ภาษาศาสตร์ประยุกต์
Permanent URI for this collection
บทความวิจัยและวิทยานิพนธ์ในสาขาวิชาภาษาศาสตร์ที่สังกัดสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย ในสายภาษาศาสตร์ประยุกต์ ได้แก่ การแปล (Translation) การรับภาษาที่สอง (Second (Foreign) language acquisition) การรับภาษาที่หนึ่ง (First language acquisition) การเรียนการสอนภาษา (Language teaching) ภาษากับปริชาน (Language and cognition) ภาษาศาสตร์คลังข้อมูล (Corpus linguistics) ภาษาศาสตร์คอมพิวเตอร์/การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Computational linguistics/Natural language processing) ภาษาศาสตร์จิตวิทยา (Psycholinguistics) ภาษาศาสตร์เชิงคลินิก/การแก้ไขการพูดการได้ยินภาษา/ความผิดปกติในการสื่อความหมาย (Clinical linguistics/Speech-language pathology/Communication disorders) ภาษาศาสตร์เชิงประวัติ/นิรุกติศาสตร์ (Historical linguistics/Philology) ภาษาศาสตร์ปริชาน (Cognitive linguistics) ภาษาศาสตร์เปรียบเทียบ (Comparative linguistics) ภาษาศาสตร์สังคม (Sociolinguistics) วิทยาภาษาถิ่น (Dialectology)
Browse
Browsing ภาษาศาสตร์ประยุกต์ by browse.metadata.researchtheme2 "อรรถศาสตร์ (Semantics)"
Now showing 1 - 20 of 39
Results Per Page
Sort Options
- Publicationการปรับเปลี่ยนของชื่อหมู่บ้านในจังหวัดเชียงใหม่น้องนุช มณีอินทร์; Nonguch Maneein (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สำนักงานวิทยทรัพยากร, 2000)งานวิจัยนี้ศึกษารูปแบบโครงสร้างของชื่อหมู่บ้านในจังหวัดเชียงใหม่ในปี พ.ศ. 2523, 2533 และ 2541 รวมทั้งลักษณะทางวัฒนธรรมที่สะท้อนจากชื่อหมู่บ้าน การปรับเปลี่ยนด้านภาษาในลักษณะต่างๆ และปัจจัยที่ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนของชื่อหมู่บ้าน สมมติฐานของงานวิจัยนี้มี 4 ประการได้แก่ (1) โครงสร้างของชื่อหมู่บ้านในจังหวัดเชียงใหม่มีรูปแบบที่หลากหลายซึ่งสะท้อนให้เห็นลักษณะเด่นของกลุ่มชาติพันธุ์ (2) รูปแบบของชื่อหมู่บ้านในจังหวัดเชียงใหม่ในปี พ.ศ. 2523 แสดงลักษณะเด่นของกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่าในปี พ.ศ. 2533 และ 2541 (3) ชื่อหมู่บ้านในจังหวัดเชียงใหม่มีการปรับเปลี่ยนด้านโครงสร้างมากกว่าการปรับเปลี่ยนด้านอื่นๆ (4) การปรับเปลี่ยนของชื่อหมู่บ้านเกิดจากปัจจัย 3 ประการได้แก่ ปัจจัยด้านภาษา ปัจจัยด้านสังคม และปัจจัยด้านการเมือง ผลการวิเคราะห์พบว่าโครงสร้างของชื่อหมู่บ้านมี 3 รูปแบบใหญ่ๆ เรียงลำดับจากการปรากฏมากที่สุดไปหาการปรากฏน้อยที่สุดคือ (1) ภูมิประเทศ+ (ลักษณะเฉพาะ)+ (คุณสมบัติ) เช่น ดง, สันมะนาว, ดอยน้อย, ป่าสักน้อย (2) ชื่อเฉพาะ เช่น กาวิละ (3) ชุมชน+ (ชื่อชุมชน) เช่น กาด, นิคมท่าโป่ง เป็นต้น ส่วนการศึกษาลักษณะทางวัฒนธรรมที่สะท้อนจากชื่อหมู่บ้าน ผู้วิจัยวิเคราะห์จากความหมายขององค์ประกอบที่ปรากฏอยู่ในโครงสร้างทั้ง 3 แบบ โดยที่องค์ประกอบต่างๆ ต้องมีความถี่ในการปรากฏสูงจึงจะถือว่าสะท้อนลักษณะทางวัฒนธรรมได้อย่างชัดเจน ผลปรากฏว่าชื่อหมู่บ้านสะท้อนลักษณะทางวัฒนธรรมดังนี้ (1) การตั้งถิ่นฐานใกล้แหล่งน้ำ (2) ความสำคัญของพื้นที่ป่าต่อวิถีชีวิตของคนเชียงใหม่ (3) ลักษณะภูมิประเทศแบบพื้นที่สูง (4) ความหลากหลายของพืชพรรณ (5) การบ่งบอกทิศทาง ตำแหน่งหรือแสดงลักษณะเด่นของหมู่บ้าน (6) ความสำคัญของวัดและศาสนา (7) ความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์ (8) การเปลี่ยนแปลงของลักษณะชุมชน ในด้านการปรับเปลี่ยนของชื่อหมู่บ้าน ผู้วิจัยนำชื่อหมู่บ้านทีละชื่อใน 3 ช่วงเวลามาเปรียบเทียบกันและจำแนกการปรับเปลี่ยนออกเป็นลักษณะต่างๆ ผลปรากฏว่าพบลักษณะการปรับเปลี่ยนชื่อหมู่บ้านแบบต่างๆ ซึ่งการปรับเปลี่ยนโดยการแทนที่ด้วยชื่ออื่นมีความถี่ในการปรากฏสูงจึงนำมาวิเคราะห์การปรับเปลี่ยนด้านภาษาของชื่อหมู่บ้านซึ่งพบลักษณะการปรับเปลี่ยน 3 ลักษณะ เรียงลำดับจากการปรากฏมากที่สุดไปหาการปรากฏน้อยที่สุดคือ (1) การปรับเปลี่ยนด้านศัพท์ เช่น กาดขี้เหล็ก > ตลาดขี้เหล็ก (2) การปรับเปลี่ยนด้านตัวสะกด เช่น ป่าฮวก > ป่ารวก (3) การปรับเปลี่ยนด้านโครงสร้าง เช่น หนองหอย > หนองหอยใหม่ เป็นต้น เกี่ยวกับปัจจัยของการปรับเปลี่ยนชื่อหมู่บ้าน ผลการวิจัยปรากฏว่าปัจจัยของการปรับเปลี่ยนมีทั้งหมด 4 ปัจจัยคือ (1) ปัจจัยด้านภาษา (2) ปัจจัยด้านภูมิประเทศ (3) ปัจจัยด้านสังคม (4) ปัจจัยด้านการเมืองการปกครอง
- Publicationการแปรของการรับรู้เพศลักษณ์หญิงและเพศลักษณ์ชายในความหมายของคำกริยาและคำวิเศษณ์ในภาษาไทยตระหนักจิต ทองมี; Thranakchit Thongmee (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สำนักงานวิทยทรัพยากร, 2002)งานวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาการรับรู้เพศลักษณ์ต้นแบบทั้งการรับรู้เพศลักษณ์หญิงและเพศลักษณ์ชายในความหมายของคำกริยาและคำวิเศษณ์ในภาษาไทย โดยมีคำถามสำคัญคือ 1)การรับรู้เพศลักษณ์ต้นแบบแปรตามอายุและเพศหรือไม่ 2)การรับรู้เพศลักษณ์ต้นแบบของคนอายุมากจะมีการจำแนกเพศลักษณ์หญิงและเพศลักษณ์ชายออกจากกันไม่ชัดเจนเท่าคนอายุน้อยหรือไม่ 3)การรับรู้เพศลักษณ์ต้นแบบของผู้หญิงจะมีการจำแนกเพศลักษณ์หญิงและเพศลักษณ์ชายออกจากกันไม่ชัดเจนเท่าผู้ชายหรือไม่ ผลการศึกษาสรุปได้ดังนี้ 1.จากการวิเคราะห์ทางสถิติแบบการทดสอบอันดับและเครื่องหมายของวิลคอกสัน พบว่า การแปรของกลุ่มตัวอย่างต่างเพศและกลุ่มตัวอย่างต่างวัยมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 แสดงว่า การรับรู้เพศลักษณ์ต้นแบบแปรตามอายุ และเพศ 2.กลุ่มตัวอย่างอายุมากมีการแปรของการรับรู้เพศลักษณ์สูงกว่ากลุ่มตัวอย่างอายุน้อยแสดงว่าการรับรู้เพศลักษณ์ ต้นแบบของคนอายุมากจะมีการจำแนกเพศลักษณ์หญิงและเพศลักษณ์ชายออกจากกันไม่ชัดเจนเท่าคนอายุน้อย 3.กลุ่มตัวอย่างเพศหญิงมีการแปรของการรับรู้เพศลักษณ์สูงกว่ากลุ่มตัวอย่างเพศชายแสดงว่าการรับรู้เพศลักษณ์ ต้นแบบของผู้หญิงจะมีการจำแนกเพศลักษณ์หญิงและเพศลักษณ์ชายออกจากกันไม่ชัดเจนเท่าผู้ชาย 4.คำต้นแบบของคำแสดงเพศลักษณ์หญิงมี 14 คำ ประกอบด้วยมโนทัศน์สำคัญ 4 มโนทัศน์ คือ มโนทัศน์เกี่ยวกับลักษณะทางกาย มโนทัศน์เกี่ยวกับอากัปกริยา มโนทัศน์เกี่ยวกับอารมณ์ และมโนทัศน์เกี่ยวกับทัศนคติ ส่วนคำต้นแบบของคำแสดงเพศลักษณ์ชายมี 12 คำ ประกอบด้วยมโนทัศน์สำคัญ 4 มโนทัศน์ คือ มโนทัศน์เกี่ยวกับลักษณะทางกาย มโนทัศน์เกี่ยวกับอากัปกริยา มโนทัศน์เกี่ยวกับพฤติกรรม และมโนทัศน์เกี่ยวกับการแสดงออกทางเพศ มโนทัศน์ที่ไม่พบในเพศลักษณ์ต้นแบบหญิง คือ มโนทัศน์เกี่ยวกับพฤติกรรม และมโนทัศน์เกี่ยวกับการแสดงออกทางเพศ ส่วนมโนทัศน์ที่ไม่พบในเพศลักษณ์ต้นแบบชาย คือ มโนทัศน์เกี่ยวกับอารมณ์ และมโนทัศน์เกี่ยวกับทัศนคติ ผลการวิจัยแสดงให้เห็นความต่างในการกำหนดลักษณะของเพศลักษณ์หญิงและเพศลักษณ์ชายในสังคมไทย
- Publicationการแปรของคำเรียกชื่อพืชกับความสัมพันธ์ระหว่างภาษาไทยถิ่นและภาษาไทยถิ่นย่อยสุรางคนา แก้วน้ำดี; Surangkana Kaewnamdee (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สำนักงานวิทยทรัพยากร, 1993)การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการแปรของคำเรียกชื่อพืชในภาษาถิ่นย่อยของภาษาคำเมืองภาษาถิ่นย่อยของภาษอีสาน ภาษาถิ่นย่อยของภาษาไทยถิ่นกลางและภาษาถิ่นย่อยของภาษาไทยถิ่นใต้ ว่า มีการใช้คำศัพท์เรียกชื่อพืชเหมือนกันหรือต่างกันในลักษณะใดบ้าง และนำผลการศึกษามาพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างภาษาไทยถิ่นและภาษาไทยถิ่นย่อย ข้อมูลในงานวิจัยนี้ ผู้วิจัยเดินทางไปเก็บจากผู้บอกภาษาซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่จะทำการศึกษา ซึ่งได้แก่จังหวัดเชียงใหม่ แพร่ เลย อุบลราชธานี พระนครศรีอยุธยา ระยอง สุราษฎร์ธานี และสงขลา ทั้งนี้สามารถรวบรวมคำเรียกชื่อพืชที่ปรากฏครบทั้ง 8 ถิ่นได้ทั้งสิ้น 174 หน่วยอรรถ ผลการวิจัยสรุปได้ว่า การแปรตามถิ่นของคำเรียกชื่อพืช สามารถแบ่งศึกษาได้เป็น 2 ส่วนคือส่วนที่เป็นคำนำกับส่วนที่เป็นชื่อพืช การแปรสในแต่ละส่วนสามารถอธิบายความสัมพันธ์ในมุมมองที่ต่างกัน คือ การแปรของคำนำหน้า ดูเหมือนจะแบ่งภาษไทยถิ่นออกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่อยู่ทางตอนบนของประเทศไทย ซึ่งได้แก่ ภาษาคำเมืองและภาษาอีสาน กับกลุ่มที่อยู่ตอนล่างของประเทศไทย ซึ่งได้แก่ ภาษาไทยถิ่นกลางและภาษาไทยถิ่นใต้ ทั้งนี้ ภาษาในกลุ่มแรกมีความสัมพันธ์กับภาษาไทยถิ่นกลางมากกว่าภาษาไทยถิ่นใต้ ในขณะที่การแปรของชื่อพืชแสดงให้เห็นว่าภาษาคำเมืองมีความสัมพันธ์กับภาษาไทยถิ่นอื่นๆ น้อยมาก นอกจากนี้ การแปรของคำนำหน้าและการแปรของชื่อพืชยังได้ชี้ให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างภาษาถิ่นย่อยในภาษาไทยถิ่นต่างภาษา สำหรับความสัมพันธ์ข้ามภาษาถิ่นในระดับถิ่นย่อยนั้น พบว่า ภาษถิ่นย่อยของภาษาถิ่นเดียวกัน มีความสัมพันธ์กับภาษาถิ่นย่อยของภาษาถิ่นอื่นๆ ใกล้เคียงกัน ยกเว้นภาษาถิ่นย่อยของภาษาคำเมือง
- Publicationการแปรของคำศัพท์ภาษาไทยถิ่นเกาะสมุยตามถิ่นที่อยู่และอายุของผู้พูดศิริรัตน์ ชูพันธ์; Sirirat Chuphan (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สำนักงานวิทยทรัพยากร, 2004)ภาษาไทยถิ่นใต้ประกอบด้วยภาษาถิ่นย่อยหลัก 2 ภาษา ได้แก่ ภาษาไทยถิ่นใต้ตะวันออกและภาษาไทยถิ่นใต้ตะวันออก งานวิจัยที่ผ่านมาไม่ได้ให้ข้อสรุปที่ชัดเจนว่าภาษาไทยถิ่นเกาะสมุยเป็นส่วนหนึ่งของภาษาถิ่นย่อยใด งานวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อหาคำตอบในเรื่องดังกล่าวโดยศึกษาจากการใช้คำศัพท์ อีกทั้งต้องการศึกษาว่าภาษาไทยถิ่นเกาะสมุยเป็นภาษาลูกผสมในความหมายที่กว้างขึ้นหรือไม่อย่างไร อีกวัตถุประสงค์หนึ่งของงานวิจัยนี้คือ วิเคราะห์การแปรของคำศัพท์ภาษาไทยถิ่นเกาะสมุยตามถิ่นที่อยู่และรุ่นอายุของผู้พูด จำนวนผู้บอกภาษาในงานวิจัยนี้มีทั้งหมด 140 คน จากทุกตำบลในอำเภอเกาะสมุยซึ่งมีทั้งหมด 7 ตำบล ได้แก่ตำบลอ่างทอง ตำบลแม่น้ำ ตำบลบ่อผุด ตำบลมะเร็ต ตำบลหน้าเมือง ตำบลตลิ่งงาม และตำบลลิปะน้อย ผู้บอกภาษาตำบลละ 20 คน แบ่งออกเป็น 2 รุ่นอายุ ได้แก่รุ่นอายุ 10-20 ปี (10 คน) และรุ่นอายุ 60-70 ปี (10 คน) ผู้วิจัยเดินทางไปเก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์ผู้บอกภาษาที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี งานวิจัยนี้ใช้หน่วยอรรถทั้งสิ้น 200 หน่วยอรรถ โดยแบ่งหน่วยอรรถออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละ 50 หน่วยอรรถ เพื่อศึกษาคำศัพท์ที่ต่างประเภทกัน ได้แก่ หน่วยอรรถกลุ่มที่ 1 เป็นหน่วยอรรถสำหรับศึกษาคำศัพท์ภาษาไทย 4 ถิ่น หน่วยอรรถกลุ่มที่ 2 เป็นหน่วยอรรถสำหรับศึกษาคำศัพท์ภาษาไทยถิ่นใต้ตะวันตกและภาษาไทยถิ่นใต้ตะวันออก หน่วยอรรถกลุ่มที่ 3 เป็นหน่วยอรรถสำหรับศึกษาคำศัพท์ภาษาไทยถิ่นใต้ทั่วไป และหน่วยอรรถกลุ่มที่ 4 เป็นหน่วยอรรถสำหรับศึกษาคำศัพท์ภาษาเฉพาะถิ่นเกาะสมุย ผลการวิจัยแสดงว่าภาษาไทยถิ่นเกาะสมุยใช้ทั้งภาษาไทยถิ่นใต้ตะวันตกและภาษาไทยถิ่นใต้ตะวันออก โดยใช้ภาษาไทยถิ่นใต้ตะวันตกมากกว่าภาษาไทยถิ่นใต้ตะวันออก นอกจากนี้ยังพบว่าภาษาไทยถิ่นเกาะสมุยเป็นภาษาลูกผสมในความหมายกว้าง กล่าวคือผู้บอกภาษาใช้คำศัพท์หลายประเภทปะปนกัน ได้แก่ คำศัพท์ ภาษาไทย 4 ถิ่น คำศัพท์ภาษาไทยถิ่นใต้ตะวันตก คำศัพท์ภาษาไทยถิ่นใต้ตะวันออก คำศัพท์ภาษาไทยถิ่นใต้ทั่วไป คำศัพท์ภาษาเฉพาะถิ่นเกาะสมุย คำศัพท์ภาษาไทยมาตรฐานและใช้คำศัพท์ที่จัดกลุ่มไม่ได้ด้วย นอกจากนี้พบว่าการใช้ภาษาไทยถิ่นเกาะสมุยในระดับตำบลและรุ่นอายุมีลักษณะเป็นภาษาลูกผสมในทุกกรณี ผลการวิเคราะห์ทางสถิติแสดงว่าภาษาไทยถิ่นเกาะสมุยมีความแตกต่างกันในระดับรุ่นอายุ แต่ไม่มีความแตกต่างกันในระดับตำบล กล่าวคือ ผู้บอกภาษารุ่นอายุน้อยใช้คำศัพท์ภาษาไทยมาตรฐานมากกว่าผู้บอกภาษารุ่นอายุมากอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่น 0.001 และพบว่าคำศัพท์ภาษาไทยถิ่นเกาะสมุยที่ใช้ในตำบลต่างๆไม่มีความแตกต่างกัน ทั้งตำบลที่มี่นักท่องเที่ยวมากและตำบลที่มีนักท่องเที่ยวน้อย
- Publicationการพรรณาสถานที่และการบ่งชี้สถานที่ในภาษาอึมปีสิทธิชัย สาเอี่ยม; Sitthichai Saaim (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สำนักงานวิทยทรัพยากร, 1996)ศึกษาการใช้คำกริยาเคลื่อนที่แสดงการบ่งชี้ของคนอึมปีในสถานการณ์ต่างๆ ทั้งการใช้คำกริยาดังกล่าวที่สอดคล้องและไม่สอดคล้องกับความหมายประจำคำ รวมถึงศึกษาระบบการบ่งชี้สถานที่ในภาษาอึมปีทั้งระบบ นอกจากนี้ผู้วิจัยยังศึกษาระบบการพรรณนาสถานที่ในภาษาอึมปีด้วย ทั้งนี้เพื่อค้นหาความสัมพันธ์ระหว่างระบบการพรรรณนาสถานที่ และระบบการบ่งชี้สถานที่ในภาษานี้ จากการวิจัยพบว่า ภาษาอึมปีมีการพรรณนาสถานที่ด้วยระบบสัมพันธ์ ระบบแน่นอนและระบบเนื้อใน ซึ่งในระบบแน่นอนนั้นมีการยึดสภาพภูมิประเทศ คือ ระดับพื้นที่สูง-ต่ำ และพบว่าในระบบการบ่งชี้สถานที่ในภาษาอึมปีมีรูปบ่งชี้สถานที่ 2 ประเภท คือ รูปบ่งชี้สถานที่ประเภทหมวดคำคำชี้เฉพาะประเภทต่าง ๆ และหมวดคำคำกริยาเคลื่อนที่แสดงการบ่งชี้ รูปบ่งชี้สถานที่ทั้งสองประเภทดังกล่าวเป็นหน่วยคำอิสระ หมวดคำคำชี้เฉพาะสามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ คำคุณศัพท์ชี้เฉพาะ คำสรรพนามชี้เฉพาะ คำกริยาวิเศษณ์ชี้เฉพาะ และคำกริยาวิเศษณ์ชี้เฉพาะบ่งชี้อาการ คำชี้เฉพาะทั้ง 4 ประเภทดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการบ่งชี้ระยะใกล้-ไกล โดยยึดตำแหน่งของผู้พูดและผู้ฟังเป็นจุดอ้างอิง นอกจากนี้ ทั้ง 4 ประเภทยังสามารถบ่งชี้ตำแหน่งใกล้เฉพาะผู้พูดหรือเฉพาะผู้ฟัง และคำกริยาวิเศษณ์ชี้เฉพาะสามารถบ่งชี้บริเวณ หรือจุดของสถานที่ที่ผู้พูดอยู่ได้อีกด้วย คำกริยาเคลื่อนที่แสดงการบ่งชี้ในภาษาอึมปีที่ผู้วิจัยเลือกศึกษา ได้แก่ "ไป-มา" และ "เอาไป-เอามา" นั้น มีทั้งหมด 11 คำ ซึ่งบ่งชี้ทิศทางของการเคลื่อนที่เข้าหา-ออกจากตำแหน่งของผู้พูดและ/หรือผู้ฟังและบ่งชี้ทิศ (เฉพาะทิศตะวันออกและทิศตะวันตก) และระดับพื้นที่สูงหรือต่ำด้วยคำกริยาดังกล่าวสามารถทำหน้าที่เป็นคำกริยาหลักและคำกริยารอง และสามารถใช้ได้ทั้งในสถานการณ์ที่มีการใช้สอดคล้อง และไม่สอดคล้องกับความหมายประจำคำ โดยทั่วๆ ไปพบว่า ในสถานการณ์ที่มีการใช้ไม่สอดคล้องกับความหมายประจำคำนั้น คนอึมปีมักจะเลือกใช้คำกริยาดังกล่าวซึ่งบ่งชี้ทิศตะวันตกและระดับพื้นที่ต่ำมาใช้มากกว่า อย่างไรก็ตามพบว่า ในวัฒนธรรมของคนอึมปีทิศตะวันออกและระดับพื้นที่สูงมีนัยสำคัญทางวัฒนธรรมมากกว่าทิศตะวันตกและระดับพื้นที่ต่ำ
- Publicationการพัฒนาของสังคมและภาษาวิไลวรรณ ขนิษฐานันท์
- Publicationการรู้จำและประมวลผลคำกำกวมในภาษาไทย : การศึกษาทางภาษาศาสตร์จิตวิทยาธันยธร ตรงไตรรัตน์; Tanyatorn Trongtrairat (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2012)
- Publicationการเรียกกลับคำศัพท์ประเภทคำนามและคำกริยาของผู้ป่วยชาวไทยที่มีภาวะเสียการสื่อภาษาพิจิตรา วิภาหัสน์; Pichitthra Wiphahat (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2008)งานวิชัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ปีญหานามวลีที่มีโครงสร้างเหมือนประโยn (Scntcntial Noun Phrase) และนามวลีชนิดนามถ้วน (Sequential Noun Phrase) ผู้วิขัยแบ่งการทคลองเป็น 2ชุดเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวการทคลองชุดที่ ! การทคลองกฎนามวดีเพื่อแก้ปัญหานามวดีที่มีโครงสร้างเหมือนประโยค (Sentential Noun Phrase) ผู้วิจัยวิตราะห์นามวดีตามแนวทฤษฎีไวยากรณ์ศัพทการก ในแวดวงภาษา 3 แวดวงอันไห้แก่ บทความเรื่องหน่อไม้ฝรั่ง ข่าวเศรษฐกิจ และบทความเรื่องการดูนก ตำนวนแวดวงละ 100 ประโยค วิชัยพบกฎนามวสีหลัก 17 กฎ และส่วนขยายนามวดี 16 ส่วน จากการทตลอง ผู้วิชัยพบว่า กฎนามวลีหลักและส่วนขยายเหลำานี้สามารถแก้ไขปัญหานามวลีชนิด แรกได้การทคลองชุดที่ 2 การทลลองเพื่อวิเคร าะห์ความสัมพันธ์ทางอรรถศาสตร์เพื่อหาเกณฑ์ใน การกำหนดความสัมพันธ์ทางอรรถศาสตร์ของนามวลีพื่อแก้ปีญหานามวลีชนิดนามถ้วน(Scquential Noun Phrase) ผู้วิจัยกำหนดให้มีความสัมพันธ์ทางอรรถศาสตร์ทั้งสิ้น 30ความสัมพันธ์และความหมายประจำรูปกามา 32 ชนิด จากการทคถองในแวดวงภาษาที่ 4 ผู้วิชัยกำหนดเกณฑ์ความสัมพันธ์ของนามวลีจากความหมายประจำรูปกาบาในคำนามตำแหน่งที่ 1 และ2 ในนามวลีที่ประกอบด้วยคำนาม 2 คำ มีทั้งสิ้น 24 เกณซ์ และ ในนามวลีที่ประกอบด้วยคำนาม3 คำพบ 7 เกณฑ์ เมื่อนำเกณฑ์ที่ให้มาทลสอบในแวดวงภามาที่ 1-3 พบว่ามีความหถากหลายของรูปแบบความหมายทางอรรถศาสตร์ ทำไห้กณฑ์ที่กำหนคสามารถไม่สามารถทำนายความสัมพันธ์ของนามวถึชนิคนามถั่วน
- Publicationการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงคำศัพท์ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2493 พิมพ์ครั้งที่ 5 และ พ.ศ. 2525 พิมพ์ครั้งที่ 2อรพินท์ โลกัตถจริยา; Orapin Lokatthajariya. (มหาวิทยาลัยมหิดล. หอสมุดและคลังความรู้มหาวิทยาลัยมหิดล, 1995)
- Publicationการศึกษาปัญหาและกลวิธีการแปลภาษาจากเอกสารประวัติศาสตร์ภาษาจีนเป็นภาษาไทยกนกพร นุ่มทอง; Numtong, Kanokpornงานวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาและกลวิธีในการแปลภาษาจากเอกสารประวัติศาสตร์ภาษาจีนเป็นภาษาไทย ผู้วิจัยใช้วิธีการศึกษาโดยศึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นผ่านกระบวนการแปลบันทึกเกี่ยวกับอาณาจักรล้านนาในเอกสารโบราณจีนที่คัดสรรจากหนังสือ 25 รายการ 169 ข้อความ ผู้วิจัยได้นำเสนอผลการวิจัยโดยแบ่งปัญหาและเสนอกลวิธีในการแก้ไขเป็น 7 ประเด็นคือ 1) ปัญหาด้านการทับศัพท์หรือการถ่ายถอดเสียง 2) ปัญหาด้านการค้นเทียบวันเวลาที่เกิดเหตุการณ์ 3) ปัญหาด้านการค้นคว้าสถานที่ที่ปรากฏในเอกสารประวัติศาสตร์ 4) ปัญหาเรื่องชื่อหน่วยงาน ชื่อตำแหน่งขุนนางและชื่อเขตการปกครอง 5) ปัญหาความถูกต้องของเอกสารต้นฉบับ 6) ปัญหาการตีความตัวบท 7) ปัญหาเรื่องความหมายกักตุนในภาษา ผู้วิจัยได้เสนอแนวทางในการแปลเอกสารประวัติศาสตร์จากภาษาจีนเป็นภาษาไทยโดย 1) ควรจัดทำคำอธิบาย โดยจะอยู่ในรูปของเชิงอรรถหรือคำอธิบายท้ายบทแปลก็ได้ 2) เน้นความถูกต้องมากกว่าศิลปกรรมทางภาษา 3) ต้องมีระบบในการแปลที่ชัดเจน ทั้งในเรื่องการถ่ายถอดเสียงและการใช้คำ 4) ต้องสอบทานต้นฉบับให้สมบูรณ์สูงสุด 5) ต้องมีคู่มือที่เกี่ยวข้อง 6) ต้องสืบค้นเอกสารประวัติศาสตร์และเอกสารที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เพื่อช่วยสอบทานและจัดทำเป็นเชิงอรรถหรือคำอธิบายต่อไป
- Publicationการศึกษาภาษาที่ใช้ในการตั้งชื่อของคนไทยในกรุงเทพมหานครวรางคณา สว่างตระกูล; Warangkana Sawangtrakul (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 1997)การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาษาที่ใช้ในการตั้งชื่อจริงของคนไทยในกรุงเทพมหานคร ในเรื่องจำนวนพยางค์ การสร้างคำ ที่มาของภาษาและความหมาย ตามตัวแปรเพศและอายุ กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาคือชื่อจริงของผู้มีสัญชาติไทยที่เป็นสามัญชน เกิดในระหว่างปี พ.ศ. 2465 ถึงปี พ.ศ. 2479 (อายุ 60 ปี ถึง 74 ปี) และในระหว่างปี พ.ศ. 2525 ถึงปี พ.ศ. 2539 (อายุ 1 ปี ถึง 14 ปี) มีชื่ออยู่ในฐานข้อมูลการทะเบียนราษฎรของสำนักงานเขต 4 เขตในกรุงเทพมหานคร ได้แก่ สำนักงานเขตพระนคร สํานักงานเขต สัมพันธวงศ์ สำนักงานเขตบางคอแหลม และสำนักงานเขตคลองสาน จำนวนกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 1,040 ชื่อ ได้มาจากการสุ่มตัวอย่างเขตละ 260 ชื่อ จำแนกออกเป็นกลุ่มย่อย 4 กลุ่ม ๆ ละ 65 ชื่อ ได้แก่ ชื่อของเพศชาย-กลุ่มอายุมาก ชื่อของเพศหญิง - กลุ่มอายุมาก ชื่อของเพศชาย-กลุ่มอายุน้อย และชื่อของเพศหญิง-กลุ่มอายุน้อย ผลการศึกษาแสดงด้วยค่าร้อยละและค่าทางสถิติคือค่าไคสแควร์ () ผลการวิจัยพบว่า ในเรื่องจำนวนพยางค์ ชื่อของเพศชายมีจำนวนพยางค์น้อยกว่าชื่อของเพศหญิงในกลุ่มอายุเดียวกัน และชื่อของกลุ่มอายุมากมีจำนวนพยางค์น้อยกว่าชื่อของกลุ่มอายุน้อยในเพศเดียวกันในเรื่องการสร้างค่า ชื่อของเพศชายมีการสร้างคำที่ซับซ้อนน้อยกว่าชื่อของเพศหญิงในกลุ่มอายุเดียวกัน และชื่อของกลุ่มอายุมากมีการสร้างคำที่ซับซ้อนน้อยกว่าชื่อของกลุ่มอายุน้อยในเพศเดียวกันทางด้านที่มาของภาษา ผลการวิจัยพบว่าในกลุ่มอายุมาก ชื่อของทั้งเพศชายและเพศหญิงมีที่มาของภาษาที่เป็นภาษาไทยมากที่สุด ส่วนในกลุ่มอายุน้อย ชื่อของทั้งสองเพศมีที่มาของภาษาที่เป็นภาษาบาลี-สันสกฤตมากที่สุด สำหรับเรื่องความหมาย ชื่อของเพศชายมีความหมายที่แตกต่างจากชื่อของเพศหญิงในกลุ่มอายุเดียวกัน กล่าวคือ ชื่อของเพศชายมีความหมายเกี่ยวกับอำนาจ ชัยชนะ ความเป็นเลิศ ความกล้าหาญมากที่สุด ในขณะที่ชื่อของเพศหญิงมีความหมายเกี่ยวกับความงาม ความบริสุทธิ์มากที่สุด
- Publicationการศึกษาภาษาที่ใช้ในการตั้งชื่อเล่นของคนไทยในเขตอำเภอเมือง จังหวัดตรังจริญญา ธรรมโชโต; Jarinya Thammachoto (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 1997)การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะทางเสียง ที่มาของภาษา และความหมายที่ใช้ในการตั้งชื่อเล่นว่าสามารถแสดงถึงความสัมพันธ์ของบุคคลในครอบครัว ระหว่างรุ่นบิดา มารดากับบุตร และระหว่างรุ่นบุตรกับบุตรหรือไม่ กลุ่มตัวอย่างคือ ครอบครัวของนักเรียนในระดับอนุบาลชั้นปีที่ 1 ถึงประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 234 ครอบครัวจากโรงเรียน 3 แห่งในอำเภอเมือง จังหวัดตรัง ในแต่ละครอบครัวแบ่งออกเป็น 2 รุ่นคือ ก) รุ่นบิดามารดา ข) รุ่นบุตร การเก็บข้อมูลใช้วิธีแจกแบบสอบถามให้กับกลุ่มตัวอย่างรุ่นบุตร และสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างรุ่นบิดามารดา ค่าทางสถิติที่ใช้คือ ค่าร้อยละและค่าไคสแควร์ (1) (p < 0.01) ผลการศึกษาพบว่าในรุ่นบิดามารดากับบุตรลักษณะทางภาษาทั้ง 3 ลักษณะแสดงถึงความสัมพันธ์น้อยกว่าร้อยละ 50.0 ส่วนในรุ่นบุตรกับบุตรพบว่าลักษณะทางภาษาที่แสดงถึงความสัมพันธ์สูงกว่าร้อยละ 50.0 ได้แก่ เรื่องเสียง และที่มาของภาษา ส่วนเรื่องความหมายนั้นแสดงถึงความสัมพันธ์ต่ำกว่าร้อยละ 50.0 ผลการศึกษาเรื่องเสียงที่ใช้ในการตั้งชื่อเล่นพบว่าในรุ่นบิดามารดากับบุตรใช้รูปแบบของชื่อเล่นที่มีเสียงวรรณยุกต์เดียวกันมากที่สุด (ร้อยละ 35.1) รองลงมาคือ เสียงพยัญชนะต้นเดียวกัน (ร้อยละ 21.0) และเสียงพยัญชนะท้ายเดียวกัน (ร้อยละ 14.1) ในรุ่นบุตรกับบุตรใช้ รูปแบบของชื่อเล่นที่มีเสียงพยัญชนะต้นเดียวกันมากที่สุด (ร้อยละ 38.6) ลำดับที่สองคือ เสียงพยัญชนะต้นกับเสียงวรรณยุกต์เดียวกัน (ร้อยละ 32.4) ผลการศึกษาเรื่องที่มาของภาษาพบว่าในรุ่นบิดามารดากับบุตร การแสดงความสัมพันธ์ของชื่อเล่นที่ตั้งจากภาษาไทยมีความถี่สูงที่สุด (ร้อยละ 89.4) ส่วนในรุ่นบุตรกับบุตรความสัมพันธ์ของชื่อเล่นที่ตั้งจากภาษาอังกฤษมีความถี่สูงที่สุด (ร้อยละ 49.6) รองลงมาคือ ภาษาไทย (ร้อยละ 44.9) ผลการศึกษาในเรื่องความหมายที่ใช้ในการตั้งชื่อเล่นพบว่าในรุ่นบิดามารดากับบุตรและรุ่นบุตรกับบุตรมีความสัมพันธ์ของชื่อเล่นที่มีความหมาย “ลักษณะทางกายภาพฯ” มีความถี่สูงที่สุด (ร้อยละ 41.0 และร้อยละ 17.6 ตามลำดับ) เมื่อแยกความสัมพันธ์ระหว่างรุ่นบิดามารดากับบุตรย่อยออกเป็นบิดากับบุตร และมารดากับบุตร ผลการศึกษาในเรื่องเสียง ที่มาของภาษา และความหมายพบว่าความสัมพันธ์ระหว่างบิดากับบุตร และมารดากับบุตรไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ความสัมพันธ์ในรุ่นบิดามารดากับบุตร และรุ่นบุตรกับบุตรมีการแสดงความสัมพันธ์ในเรื่องเสียงมากที่สุด (ร้อยละ 36.3 และร้อยละ 84.3 ตามลำดับ) รองลงมาคือ ที่มาของภาษา (ร้อยละ 29.4 และร้อยละ 68.7 ตามลำดับ) ลำดับสุดท้ายคือ ความหมาย (ร้อยละ 12.7 และ ร้อยละ 36.8 ตามลำดับ) ความถี่ของการแสดงความสัมพันธ์ ในรุ่นบุตรกับบุตรสูงกว่ารุ่นบิดามารดากับบุตรเสมอในทุกลักษณะทางภาษา
- Publicationการศึกษาระบบคำเรียกผีและมโนทัศน์เรื่องผีในภาษาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตามแนวอรรถศาสตร์ชาติพันธุ์มนสิการ เฮงสุวรรณ; Manasikarn Hengsuwan (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2014)งานวิจัยในอดีตที่ศึกษาเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องผีหรือสิ่งเหนือธรรมชาติในหมู่คนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มักเน้นความเชื่อและวิถีชีวิตที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อ ข้อมูลที่ใช้ก็มักเป็นเรื่องเล่าหรือรายงานจากการสังเกต ข้อสรุปที่ได้ไม่ชัดเจนว่าภาพของผีในโลกทัศน์ของคนในภูมิภาคนี้มีลักษณะที่เป็นระบบอย่างไร และมีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไรในประเทศต่างๆ งานวิจัยนี้จึงมุ่งวิเคราะห์ระบบคำเรียกผีและจัดจำพวกคำเรียกผี โดยใช้วิธีการวิเคราะห์องค์ประกอบทางความหมายของคำซึ่งเป็นวิธีการศึกษาตามแนวอรรถศาสตร์ชาติพันธุ์ เพื่อทำความความเข้าใจมโนทัศน์และตีความโลกทัศน์ของคนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เกี่ยวกับผีที่สะท้อนผ่านความหมายของคำเรียกผี ข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์ได้มาจากการสัมภาษณ์ผู้บอกภาษาซึ่งคัดเลือกอย่างเฉพาะเจาะจง จำนวนภาษาละ 5 คน เป็นผู้ที่พูดภาษามาตรฐานของประเทศของตนเป็นภาษาแม่ และพำนักอยู่ในเขตเมืองหลวงของประเทศนั้น มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ไม่จำกัดเพศ และมีความเชื่อเรื่องผีหรือสิ่งเหนือธรรมชาติ ผลการวิเคราะห์ พบคำเรียกผีรวมทั้งหมด 137 คำ เป็นภาษาพม่า 37 คำ ภาษาลาว 35 คำ ภาษาเขมร 35 คำ ส่วนภาษามาเลย์พบคำเรียกผีน้อยที่สุดคือ 30 คำ คำเรียกผีทั้งหมดแยกออกจากกันด้วยมิติแห่งความแตกต่างทางความหมาย 11 มิติ คือ มิติอำนาจเหนือธรรมชาติ มิติตัวตน มิติดีร้าย มิติหน้าที่ มิติที่อยู่ มิติสถานภาพ มิติลักษณะการตาย มิติเพศ มิติอายุ มิติอาหาร และมิติลักษณะเฉพาะ โดยมิติเด่นที่ครอบคลุมทุกคำได้แก่มิติอำนาจเหนือธรรมชาติ มิติตัวตน และมิติดีร้าย ความสัมพันธ์ทางความหมายของคำเรียกผีทั้งหมดแสดงด้วยการจัดจำพวกแบบชาวบ้านได้ 5 ระดับ ได้แก่ ระดับตั้งต้น ระดับมูลฐาน ระดับพื้นฐาน ระดับเจาะจง และระดับปลีกย่อย ระดับตั้งต้น มีคำเรียกผี 3 คำคือ ຜີ phǐ: ‘ผี(ลาว)’, kmaoc ‘ผี(เขมร)’ และ jin ʤin ‘ผี(มาเลย์)’ พม่าไม่มีคำเรียกผีระดับตั้งต้น ระดับมูลฐาน มีคำเรียกผี 12 คำ ได้แก่ ຜີສາງອາລັກຂາ phǐː sǎːŋ ʔàːlakkhǎː / ຜີອາຮັກ phǐː ʔǎːhak ‘ผีสางอารักษ์(ลาว)’, kmaoc ʔaːriək něək taː ‘ผีอารักษ์(เขมร)’, naʔ ‘ผู้ดูแล(พม่า)’และ pari-pari pari pari ‘นางฟ้า(มาเลย์)’ ระดับพื้นฐาน มีคำเรียกผี 52 คำ เช่น ເຜດ phèːt ‘ผีเปรต(ลาว)’, tmop ‘ผีปอบ(เขมร)’, hantu penanggal hantu pənaŋgal ‘ผีกระสือ(มาเลย์)’ และ sóʊ̃ ma̰ ‘ผีกระสือ(พม่า)’ ระดับเจาะจง มีคำเรียกผี 49 คำ เช่น priəy kɑntoːŋ khiəw ‘ผีนางไม้(เขมร), hantu air hantu ʔeː ‘ผีน้ำ(มาเลย์)’, ຜີແມ່ມານ phǐː mɛː máːn ‘ผีตายทั้งกลม(ลาว) และ naʔ ɵá ‘ผู้ดูแลชาย(พม่า)’ ระดับสุดท้าย คือ ระดับปลีกย่อย มีคำเรียกผี 21คำ เช่น ນາງທໍຣະນີ náːŋ thɔ́ːraníː ‘แม่ธรณี(ลาว)’, myiʔ saʊ̀̃ naʔ ‘ผู้ดูแลท่าน้ำ(พม่า)’ ส่วนภาษาเขมร และมาเลย์ ไม่มีคำเรียกผีระดับปลีกย่อย ผลการตีความโลกทัศน์ของคนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สะท้อนจากระบบคำเรียกผี สรุปได้ว่าผีมีวิถีชีวิตและอุปนิสัยเหมือนมนุษย์ เป็นสมาชิกของสังคม มีอำนาจให้คุณให้โทษ เป็นสาเหตุของความเจ็บป่วย และเป็นสิ่งที่น่ากลัว
- Publicationความสัมพันธ์ระหว่างชื่อและความเชื่อทางศาสนาของคนไทยกุลฏา พิทักษ์ลิ้มสกุล; Kulata Pitucklimskul (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2007)การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความหมายของชื่อจริง ภาษาที่ใช้ในการตั้งชื่อจริง และตัวอักษรที่ใช้ในการตั้งชื่อจริงในแง่ของสิริมงคลและความเป็นกาลกิณีของชาวไทยพุทธชาวไทยมุสลิม กับชาวไทยคริสต์ กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาคือชาวไทยพุทธ ชาวไทยมุสลิม และชาวไทยคริสต์ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่ไปประกอบศาสนกิจที่ศาสนสถานและองค์กรด้านศาสนาศาสนาละ 300 คน รวม 900 คน งานวิจัยนี้เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม แสดงผลการวิจัยด้วยค่าร้อยละและพิสูจน์สมมติฐานด้วยไคสแควร์ ผลการวิจัย พบว่าทั้งชาวไทยพุทธ ชาวไทยมุสลิม และชาวไทยคริสต์ต่างก็มีชื่อจริงที่มีความหมายไม่เกี่ยวข้องกับศาสนามากที่สุด ชื่อจริงของชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิมมีความหมายเกี่ยวกับศาสนาของตนมากเป็นอันดับ 2 และเกี่ยวกับศาสนาอื่นเป็นอันดับ 3 ในขณะที่ชื่อจริงของชาวไทยคริสต์มีความหมายเกี่ยวข้องกับศาสนาอื่นมากเป็นอันดับ 2 และเกี่ยวข้องกับศาสนาของตนเองมากเป็นอันดับ 3 และเมื่อพิจารณาเฉพาะชื่อจริงที่เกี่ยวกับศาสนาของตนพบว่า ชาวไทยพุทธมีความหมายย่อยในด้านความเชื่อค่านิยมมากที่สุด ขณะที่ชื่อจริงของชาวไทยมุสลิมและชาวไทยคริสต์พบด้านชื่อบุคคล ศาสดา สาวกมากที่สุด ซึ่งความแตกต่างของความหมายของชื่อจริงระหว่างศาสนิกชน 3 ศาสนามีนัยสำคัญทางสถิติ ตรงกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ว่า ชาวไทยพุทธ ชาวไทยมุสลิม และชาวไทยคริสต์มีชื่อจริงที่มีความหมายแตกต่างกัน ในการวิเคราะห์ด้านภาษาที่ใช้ในชื่อจริงพบว่า ทั้งชาวไทยพุทธ ชาวไทยมุสลิม และชาวไทยคริสต์พบชื่อจริงเป็นภาษาบาลีและ/หรือภาษาสันสกฤตมากที่สุด และเมื่อพิจารณาเฉพาะชื่อจริงที่เป็นภาษาอื่นๆ พบว่า ในชาวไทยมุสลิมพบคนที่มีชื่อจริงเป็นภาษาอาหรับมากที่สุด ซึ่งความแตกต่างของภาษาในชื่อจริงระหว่างศาสนิกชน 3 ศาสนามีนัยสำคัญทางสถิติตรงกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ว่า ชาวไทยพุทธ ชาวไทยมุสลิม และชาวไทยคริสต์มีความนิยมของภาษาที่ใช้ในการตั้งชื่อจริงที่แตกต่างกัน ในการวิเคราะห์เปรียบเทียบอักษรที่ใช้ในการตั้งชื่อจริงของชาวไทย พบว่าทั้งชาวไทยพุทธ ชาวไทยมุสลิม และชาวไทยคริสต์ต่างก็มีชื่อจริงที่ไม่พบอักษรกาลกิณีมากกว่าที่พบอักษรกาลกิณีในอัตราส่วนที่แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งไม่ตรงกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ว่า ชาวไทยพุทธมีตัวอักษรที่ใช้ในการตั้งชื่อจริงที่สะท้อนเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับสิริมงคลและกาลกิณีมากกว่าชาวไทยมุสลิมและชาวไทยคริสต์
- Publicationความสัมพันธ์ระหว่างภาษาและวัฒนธรรมที่ปรากฏในคำทำนายของใบเซียมซีพรทิพย์ ไวแสง (มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, 1992)
- Publicationความหมายของ แม่ ในคำประสมภาษาไทยถิ่นใต้พิมพ์ภัทร ชุมแก้ว; Chumkaew, Pimpat (2020)งานวิจัยด้านอรรถศาสตร์ปริชานที่ศึกษาคำหลายความหมายที่ผ่านมามักกล่าวถึงกระบวนการทางปริชานที่เกี่ยวข้องกับการขยายความหมาย งานส่วนใหญ่ศึกษาความหมายของคำที่เป็นคำเดี่ยว งานวิจัยที่ศึกษาคำเรียกญาติในภาษาไทยและภาษาถิ่นให้ข้อสังเกตว่า แม่ มักมีการใช้เชิงเปรียบเทียบ ในงานวิจัยนี้ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาความหมายของ แม่ ในคำประสมภาษาไทยถิ่นใต้ซึ่งเป็นคำหลายความหมาย เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างความหมายของ แม่ ในคำประถมกับความหมายของ แม่ ที่เป็นคำมูล และวิเคราะห์กระบวนการทางปริชานที่เกี่ยวข้องกับการขยายความหมาย โดยเก็บข้อมูลคำประสมที่มีคำว่า แม่ เป็นส่วนประกอบจำนวน 180 คำ จากพจนานุกรม จำนวน 4 เล่ม และสัมภาษณ์ผู้บอกภาษาถิ่นใต้จำนวน 6 คน ผลการศึกษาพบว่า แม่ ในคำประสมภาษาไทยถิ่นใต้เป็นคำหลายความหมาย สามารถจัดความหมายที่ใกล้ชิดกันอยู่ในกลุ่มความหมายเดียวกันได้เป็น 12 กลุ่ม และจำแนกความหมายโดยละเอียดได้ 23 ความหมาย จำแนกเป็นความหมายพื้นฐาน 1 ความหมาย คือ ‘ผู้หญิงที่ให้กำเนิดลูก’ และความหมายขยายออกอีก 22 ความหมาย ความหมายขยายออกสามารถจัดกลุ่มตามลักษณะการขยายความหมายได้ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มความหมายที่มีการขยายความหมาย 1 ชั้น และกลุ่มความหมายที่มีการขยายความหมายมากกว่า 1 ชั้น การจำแนกความหมายโดยละเอียดทำให้เห็นรอยต่อที่จะสามารถเชื่อมโยงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างความหมายที่ห่างไกลกันได้ กระบวนการทางปริชานที่เกี่ยวข้องกับการขยายความหมายของ แม่ ในคำประสมภาษาไทยถิ่นใต้มี 3 กระบวนการ ได้แก่ กระบวนการนามนัยซึ่งพบมากที่สุด กระบวนการอุปลักษณ์-นามนัยซึ่งพบมากรองลงมา และกระบวนการอุปลักษณ์ซึ่งพบน้อยที่สุดตามลำดับ
- Publicationคำปรากฏร่วมจำเพาะและอรรถสัมผัสของคำกริยา “เกิด” ในภาษาไทย:การศึกษาเชิงภาษาศาสตร์คลังข้อมูลชาตบุษย์ นีละรัตตานนท์การศึกษาเรื่อง “คําปรากฏร่วมจําเพาะและอรรถสัมผัสของคํากริยา “เกิด” ในภาษาไทย: การศึกษาเชิงภาษาศาสตร์คลังข้อมูล” มีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ 1. เพื่อวิเคราะห์คําปรากฏร่วมจําเพาะและอรรถสัมผัสของคํากริยา “เกิด” และ 2. เพื่อเปรียบเทียบคําปรากฏร่วมจําเพาะและอรรถสัมผัสของคํากริยา “เกิด” ระหว่างข้อมูลต่างประเภท ข้อมูลที่ใช้ในงานวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรกเก็บรวบรวมจากข้อมูลข่าวและบทความจากคอลัมน์ต่างๆ ของเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐและหนังสือพิมพ์มติชนรวมทั้งสิ้น 11 วัน เพื่อจัดสร้างเป็นคลังข้อมูลภาษาสําหรับใช้ในงานวิจัยนี้ และข้อมูลส่วนที่สองเป็นข้อมูลจากคลังข้อมูลภาษาไทยออนไลน์ซึ่งประกอบด้วยประเภทของคลังข้อมูลที่แตกต่างกัน โดยใช้โปรแกรมคอนคอร์แดนซ์ (Thai Concordance) ในการรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าความถี่และค่าร้อยละ ผลการศึกษาพบว่า คํากริยา “เกิด” ปรากฏร่วมจําเพาะกับกลุ่มคําในประเภทที่มีความหมายในเชิงลบ ความหมายที่เป็นกลาง และความหมายในเชิงบวก อย่างไรก็ตาม เมื่อทําการวิเคราะห์อรรถสัมผัส (semantic prosody) จากการปรากฏร่วมกับกลุ่มคําทั้งสามประเภทของความหมายข้างต้น สามารถสรุปได้ว่าคํากริยา “เกิด” ในภาษาไทยมีแนวโน้มที่มีอรรถสัมผัสในเชิงลบมากที่สุด โดยสอดคล้องกับผลการวิเคราะห์จากคลังข้อมูลภาษาไทยออนไลน์ซึ่งมีขนาดใหญ่ ในการเปรียบเทียบคําปรากฏร่วมจําเพาะและอรรถสัมผัสของคํากริยา “เกิด” ระหว่างข้อมูลต่างประเภท พบว่าคํากริยา “เกิด” มีอรรถสัมผัสในเชิงลบมากที่สุดเหมือนกัน ยกเว้นข้อมูลประเภทสุนทรพจน์ของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรที่มีอรรถสัมผัสในเชิงบวก แสดงให้เห็นว่าเงื่อนไขการแสดงอรรถสัมผัสสามารถละเมิดได้ โดยคําปรากฏร่วมจําเพาะและอรรถสัมผัสเป็นกลวิธีหนึ่งที่ผู้ส่งสารนํามาใช้เพื่อแสดงความคิดเห็น ทัศนคติ ตลอดทั้งเพื่อให้เกิดผลกระทบต่อผู้รับสารในทางใดทางหนึ่ง นอกจากนี้ผลการวิจัยยังพบว่าความถี่ของอรรถสัมผัสแต่ละชนิดขึ้นกับประเภทของข้อมูลและวัตถุประสงค์ของผู้ส่งสารด้วย
- Publicationคำรื่นหูในภาษาไทยแก้วใจ จันทร์เจริญ; Kaewchai Charncharoen (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 1990)งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะพรรณนาลักษณะของคำรื่นหูในภาษาไทย วิเคราะห์ทั้งความหมายตรงและความหมายแผงของคำรื่นหูนี้ และศึกษาค่านิยมกับโลกทัศน์ที่สะท้อนในคำรื่นหู ในภาษาทุกภาษารวมทั้งภาษาไทยมีคำชนิดหนึ่งที่เรียกกันว่า คำต้องห้าม ซึ่งหมายถึงคำหรือข้อความใดๆที่ห้ามพูดหรือไม่สมควรที่จะกล่าวตามที่สังคมได้กำหนด เช่น คำที่ใช้เรียก โรคร้าย ความตาย อวัยวะเพศ การขับถ่าย เป็นต้น และทุกภาษาจะมีคำอีกชนิดหนึ่งซึ่งถูกนำมาใช้แทนคำที่ต้องห้ามเหล่านี้เพื่อหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงคำต้องห้ามโดยตรง คำใหม่ที่ถูกนำมาใช้แทนนี้เรียกว่า คำรื่นหู เช่น การใช้คำว่า “สิ้นใจ” แทนคำว่า /ta : j/ หรือการใช้คำว่า “เด็ดดอกไม้” แทนคำว่า /jiˆaw/ เป็นต้น วิทยานิพนธ์นี้มุ่งที่จะศึกษาคำรื่นหูที่ใช้แทนคำต้องห้ามในภาไทย จำนวน 11 คำ อันได้แก่ /hˆia/ , / ta : j / , / ma′ren / , / je′t / , / hˇi:/ , / nom / , / moˇj / , / jiˆaw / และ /to`t/ ผลการวิจัยพบว่าคำรื่นหูในภาษาไทยมีลักษณะสำคัญ 4 ประเภท คือ คำรื่นหูประเภทดัดแปลงจากคำต้องห้าม เข่น คำว่า “ซี.เอ” หรือคำว่า “มะเร็ง” แทนคำว่า / ma′ren / คำรื่นหูประเภทคำศัพท์ต่างประเทศ เช่นคำว่า “เดด” มาจาก dead ซึ่งใช้แทนคำว่า / ta : j / คำรื่นหูประเภทลดความหมายของคำเช่นใช้คำว่า “เสียชีวิต” แทนคำว่า / ta : j / คำรื่นหูประเภทสุดท้ายได้แก่คำรื่นหูประเภทอุปลักษณ์ เช่น การใช้คำว่า “ตัวเงินตัวทอง” แทนคำว่า /hˆia/ ในการวิเคราะห์ความหมายตรงและความหมายแฝงของคำรื่นหูพบว่า ความหมายของคำรื่นหูหมายถึงสิ่งที่เป็นรูปธรรมซึ่งแวดล้อมตัวมนุษย์ เช่น สัตว์ ธรรมชาติ ความสุข ความรัก ส่วนความหมายแฝงนั้นพบว่ามีความหมายแผงถึง ความสุภาพ เช่นในคำว่า “อวัยวะสืบพันธุ์” หรือความรัก เช่นคำว่า “ร่วมรัก” หรือความสุข เช่นคำว่า “ไปสวรรค์” เป็นต้น ผู้วิจัยพบว่า ความหมายเหล่านี้สะท้อนถึงค่านิยมที่สำคัญในสังคมไทย เช่น ความมั่งคั่ง ความสุข ความรัก ความมีอำนาจ และโลกทัศน์ไทยที่สำคัญ 2 ประการคือ โลกแห่งความแตกต่างระหว่างชายหับหญิงและโลกแห่งบุญและบาป
- Publicationคำเรียกการประกอบอาหารในภาษาไทยถิ่น 4 ภาค: การศึกษาตามแนวอรรถศาสตร์ชาติพันธุ์นลินภัสร์ เมฆเกรียงไกร; Mekkriangkrai, Nalinpat (2020)การศึกษาคำเรียกการประกอบอาหารในภาษาไทยถิ่น 4 ภาค เป็นการศึกษาตามแนวอรรถศาสตร์ชาติพันธุ์ วัตถุประสงค์ของ การศึกษามี 3 ประการ ได้แก่ (1) วิเคราะห์องค์ประกอบทางความหมายและมิติแห่งความแตกต่างทางความหมายของคำเรียกการ ประกอบอาหารในภาษาไทยถิ่น 4 ภาค (2) เปรียบเทียบคำเรียกการประกอบอาหารในภาษาไทยถิ่น 4 ภาค (3) วิเคราะห์วัฒนธรรมด้าน อาหารของคนไทยในท้องถิ่นต่าง ๆ ที่สะท้อนจากคำเรียกการประกอบอาหารในภาษาไทยถิ่น 4 ภาค ขอบเขตของการวิจัยมีดังนี้ ศึกษา เฉพาะคำเรียกการประกอบอาหารที่เป็นคำกริยาเท่านั้น ไม่รวมการทำขนม ของว่าง เครื่องดื่มและของมึนเมา คำที่นำมาศึกษาแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นการเตรียมวัตถุดิบ การทำอาหารและการจัดการหลังการทำอาหาร การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยคัดเลือกจุดเก็บข้อมูลโดยพิจารณาการแบ่งพื้นที่ใน 4 ภูมิภาค จากนั้นคัดเลือกจังหวัดพื้นที่ละ 1 จังหวัด แล้วคัดเลือกผู้บอกภาษา จุดเก็บข้อมูลละ 3 คน รวม 30 คน ผู้บอกภาษามีคุณสมบัติดังนี้ ต้องเป็นผู้ใช้ภาษาถิ่นนั้นเป็นภาษาแม่ เพศใด ก็ได้ มีอายุ 45 ปีขึ้นไป ไม่เคยย้ายภูมิลำเนาไปจังหวัดอื่นมากกว่า 3 ปี และมีความรู้ความเชี่ยวชาญในการประกอบอาหารพื้นเมือง จากการศึกษาพบคำเรียกการประกอบอาหารในภาษาไทยถิ่น 4 ภาค แบ่งตามขั้นตอนการประกอบอาหาร 3 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้น การเตรียมวัตถุดิบ ภาคกลาง 119 คำ เหนือ 110 คำ อีสาน 110 คำ ใต้ 123 คำ ขั้นการทำอาหาร ภาคกลาง 32 คำ เหนือ 47 คำ อีสาน 39 คำ ใต้ 27 คำ ขั้นการจัดการหลังการทำอาหาร ภาคกลาง 7 คำ เหนือ 7 คำ อีสาน 2 คำ ใต้ 2 คำ รวม 625 คำ ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบทางความหมายพบว่าขั้นการเตรียมวัตถุดิบแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะคือ การเตรียมวัตถุดิบที่ ยังไม่ผ่านกระบวนใด ๆ มาก่อน เช่น ล้าง หั่น และการเตรียมวัตถุดิบด้วยกระบวนการบางอย่าง เช่น ลวกปลา ต้มไข่ หมักปลา ขั้นการเตรียมวัตถุดิบในภาษาไทยถิ่นทั้ง 4 ภาคมีมิติแห่งความแตกต่าง 4 มิติ ได้แก่ มิติวิธีการเตรียม มิติวัสดุอุปกรณ์ มิติวัตถุดิบ และมิติการใช้แรง ส่วนการเตรียมวัตถุดิบด้วยกระบวนการบางอย่างมีเพิ่มขึ้นอีก 3 มิติ ได้แก่ มิติการใช้ความร้อน มิติระดับความ สุกของวัตถุดิบและมิติระยะเวลา โดยมีมิติวิธีการเตรียมเป็นมิติหลักที่ต้องปรากฏเป็นองค์ประกอบทางความหมายของคำทุกคำ ขณะที่มิติอื่น ๆ เป็นมิติที่ไม่โดดเด่นในการจำแนกคำ จะปรากฎเมื่อมีความสำคัญทางความหมายของคำนั้นจึงไม่ปรากฏในทุกคำ ขั้นการทำอาหารมีมิติแห่งความแตกต่าง 7 มิติ มีมิติหลักที่ต้องปรากฏในทุกคำ 3 มิติ ได้แก่ ได้แก่ มิติวิธีการทำ มิติการใช้ ความร้อน และมิติระดับความสุกของวัตถุดิบ ส่วนมิติวัตถุดิบ มิติวัสดุอุปกรณ์ มิติระยะเวลา เป็นมิติความแตกต่างที่ไม่โดดเด่นใน การจำแนกความหมายของคำเรียกการประกอบอาหารขั้นการทำอาหารจึงไม่ปรากฏทุกคำ การจัดจำพวกแบบชาวบ้านพบว่ามีความสัมพันธ์แบบลำดับขั้นที่เป็นคำที่อยู่ในขั้นหรือระดับเดียวกันจึงมีความหมายต่างกัน และพบคำที่อยู่ต่างระดับกันที่แสดงการรวมเข้ากันเป็นพวก มี 4 ลำดับชั้น ได้แก่ ลำดับจุดเริ่มต้นหนึ่งเดียว ได้แก่ ขั้นเตรียมวัตถุดิบคือ “เตรียม” ขั้นทำอาหารคือ “ทำ” ขั้นหลังการทำอาหารคือ “จัดการ” ลำดับคำบอกหมวด ลำดับเฉพาะเจาะจง และลำดับลักษณะพิเศษ จากการศึกษาพบว่าคำเรียกการประกอบอาหารในภาษาไทยถิ่น 4 ภาคมีทั้งคำที่มีรูปและความหมายเหมือนกัน คำที่มีรูปเหมือนกันแต่ ความหมายต่างกัน คำที่มีรูปต่างกันแต่ความหมายเหมือนกัน และคำที่มีปรากฏใช้เฉพาะถิ่น ระบบการทำอาหารของคนไทยในท้องถิ่น 4 ภาคมีขั้นตอนในการทำอาหารเริ่มตั้งแต่ขั้นการเตรียม การทำอาหาร และการจัดการหลังการทำอาหาร สัมพันธ์กันเป็นกระบวนการ การวิเคราะห์วัฒนธรรมด้านอาหารพบว่าคำเรียกการประกอบอาหารเกี่ยวข้องกับการใช้ความร้อน และมีคำเรียกการทำอาหารที่ไม่ ใช้ความร้อนด้วยซึ่งพบมากในภาคอีสาน รสชาติอาหารของคนไทยในท้องถิ่น 4 ภาคมีรสแตกต่างกันไป ภาคกลางมีทั้งเค็ม เผ็ด หวานและ เปรี้ยว ภาคเหนือมีรสเค็ม เผ็ดเล็กน้อย ไม่นิยมรสหวานจากน้ำตาล กะทิและน้ำมัน มีกลิ่นหอมจากสมุนไพรหรือเครื่องเทศ ภาคอีสานมีรส เผ็ด เค็ม มีกลิ่นหอมจากผักแต่งกลิ่นต่าง ๆ ภาคใต้มีรสเผ็ดร้อนจากพริกและพริกไทย มีขมิ้นประกอบ รสเผ็ดในอาหารของภาคใต้แตกต่าง จากรสเผ็ดในอาหารของภาคอื่น ภาคกลางและภาคใต้มีการใช้กะทิเป็นวัตถุดิบในการทำอาหารมาก ขณะที่ภาคเหนือและภาคอีสานไม่นิยมนำ กะทิมาประกอบอาหาร นอกจากนี้เครื่องแกงเป็นวัตถุดิบที่สำคัญสำหรับการทำอาหารของทุกภาค วัตถุดิบที่นำมาใช้ในการทำอาหารของคน ไทยในท้องถิ่น 4 ภาคเป็นวัตถุดิบที่หาได้ในท้องถิ่น เมื่อมีวัตถุดิบมากพอคนไทยในท้องถิ่น 4 ภาคก็มีวิธีการถนอมอาหารได้อย่างหลากหลาย
- Publicationคำเรียกญาติในภาษาคำเมือง - การวิเคราะห์ทางอรรถศาสตร์ชาติพันธุ์วิภัสรินทร์ ประพันธสิริ; Vipusarin Prapuntasiri (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 1992)งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความหมายแก่นของคำเรียกญาติพื้นฐานในภาษาคำเมืองโดยวิธีวิเคราะห์องค์ประกอบ และการใช้คำเรียกญาติดังกล่าวในแวดวงอื่น ๆ ได้แก่ การใช้เป็นสรรพนามและคำเรียกขานในหมู่คนที่เป็นญาติและไม่ใช่ญาติ และการใช้เป็นอุปลักษณ์ นอกจากนั้นงานวิจัยนี้ยังมุ่งแสดงลักษณะสำคัญบางประการในวัฒนธรรมล้านนาที่สะท้อนจากความหายและการใช้คำเรียกญาติดังกล่าวด้วย ข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์ได้มาจากการสัมภาษณ์ผู้บอกภาษา 4 คนซึ่งเป็นตัวแทนของผู้พูดภาษาคำเมือง 4 จังหวัดล้านนา ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูนและลำปาง ผลการวิจัยพบว่าคำเรียกญาติในภาษาคำเมืองอาจจำแนกให้แตกต่างกันในความหมายแก่นด้วย 4 หรือ 5 มิติแห่งความแตกต่างในภาษาเชียงราย และลำปาง คำเรียกญาติต่างกันในเรื่อง รุ่นอายุ สายเลือด อายุและเพศ ส่วนในภาษาเชียงใหม่และลำพูน จะมีมิติที่เพิ่มขึ้นคือ ฝ่ายพ่อ/แม่ ซึ่งในรายละเอียดคำเรียกญาติในภาษาคำเมืองทั้ง 4 จังหวัด มีทั้งลักษณะที่ร่วมกันและต่างกัน ลักษณะที่ร่วมกัน ได้แก่ การใช้คำเรียกญาติประเภทเดียวกัน ในความหมายเหมือนกัน ส่วนลักษณะที่ต่างกัน ได้แก่ การใช้คำเรียกญาติซึ่งมีความหมายละเอียดที่ต่างกันในเรื่องเพศ และฝ่ายพ่อ/แม่ ในการใช้คำเรียกญาติเป็นสรรพนามและคำเรียกขานในหมู่คนที่เป็นญาติ และไม่ใช่ญาติ พบว่าคำเรียกญาติในรุ่นอายุสูงกว่าหรือมีอายุมากกว่าตัวเองมีการนำไปใช้มากกว่าคำเรียกญาติในรุ่นอายุต่ำกว่าหรือมีอายุน้อยกว่า เช่น คำว่า “พ่อ” และ “แม่” จะใช้เป็นสรรพนามและคำเรียกขานบ่อยมากกว่า “ลูก” เป็นต้น ทั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงลักษณะสำคัญประการหนึ่งในวัฒนธรรมล้านนา คือ “ระบบอาวุโส” สำหรับการใช้เป็นอุปลักษณ์พบว่า คำว่า “แม่” ใช้มากที่สุด โดยเฉพาะในความหมาย “ใหญ่” “สำคัญ” “ต้นกำเนิด” “ผู้ใหญ่ เช่น คำว่า mE:3khO:3 ในภาษาลำพูนหมายถึงนิ้วหัวแม่มือ ซึ่งคำคู่กันคือ “พ่อ” ไม่ปรากฏ หลักฐานนี้แสดงให้เห็นถึง “การเน้นฝ่ายแม่” หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือบทบาทของฝ่ายหญิงมีความสำคัญมากกว่าฝ่ายชาย ลักษณะสำคัญทางวัฒนธรรมที่พบในการวิเคราะห์ดังกล่าวนี้สอดคล้องกับข้อสังเกตในผลงานทางด้านสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา อย่างไรก็ตาม ผลการวิเคราะห์ความหมายแก่นของคำเรียกญาติในภาษาคำเมืองทั้ง 4 ถิ่น ได้แสดงให้เห็นว่า คำเรียกญาติของฝ่ายพ่อและแม่มีการกลืนกันจนไม่เน้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยเฉพาะ ผู้วิจัยจึงสรุปว่า “การเน้นฝ่ายแม่” ที่เคยมีมาแต่เดิมในวัฒนธรรมล้านนานั้น ปัจจุบันนี้กำลังลดความสำคัญลง กลายเป็นไม่เน้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง