วรรณกรรม/วรรณคดีบาลีและสันสกฤต
Permanent URI for this collection
บทความวิจัย บทความวิชาการ รายงานการวิจัย วิทยานิพนธ์ สารนิพนธ์ และหนังสือเกี่ยวกับวรรณคดีบาลี วรรณคดีสันสกฤต ประวัติวรรณคดีบาลี ประวัติวรรณคดีสันสกฤต วรรณคดีบาลีและสันสกฤตในวรรณคดีไทย การศึกษาจารึกและเอกสารโบราณ
Browse
Browsing วรรณกรรม/วรรณคดีบาลีและสันสกฤต by browse.metadata.researchtheme2 "บทละคร"
Now showing 1 - 9 of 9
Results Per Page
Sort Options
- Publicationการศึกษาวิเคราะห์บทละครสันสกฤต อภิชญานศากุนตลม องก์ที่ 1-2ธวัชชัย ดุลยสุจริต; Dulyasucharit, Thawatchai (2011)The objective of thesis is threefold: Firstly, a study of a historical background and overview of the Abhijñānaśākuntam Act I-II; Secondly, an analytical study of the Abhijñānaśākuntam Act I-II in a literary aspect; Thirdly, an analytical study of the Abhijñānaśākuntam Act I-II in a grammatical aspect. The manuscripts used in the study are 1) a Devanāgarī edition with English translation and commentary, edited by M. R. Kale and published by Motilal Barnasidass in 1969, and 2) a Devanāgarī edition with English translation and commentary, edited by Monier Williams and published by the Clarendon press in 1876. The study is limited to Act I and Act II. The first stage of the study was to transliterate the play from the Devanāgarī into the Thai script and to translate the text from Sanskrit into the Thai. The text, then, was studied in the aspects of literature and grammar. Vocabulary with its meaning and origin was sought with an aid of Sanskrit-English dictionaries. All words were sorted alphabetically, and the redundancy was omitted. The data was analyzed in a further stage, categorized into the topics accordingly for the discussion and conclusion. The result of the study shows that Abhijñānaśākuntam, a play in 7 acts, is written by a poet called Kālidāsa who was inspired with a story of Śakuntalā in Ādiparva of the Mahābhārata. The play was created after the Sanskrit convention of play called Nāṭaka, a major drama. The poet used an elaborate technique to create an attractive plots with several sentiments, especially the erotic. Moreover, the characters were created humanly, the conversation were lively and the verses were beautiful and full of figures of speech. In the grammatical aspect, the poet employed a limited verbal roots (dhātu) to create unlimited verbs in tenses and moods, among them which the most frequently used are the present tense followed by the imperative. Some participles were abundant in the play, especially the participles formed from affixes, the most used affixes are ta (to acquire the past active participle), tvā (to acquire the gerund), and tum (to acquire the infinitive). Finally, the poet created new words by a technique of the compound (samāsa) to combine 2 or more word into a new single word. The compound found in the two acts were categorized in almost type of the Sanskrit compound. The most frequent used was called the Determinative compound (tatpuruṣa). Most compound were formed by 2 words. However, there were some compounds of 3 or more words, and categorized into a complex compound, among which the largest one was formed from 8 words.
- Publicationการศึกษาวิเคราะห์บทละครสันสกฤต อภิชฺญานศากุนฺตลมฺ องก์ที่ 3 และ 4เบญจมาศ ขุนประเสริฐ; Khunprasert, Benjamas (2018)งานวิจัยชิ้นนี้มีจุดประสงค์ 2 ประการ คือ เพื่อศึกษาเนื้อหาของบทละครอภิชฺญานศากุนตลมฺ องก์ที่ 3 และ 4 และ เพื่อศึกษาวิเคราะห์บทละครอภิชฺญานศากุนตลมฺ องก์ที่ 3 และ 4เกี่ยวกับด้านรสและอลังการ ภาพสะท้อนที่ปรากฏในเรื่อง เช่น สังคม การเมืองการปกครอง วิถีชีวิต ความเชื่อประเพณีเกี่ยวกับแหวน การต้อนรับแขก การสาปแช่ง เป็นต้น ต้นฉบับที่ใช้ศึกษาในครั้งนี้ คือ ต้นฉบับอักษรเทวนาครีของ เอ็ม.อาร์.กาเล ตีพิมพ์เมื่อ ค.ศ.1969 และต้นฉบับอักษรเทวนาครีของมอเนียร์ วิลเลียมส์ ตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2419 มีขอบเขตการศึกษาคือบทละครอภิชฺญานศากุนตลมฺ องก์ที่ 3 และ 4 มีขั้นตอนการศึกษา คือปริวรรตอักษรเทวนาครีเป็นอักษรไทยและแปลบทละครจากภาษาสันสกฤตเป็นภาษาไทย จากนั้นศึกษาด้านรสและอลังการ ภาพสะท้อนที่ปรากฏในเรื่อง เช่น สังคม การเมืองการปกครอง วิถีชีวิต ความเชื่อประเพณีเกี่ยวกับแหวน การต้อนรับแขก การสาปแช่ง เป็นต้น จากนั้นนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ เพื่อการอภิปรายและสรุปผลการศึกษา ผลการศึกษาพบว่า 1. บทละคร อภิชฺญานศากุนฺตลมฺ มี 7องก์เป็นผลงานของกวีกาลิทาส มีเค้าโครงมาจากเรื่องศกุนตโลปาขยานในมหากาพย์มหาภารตะ เป็นเรื่องราวความรักของท้าวทุษยันต์กับนางศกุนตลาโดยมีเค้าโครงเรื่องมาจากมหาภารตะ ต่อมาภายหลังกาลิทาส ได้นำมาเขียนเป็นละคร “นาฏกะ” โดยใช้ภาษาสันสฤตแบบแผน (Classical Sanskrit) การใช้ภาษามีรูปแบบร้อยแก้ว (บทสนทนา) และร้อยกรอง (ฉันท์) 2. มีรสหลักคือศฤงคารรส ทั้งวิประลัมภะ(ความรักที่พลัดพรากจากกัน) และสัมโภคะ(ความรักที่สมหวัง) และยังมีรสอื่นๆปรากฏอีก เช่น เราทรรส วีรรส กรุณารส และ อัทภุตรส ตามลำดับด้านอลังการพบทั้ง 2 ชนิด คือ1.อลังการทางเสียง ประกอบด้วย ยมกและอนุปราส 2.อลังการทางความหมาย พบมากที่สุดคือ อุปมา รองลงมาคือ อุตเปรกษา และรูปกะ ภาพสะท้อนที่ปรากฏมี 9 ประการ คือ ด้านสังคมด้านความเชื่อด้านพิธีกรรมทางศาสนา ด้านวัฒนธรรมเกี่ยวกับแหวน ด้านประเพณีการต้อนรับแขก ด้านการเมืองการปกครอง การรักษาแบบโบราณและอาการของคนป่วยและอาการไม่สบาย การให้พรในขณะที่ลูกสาวจะออกเรือนไปสู่เรือนสามีและค่านิยมเรื่องผู้ชายมีภรรยาได้หลายคนในวรรณะกษัตริย์
- Publicationการศึกษาวิเคราะห์บทละครสันสกฤตเรื่องรัตนาวลี ของพระเจ้าศรีหรรษวรรธนะชลภัสสรณ์ บินอิบรอฮีม; Binibrohim, Chonlaphatsorn (2018)เรื่องรัตนาวลีเป็นบทละครภาษาสันสกฤต มีความยาว 4 องค์ ประพันธ์โดย พระเจ้าศรีหรรษวรรธนะ ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. 590–647 ทรงเป็นจักรพรรดิผู้ครอบครองดินแดนทางตอนเหนือของอินเดีย ระหว่าง ค.ศ. 606–647 เนื้อหาในเรื่องรัตนาวลีนั้นเป็นละครสันสกฤตเกี่ยวกับความรักของพระราชาอุทยนะแห่งวัตสะกับนางสาคริกา หรือเจ้าหญิงรัตนาวลีแห่งลังกา นางข้าหลวงของพระมเหสีวาสวทัตตา บทละครรัตนาวลีมี 4 องค์ ประกอบด้วยบทสนทนาเป็นร้อยแก้ว และบทร้อยกรองสลับกัน โดยมีบทสนทนาร้อยแก้ว 554 ครั้ง และบทร้อยกรอง 87 บท ภาษาที่ใช้ในบทละครรัตนาวลีนั้นใช้ภาษาสันสกฤตเป็นหลัก คือในบทบรรยาย และตัวละครชั้นสูง ส่วนตัวละครหญิงและคนใช้จะใช้ภาษาปรากฤต อย่างไรก็ตาม ต้นฉบับที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ได้แสดงไว้เฉพาะภาษาสันสกฤต บทละครรัตนาวลีใช้ฉันท์ทั้งหมด 13 ชนิด
- Publicationการศึกษาวิเคราะห์บทละครสันสกฤตเรื่องรัตนาวลี ของพระเจ้าศรีหรรษวรรธนะชลภัสสรณ์ บินอิบรอฮีม; Binibrohim, Chonlaphatsorn (2014)วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อปริวรรตและแปลความบทละครสันสกฤตเรื่องรัตนาวลีจากต้นฉบับภาษา สันสกฤตเป็นภาษาไทยและเพื่อศึกษาความเป็นมาและลักษณะของบทละครสันสกฤตเรื่องรัตนาวลีรวมทั้งอลังการและรส ที่ปรากฏในบทละครสันสกฤตเรื่องรัตนาวลี เบื้องต้น ผู้วิจัยได้ปริวรรตบทละครสันสกฤตเรื่องรัตนาวลีจากอักษรเทวนาครีเป็นอักษรไทยและแปลความ ต้นฉบับภาษาสันสกฤตเป็นภาษาไทย จากนั้นก็ได้ศึกษาวิเคราะห์ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ผลการศึกษาพบว่าเรื่องรัตนาวลีเป็นบทละครภาษาสันสกฤต มีความยาว 4 องก์ ประพันธ์โดย พระเจ้าศรี หรรษวรรธนะ ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ.590 – 647 ทรงเป็นจักรพรรดิผู้ครอบครองดินแดนทางตอนเหนือของอินเดีย ระหว่างค.ศ.606 – 647 เนื้อหาในเรื่องรัตนาวลีนั้นเป็นละครสันสกฤตเกี่ยวกับความรักของพระราชาอุทยนะแห่งวัตสะกับ นางสาคริกา หรือเจ้าหญิงรัตนาวลีแห่งลังกา นางข้าหลวงของพระมเหสีวาสวทัตตา บทละครรัตนาวลีมี 4 องก์ ประกอบด้วย บทสนทนาเป็นร้อยแก้วและบทร้อยกรองสลับกัน โดยมีบทสนทนารอยแก้ว 554 ครั้งและบทร้อยกรอง 87 บท ภาษาที่ใช้ในบทละครรัตนาวลีนั้นใช้ภาษาสันสกฤตเป็นหลักคือในบทบรรยายและตัวละครชั้นสูง ส่วนตัวละครหญิงและคนใช้จะใช้ภาษาปรากฤต อย่างไรก็ตาม ต้นฉบับที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ได้แสดงไว้เฉพาะภาษาสันสกฤต บทละครรัตนาวลีใช้ฉันท์ทั้งหมด 13 ชนิด ฉันท์ที่นิยมใช้เรียงลําดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ 1) ศารทูลวิกรีฑิตฉันท์ มีจํานวน 33 บท 2) สรคธราฉันท์จํานวน 10 บท 3) อารยาฉันท์จํานวน 9 บท 4) อนุษฏุภฉันท์ จํานวน 9 บท 5) วสันตติลกฉันท์จํานวน 9 บท 6) ศิขริณีฉันท์จํานวน 6 บท 7) มาลินฉีันท์จํานวน 3 บท 8) ปฤถวีฉันท์จํานวน 2 บท 9) ประหรรษิณีฉันท์จํานวน 1 บท 10) หริณีฉันท์จํานวน 1 บท 11) ปุษปตาคราฉันท์จํานวน 1 บท 12) ศาลินีฉันท์จํานวน 1 บท และ13) อุปชาติฉันท์ จํานวน 1 บท ตัวละครสําคัญในเรื่องนี้ ได้แก่ ตัวละครชายคือ พระราชาอุทยนะ (พระเอกเป็นเจ้าชายแห่งเมืองเกาศามพี) วิทูษกะ หรือวสันตกะ (พราหมณ์ผู้เป็นเพื่อนของพระเอก) เยาคันธรายณะ (เสนาบด์) วิชยวรมา (เป็นหลานของรุมัณวัตผู้เป็นองครักษ์ของพระราชา) พาภระวยะ (กรมวัง) วสุภูติ (อํามาตย์ของพระเจ้าวิกรมพาหุผู้เป็นกษัตริย์แห่งเมืองสิงหล)และไอนทรชาลิกะ (ผู้มีเวทมนต์) ตัวละครหญิงได้แก่ รัตนาวลีหรือสาคริกา (นางเอก ธิดาของพระเจ้าวิกรมพาหุแห่งสิงหล) วาสวทัตตา (พระมเหสีของพระราชาอุทยนะ) กาญจนมาลา (นางสนมของพระนางวาสวทัตตา) และสุสังคตา (เป็นนาง สนม และเป็นเพื่อนของนางเอก) อลังการที่ใช้ในบทละครรัตนาวลีมีความโดดเด่นทั้งในด้านศัพทาลังการ (อลังการทางเสียง) และอรรถาลงั การ (อลังการดานความหมาย) ได้แก่ ยมก อนุปราส อุปมา อุปมารูปกะอุตเปรกษา ทีปกะ สมาโสกติอรรถานตรันยาสะ สวภาโวกติ รสสําคัญที่ปรากฏในบทละครรัตนาวลีได้แก่ศฤงคารรส (ความรัก) วีรรส (ความกล้าหาญ) หาสยรส (ความ สนุกนาน) กรุณารส (ความสงสาร) และพีภัตสรส (ความน่ารังเกียจ)
- Publicationนางเอกในบทละครของกาลิทาสประหยัด เกษม; Kasem, Prayad (1978)วิทยานิพนธ์นี้มุ่งศึกษานางเอกในบทละครของกาลิทาสตามตำราการละครสันสฤต เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของนางเอกในบทละครของกาลิทาสกับนางเอกในตำราการละครสันสฤตเป็นประการแรก เพื่อศึกษาฐานะของสตรีอินเดียที่ปรากฏในบทละครของกาลิทาสเป็นประการที่สอง และ เพื่อศึกษาการแต่งกายของสตรีอินเดียที่ปรากฏในบทละครของกาลิทาสเป็นประการที่สาม ผู้วิจัยได้แบ่งวิทยานิพนธ์นี้เป็น 6 บท คือ บทที่ 1 บทนำ บทที่ 2 กล่าวถึงนางเอกในนาฏยศาสตร์ บทที่ 3 การศึกษาเชิงวิเคราะห์นางเอกในบทละครของกาลิทาสกับนางเอกในนาฏยศาสตร์ บทที่ 4 การศึกษานางเอกในบทละครของกาลิทาสกับนางเอกในทศรูปและสาหิตยทรรปณะ บทที่ 5 การศึกษาฐานะและการแต่งกายของสตรีอินเดียที่ปรากฏในบทละครของกาลิทาส และ บทที่ 6 บทสรุป จากการศึกษาเรื่องนี้ผู้วิจัยพบว่า ลักษณะนางเอกในบทละครของกาลิทาสตรงกับลักษณะนางเอกในนาฏยศาสตร์เป็นส่วนใหญ่ในด้านฐานะและการแต่งกายของสตรีอินเดีย สตรีอินเดียได้รับการศึกษาดีและอยู่ในความคุ้มครองของผู้ชาย ใช้เครื่องประดับมากมายตกแต่งร่างกาย
- Publicationนานที ในบทละครสันสกฤตอนงค์ นาคสวัสดิ์; Nagaswasdi, Anong (1979)จุดมุ่งหมายในการวิจัยเรื่องนี้คือ เพื่อศึกษาให้รู้เรื่องของนานทีในด้านความหมาย จุดประสงค์ และความสำคัญในการประกอบพิธีนานที ลักษณะคำ ประพันธ์ของนานที ตลอดจนเนื้อหาสาระที่มีอยู่ในบทนานที จากตำราการละครและการประพันธ์สันสกฤตและวิเคราะห์นานทีในบทละครสันสกฤต 16 เรื่อง ในสมัยคริสตศตวรรษที่ 5 – 12 เนื้อเรื่องแบ่งเป็น 4 บท บทแรกคือ บทนำ กล่าวถึงวัตถุประสงค์และขอบข่ายของการวิจัย ตลอดจนวิธีดำเนินการวิจัย บทที่ 2 กล่าวถึงนานทีในตำราการละครและการประพันธ์สันสกฤต บทที่ 3 วิเคราะห์รูปแบบของนานที ความสั้นยาว ชนิดของฉันท์ คณะฉันท์ และอลังการต่าง ๆ ตลอดจนการเลือกใช้พยัญชนะขึ้นต้นและเทพเจ้าที่กวีกล่าวสรรเสริญในบทนานทีของบทละคร 16 เรื่อง บทที่ 4 เป็นบทสรุปและข้อเสนอแนะ ผลของการวิจัยทำให้ทราบว่า นานทีเป็นบทอำนวยพร นมัสการหรือสรรเสริญเทพเจ้า เพื่อให้เทพเจ้าโปรดปรานประทานพร นานทีเป็นบทที่กวีแต่งเป็นแบบแรก เพื่อให้ขับในพิธีนานทีที่รวมอยู่ในพิธีโหมโรง ซึ่งเป็นการขจัดอุปสรรคในการแสดงละครกวีแต่งบทนานทีด้วยความประณีต มีความไพเราะ อันประกอบไปด้วยการเลือกสรรพยัญชนะขึ้นต้นบท คณะฉันท์ ชนิดของฉันท์ และอลังการทั้งฝ่ายเสียงและฝ่ายความหมาย
- Publicationบทนานทีในบทละครสันสกฤตเรื่องวาสันติกสวัปนะพิชญาวุฒิ กุมภิโร; ชานป์วิชช์ ทัดแก้ว; Kumpiro, Pitchayawut; Tudkeao, Chanwit (2021)บทความวิจัยนี้มุ่งศึกษาบทนานทีในบทละครสันสกฤตเรื่องวาสันติกสวัปนะที่ดัดแปลงจากบทละครอังกฤษของวิลเลียม เชกสเปียร์ เรื่อง A Midsummer Night ’s Dreamโดยใช้ทฤษฎีการละครสันสกฤตในการวิเคราะห์เป็นหลัก ผลการศึกษาพบว่าบทนานทีในบทละครเรื่องนี้คงลักษณะตามกฎเกณฑ์ทฤษฎีการละครสันสกฤตได้แก่การประพันธ์เป็นบทร้อยกรองด้วยศารทูลวิกรีฑิตฉันท์ การใช้อักษรและคณะฉันท์ที่ให้ความหมายมงคลการใช้อลังการและสามารถจัดเป็นนานทีประเภทปัตราวลี นอกจากนี้ยังพบลักษณะพิเศษอื่นอีก ได้แก่ การไม่ปรากฏการใช้ถ้อยคํานมัสการ คําสรรเสริญ และคําอํานวยพรต่อเทพเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งโดยเฉพาะเช่นกวีสันสกฤตโบราณ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะกวีต้องการแสดงความเป็นตัวของตัวเองที่เลื่อมใสคําสอนในคัมภีร์อุปนิษัทที่มีสาระสําคัญคือการบรรลุความหลุดพ้นจากสังสารวัฏ นอกจากนี้ผู้วิจัยได้พบการแฝงนัยโต้กลับเจ้าอาณานิคมด้วยกลวิธี การประพันธ์ อาทิ รูปแบบและภูมิปัญญาอันลึกซึ้งและแยบคายของกวี ทั้งนี้เพราะต้องการปลุกจิตสํานึกหรือชี้แนะแนวทางในการต่อต้านเจ้าอาณานิคมแก่กลุ่มบัณฑิตผู้เป็นปัญญาชนของชาติ
- Publicationพระเอกในบทละครของกาลิทาสเสาวภา ธานีรัตน์; Thaneerat, Saowabha (1979)วัตถุประสงค์ของการวิจัยนี้ก็เพื่อจะศึกษาเกี่ยวกับพระเอกในบทละครของกาลิทาส และพระเอกในตำราการละครสันสกฤต ในด้านลักษณะ และ บทบาท เพื่อที่จะเปรียบเทียบความคล้ายคลึงกัน และ ความแตกต่างกันของพระเอกในบทละครของกาลิทาสกับพระเอกในตำราการละครสันสกฤต วิทยานิพนธ์นี้มี 5 บทด้วยกัน บทแรกเป็นบทนำ ซึ่งกล่าวถึงความเป็นมาของปัญหา วัตถุประสงค์ ขอบเขตและวิธีดำเนินการวิจัย ตลอดจนผลของการวิจัย บทที่ 2 ว่าด้วยพระเอกในตำราการละครสันสกฤต บทที่ 3 เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับพระเอกในบทละครของกาลิทาสกับพระเอกในตำราการละครสันสกฤต บทที่ 4 ว่าด้วยการเปรียบเทียบพระเอกในบทละครของกาลิทาส บทที่ 5 เป็นบทสรุปและข้อเสนอแนะ ผลการวิจัยทำให้ทราบว่า พระเอกในบทละครของกาลิทาสมีลักษณะอุปนิสัยคุณสมบัติ ตลอดจนความรักคล้ายคลึงกับ ลักษณะอุปนิสัย คุณสมบัติ และความรักของตัวละครชายในตำรานาฏยศาสตร์ ผู้แต่งตำราการละครสันสกฤตสมัยหลังกาลิทาส ก็ได้ใช้ตำรานาฏยศาสตร์ และบทละครของกาลิทาสเป็นแนวในการสร้างบุคลิกลักษณะ และคุณสมบัติ ตลอดจนความรักของพระเอกเช่นกัน.
- Publicationละครซ้อนละครในละครเรื่องปริยทรรศิกาและพาลรามายณะสิทธิเชศวร์ เจนเรื่อย; Chenruay, Sitthiches (2018)ละครซ้อนละคร (play-within-a-play) เป็นกลวิธีการประพันธ์ที่ปรากฎในบทละครสันสกฤตเรื่องปริยทรรศิกา (Priyadrska) และพาลรามายณะ (Balaramayana) นักวรรณคดีสันสกฤตจำกัดความละครซ้อนในละครสันสกฤตแตกต่างกัน วิทยานิพนธ์เรื่องนี้มุ่งศึกษาลักษณะเฉพาะของละครซ้อนละคนในละครสันสกฤตทั้งสองเรื่อง พร้อมทั้งศึกษาบทบาทและความสำคัญที่ละครซ้อนแต่ละเรื่องมีต่อละครเรื่องหลัก ผลการศึกษาพบว่า มีคำอธิบาย "ละครซ้อนละคร" ในทฤษฎีการละครสันสกฤตเรื่อง สาหิตยทรรปณะ (Sahityadarpana) เรียกว่า ครรภางกะ (garbhanka) คือ ละครเล็กที่แทรกอยู่ในละครใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง มีบทเกริ่นนำ เนื่อเรื่อง และตอนจบของตนเอง จากนิยายดังกล่าวนำมาวิเคราะห์ละครซ้อนละครในปริยทรรศิกาและพาลรามายณะ ได้ผลว่า ละครทั้งสองเรื่องมีบทเกริ่นนำของตนเอง เรื่องปริทรรศิกามีนายโรงแนะนำละครซ้อนชื่อ "อุทัยนจริต" (Udayanacarita) เนื้อเรื่องแสดงความรักระหว่างพระเจ้าอุทัยน์ (วัตสราช) กับเทวีวาสวทัตตา แต่พระเจ้าอุทัยน์ที่ปลอมตนมาเล่นละครเป็นตนเองพลอดรักกับนางเอกจนเทวีวาสวทัตตาไม่อาจทนดูละครต่อได้จึ่งสั่งให้หยุดเล่น ละคนซ้อนเรื่องนี้จึ่งไม่มีตอนจบ ส่วนละครซ้อนละครในพาลรามายณะ ชื่อว่า "สีตาสวยัมวระ" (Sitasvayamvara) การเลือกคู่ของนางสีดา มีบทเกริ่นนำ เนื้อเรื่องเป็นการประลองยกธนูพระศิวะ พระรามสามารถยกได้พร้อมหักธนูและจัดพิธีอภิเษกสมรส ในเรื่องนี้มีบทอวยพรตอนจบเรื่อง ซึ่งสอดคล้องตามคำอธิบายในสาหิตยทรรปณะ บทบาทและความสำคัญของละครซ้อนต่อละครเรื่องหลัก ในบริบทของการพัฒนาปมเรื่อง ทำให้เรื่องเข้มข้นขึ้น ส่วนในบริบทการพัฒนารสและภาวะ ละครซ้อนเสริมให้ผู้ชมรับรู้รสซ้อนกัน แบ่งเป็นสองขั้น คือ รสของผู้ชมในละคร (ตัวละครที่เล่นเป็นผู้ชม) และรสของผู้ชมภายนอก (ผู้ชมจริง)