ภาษาศาสตร์ประยุกต์
Permanent URI for this collection
บทความวิจัยและวิทยานิพนธ์ในสาขาวิชาภาษาศาสตร์ที่สังกัดสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย ในสายภาษาศาสตร์ประยุกต์ ได้แก่ การแปล (Translation) การรับภาษาที่สอง (Second (Foreign) language acquisition) การรับภาษาที่หนึ่ง (First language acquisition) การเรียนการสอนภาษา (Language teaching) ภาษากับปริชาน (Language and cognition) ภาษาศาสตร์คลังข้อมูล (Corpus linguistics) ภาษาศาสตร์คอมพิวเตอร์/การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Computational linguistics/Natural language processing) ภาษาศาสตร์จิตวิทยา (Psycholinguistics) ภาษาศาสตร์เชิงคลินิก/การแก้ไขการพูดการได้ยินภาษา/ความผิดปกติในการสื่อความหมาย (Clinical linguistics/Speech-language pathology/Communication disorders) ภาษาศาสตร์เชิงประวัติ/นิรุกติศาสตร์ (Historical linguistics/Philology) ภาษาศาสตร์ปริชาน (Cognitive linguistics) ภาษาศาสตร์เปรียบเทียบ (Comparative linguistics) ภาษาศาสตร์สังคม (Sociolinguistics) วิทยาภาษาถิ่น (Dialectology)
Browse
Browsing ภาษาศาสตร์ประยุกต์ by browse.metadata.researchtheme1 "วากยสัมพันธ์ (Syntax)"
Now showing 1 - 11 of 11
Results Per Page
Sort Options
- PublicationA dependency analysis of Thai sentences for a computerized parsing systemAroonmanakun, Wirote; วิโรจน์ อรุณมานะกุล (1990)วิเคราะห์ประโยคภาษาไทยตามแนวทฤษฎีไวยากรณ์พึ่งพา เพื่อใช้ในระบบการแจงส่วนประโยคด้วยคอมพิวเตอร์ โดยได้เลือกประโยคสำหรับใช้ทดสอบจำนวน 50 ประโยค การวิเคราะห์เน้นที่การหาโครงสร้างที่แสดงความสัมพันธ์แบบพึ่งพา ทั้งในระดับวากยสัมพันธ์ คือ การหาโครงสร้างต้นไม้พึ่งพา และในระดับอรรถศาสตร์ คือ การหาโครงสร้างสายใยความหมาย การวิเคราะห์หาโครงสร้างต้นไม้พึ่งพานั้น อาศัยความรู้ที่สำคัญ คือ เรื่องของหมวดคำและวากยการกของภาษาไทย การกำหนดความสัมพันธ์ในโครงสร้างตันไม้พึ่งพานั้น ใช้การเรียงลำดับความสำคัญสามลักษณะเป็นเกณฑ์ คือ ความสำคัญในแนวลึก ความสำคัญในระยะใกล้ และความสำคัญในความเป็นไปได้ ส่วนการวิเคราะห์หาโครงสร้างสายใยความหมายนั้น อาศัยความรู้ที่สำคัญ คือ เรื่องของการกสัมพันธ์และเงื่อนไขการก การวิเคราะห์ทั้งในสองระดับนี้ แสดงได้ด้วยกฎการแจงส่วนประโยค ซึ่งเขียนขึ้นเพื่อใช้กับระบบการแจงส่วนประโยค CUPARSE กฎเหล่านี้จะถูกจัดเป็นชุดกฎต่างๆ โดยที่ในระดับวากยสัมพันธ์นั้น ใช้กฎ 10 ชุด ส่วนในระดับอรรถศาสตร์นั้น ใช้กฎ 4 ชุด
- PublicationThe Matrix Language Frame Model's Grammatical Constraints on Intra-Sentential Code-Switching and Hokkien-Mandarin-English Data from SingaporeChua, LiangThe Matrix Language Frame (MLF) model puts forward five grammatical constraints on intra-sentential code-switching. This article challenges the universality of these constraints. This article is based on a study in which the constraints and the model's hypotheses relating language shift to language attrition are tested using Hokkien-Mandarin-English data from a Singaporean Chinese family (Chua, 2001a; 2001d). Hokkien is a Chinese dialect belonging to the Southern Min group. The five members of the family which provides the data are: grandfather (GF), grandmother (GM), daughter (D), granddaughter (GD) and grandson (GS). All the mixed constituents in the data conform to the Morpheme-Order Principle. Four counter-examples to the System Morpheme Principle were found and eighteen (60%) of the Embedded Language (EL) islands contravene the EL Island Trigger Hypothesis. The predictions made by the EL Hierarchy Hypothesis are also not attested in the data.
- PublicationThe polyfunctionality of the word form /tôŋ/ in Thai : a cognitive linguistic studyChancharu, Naruadol (2009)พหุหน้าที่คือ ปรากฏการณ์ทางภาษาศาสตร์ที่รูปภาษาหนึ่งสามารถทำหน้าที่ทางวากยสัมพันธ์ได้มากกว่าหนึ่งหน้าที่ และให้ความหมายที่แตกต่างแต่สัมพันธ์กัน ปรากฏการณ์นี้เป็นที่สนใจศึกษาในทั้งแนวทางของแบบลักษณ์ภาษา ภาษาศาสตร์เชิงประวัติ และภาษาศาสตร์ปริชาน การศึกษานี้มุ่งเน้นไปที่คำว่า "ต้อง" ในภาษาไทย ซึ่งเป็นกรณีของพหุหน้าที่ที่น่าสนใจ เพราะปรากฏมีคำที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันนี้ในภาษาต่างๆ ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างไรก็ดี ประเด็นที่ยังไม่กระจ่างชัดคือ หน้าที่และความหมายของ "ต้อง" นั้นสัมพันธ์กันอย่างไรทั้งในเชิงพัฒนาการและเชิงมโนทัศน์ เพื่อที่จะตอบประเด็นดังกล่าว การศึกษานี้มุ่งเน้นวิเคราะห์ลักษณะทางวากยสัมพันธ์และอรรถศาสตร์ของ "ต้อง" สืบหาแนวทางและทิศทางของการเปลี่ยนแปลงทางวากยสัมพันธ์และอรรถศาสตร์ และระบุกลไกที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว การศึกษานี้พบว่า คำว่า "ต้อง" มีหน้าที่ทางวากยสัมพันธ์สองหน้าที่คือ หน้าที่กริยาและหน้าที่กริยานุเคราะห์ ซึ่งสามารถแยกออกจากกันโดยใช้เกณฑ์ในเรื่องความเป็นประพจน์ ตำแหน่งการวาง การควบคุมและการปฏิเสธ ในทางเดียวกันพบว่า ทั้งแปดความหมายของ "ต้อง" สามารถแยกออกได้เป็นสองกลุ่มคือ ความหมายเชิงศัพท์ อันได้แก่ "สัมผัสทางกายภาพ" "สอดคล้องกัน" “จำนนต่ออำนาจเหนือธรรมชาติ" และ "ได้รับข้อกำหนดทางสังคม" และความหมายเชิงมาลาอันได้แก่ "มีข้อกำหนดต้องทำ" "มีความจำเป็นต้องทำ" "มีความต้องการทำ" และ "มีความแน่นอนว่าจะทำ" พัฒนาการของ "ต้อง" จากหน้าที่กริยาไปสู่หน้าที่กริยานุเคราะห์นั้นมีหกขั้นตอน โดยการวิเคราะห์ใหม่และการเทียบแบบ คือกลไกที่มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงนี้ แต่มีบทบาทต่างกันในแต่ละขั้นตอน นอกจากนี้ยังพบว่า พัฒนาการด้านความหมายของ "ต้อง" มีทั้งหมดสามเส้นทาง และอุปลักษณ์และนามนัย คือกลไกทางปริชานที่มีความเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลง แต่มีความเกี่ยวข้องต่างกันในแต่ละขั้นตอน
- Publicationการกลายเป็นคำไวยากรณ์ของคำว่า “ฮอด” ในภาษาไทยถิ่นอีสานสุมาลี พลขุนทรัพย์; อิศเรศ ดลเพ็ญ; Phonkhunsap, Sumalee; Dolphen, Itsarateบทความนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะแสดงให้เห็นลักษณะของคำในภาษาไทยถิ่นอีสานที่มีการเปลี่ยนแปลงหน้าที่และความหมาย โดยมุ่งศึกษาคำว่า “ฮอด” ซึ่งมีลักษณะการกลายจากคำบอกเนื้อหาไปเป็นคำไวยากรณ์เมื่อปรากฏในปริบทที่ต่างกัน ข้อมูลที่ใช้ในงานวิจัยนี้รวบรวมจากเอกสาร ฐานข้อมูลออนไลน์ และภาษาไทยถิ่นอีสานที่ใช้สนทนาในชีวิตประจำวัน สมัยรัชกาลที่ 9 - ปัจจุบัน (พ.ศ. 2489 - 2563) ผลการศึกษาหมวดคำ หน้าที่ทางไวยากรณ์ และความหมายของคำว่า “ฮอด” ในภาษาไทยถิ่นอีสานพบว่า คำว่า “ฮอด” ปรากฏในหมวดคำกริยา คำบุพบท และคำเชื่อมอนุพากย์ ด้านความหมายของคำว่า “ฮอด” แบ่งตามหมวดคำ ได้แก่ 1. หมวดคำกริยา มีความหมายย่อย 2 ความหมาย คือ 1) การบรรลุจุดหมายที่เป็นรูปธรรม 2) การบรรลุจุดหมายที่เป็นนามธรรม 2. หมวดคำบุพบท มีความหมายย่อย 2 ความหมาย คือ 1) แสดงจุดหมายที่เป็นรูปธรรม คือ สถานที่ สิ่งมีชีวิต และสิ่งไม่มีชีวิต 2) แสดงจุดหมายที่เป็นนามธรรม คือ เวลา 3. หมวดคำเชื่อมอนุพากย์ มีความหมายย่อย 4 ความหมาย คือ 1) แสดงความสัมพันธ์ของเหตุการณ์ 2) แสดงจุดต่อเนื่องของการกระทำหรือระยะเวลา 3) แสดงความเป็นเหตุเป็นผล 4) แสดงความขัดแย้ง ด้านกระบวนการกลายเป็นคำไวยากรณ์ของคำว่า “ฮอด” ในภาษาไทยถิ่นอีสาน พบการกลายเป็นคำไวยากรณ์ ดังนี้ 1. กระบวนการกลายจากคำกริยาไปเป็นคำบุพบท แบ่งเป็น 1.1 กระบวนการทางวากยสัมพันธ์ ได้แก่ 1) การวิเคราะห์ใหม่ 2) การนำคำไปใช้ในปริบทใหม่ 3) การสูญลักษณะของหมวดคำเดิม 1.2 กระบวนการทางความหมาย ได้แก่ 1) ความหมายเดิมจางลง 2) การคงเค้าความหมายเดิม 3) การเกิดความหมายทั่วไป 4) การขยายความหมายเชิงอุปลักษณ์ 2. กระบวนการกลายจากคำกริยาไปเป็นคำเชื่อมอนุพากย์ แบ่งเป็น 2.1 กระบวนการทางวากยสัมพันธ์ ได้แก่ 1) การบังคับการปรากฏ 2) การสูญลักษณะของหมวดคำเดิม 2.2 กระบวนการทางความหมาย ได้แก่ การเกิดความหมายทั่วไป
- Publicationการตีความความกำกวมทางวากยสัมพันธ์ในประโยคภาษาอังกฤษโดยนักเรียนไทยที่มีประสบการณ์ทางภาษาอังกฤษสูงและต่ำสุวิชา ถาวร; Suwicha Thawon (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สำนักงานวิทยทรัพยากร, 2011)วิเคราะห์และเปรียบเทียบความสามารถในการตีความประโยคภาษาอังกฤษ ที่มีความกำกวมโดยกลุ่มเจ้าของภาษา และกลุ่มนักเรียนไทยที่มีประสบการณ์ทางภาษาอังกฤษสูงและต่ำ ข้อมูลที่ใช้ในการวิจัยนี้เป็นข้อมูลที่ได้จากการตีความประโยคกำกวมจำนวน 30 ประโยค คือ ประโยคความเดียว ประโยคความรวม และประโยคความซ้อน โดยใช้กลุ่มตัวอย่าง 3 กลุ่ม คือ กลุ่มเจ้าของภาษา 10 คน กลุ่มนักเรียนไทยที่มีประสบการณ์ทางภาษาอังกฤษสูง 20 คน และนักเรียนไทยที่มีประสบการณ์ทางภาษาอังกฤษต่ำ 20 คน ผลปรากฏว่ากลุ่มเจ้าของภาษาสามารถตีความประโยคกำกวมได้ตรงตามเป้าหมาย 96.8% กลุ่มที่มีประสบการณ์ทางภาษาสูงตีความตรงตามเป้าหมาย 93% และกลุ่มที่มีประการณ์ทางภาษาต่ำตีความตรงตามเป้าหมาย 69.25% กลุ่มที่มีประสบการณ์ทางภาษาสูงจะตีความประโยคกำกวมได้ใกล้เคียงเจ้าของภาษา มากกว่ากลุ่มที่มีประสบการณ์ทางภาษาต่ำ ความแตกต่างระหว่างกลุ่มเจ้าของภาษาและกลุ่มที่มีประสบการณ์สูง ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (p = 0.152) แต่ความแตกต่างระหว่างกลุ่มเจ้าของภาษาและกลุ่มที่มีประสบการณ์ต่ำมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = 0.00) การตีความความกำกวมของกลุ่มสูงและกลุ่มต่ำแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = 0.00) การตีความความกำกวมของกลุ่มต่ำเทียบกับเจ้าของภาษาและเทียบกับกลุ่มสูงแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (F = 82.479, p = 0.00) การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า ระดับของประสบการณ์ทางภาษามีผลต่อการตีความสำหรับนักเรียนไทย ที่เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง การศึกษาการตีความประโยคกำกวมนี้ชี้ให้เห็นปัญหาในการตีความของนักเรียนไทย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการนำมาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษต่อไปได้
- Publicationการพรรณาสถานที่และการบ่งชี้สถานที่ในภาษาอึมปีสิทธิชัย สาเอี่ยม; Sitthichai Saaim (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สำนักงานวิทยทรัพยากร, 1996)ศึกษาการใช้คำกริยาเคลื่อนที่แสดงการบ่งชี้ของคนอึมปีในสถานการณ์ต่างๆ ทั้งการใช้คำกริยาดังกล่าวที่สอดคล้องและไม่สอดคล้องกับความหมายประจำคำ รวมถึงศึกษาระบบการบ่งชี้สถานที่ในภาษาอึมปีทั้งระบบ นอกจากนี้ผู้วิจัยยังศึกษาระบบการพรรณนาสถานที่ในภาษาอึมปีด้วย ทั้งนี้เพื่อค้นหาความสัมพันธ์ระหว่างระบบการพรรรณนาสถานที่ และระบบการบ่งชี้สถานที่ในภาษานี้ จากการวิจัยพบว่า ภาษาอึมปีมีการพรรณนาสถานที่ด้วยระบบสัมพันธ์ ระบบแน่นอนและระบบเนื้อใน ซึ่งในระบบแน่นอนนั้นมีการยึดสภาพภูมิประเทศ คือ ระดับพื้นที่สูง-ต่ำ และพบว่าในระบบการบ่งชี้สถานที่ในภาษาอึมปีมีรูปบ่งชี้สถานที่ 2 ประเภท คือ รูปบ่งชี้สถานที่ประเภทหมวดคำคำชี้เฉพาะประเภทต่าง ๆ และหมวดคำคำกริยาเคลื่อนที่แสดงการบ่งชี้ รูปบ่งชี้สถานที่ทั้งสองประเภทดังกล่าวเป็นหน่วยคำอิสระ หมวดคำคำชี้เฉพาะสามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ คำคุณศัพท์ชี้เฉพาะ คำสรรพนามชี้เฉพาะ คำกริยาวิเศษณ์ชี้เฉพาะ และคำกริยาวิเศษณ์ชี้เฉพาะบ่งชี้อาการ คำชี้เฉพาะทั้ง 4 ประเภทดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการบ่งชี้ระยะใกล้-ไกล โดยยึดตำแหน่งของผู้พูดและผู้ฟังเป็นจุดอ้างอิง นอกจากนี้ ทั้ง 4 ประเภทยังสามารถบ่งชี้ตำแหน่งใกล้เฉพาะผู้พูดหรือเฉพาะผู้ฟัง และคำกริยาวิเศษณ์ชี้เฉพาะสามารถบ่งชี้บริเวณ หรือจุดของสถานที่ที่ผู้พูดอยู่ได้อีกด้วย คำกริยาเคลื่อนที่แสดงการบ่งชี้ในภาษาอึมปีที่ผู้วิจัยเลือกศึกษา ได้แก่ "ไป-มา" และ "เอาไป-เอามา" นั้น มีทั้งหมด 11 คำ ซึ่งบ่งชี้ทิศทางของการเคลื่อนที่เข้าหา-ออกจากตำแหน่งของผู้พูดและ/หรือผู้ฟังและบ่งชี้ทิศ (เฉพาะทิศตะวันออกและทิศตะวันตก) และระดับพื้นที่สูงหรือต่ำด้วยคำกริยาดังกล่าวสามารถทำหน้าที่เป็นคำกริยาหลักและคำกริยารอง และสามารถใช้ได้ทั้งในสถานการณ์ที่มีการใช้สอดคล้อง และไม่สอดคล้องกับความหมายประจำคำ โดยทั่วๆ ไปพบว่า ในสถานการณ์ที่มีการใช้ไม่สอดคล้องกับความหมายประจำคำนั้น คนอึมปีมักจะเลือกใช้คำกริยาดังกล่าวซึ่งบ่งชี้ทิศตะวันตกและระดับพื้นที่ต่ำมาใช้มากกว่า อย่างไรก็ตามพบว่า ในวัฒนธรรมของคนอึมปีทิศตะวันออกและระดับพื้นที่สูงมีนัยสำคัญทางวัฒนธรรมมากกว่าทิศตะวันตกและระดับพื้นที่ต่ำ
- Publicationการวิเคราะห์คำแสดงคำถาม อะไร ที่ให้ความหมาย ทุกอย่าง ในภาษาไทยกานต์สินี ช่วยเพ็ญชัยภัทร.; Kansinee Chuayphenchaiphat (มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. สำนักหอสมุดกลาง, 2010)
- Publicationการศึกษาเปรียบเทียบหน่วยสร้างกรรมวาจกในภาษาญี่ปุ่นและภาษาไทยสุจิตรา เลิศเสม บุณยานันต์; Sujitra Lertsem Boonyanant (มหาวิทยาลัยนเรศวร, 2016)วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาหน่วยสร้างกรรมวาจกในภาษาญี่ปุ่น และ 2) เปรียบเทียบหน่วยสร้างกรรมวาจกในภาษาญี่ปุ่นและภาษาไทย ตามแนวทฤษฎีไวยากรณ์หน้าที่นิยมแบบลักษณ์ภาษา (functional-typological theory) ของกีฟอน (Givón, 2001) ผลการศึกษาพบว่าในภาษาญี่ปุ่นปรากฎหน่วยสร้างกรรมวาจกที่เป็นต้นแบบ 1 ชนิด คือ กรรมวาจกเลื่อนกรรม -(r)are และหน่วยสร้างกรรมวาจกที่ลดความเป็นต้นแบบ 4 ชนิด คือ กรรมวาจกเลื่อนกรรม -temora(w) กรรมวาจกเลื่อนกรรมผู้รับโดยอ้อม (rare กรรมวาจกเลื่อนกรรมกริยาแปลงเป็นสภาวการณ์ -tea(r) และกรรมวาจกไม่เลื่อนกรรมประธานไร้ตัวตน การเปรียบเทียบหน่วยสร้างกรรมวาจกในภาษาญี่ปุ่นและภาษาไทยพบว่า 1) กรรมวาจกส่วนใหญ่ในทั้งสองภาษาไม่ปรากฏผู้กระทำ 2) กรรมวาจกต้นแบบของทั้งสองภาษามีการลำดับคำและความหมายต่างกัน 3) กรรมวาจกที่พบเฉพาะในภาษาญี่ปุ่นคือ กรรมวาจกเลื่อนกรรมผู้รับโดยอ้อม (rare กรรมวาจกที่พบเฉพาะในภาษาไทย คือ กรรมวาจกเลื่อนกรรมไปหน้า กรรมวาจกเลื่อนกรรมแปลงเป็นนาม กรรมวาจกที่มีวากยสัมพันธ์คล้ายกันแต่ใช้ต่างกันคือ กรรมวาจกเลื่อนกรรม -temora(w) กับกรรมวาจกเลื่อนกรรมนัยเชิงบวก กรรมวาจกเลื่อนกรรมกริยาแปลงเป็นสภาวการณ์ -tea(n) กับกรรมวาจกเลื่อนกรรมกริยาแปลงเป็นสภาพการณ์ และกรรมวาจกที่ใช้เหมือนกันคือ กรรมวาจกไม่เลื่อนกรรมประธานไร้ตัวตน และ 4) ในงานเขียนภาษาญี่ปุ่นปรากฎหน่วยสร้างกรรมวาจก ร้อยละ 8.63 มีอัตราความถี่สูงกว่าในภาษาไทยที่ปรากฏร้อยละ 4
- Publicationการศึกษาวากยสัมพันธ์ข้ามสมัยในคำว่า ไป และ มาวรลักษณ์ วีระยุทธ; Worralak Weerayuth (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2013)การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อจำแนกชนิดคำและความหมายและศึกษากระบวนการกลายเป็นคำไวยากรณ์ของคำว่า ไป และ มา ตามทฤษฎีไวยากรณ์พึ่งพา-ศัพท์การก ข้อมูลที่ใช้ในงานวิจัยนี้รวบรวมจากเอกสารในสมัยสุโขทัยถึงปัจจุบัน ผลการศึกษา พบว่า คำว่า ไป และ มา มีคำพ้องรูปและเสียง ทำหน้าที่คำกริยาและคำวิเศษณ์ พบคำกริยาแสดงการเคลื่อนที่ ไป และ มา 4 คู่ ได้แก่ 1) คำว่า ไป, และ มา,อกรรมกริยาแสดงการเคลื่อนที่ ปรากฏตามลำพัง โดยไม่มีคำนามตามมา 2) คำว่า ไป, และ มา,อกรรมกริยาแสดงการเคลื่อนที่ ปรากฏหน้าบุพบทวลีแสดงสถานที่ 3) คำว่า ไป และ มา เป็นอกรรมกริยาแสดงการเคลื่อนที่ ปรากฏหน้าคำนามการกสถานที่ และ 4) คำว่า ไป, และ มา, เป็นอกรรมกริยาแสดงการเคลื่อนที่ ปรากฏหน้าคำกริยา งานวิจัยนี้พบคำวิเศษณ์ ไป 4 คำ และคำวิเศษณ์ มา 3 คำ ได้แก่ 1) คำวิเศษณ์ ไป, และ มา, แสดงทิศทาง ปรากฏหลังคำกริยาการเคลื่อนไหวและกริยาการติดต่อสื่อสาร 2) คำวิเศษณ์ ไป และ มา แสดงการณ์ลักษณะสมบูรณ์ ปรากฏหลังกริยาที่แสดงการกระทำที่สำเร็จหรือเสร็จสิ้นสมบูรณ์และกริยาแสดงสภาพ 3) คำวิเศษณ์ ไป, และ มา, แสดงความต่อเนื่องของการกระทำ ปรากฏหลังกริยาที่แสดงการกระทำที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ 4) คำวิเศษณ์ ไป แสดงการประเมินค่า ปรากฏหลังคำกริยาแสดงสภาพ โดยพบว่า คำกริยา ไป และ มา และคำวิเศษณ์ ไป และ มา มีลักษณะทางวากยสัมพันธ์และแสดงความหมายแตกต่างกัน โดยคำกริยา ไป และ มา มีลักษณะทางวากยสัมพันธ์ของคำกริยาและมีความหมายแสดงการเคลื่อนที่ ในขณะที่คำวิเศษณ์ ไป และ มาไม่มีลักษณะทางวากยสัมพันธ์ของคำกริยา การศึกษาวากยสัมพันธ์ข้ามสมัยในคำว่า ไป และ มา พบว่า คำกริยาและคำวิเศษณ์ ไป และ มา ปรากฏครั้งแรกในสมัยสุโขทัย ยกเว้น คำวิเศษณ์ มา, ที่ปรากฏครั้งแรกในสมัยอยุธยา เมื่อเปรียบเทียบการปรากฏของคำกริยาและคำวิเศษณ์ ไป และ มา พบว่า คำกริยา ไป และ มา ปรากฏมากที่สุดในทุกสมัยและมีแนวโน้มจะปรากฏเพิ่มขึ้น คำกริยา ไป, และ มา, มีแนวโน้มปรากฏลดลง ในขณะที่คำกริยา ไป และ มา, มีแนวโน้มปรากฏเพิ่มขึ้น คำวิเศษณ์ มา ปรากฏลดลง ในขณะที่คำวิเศษณ์ มา, และ มา, ปรากฏเพิ่มขึ้นอย่างมากในปัจจุบัน การใช้คำวิเศษณ์ ไป และ มาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากอดีตถึงปัจจุบัน แสดงแนวโน้มการปรากฏซึ่งเป็นผลจากการกลายเป็นคำไวยากรณ์ที่ต่อเนื่อง และยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์
- Publicationการศึกษาวิเคราะห์คุณลักษณะของหน่วยสร้างกริยา-ผลเพื่อการสอนภาษาจีนในฐานะภาษาต่างประเทศธีรวัฒน์ ธีรพจนี; Theerapojjanee, Theerawatการอธิบายความรู้เรื่องหน่วยสร้างกริยา-ผลในภาษาจีนกลางที่ปรากฏอยู่ในแบบเรียนหรือตำราไวยากรณ์จะเป็นเพียงข้อมูลพื้นฐานที่ควรทราบๆเมื่อผู้เรียนต้องอ่านประโยคหรือผลิตประโยคที่ต้องปรากฏหน่วยสร้างกริยา-ผลก็จะพบปัญหาๆเนื่องจากหน่วยสร้างกริยา-ผลเป็นหน่วยสร้างที่มีความถี่ในการใช้สูงๆและมีลักษณะทางความหมายที่หลากหลายๆผู้เรียนที่เข้าใจเพียงข้อมูลพื้นฐานอาจไม่สามารถจัดการกับการใช้ที่ซับซ้อนได้ๆด้วยเหตุนี้ๆจึงมีนักวิจัยศึกษาหน่วยสร้างกริยา-ผลเพื่อทำความเข้าใจความซับซ้อนทางความหมายจากมุมมองของวากยสัมพันธ์และอรรถศาสตร์แต่ผลการวิจัยเหล่านั้นยังมิได้นำมาใช้เป็นข้อมูลป้อนกลับเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนๆงานวิจัยฉบับนี้จะศึกษาวิเคราะห์คุณลักษณะของหน่วยสร้างกริยา-ผลในการวิจัยที่เกี่ยวข้องๆและอภิปรายผลสร้างความเชื่อมโยงให้เป็นเอกภาพเพื่อที่จะสามารถเสนอแนวทางการอธิบายความรู้เรื่องหน่วยสร้างกริยา-ผลตั้งแต่เริ่มต้นจนสามารถผลิตประโยคที่ถูกต้องได้
- Publicationลักษณะทางวากยสัมพันธ์ในการเขียนประโยคของเด็กออทิสติกไทยรุจิรา ครุฑธาพันธ์งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาชนิดและโครงสร้างประโยคที่เด็กออทิสติกไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ใช้ในการเขียนประโยค ผู้วิจัยเก็บข้อมูลจากเด็กออทิสติกจำนวน 5 คนที่กำลังศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในชั้นการศึกษาพิเศษที่มีความสามารถในการเขียนระดับประโยคได้ โดยให้เด็กแต่ละคนนำคำที่ผู้วิจัยคัดเลือกจากหนังสือแบบเรียนภาษาไทยจำนวน 100 คำ มาแต่งประโยค 1 คำต่อ 1 ประโยค ผลการศึกษาพบว่า เด็กออทิสติกเขียนประโยคโดยใช้ประโยค 3 ชนิด ได้แก่ ประโยคความเดียว ประโยคความรวม และประโยคความซ้อน ประโยคความเดียวพบมากที่สุด รองลงมาคือ ประโยคความรวม และประโยคความซ้อนตามลำดับ โดยปรากฏ 12 โครงสร้างในประโยคความเดียว 17 โครงสร้างในประโยคความรวม และพบเพียง 1 โครงสร้างในประโยคความซ้อน