ภาษาศาสตร์ประยุกต์
Permanent URI for this collection
บทความวิจัยและวิทยานิพนธ์ในสาขาวิชาภาษาศาสตร์ที่สังกัดสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย ในสายภาษาศาสตร์ประยุกต์ ได้แก่ การแปล (Translation) การรับภาษาที่สอง (Second (Foreign) language acquisition) การรับภาษาที่หนึ่ง (First language acquisition) การเรียนการสอนภาษา (Language teaching) ภาษากับปริชาน (Language and cognition) ภาษาศาสตร์คลังข้อมูล (Corpus linguistics) ภาษาศาสตร์คอมพิวเตอร์/การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Computational linguistics/Natural language processing) ภาษาศาสตร์จิตวิทยา (Psycholinguistics) ภาษาศาสตร์เชิงคลินิก/การแก้ไขการพูดการได้ยินภาษา/ความผิดปกติในการสื่อความหมาย (Clinical linguistics/Speech-language pathology/Communication disorders) ภาษาศาสตร์เชิงประวัติ/นิรุกติศาสตร์ (Historical linguistics/Philology) ภาษาศาสตร์ปริชาน (Cognitive linguistics) ภาษาศาสตร์เปรียบเทียบ (Comparative linguistics) ภาษาศาสตร์สังคม (Sociolinguistics) วิทยาภาษาถิ่น (Dialectology)
Browse
Browsing ภาษาศาสตร์ประยุกต์ by browse.metadata.researchtheme1 "สัทศาสตร์/สัทวิทยา (Phonetics/Phonology)"
Now showing 1 - 20 of 31
Results Per Page
Sort Options
- PublicationA historical study of "R" in ThaiYodmongkhon, Krisnana; กฤษณา ยอดมงคล (2000)The purpose of this study was to investigate the history of 'R' in Thai. The objective was divided into two sub-topics: the first one was the representation of Proto-Tai *r, *hr and *Cr in modern Tai dialects and the second topic was the history of 'R' in Thai Sukhothai. The data used for the first topic were mainly drawn from A Handbook of Comparative Tai (Li Fang Kuei 1977) and for the second topic the data were drawn from the Sukhothai inscriptions as well as some relevant documents. The results showed that Proto-Tai *r and *hr were developed into r, 1, h, and y in the eighteen Tai dialects and the Proto-Tai consonant clusters were mostly developed into the single consonants. According to Li (1977), Proto-Tai * was developed into r- in Siamese but this study assumed that it was developed into h-. Therefore, this finding supports the history of 'R' in Thai Sukhothai that the present / is not a heritage phoneme of Thai. It was hypothesized that once there was a low h (a) in the spoken Sukhothai but this sound was represented in the written language by (3 and was pronounced as (I] and [h]. Later, in order to be separated from /, (5) was pronounced as [r] after the written form.
- PublicationA phonological reconstruction of Proto ChinThang, Khoi Lam (2001)
- PublicationA study of interference of Northeastern Thai dialect in standard Thai : case of Muang district Ubonratchathani provincePaanchiangwong, Songgot (1999)
- PublicationThe Interaction between Intrinsic Pitch and Some Social Factors in Mon-Khmer LanguagesTeeranon, Phanintraงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างระดับเสียงธรรมชาติของสระกับปัจจัยทางสังคม อันได้แก่ เพศและอายุ ในภาษาตระกูลมอญ-เขมรจํานวน 3 ภาษา ประกอบด้วย ภาษาชอง ภาษาขมุ และภาษาญัฮกุร ในการวิเคราะห์ระดับเสียงธรรมชาติของสระ ผู้วิจัยใช้โปรแกรม Praat ในการวัดค่าระยะเวลาและค่าเซมิโทน สระสูงที่ใช้ศึกษาได้แก่สระ [1] และ [1] ส่วนสระต่ําได้แก่สระ [a] ผู้บอกภาษาใน แต่ละภาษามีจํานวน 12 คน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มอายุ กลุ่มอายุละ 4 คน กลุ่มอายุที่หนึ่งอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไป กลุ่มอายุที่สองอายุ 35-45 ปี และ กลุ่มอายุที่สวมอายุไม่เกิน 20 ปี แต่ละกลุ่มอายุประกอบด้วยเพศชาย 2 คน และเพศหญิง 2 คน ผลการวิจัยพบว่าระดับเสียงธรรมชาติของสระปรากฏในภาษาขมุและภาษาญัฮกุร แต่ไม่ปรากฏในภาษาของ ปัจจัยทางสังคม คือ เพศและอายุ มีอิทธิพลต่อค่าของระดับเสียงธรรมชาติของสระในทุกภาษา ผลการวิจัยสนับสนุนแนวคิดที่ว่าระดับเสียงธรรมชาติของสระเกิดจากการเคลื่อนไหวของสรีระที่ใช้ออกเสียงตามธรรมชาติ
- PublicationTone variation of Tai Lue spoken in ThailandChaimano, Kanita (2009)วิทยานิพนธ์นี้มีจุดประสงค์เพื่อวิเคราะห์และเปรียบเทียบการแปรเสียงวรรณยุกต์ของภาษาลื้อ ที่ใช้พูดในประเทศไทย และนำผลที่ได้มาใช้เป็นเกณฑ์ในการแบ่งภาษาถิ่นลื้อโดยนำเสนอด้วยแผน ที่ภาษา การศึกษาครั้งนี้เก็บข้อมูลภาษาลื้อที่พูดทางภาคเหนือของประเทศไทย 7 จังหวัด รวม 45 หมู่บ้าน โดยหนึ่งหมู่บ้านประกอบด้วยผู้บอกภาษา 3 คน รวมทั้งสิ้น 135 คน ผู้วิจัยนำตารางคำ ทดสอบเสียงวรรณยุกต์ของ วิลเลี่ยม เจ เก็ดนีย์มาใช้สำหรับเก็บข้อมูลเสียงวรรณยุกต์ การฟังและ โปรแกรมสำเร็จรูป PRAAT 4.5.12 และ MICROSOFT EXCEL ถูกนำมาใช้สำหรับวิเคราะห์ ลักษณะวรรณยุกต์ของภาษาถิ่นลื้อ ผลการวิเคราะห์พบว่าภาษาถิ่นลื้อสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ 5 และ 6 หน่วยเสียง มี ระบบเสียงวรรณยุกต์และลักษณะวรรณยุกต์ที่แตกต่างกัน 9 แบบ ตามการรวมตัวและการแตกตัว ของวรรณยุกต์ในช่อง A สามารถแบ่งภาษาถิ่นลื้อออกเป็น 5 กลุ่ม คือ A1-2-3-4 (ประกอบด้วย ระบบเสียงวรรณยุกต์และลักษณะวรรณยุกต์แบบที่ 1 และ 6), A1-23-4 (ประกอบด้วยระบบเสียง วรรณยุกต์และลักษณะวรรณยุกต์แบบที่ 2, 7/1,7/2 และ 7/3), A1-234 (ประกอบด้วยระบบเสียง วรรณยุกต์และลักษณะวรรณยุกต์แบบที่ 3/1, 3/2, 8/1 และ 8/2), A12-34 (ประกอบด้วยระบบเสียง วรรณยุกต์และลักษณะวรรณยุกต์แบบที่ 4) และ A123-4 (ประกอบด้วยระบบเสียงวรรณยุกต์และ ลักษณะวรรณยุกต์แบบที่ 5/1, 5/2 และ 9) ระบบเสียงวรรณยุกต์และลักษณะวรรณยุกต์แบบที่ 3/2 มีการพูดกระจายมากที่สุดในหลาย จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง และน่าน ระบบเสียงวรรณยุกต์และลักษณะวรรณยุกต์แบบ ที่ 5/1 และ 8/2 มีการพูดที่จังหวัดเชียงรายเท่านั้น เช่นเดียวกับระบบเสียงวรรณยุกต์และลักษณะ วรรณยุกต์แบบที่ 4 และ 7/1 มีการพูดที่จังหวัดเชียงใหม่เท่านั้น
- Publicationการเขียนชื่อคนไทยด้วยอักษรโรมัน : ศึกษาเชิงวิเคราะห์เปรียบเทียบอทิตา อมรลักษณานนท์; Atthita Amornlaksananon (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. สำนักหอสมุด, 2007)งานวิจัยนี้มีจุคประสงค์เพื่อศึกษาการใช้รูปอักษรโรมันเขียนแทนหน่วยเสียงพยัญชนะและหน่วยเสียงส ระในชื่อคนไทยปัจจุบัน พร้อมทั้งนำไปเปรียบเทียบกับหลักเกณฑ์การถอดอักษรไทยเป็นอักษรโรมันแบบถ่ายเสียง พ.ศ.2542 ของราชบัณฑิตยสถาน จากนั้นเป็นศึกษาประสิทธิภาพของรูปอักษรโรมันที่จะช่วยให้ผู้อ่านอ่านออกเสียงชื่อไทยได้ใกล้เคียงกับภาษาไทยได้มากที่สุด โดยเก็บข้อมูลจากชื่อไทยที่เขียนด้วยอักษรโรมันจำนวน 500 ชื่อจากการศึกษาพบว่า รูปอักษรโรมันที่ใช้เขียนแทนทั้งหน่วยเสียงพยัญชนะและหน่วยเสียงสระที่มีการใช้จริงในปัจจุบันมีความหลากหลาย ไม่มีรูปแบบที่แน่นอนและมิได้เป็นไปตามหลักเกณฑ์การถอดอักษรไทยเป็นอักษรโรมันแบบถ่ายเสียงของราชบัณฑิตยสถาน กล่าวคือการใช้รูปอักษรโรมันเขียนแทนหน่วยเสียงพยัญชนะ แบ่งออกเป็น หน่วยเสียงพยัญชนะต้น หน่วยเสียงพยัญชนะควบกล้ำต้นพยางค์ และหน่วยเสียงพยัญชนะท้าย พบว่า มีลักษณะการใช้รูปอักษรโรมันหลายรูปเขียนแทนเสียง 1 หน่วยเสียง โดยในหน่วยเสียงพยัญชนะต้นและหน่วยเสียงพยัญชนะควบกล้ำต้นพยางค์นิยมใช้วิธีการถอดอักษรไทยเป็นอักษรโรมันแบบถ่ายเสียงในการเขียนซึ่งแตกต่างกับหน่วยเสียงพยัญชนะท้ายที่มักเขียนด้วยวิธีการถอดอักษรในกรณีของการใช้รูปอักษรโรมันเขียนแทนหน่วยเสียงสระ แบ่งเป็น หน่วยเสียงสระเดี่ยว หน่วยเสียงสระประสสองเสียง และหน่วยเสียงสระประสมสามเสียง พบว่า มีสักษณะการใช้รูปอักษรโรมันหลายรูปเขียนแทนเสียง 1 หน่วยเสียงเช่นเดียวกับที่ปรากฎในหน่วยเสียงพยัญชนะทั้งนี้ในบทสุดท้ายของงานวิจัยเป็นการศึกษาประสิทธิภาพและนำเสนอรูปแบบการเขียนอักษรโรมันแทนเสียงพยัญชนะและเสียงสระที่เมื่อนำมาเขียนเป็นชื่อไทยแล้วจะช่วยให้ผู้อ่าน
- Publicationการจำแนกความต่างระหว่างพยัญชนะกักก้อง กักไม่ก้องไม่พ่นลม และกักไม่ก้องพ่นลมของภาษาไทย ในผู้พูดที่ใช้หลอดลม-หลอดอาหาร : การวิเคราะห์ทางกลสัทศาสตร์และการทดสอบการรับรู้นรินธร สมบัตินันท์; Narinthorn Sombatnan (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สถาบันวิทยบริการ, 2002)ศึกษาลักษณะทางกลสัทศาสตร์ของพยัญชนะกักตำแหน่งต้นพยางค์และระหว่างสระที่ ออกเสียง โดยผู้พูดที่ใช้หลอดลม-หลอดอาหาร เพื่อพิสูจน์สมมติฐานว่า ลักษณะทางกลสัทศาสตร์ต่างๆ ได้แก่ ค่าระยะเวลาการสั่นของเส้นเสียงจากจุดระบายลม ค่าระยะเวลาการกักกั้นลม (ในพยัญชนะกักระหว่างสระ) ค่าความเข้ม และค่าความถี่มูลฐานของพยางค์สามารถจำแนกพยัญชนะกักก้อง กักไม่ก้องไม่พ่นลม และกักไม่ก้องพ่นลมได้ และนำลักษณะทางกลสัทศาสตร์เหล่านี้มาเปรียบเทียบกับของผู้พูดปกติ พร้อมทั้งทดสอบการรับรู้ของคนปกติ ในการฟังเสียงพยัญชนะกักตำแหน่งต้นพยางค์ และระหว่างสระที่ออกเสียงโดยผู้พูดที่ใช้หลอดลม-หลอดอาหาร เพื่อพิสูจน์สมมติฐานว่า ผู้ฟังสามารถรับรู้ความแตกต่างของเสียงพยัญชนะกักก้องและกักไม่ก้องได้ แต่ไม่สามารถรับรู้ความแตกต่างของเสียงพยัญชนะกักไม่ก้องไม่พ่นลมและกักไม่ ก้องพ่นลม ทั้งต้นพยางค์และระหว่างสระได้ ข้อมูลที่ใช้ในงานวิจัยนี้ได้มาจากการอ่านรายการคำของผู้พูดที่ใช้หลอดลม -หลอดอาหารจำนวน 3 คน และผู้พูดปกติจำนวน 3 คน ผู้บอกภาษาทั้ง 2 กลุ่ม เป็นเพศชาย มีอายุ การศึกษา ภูมิลำเนา และรูปร่างใกล้เคียงกัน ข้อมูลที่นำมาวิเคราะห์ประกอบด้วยคำ 1 พยางค์ ซึ่งนำด้วยพยัญชนะกัก และคำ 2 พยางค์ ซึ่งพยางค์ที่ 2 นำด้วยพยัญชนะกัก ในการวิเคราะห์ข้อมูลผู้วิจัยใช้โปรแกรม Multi-Speech ในการวิเคราะห์ค่าระยะเวลาการสั่นของเส้นเสียงจากจุดระบายลม ค่าระยะเวลาการกักกั้นลม และค่าความเข้มของพยางค์ และโปรแกรม Praat ในการวิเคราะห์ค่าความถี่มูลฐานของพยางค์ ส่วนการทดสอบการรับรู้ ผู้วิจัยบันทึกคำที่ออกเสียงโดยผู้พูดที่ใช้หลอดลม-หลอดอาหาร ใส่แผ่นบันทึกเสียงซีดี แล้วให้คนปกติจำนวน 30 คน ฟังพร้อมกันจากหูฟังในห้องโสตทัศนูปกรณ์ และเลือกคำที่ได้ยินจากตัวเลือกคำตอบ ในแบบทดสอบการฟัง งานวิจัยนี้พบว่า ในผู้พูดปกติค่าระยะเวลาการสั่นของเส้นเสียงจากจุดระบายลมจำแนกพยัญชนะกัก 3 ประเภท ทั้งตำแหน่ง ต้นพยางค์และระหว่างสระ แต่ในผู้พูดที่ใช้หลอดลม-หลอดอาหาร ค่าระยะเวลาการสั่นของเส้นเสียงจากจุดระบายลมจำแนกพยัญชนะกัก ทั้ง 3 ประเภท เฉพาะในกรณีที่พยัญชนะกักอยู่ระหว่างสระเท่านั้น ส่วนในพยัญชนะกักต้นพยางค์ ค่าระยะเวลาการสั่นของเส้นเสียง จากจุดระบายลมจำแนกเพียงพยัญชนะกักก้องกับกักไม่ก้อง แต่ไม่จำแนกพยัญชนะกักไม่ก้องไม่พ่นลมกับกักไม่ก้องพ่นลม ผู้วิจัยพบว่า ค่าระยะเวลาการกักกั้นลมซึ่งวิเคราะห์ได้เฉพาะตำแหน่งระหว่างสระเท่านั้น จำแนกพยัญชนะกักไม่ก้องไม่พ่นลมกับกักไม่ก้องพ่นลม แต่ไม่จำแนกพยัญชนะกักก้องกับกักไม่ก้อง ขณะที่ค่าความเข้มและค่าความถี่มูลฐานของพยางค์ไม่จำแนกพยัญชนะกัก ทั้งในผู้พูดที่ใช้หลอดลม-หลอดอาหารและผู้พูดปกติ จากผลการวิจัยดังกล่าวผู้วิจัยสรุปว่า ลักษณะทางกลสัทศาสตร์ที่มีบทบาทสำคัญในการจำแนกพยัญชนะกัก ได้แก่ ค่าระยะเวลาการสั่นของเสียงจากจุดระบายลมและค่าระยะเวลาการกักกั้นลม ผลการทดสอบการรับรู้แสดงว่า ผู้ฟังสามารถรับรู้ความแตกต่างของเสียงพยัญชนะกัก ในตำแหน่งระหว่างสระได้ดีกว่าต้นพยางค์อย่างชัดเจน กล่าวคือ ฟังสามารถรับรู้ความแตกต่างของเสียงพยัญชนะกักทั้ง 3 ประเภทในตำแหน่งระหว่างสระได้ แต่ในพยัญชนะกักต้นพยางค์ ผู้ฟังรับรู้เพียงความแตกต่างระหว่างเสียงพยัญชนะกักก้องกับกักไม่ก้องเท่า นั้น ผู้ฟังไม่สามารถรับรู้ความแตกต่างระหว่าง เสียงพยัญชนะกักไม่ก้องไม่พ่นลมกับกักไม่ก้องพ่นลมได้ ผู้วิจัยพบว่า ผลการทดสอบการรับรู้สอดคล้องกับผลการวิเคราะห์ค่าระยะเวลาการสั่นของเส้น เสียง จากจุดระบายลมในผู้พูดที่ใช้หลอดลม-หลอดอาหาร การศึกษาพยัญชนะกักภาษาไทยทั้งตำแหน่งต้นพยางค์และระหว่างสระของผู้พูดที่ ใช้หลอดลม-หลอดอาหารในงานวิจัยนี้ ครอบคลุมมากกว่างานวิจัยที่ผ่านมาของ Gandour et al. (1987) ซึ่งศึกษาเพียงพยัญชนะกักต้นพยางค์ของภาษาไทยในผู้ไร้กล่องเสียง งานวิจัยนี้พบว่า ผู้พูดที่ใช้หลอดลม-หลอดอาหารสามารถออกเสียงพยัญชนะกักระหว่างสระได้ดีกว่า ต้นพยางค์ ผู้วิจัยมีความเห็นว่า ผู้พูดที่ใช้หลอดลม-หลอดอาหารต้องพยายามควบคุม P-E segment ซึ่งทำงานแทนเส้นเสียง ทำให้ผู้พูดที่ใช้หลอดลม-หลอดอาหารออกเสียงในจุดเริ่มเปล่งเสียงได้ไม่ดี แต่หลังจุดเริ่มเปล่งเสียงผู้พูดที่ใช้หลอดลม-หลอดอาหารควบคุม P-E segment ได้ดีขึ้นจึงออกเสียงได้ดี
- Publicationการใช้ลักษณะทางสัทศาสตร์ของสระสูง ในการแบ่งเขตภาษาถิ่นในจังหวัดตรัง กระบี่ พังงา และภูเก็ตเจริญขวัญ ธรรมประดิษฐ์; Charuenkwan Thamphradit (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สำนักงานวิทยทรัพยากร, 1981)จุดมุ่งหมายของวิทยานิพนธ์นี้คือ การศึกษาและเปรียบเทียบลักษณะทางสัทศาสตร์ของสระสูง /i:/ และ /u:/ เพื่อนำมาแบ่งเขตภาษาไทยถิ่นใต้ในจังหวัดตรัง กระบี่ พังงา และภูเก็ต โดยใช้รายการคำที่สามารถสำรวจลักษณะทางสัทศาสตร์ของวรรณยุกต์ได้พร้อมกันไป การศึกษาครั้งนี้ นอกจะชี้ให้เห็นว่า การใช้ตัวแปรต่างๆทางเสียง เช่น ลักษณะทางสัทศาสตร์ของสระ และวรรณยุกต์ ในการแบ่งเขตภาษาถิ่นจะทำได้อย่างไรแล้ว ยังเป็นการวิจัยภาษาไทยถิ่นใต้ด้วยวิธีการที่มีระบบ และมีความเป็นปรนัย ข้อมูลในการศึกษาวิเคราะห์นี้ ได้จากการสัมภาษณ์ผู้บอกภาษา จำนวน 23 คน ซึ่งเลือกมาอย่างมีเกณฑ์ และถือว่าเป็นตัวแทนของผู้พูดภาษาในเขตพื้นที่ 23 พื้นที่ ใน 4 จังหวัดที่สุ่มมาอย่างมีระบบ ผลการวิจัยแสดงว่า การใช้ลักษณะทางสัทศาสตร์ของสระ แบ่งเขตภาษาใน 4 จังหวัด ดังกล่าวนั้น สามารถแบ่งภาษาเป็นภาษาย่อยได้ 3 กลุ่ม คือ 1. ภาษาภูเก็ตและพังงา 2. ภาษากระบี่ และ 3.ภาษาตรัง ส่วนการแบ่งภาษาโดยใช้ลักษณะทางสัทศาสตร์ของวรรณยุกต์ มาเป็นเกณฑ์นั้น สามารถแบ่งภาษาได้เป็น 2 กลุ่ม คือ 1. ภาษาภูเก็ตและพังงา และ 2. ภาษากระบี่และตรัง ภาษาภูเก็ตและพังงา มีลักษณะทางสัทศาสตร์ของสระและวรรณยุกต์แตกต่างกัน จากภาษากระบี่และตรัง ภาษากระบี่และตรังซึ่งมีลักษณะทางสัทศาสตร์ของวรรณยุกต์เหมือนกันนั้น มีลักษณะทางสัทศาสตร์ของสระแตกต่างกัน ภาษาตรังยังแบ่งเป็นภาษาถิ่นย่อยๆ ได้อีก รวมทั้งสิ้น 3 ภาษาย่อย จากความแตกต่างของการเลือกใช้เสียงสระในคำ ความแตกต่างนี้ อาจตีความได้ว่า เป็นความแตกต่างระหว่างถิ่น หรือความแตกต่างเชิงสังคม ได้ทั้งสองกรณี ในการวิจัยครั้งนี้ ได้สุ่มตัวอย่างและเก็บข้อมูลโดยควบคุมตัวแปรเชิงสังคม ดังนั้น ความแตกต่างที่พบจากการศึกษาวิจัยครั้งนี้ จึงเป็นความแตกต่างของภาษาถิ่น การศึกษาวิจัยภาษาในจังหวัดดังกล่าวครั้งต่อไป จึงน่าจะนำตัวแปรทางสังคมเข้ามาเป็นส่งวนหนึ่งของการศึกษาวิจัยภาษาถิ่นใต้เหล่านี้ด้วย
- Publicationการใช้และการรับรู้ทำนองเสียงแสดงอารมณ์ของเด็กไทยจุฑาทิพ ดวงมาลย์; Juthathip Duangman (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. สำนักหอสมุด, 2014)
- Publicationการเปรียบเทียบจังหวะภาษาไทยในการพูดของผู้พูดที่ใช้หลอดลม - หลอดอาหาร กับการพูดของผู้พูดปกติญาณินท์ สวนะคุณานนท์; Yanin Sawanakunanon (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สำนักงานวิทยทรัพยากร, 2002)งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาว่าจังหวะในคำพูดต่อเนื่องภาษาไทยของผู้พูดที่ใช้หลอดลม-หลอดอาหารกับของผู้พูดปกติต่างกันหรือไม่อย่างไร โดยเปรียบเทียบโครงสร้างของหน่วยจังหวะ ความสั้นยาวของหน่วยจังหวะ และอัตราส่วนความสั้นยาวของพยางค์ภายในหน่วยจังหวะ ในการวิจัยผู้วิจัยเก็บข้อมูลจากผู้พูดที่ใช้หลอดลม-หลอดอาหารเพศชาย 3 คนและผู้พูดปกติเพศชาย 3 คน ซึ่งมีอายุ การศึกษา และรูปร่างใกล้เคียงกัน โดยให้ผู้บอกภาษาเล่าเรื่องที่อยากเล่าเพื่อให้ได้ข้อมูลคำพูดต่อเนื่องที่เป็นธรรมชาติ จากนั้นผู้วิจัยนำข้อมูลที่ได้มาตัดต่อโดยเลือกเฉพาะข้อมูลช่วงที่ผู้บอกภาษาพูดได้อย่างเป็นธรรมชาติไม่ติดขัด ความยาวประมาณ 5 นาทีต่อผู้บอกภาษา 1 คน และวิเคราะห์โดยแบ่งหน่วยจังหวะด้วยการฟัง พร้อมทั้งวัดค่าระยะเวลาของหน่วยจังหวะและของพยางค์ทั้งพยางค์หนัก พยางค์หนักเงียบ (การหยุดเว้นระยะ) และพยางค์เบา เป็นมิลลิวินาที แล้วจึงนำค่าระยะเวลานั้นมาปรับเป็นอัตราส่วนความสั้นยาวของพยางค์ภายในหน่วยจังหวะ ผลการวิเคราะห์แสดงว่าโครงสร้างของหน่วยจังหวะในคำพูดต่อเนื่องของผู้พูดทั้งสองกลุ่มไม่แตกต่างกัน โดยพบหน่วยจังหวะ 4 ชนิดซึ่งมีโครงสร้างเป็น /P0-3 หน่วยจังหวะทุกชนิดในคำพูดต่อเนื่องของผู้พูดที่ใช้หลอดลม-หลอดอาหารยาวกว่าของผู้พูดปกติ แต่เมื่อเปรียบเทียบด้วยค่าทางสถิติพบว่าความแตกต่างไม่มีนัยสำคัญ ส่วนอัตราส่วนความสั้นยาวของพยางค์ภายในหน่วยจังหวะของผู้พูดทั้งสองกลุ่มมีลักษณะเดียวกัน คือ พยางค์แรกในหน่วยจังหวะซึ่งเป็นพยางค์หนักมีอัตราส่วนมากที่สุด ส่วนพยางค์เบาที่เหลือมีอัตราส่วนเท่ากันโดยประมาณในโครงสร้างหน่วยจังหวะทุกชนิด
- Publicationการเปรียบเทียบปฏิสัมพันธ์ระหว่างค่าความถี่มูลฐานและค่าระยะเวลาของเสียงสระกับเสียงพยัญชนะท้ายในภาษามลายูถิ่นปัตตานีที่พูดในจังหวัดปทุมธานีกับจังหวัดปัตตานี : การศึกษาทางกลสัทศาสตร์กุสุมา เลาะเด; Kusuma Lohday (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สำนักงานวิทยทรัพยากร, 2004)วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์และเปรียบเทียบค่าความกี่มูลฐานและ ค่าระยะเวลาของเสียงสระในพยางค์ที่มีพยัญชนะท้ายเป็น-?, -h, -ŋ และในพยางค์ที่ไม่มีพยัญชนะท้าย ในภาษามลายู ถิ่นปัตตานีที่พูดในจังหวัดปทุมธานีกับจังหวัดปัตตานี ผู้วิจัยเก็บข้อมูลจากผู้บอกภาษาทั้งสองจังหวัด จังหวัดละ 20 คน โดยให้ผู้บอกภาษาออกเสียงคำคนละ 40 คำ ซึ่งแต่ละคำมีพยัญชนะท้ายต่างกัน ผู้วิจัยใช้โปรแกรมพราท (Praat) เพี่อวิเคราะห์ค่าความถี่มูลฐานและค่าระยะเวลา และใช้โปรแกรม Microsoft Excel 2000 เพี่อประมวลผลข้อมูล จากผลการวิจัยพบว่า สระในพยางค์ที่มีพยัญชนะท้ายเป็น -? กับ -h มีค่าความที่มูลฐานมากกว่าสระในพยางค์ที่มีพยัญชนะท้ายเป็น - ŋ และสระในพยางค์ที่ไม่มีพยัญชนะท้าย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ทั้งในภาษามลายูถิ่นปัตตานีที่พูดในจังหวัดปทุมธานีและที่พูดในจังหวัด ปัตตานี นอกจากนั้น พบว่า ในภาษามลายูถิ่นปัตตานีที่พูดในจังหวัดปทุมธานี ระดับเสียงของสระแบ่งออกเป็น 2กลุ่ม คือ กลุ่มเสียงสูง ได้แก่ ระดับเสียงของสระในพยางค์ที่มีพยัญชนะท้ายเป็น – ? กับ -h และกลุ่มเสียงต่ำได้แก่ ระดับเสียงของสระในพยางค์ที่มีพยัญชนะท้ายเป็น -ŋ และในพยางค์ที่ไม่มีพยัญชนะท้าย สำหรับในภาษามลายูถิ่นปัตตานีที่พูดในจังหวัดปัตตานี จากการวิจัยพบว่า ระดับเสียงของสระแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มเสียงสูง ได้แก่ ระดับเสียงของสระในพยางค์ที่มีพยัญชนะท้ายเป็น -? และ -h กลุ่มเสียงกลาง ได้แก่ ระดับเสียงของสระในพยางค์ที่มีพยัญชนะท้ายเป็น - מและกลุ่มเสียงต่ำ ได้แก่ ระดับเสียงของสระในพยางค์ที่ไม่มีพยัญชนะท้าย ผู้วิจัยยังพบอีกว่าในเรื่องของค่าระยะเวลา สระในพยางค์ที่มีพยัญชนะท้ายเป็น -? และ -h มีค่าระยะเวลา น้อยกว่าสระในพยางค์ที่มีพยัญชนะท้ายเป็น -ŋ และสระในพยางค์ที่ไม่มีพยัญชนะท้าย ซึ่งความต่างดังกล่าวมีนัยสำคัญทางสถิติ ทั้งในภาษามลายูถิ่นปัตตานีที่พูดในจังหวัดปทุมธานีและจังหวัดปัตตานี ผลการวิจัยในเรื่องค่าระยะเวลานี้ สะท้อนให้เห็นว่า ความสั้นยาวของสระในภาษามลายูถิ่นปัตตานีที่พูดในทั้งสองจังหวัดแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มเสียง สั้น ได้แก่ สระในพยางค์ที่มีพยัญชนะท้ายเป็น -? และ -h และกลุ่มเสียงยาว ได้แก่ สระในพยางค์ที่มีพยัญชนะท้าย เป็น -ŋ และสระในพยางค์ที่ไม่มีพยัญชนะท้าย ดังนั้น จากการวิจัยนี้สามารกสรุปเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างค่าความถี่มูลฐานกับค่า ระยะเวลาของสระในภาษามลายูถิ่นปัตตานีที่พูดในทั้งสองจังหวัดได้ว่า สระที่มีค่าความถี่มูลฐานมาก (เสียงสูง) จะมีค่าระยะเวลาน้อย (เสียงสั้น) ส่วนสระที่มีค่าความถี่มูลฐานน้อย (เสียงต่ำ) จะมีค่าระยะเวลามาก (เสียงยาว)
- Publicationการเปรียบเทียบลักษณะทางกลสัทศาสตร์ของเสียงสระในภาษาไทยถิ่นปัตตานีและภาษาไทยถิ่นกรุงเทพสุดธิดา ศรีจันทร์; Sutthida Sornchan (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สำนักงานวิทยทรัพยากร, 2008)งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์และเปรียบเทียบลักษณะทางกลสัทศาสตร์ คือ ค่าความถี่ฟอร์เมินท์ ค่าระยะเวลา และค่าความเข้ม ของสระเดี่ยวและสระประสม ในพยางค์ที่ลงเสียงหนักในคำพูดต่อเนื่องในภาษาไทยถิ่นปัตตานีและภาษาไทยถิ่นกรุงเทพ โดยเก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลภาษาไทยถิ่นปัตตานีและภาษาไทยถิ่นกรุงเทพ ภาษาละ 5 คน วิธีการเก็บข้อมูลเก็บจากคำพูดต่อเนื่อง โดยใช้วิธีพูดคุย ถาม-ตอบระหว่างผู้ให้ข้อมูลภาษาและผู้วิจัย สำหรับคำตัวอย่างที่ใช้ในการวิเคราะห์ ประกอบด้วย สระเดี่ยวเสียงสั้น 9 หน่วยเสียง คือ /I, e, ԑ, ɨ, ә, a, u, o, ɔ/ สระเดี่ยวเสียงยาว 9 หน่วยเสียง /ii, ee, ԑԑ, ɨɨ, әә, aa, uu, oo, ɔɔ/ และสระประสม 3 หน่วยเสียง คือ /ia, ɨa, ua/ โดยคำตัวอย่างต้องปรากฏในโครงสร้างพยางค์แบบปิดและแบบเปิด รวมคำทดสอบที่ใช้ในการวิเคราะห์มีทั้งสิ้น 2,310 คำ (คำตัวอย่าง 231 คำ x ผู้ให้ข้อมูลภาษา 10 คน) ในการวิเคราะห์ลักษณะทางกลสัทศาสตร์ของเสียงสระ ใช้โปรแกรมพราท (Praat) เวอร์ชั่น 4.4.27 และทดสอบความแตกต่างทางสถิติของค่าทางกลสัทศาสตร์ระหว่าง 2 กลุ่มตัวอย่าง โดยใช้สถิติ t-test ในโปรแกรม SPSS 13.0 for Windows และกำหนดระดับนัยสำคัญที่ 0.05 ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า สระเดี่ยวและสระประสมในภาษาไทยถิ่นปัตตานีมีค่าความถี่ฟอร์เมินท์ที่ 1 ต่ำกว่าภาษาไทยถิ่นกรุงเทพ ในขณะที่ค่าความถี่ฟอร์เมินท์ที่ 2 กลับมีค่าสูงกว่าภาษาไทยถิ่นกรุงเทพ สำหรับบริเวณเสียงสระโดยรวมทั้งในภาษาไทยถิ่นปัตตานีและภาษาไทยถิ่นกรุงเทพ สระยาวมีแนวโน้มเป็นสระขอบมากกว่าสระสั้นซึ่งมีแนวโน้มเป็นสระค่อนมาทางกลาง บริเวณเสียงสระแต่ละเสียงในภาษาไทยถิ่นปัตตานีมีการกระจายมากกว่าเมื่อเทียบกับในภาษาไทยถิ่นกรุงเทพ สำหรับค่าระยะเวลา สระเดี่ยวในภาษาไทยถิ่นปัตตานีมีค่าระยะเวลาเฉลี่ยน้อยกว่าในภาษาไทยถิ่นกรุงเทพ นอกจากนี้ อัตราส่วนค่าระยะเวลาในภาษาไทยถิ่นปัตตานีของสระสั้นต่อสระยาวในพยางค์ปิด คือ 1:1.95 สระสั้นต่อสระยาวในพยางค์เปิด คือ 1:2.50 และสระยาวในพยางค์ปิดต่อสระยาวในพยางค์เปิด คือ 1:1.28 สำหรับภาษาไทยถิ่นกรุงเทพ สระสั้นต่อสระยาวในพยางค์ปิด คือ 1:1.89 สระสั้นต่อสระยาวในพยางค์เปิด คือ 1:2.34 และสระยาวในพยางค์ปิดต่อสระยาวในพยางค์เปิด คือ 1:1.24 ในส่วนของสระประสม อัตราส่วนค่าระยะเวลาของสระประสมในพยางค์ปิดต่อสระประสมในพยางค์เปิดในภาษาไทยถิ่นปัตตานี คือ 1:1.28 ในขณะที่ภาษาไทยถิ่นกรุงเทพ คือ 1:1.39 สำหรับค่าความเข้ม สระสั้นมีค่าความเข้มมากกว่าสระยาว และสระประสมในพยางค์เปิดมีค่าความเข้มมากกว่าสระประสมในพยางค์ปิด ทั้งในภาษาไทยถิ่นปัตตานีและภาษาไทยถิ่นกรุงเทพ และค่าความเข้มในภาษาไทยถิ่นปัตตานีและภาษาไทยถิ่นกรุงเทพแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญ
- Publicationการวิเคราะห์การแปรเสียงแทรกพยางค์ CV ในคำภาษาไทยผ่านเลนส์ภาษาศาสตร์สังคมอณุภา ศรีสันติสุข; สุกัญญา เรืองจรูญ; Srisantisuk, Anupar; Ruangjaroon, Sugunyaงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์การแปรเสียงในคำภาษาไทยที่สามารถออกเสียงได้ 2 แบบ ภายในหนึ่งคำคือ การแทรกหรือไม่แทรกพยางค์ CV แต่ยังคงความหมายเดิม เจาะจงปัจจัยทางสังคม 3 ด้าน ได้แก่ อายุ ระดับการศึกษา และวัจนลีลา กลุ่มตัวอย่างคือ พนักงานบริษัทเอกชน ผู้พูดภาษาไทยมาตรฐานเป็นภาษาแม่ จำนวน 135 คน อายุอยู่ในช่วง 20-30 ปี 40-50 ปี และ 60 ปีขึ้นไป ระดับการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี ปริญญาตรี และ สูงกว่าปริญญาตรี ศึกษาผ่านวัจนลีลา 2 แบบ คือ บทสนทนาถาม-ตอบเป็นวัจนลีลาแบบไม่เป็นทางการ และการอ่านรายการคำเป็นวัจนลีลาแบบทางการ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ การวิเคราะห์ค่าแปรปรวนทางเดียว (One-Way ANOVA) และการทดสอบค่าไคสแควร์ (Chi-square Test: χ2-test) ผลการวิจัยพบว่า ตัวแปรอายุ ผู้ที่มีอายุช่วง 20-30 ปี นิยมออกเสียงไม่แทรกพยางค์ CV ส่วนผู้ที่มีอายุช่วง 40-50 ปี และ 60 ปีขึ้นไป นิยมออกเสียงแทรกพยางค์ CV ขณะที่ตัวแปรด้านการศึกษาพบว่า ผู้ที่ระดับการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรีนิยมออกเสียงไม่แทรกพยางค์ CV และผู้ที่ระดับการศึกษาปริญญาตรีขึ้นไปนิยมออกเสียงแทรกพยางค์ CV นอกจากนี้ ปัจจัยวัจนลีลามีความสำคัญต่อการใช้รูปแปรเสียงภายในผู้บอกภาษาอย่างมากพบว่า วัจนลีลาแบบไม่เป็นทางการ ผู้บอกภาษานิยมออกเสียงไม่แทรกพยางค์ CV ในทางกลับกัน เมื่อวัจนลีลาเป็นแบบทางการพบอัตราการออกเสียงแทรกพยางค์ CV เพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งแสดงการตระหนักถึงการเลือกใช้รูปภาษาที่เหมาะสมกับบริบทของผู้บอกภาษ
- Publicationการวิเคราะห์ลักษณะการจัดรูปแบบทางสัทวิทยาของแบบเรียนวิชาภาษาไทยสำหรับเด็กเริ่มเรียน ในช่วง พ.ศ. 2480-2520มนทรัตม์ พิทักษ์; Montarat Pitak (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. สำนักหอสมุด, 1999)
- Publicationการวิเคราะห์หน่วยคำ อะไร ที่ปรากฎในวัจนกรรมตรงและวัจนกรรมอ้อมตามหลักกลสัทศาสตร์วัลลภาภรณ์ สอนบุญตา.; Wanlaphaporn Sonbuntha (มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. สำนักหอสมุดกลาง, 2010)งานวิจัยนี้วิเคราะห์หน่วยคา “อะไร” ที่ปรากฏในวัจนกรรมตรงและวัจนกรรมอ้อมด้วยวิธีทางกลสัทศาสตร์ โดยผู้วิจัยวิเคราะห์คุณสมบัติทางกลสัทศาสตร์ของสระประสม // ในหน่วยคำ“อะไร” // 3 ลักษณะดังนี้ 1) ค่าระยะเวลา ของช่วงเชื่อมต่อและสระส่วนที่ 2 2) ค่าความถี่ฟอร์-เมินท์ที่ 1 ค่าความถี่ฟอร์เมินท์ที่ 2 และค่าความถี่ฟอร์เมินท์ที่ 3 ของสระส่วนที่ 1 และสระส่วนที่ 2 และ 3) ค่าความถี่มูลฐานของช่วงเชื่อมต่อ ที่ปรากฏในวัจนกรรมกรรมตรง 3 ประเภท คือ 1)ประโยคคาถามตอบรับ-เนื้อความ 2) ประโยคคาถามตอบรับ-ปฏิเสธ และ 3) ประโยคปฏิเสธ และปรากฏในวัจนกรรมอ้อม 4 ประเภท คือ 1) วัจนกรรมการตาหนิ 2) วัจนกรรมการบ่น 3) วัจนกรรมการทักทาย และ 4) วัจนกรรมการชมผู้วิจัยเตรียมบริบทสาหรับผู้บอกภาษาที่รับการบันทึกเสียง โดยผู้บอกภาษาต้องพูดตามอารมณ์และความรู้สึกจากกาตีความบริบท ผู้รับการบันทึกเสียงพูดประโยคละ 8 ครั้ง ผลการวิเคราะห์สระประสม // ในหน่วยคา “อะไร”/[arai] ในแต่ละลักษณะ ผู้วิจัยนาไปวิเคราะห์หาความแตกต่างของประโยคทั้ง 7 ประเภท โดยใชสถิติ Anova ที่ระดับความเชื่อมั่น .05 ถ้าพบความแตกต่างของลักษณะใดของคุณสมบัติทางกลสัทศาสตร์ ผู้วิจัยนาผลการวิเคราะห์ของลักษณะนั้นไปเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างคู่ประโยค โดยใช้สถิติ Post Hoc Multiple Comparison ที่ระดับความเชื่อมั่น .0083ผลการวิเคราะห์ ไม่พบความแตกต่างของคุณสมบัติทางกลสัทศาสตร์ของสระประสม //ในหน่วยคา “อะไร” ที่ปรากฏในวัจนกรรมตรงและวัจนกรรมอ้อมอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ อย่างไรก็ตาม ผู้วิจัยกลับพบความแตกต่างของค่าความถี่มูลฐานระหว่างวัจนกรรมอ้อมที่แสดงอารมณ์ในด้านบวกกับวัจนกรรมอ้อมที่แสดงอารมณ์ในด้านลบ โดยวัจนกรรมอ้อมที่แสดงอารมณ์ในด้านบวกมีค่าความถี่มูลฐานสูง ในขณะที่วัจนกรรมอ้อมที่แสดงอารมณ์ในด้านลบมีค่าความถี่มูลฐานต่า
- Publicationการศึกษาคำที่มีส่วนท้ายพยางค์กลุ่ม 通 ในเอกสารเซียนหลัวก่วนอี้อี่ว์พาน เหล่ย; จตุวิทย์ แก้วสุวรรณ์; Pan, Lei; Keawsuwan, Chatuwitการวิจัยนี้มุ่งศึกษาอักษรจีนที่ใช้ในการกำกับเสียงที่มีส่วนท้ายพยางค์กลุ่ม 通 (tōng) ในเอกสารเซียนหลัวก่วนอี้อี่ว์ (暹羅館譯語, xiānluóguǎn yìyǔ) เชิงสัทวิทยาภาษาจีนโบราณ (音韻學, yīnyùn xué) ผ่านการเปรียบเทียบภาษาสยามและภาษาไทยปัจจุบัน รวมถึงการวิเคราะห์วิธีการกำกับเสียงภาษาสยาม และตำแหน่งเสียงในอักขรานุกรมหงอู่เจิ้งอวิ้น (洪武正韻, hóngwǔ zhèngyùn) เพื่อทราบถึงที่มาของภาษาจีนที่ใช้เวลานั้นว่าเป็นภาษาถิ่นใด รวมกับการพยายามทำความเข้าใจวิธีการทับเสียงและการเปลี่ยนแปลงของภาษา ผลการวิจัยพบว่า 1) คำและพยางค์ที่ประสมกับสระโ-ะ โ- อุ และ อู ตามด้วยพยัญชนะท้ายพยางค์ ม จะใช้วิธีการเน้นออกเสียงสระนำ -i- ส่งผลให้เสียงพยัญชนะท้ายพยางค์เปลี่ยนจาก ง เป็น ม โดยอักษรจีนในกลุ่มนี้ทุกตัวอยู่ในระดับสาม 2) คำและพยางค์ที่ประสมกับสระโ-ะ โ- อุ และ อู ตามด้วยพยัญชนะท้ายพยางค์ ง จะออกเสียงสระนำ -i- สั้นลง จึงยังคงพยัญชนะท้ายพยางค์ไว้เหมือนเดิม โดยอักษรจีนในกลุ่มนี้ทุกตัวอยู่ในระดับสามเช่นกัน 3) กลุ่มอักษรจีนที่มีเสียงสอดคล้องกับภาษาสยามในยุคนั้น อักษรจีนในกลุ่มนี้ทุกตัวอยู่ในระดับหนึ่ง และ 4) อักษรจีนที่มีเสียงพยัญชนะท้ายพยางค์ น หรือ -n กับคำและพยางค์ภาษาสยามที่มีเสียงท้ายพยางค์ ม หรือ -m มีเพียง 1 คำ ซึ่งสันนิษฐานว่าอาจเป็นการแปลงเสียงในลักษณะของการกลมกลืนตามเสียงพยัญชนะต้นของพยางค์ที่ตามมา(anticipatory assimilation)
- Publicationการศึกษาเปรียบเทียบระบบเสียงภาษาจีนกลางและภาษาไทยเพื่อการสอนการออกเสียงนพเก้า สิรินธรานนท์; Nopphakao Sirintranon (มหาวิทยาลัยมหิดล, 2013)งานวิจัยนี้ศึกษาระบบเสียงภาษาจีนกลางของผู้พูดชาวจีน พบว่า ระบบเสียงภาษาจีนกลางมีหน่วยเสียงพยัญชนะ 23 หน่วยเสียง ได้แก่ /p, ph, t, th, k, kh, ʔ, m, n, ŋ, f, h, s, ɕ, ʂ, ts, tsh, ʨ, ʨh, ʈʂ, ʈʂh, l, ɻ/ หน่วยเสียงสระ 21 หน่วยเสียง ได้แก่ /i, u, y, ɐ, o, ɤ, ɚ, ɐi, ɤi, ɐu, ou, iɐ, iɤ, uɐ, uɤ, yɐ, yɤ, iɐu, iɤu, uɐi, uɤi/ และหน่วยเสียงวรรณยุกต์ 4 หน่วยเสียง ได้แก่ /1,2, 3, 4/ เมื่อนำผลการวิเคราะห์ที่ได้มาเปรียบเทียบกับระบบเสียงภาษาไทยซึ่ง กาญจนา นาคสกุล (2551) ได้ศึกษาวิเคราะห์ไว้ พบหน่วยเสียงที่แตกต่างจากระบบเสียงภาษาไทย ได้แก่ หน่วยเสียงพยัญชนะ /ɕ, ʂ, ts, tsh, ʈʂ, ʈʂh, ɻ/ หน่วยเสียงสระ /i, y, ɚ, iɐ, uɐ, yɐ, yɤ, iɐu, iɤu, uɐi, uɤi/ และหน่วยเสียงวรรณยุกต์ /1, 3/ ซึ่งจากประสบการณ์การสอนของผู้วิจัยพบว่า การออกเสียงหน่วยเสียงที่แตกต่างกันเหล่านี้เป็นปัญหาในการเรียนภาษาจีนกลางของผู้เรียนชาวไทย เมื่อผู้วิจัย ใช้สื่อการสอนเพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาการออกเสียงของผู้เรียน พบว่า ผู้เรียนมีพัฒนาการที่ดีกว่าการเรียนการสอนด้วยวิธีบรรยายเพียงอย่างเดียว ดังนั้น ผู้วิจัยจึงได้ทดลองสร้างสื่อประกอบการสอน โดยอิงข้อมูลที่ได้จากผลการวิจัย เพื่อช่วยพัฒนาและแก้ไขการออกเสียงที่เป็นปัญหา ซึ่งครอบคลุม ทั้งทักษะด้านการฟังและการพูดตามแนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร และเผยแพร่สื่อการสอนให้ เข้าถึงผู้สอนและผู้เรียนภาษาจีนกลางทุกระดับผ่านระบบออนไลน์เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยจัดทำเป็นแฟนเพจในเฟซบุ๊คซึ่งมีศักยภาพใกล้เคียงกับเว็บไซต์
- Publicationการศึกษาเปรียบเทียบเสียงและระบบเสียงในภาษาลาวพวน มาบปลาเค้า ของผู้พูดภาษาที่มีอายุต่างกันรัชนีย์ เสนีย์ศรีสันต์; Rachanee Senisrisant (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 1983)การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายที่จะศึกษาเกี่ยวกับเสียงและระบบเสียงของภาษาลาวพวนซึ่งพูดที่บ้านมาบปลาเค้า (หมู่ 1, 2, 3, 4) ตำบลมาบปลาเค้า อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี โดยเน้นเรื่องความแตกต่างของเสียงวรรณยุกต์ พยัญชนะ สระ ในการพูดภาษาลาวพวนของผู้พูดต่างอายุกัน ซึ่งในการวิจัยครั้งนี้ได้แบ่งประชากรออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ กลุ่มที่ 1 อายุ 60 ปีขึ้นไป กลุ่มที่ 2 อายุ 45 – 59 ปี กลุ่มที่ 3 อายุ 30 -44 ปี กลุ่มที่ 4 อายุ 15 -29 ปี ข้อมูลที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้จากการสัมภาษณ์ผู้บอกภาษาที่คัดเลือกจากผู้พูดภาษา 4 กลุ่มอายุ รวมทั้งสิ้น 31 คน ซึ่งเป็นผู้บอกภาษาเพศหญิง 16 คน เพศชาย 15 คน ผลที่ได้จากการวิจัย คือระบบภาษาลาวพวนที่พูดโดยคนต่างอายุกันมีระบบเสียงเหมือนกัน โดยมีเสียงวรรณยุกต์ 5 หน่วยเสียง หน่วยเสียงพยัญชนะ 20 หน่วยเสียง และหน่วยเสียงสระ 18 หน่วยเสียง แต่มีสัทลักษณะของเสียงบางเสียงต่างกัน ซึ่งเสียงเหล่านี้อยู่ในระยะแปรเปลี่ยนโดยอิทธิพลของภาษารอบข้าง คือ ภาษาไทยเพชรบุรีและภาษาไทยกรุงเทพฯ เมื่อเปรียบเทียบการออกเสียงวรรณยุกต์ พยัญชนะ และสระของผู้พูดภาษาลาวพวน 4 กลุ่มอายุแล้วได้พบว่าเสียงวรรณยุกต์ในกล่อง DS 123 มีแนวโน้มจะเปลี่ยนไปใกล้เคียงกับเสียงวรรณยุกต์ในภาษาไทยเพชรบุรี และเสียงวรรณยุกต์ในกล่อง DS 4 มีแนวโน้มจะเปลี่ยนไปใกล้เคียงกับเสียงวรรณยุกต์ในภาษาไทยกรุงเทพฯ ทำให้เกิดเสียงวรรณยุกต์ใหม่ในภาษาลาวพวน 3 เสียง นอกจากนี้ยังมีการรวมเสียงวรรณยุกต์ในพยางค์ตายเสียงยาว (DL) กับ พยางค์ตายเสียงสั้น (DS) ในแถว 123 ของผู้พูดภาษากลุ่มอายุ 30 -44 ปี สำหรับเสียงพยัญชนะและสระบางเสียงในภาษาลาวพวนมาบปลาเค้ามีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนไปเป็นแบบภาษาไทยเช่นเดียวกับเสียงวรรณยุกต์ ความแปรเปลี่ยนนี้เกิดขึ้นกับการออกเสียงพยัญชนะ และสระในคำบางคำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพยัญชนะต้นของคำเหล่านั้นเป็น h-,л-,s-,kw- ส่วนเสียงสระมีความแปรเปลี่ยนระหว่าง [ε : u] กับ[ iau ] และ [ε : u ] กับ [ e:u ]อัตราการแปรเปลี่ยนของเสียงวรรณยุกต์ พยัญชนะ สระ ดังกล่าวข้างต้นแตกต่างกันไปตามกลุ่มอายุของผู้พูดภาษา คือผู้พูดภาษาลาวพวนกลุ่มอายุมากโดยเฉพาะกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไปยังคงเสียงภาษาลาวพวนเดิมในอัตราสูง ส่วนผู้พูดภาษาลาวพวนกลุ่มอายุน้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม 15 -29 ปี ออกเสียงแบบภาษาไทยมาก