตสาคร พระไตรปิฎก และชาตกัฎฐกถา เป็นต้น ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า ทรรศนะ เรื่องการพนันมีมาตั้งแต่สมัยพระ เวทแล้ว โดยที่กระจัดกระจายอยู่ในคัมภีร์ต่างๆของอินเดีย การพนันถือเป็นเรื่องสำคัญที่ผูกพันกับชีวิตประจำวัน ของชาวอินเดียมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมของชาวอินเดียในฐานะที่เป็นกีฬาบันเทิงของพระราชา แต่เป็นความชั่วร้ายในแง่ของศาสนา นักการพนันมีแรงจูงใจ 2 ประการ คือ แรงจูงใจภายในจิตใจของตน เอง และแรงจูงใจจากภายนอก คือการ เห็นสมบัติและทรัพย์สิน ของผู้อื่น การเล่นการพนันมีผลกระทบต่อนักการพนัน ครอบครัวของนักการพนัน และสังคม ในด้านต่างๆ หลายด้าน โดย เฉพาะอย่างยิ่งด้านเศรษฐกิจ ส่วนความสำคัญของการพนันนั้นขึ้น อยู่กับสิ่ง 3 สิ่ง คือ เทพเจ้า พิธีกรรม และผู้นำประเทศโดยสรุป คัมภีร์ต่างๆ ที่เป็นวรรณคดีสันสกฤตและบาลีแสดงให้เห็นถึงผลร้ายที่การพนัน มีต่อการดำเนินชีวิตของตัวบุคคล ครอบครัว และสังคม บุคคลจึงไม่ควรเล่นการพนันแม้เพียง เพี่อความสนุกสนาน มีข้อเสนอแนะให้มีการศึกษา เปรียบ เทียบ เรื่องกฎหมายว่าด้วยการพนันในคัมภีร์ ธรรมศาสตร์กับกฎหมายลักษณะการพนันของไทยในสมัยรัตนโกสินทร์
- Publicationอินเดียแดนพุทธภูมิ / โดย ฉายา แฮสเนอร์ (งานแปล)จิรพัฒน์ ประพันธ์วิทยา (มีเดีย ทรานส์เอเซีย, 1988)
- Publicationอินเดียสมัยพุทธกาลและภาษาสันกฤตกับภาษาบาลีกรุณา-เรืองอุไร กุศลาศัย (มหาจุฬาบรรณาคาร, 1989)
- Publicationการศึกษาเชิงวิเคราะห์บทบาทของหญิงร้ายในชาตกัฏฐกถาพระมหาณรงค์ เพชรบุญดี; Petbundi, Phramaha Narong (1996)
- Publicationการศึกษาวิเคราะห์ดอกบัวในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาทจารวี มั่นสินธร; Monsintorn, Jarawee (2005)วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเรื่องดอกบัวที่ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท ศึกษาความเป็นมาของดอกบัว ศึกษาแนวความคิดเรื่องดอกบัวที่ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท และอิทธิพลความเชื่อเรื่องดอกบัวที่มีต่อสังคมไทยดอกบัวเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งในพระพุทธศาสนา ชาวพุทธใช้ดอกบัวเป็นสื่อในการบรรยายเรื่องราวหรือเหตุการณ์ในคัมภีร์ ซึ่งหมายถึงคุณลักษณะพิเศษที่แฝงมากับดอกบัวลักษณะพิเศษของดอกบัวคือ เกิดในน้ำ เติบโตในน้ำ เจริญในน้ำ แต่ไม่แปดเปื้อนน้ำ ชาวพุทธถือว่านี่คือพระพุทธลักษณะที่ทรงอุบัติในโลก แต่ไม่ถูกครอบงำด้วยโลกธรรม ได้แก่ การมีลาภ การเสื่อมลาภ การมียศ การเสื่อมยศ การถูกนินทา การได้รับคำยกย่อง การมีสุข และการมีทุกข์ความเชื่อที่เนื่องด้วยพระพุทธศาสนา ซึมซาบและได้ฝังรากลึกเป็นรากฐานของวัฒนธรรมไทย ปรากฏให้เห็นในศิลปวัฒนธรรมหลายด้าน ดอกบัวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนาก็ได้ปรากฏในศิลปวัฒนธรรมไทย ทั้งในด้านวรรณกรรม สถาปัตยกรรม ประติมากรรมและจิตรกรรม นอกจากนี้ คนไทยรู้จักประโยชน์ของดอกบัวด้านการแพทย์ และในฐานะให้คุณค่าด้านโภชนาหารอีกด้วยชาวพุทธใช้ดอกบัวเป็นสื่อในการพรรณนาเรื่องราวและเหตุการณ์ เพราะชาวพุทธถือว่าดอกบัวเป็นสัญลักษณ์แห่งความงาม ความสะอาดบริสุทธิ์ และการตรัสรู้ธรรม
- Publicationภารตวิทยากรุณา กุศลาสัย (ศยาม, 2007)
- Publicationการศึกษาราชทินนามของพระราชาคณะในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์พระมหาปกรณ์ จัดไธสง; Jadthaisong, Phramaha Pakorn (2008)วิทยานิพนธ์ฉบับนี้เป็นการศึกษาราชทินนามของพระราชาคณะในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ถึงรัชการปัจจุบัน ปีพุทธศักราช 2551 โดยได้ศึกษาประวัติความเป็นมาของราชทินนามและศึกษา โครงสร้างคำ การสร้างคำ การเรียงคำรวมทั้งศึกษาการเปลี่ยนแปลงของราชทินนาม ในด้านแนวคิดคือวิธีการตั้งราชทินนามอันเป็นเหตุให้เกิดมีราชทินนามในหลายแขนง หลายชื่อ หลายความหมาย โดยศึกษาจากราชทินนามของพระราชาคณะชั้นสามัญจนถึงสมเด็จพระราชาคณะ ทั้งหมาด 1,730 ชื่อ จากการศึกษาพบว่า ราชทินนามส่วนใหญ่มีการนำภาษาบาลีสันสกฤตมาประกอบเป็นราชทินนาม คำที่ใช้นั้นดัดแปลงให้เข้ากับภาษาไทย และเข้ากับความหมายที่ต้องการ ได้มีการนำวิธีการสมาสและสนธิมาเป็นตัวเชื่อมสร้างราชทินนามและพบว่ามีการนำเอาอุปสรรคและนิบาตซึ่งใช้ในภาษาบาลีสันสกฤตมาประกอบเข้ากับศัพท์ การเรียงคำ มีการเรียงคุณศัพท์ไว้หน้านาม เรียงนามไว้หน้าคุณศัพท์บ้าง เรียงนามกับนามด้วยกันบ้าง มีการเรียงนามไว้หน้ากริยาและมีการเรียงกริยาไว้หน้านามบ้าง มีการเรียงคุณศัพท์ไว้หน้ากริยาและมีการเรียงกริยาไว้หน้าคุณศัพท์บ้าง ส่วนวิธีการตั้งราชทินนามของพระราชาคณะนั้นพบว่า มีการนำนามของพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์มาเป็นส่วนหนึ่งของราชทินนาม มีการนำชื่อ ฉายาและราชทินนามเดิม วัดและเขตที่อยู่มาปรับแต่งเป็นชื่อราชทินนม อนึ่งได้มีการตั้งถวายพระสงฆ์ซึ่งทำหน้าที่ต่างกันในหลายแขนงได้แก่ พระสงฆ์ผู้มีหน้าที่หรือบทบาทในสายการปกครอง สายพระธรรมกถึก สายการศึกษา สายวิปัสสนา สายต่างประเทศและสายการพัฒนา ยังปรากฏมีราชทินนามพิเศษที่ได้พระราชทานแก่ พระสงฆ์ผู้เป็นพระราชวงศ์ พระสงฆ์ที่เป็นเชื้อสายมอญรามัญและเป็นกรณีพิเศษเฉพาะบางรูปและในโอกาสพิเศษอีกด้วย
- Publicationพระพิฆเนศวร "เจ้าผู้มีอำนาจเหนืออุปสรรค"จิรพัฒน์ ประพันธ์วิทยา (คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต, 2009)
- Publicationการศึกษาเชิงวิเคราะห์คัมภีร์สุริยยาตรฉบับภาคกลาง ฉบับล้านนา และฉบับไทลื้อยุทธพร นาคสุข; Naksuk, Yuttaporn (2009)วิทยานิพนธ์นี้ มีจุดมุ่งหมายที่จะศึกษาวิเคราะห์คัมภีร์สุริยยาตรฉบับภาคกลาง ฉบับล้านนา และฉบับไทลื้อ ในด้านประวัติความเป็นมา คำศัพท์ และสูตรคำนวณในคัมภีร์ วิทยานิพนธ์นี้แบ่งออกเป็น 5 บท บทที่ 1 เป็นบทนำ บทที่ 2 ว่าด้วยลักษณะของคัมภีร์สุริยยาตรในด้านขอบเขตของเนื้อหา ต้นกำเนิด ที่มาและประวัติการใช้ ความสำคัญของคัมภีร์ต้นฉบับที่นำมาศึกษาและตัวอักษรที่ใช้บันทึก บทที่ 3 ว่าด้วยความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับคำศัพท์ที่ปรากฏในคัมภีร์ บทที่ 4 เป็นการวิเคราะห์สูตรคำนวณที่ปรากฏในคัมภีร์ทั้ง 3 ฉบับ และบทที่ 5 เป็นบทสรุปและข้อเสนอแนะ ผลของการวิจัยอาจสันนิษฐานได้ว่า คัมภีร์สุริยยาตรน่าจะพัฒนามาจากคัมภีร์ดาราศาสตร์โบราณของอินเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคัมภีร์สุริยสิทธานตะ เพราะเกณฑ์ตัวเลขส่วนใหญ่ตรงกันและศัพท์เฉพาะที่ปรากฏในคัมภีร์ส่วนหนึ่งก็ตรงกันด้วย สูตรคำนวณที่ปรากฏในคัมภีร์ทั้ง 3 ฉบับ โดยนับรวมสูตรคำนวณที่ซ้ำกันด้วยมีทั้งหมด 97 สูตร พบในคัมภีร์ฉบับภาคกลาง จำนวน 28 สูตร ฉบับล้านนาจำนวน 42 สูตร และฉบับไทลื้อจำนวน 27 สูตร สูตรคัมภีร์ที่ใช้สำหรับคำนวณตำแหน่งและระยะการโคจรของพระอาทิตย์กับพระจันทร์เพื่อใช้ทำปฏิทินประจำปี และนำไปประยุกต์ใช้ในทางโหราศาสตร์ ผลการวิเคราะห์พบว่าสูตรคำนวณส่วนใหญ่ตรงกัน จึงยืนยันว่าคัมภีร์ทั้ง 3 มีต้นเค้ามาจากแหล่งกำเนิดเดียวกัน และมีสูตรจำนวนหนึ่งที่เป็นสูตรจำเพาะของแต่ละภูมิภาค อันเนื่องมาจากนักปราชญ์ในท้องถิ่นได้คิดค้นสูตรขึ้นเพื่อให้สะดวกแก่การคำนวณและเพื่อให้สอดคล้องกับระบบปฏิทินของภูมิภาคของตน การศึกษาคัมภีร์สุริยยาตรทำให้เห็นคุณค่าของคัมภีร์นี้ในฐานะที่มีความสำคัญต่อการทำปฏิทินและต่อวงการโหราศาสตร์ สมควรที่จะอนุรักษ์และเผยแพร่ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างต่อไป
- Publicationสาธารณสุขในพระไตรปิฎก : บูรณาการสู่สุขภาพดี ชีวีมีสุขอุทัย สุขสุด (2009)
- Publicationการเฉลิมฉลองเทศกาลทุรคาบำรุง คำเอก; Kam-Ek, Bamroong (2010)ใบบรรดาเทศกาลอินเดียที่สำคัญ ทุรคาบูชา เป็นเทศกาลที่ถูกเฉลิมฉลองอย่างพิเศษทั่วอินเดียโดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐเบงกอล เรียกว่า “นวราตรี” เพราะมีการบูชาพระเทวีทุรคา 9 คืน และถึงวันที่ 10 เรียก “วิชัยทศมี” ทุรคารูปน่ากลัวเป็นศักดิของพระศิวะ พระองค์ได้ถูกพวกเทวดาเชิญให้ไปปราบมหิษาสูรผู้มาทำความเดือดร้อนพวกเขา มีกล่าวไม่ในสกันทปูราณะเรื่องพระเทวีต่อสู้กับอสูร เรารู้เรื่องพระทุรคาเทวีจากปุราณะ ตันตระก็ถือผู้หญิงเป็นดั่งเทพสตรีเหมือนกัน แต่ตันตระเกี่ยวกับการบูชาเด็กสาวผู้ถูกถือว่าเป็นพระแม่เทวีผู้มีชื่อเสียง ดังนั้นการบูชาพระเทวี (กุมารีบูชา) ได้เกิดในสมัยตันตระ การบูชาทุรคา ส่วนมากได้ปฏิบัติกันในรัฐเบงกอล ระหว่างเวลานี้ประชาชนผู้ภักดีอ่านคัมภีร์มาหาตมยะทุกวัน วันสุดท้ายก็จะลอยรูปพระเทวีในแม่น้ำมีชื่อพระทุรคา ที่รู้กันดีคือ ปารวตี กาลี อุมา เป็นต้น กล่าวไว้ในปูราณะ การบูชาพระเทวีด้วยเนื้อสัตว์และมนุษย์ มาจากคนชั้นต่ำ แล้วคนชั้นสูงได้ยืมไปปฏิบัติ ในเวลานี้ คนทางอุตตรประเทศ(ทางเหนือ) เชื่อว่าพระรามได้ชนะพระราวณะ(ทศกัณฑ์) หลังจากสู้กันเป็นเวลา 10 วัน แล้วประชาชนก็จะเผาหุ่นใหญ่ของพระราวณะ เมฆนาถ และกุมภกรรณในเมืองหลวงใหญ่ ในเมืองไทยที่ถนนสีลม กรุงเทพฯ วัดพระศรีมหาอุมาเทวี เพิ่งจะเฉลิมฉลองเทศกาลทุรคาบูชาไปเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2553 นี้เอง