ปรัชญาพุทธเถรวาท
Permanent URI for this collection
Browse
Browsing ปรัชญาพุทธเถรวาท by Author "Amnat Yodthong"
Now showing 1 - 5 of 5
Results Per Page
Sort Options
- Publicationปาณาติบาตในเบญจศีล: วิเคราะห์การใช้เครื่องจักรและโปรแกรมฆ่าสัตว์อํานาจ ยอดทอง; Amnat Yodthong (2022)บทความวิชาการฉบับนี้ มุ่งวิเคราะห์ประเด็นการใช้เครื่องจักรและโปรแกรมฆ่าสัตว์ในโรงฆ่าสัตว์ตามหลักเบญจศีลข้อปาณาติบาต โดยมี 2 กรณี คือ กรณีแรก การใช้เครื่องจักรฆ่าสัตว์ในโรงฆ่าสัตว์ มีบุคคลที่เกี่ยวข้อง 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) ผู้ออกแบบและผลิตเครื่องจักร 2) ผู้ซื้อหรือเจ้าของโรงงาน และ 3) คนงานที่ใช้เครื่องจักร และกรณีที่สอง การใช้โปรแกรมฆ่าหรือควบคุมเครื่องจักรฆ่าสัตว์ในโรงฆ่าสัตว์ มีบุคคลที่เกี่ยวข้องโดยตรงในกระบวนการนี้ 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) ผู้ออกแบบและผลิตโปรแกรมฆ่า 2) ผู้ซื้อโปรแกรมไปใช้หรือเจ้าของโรงงาน และ 3) คนงานที่ควบคุมหรือใช้โปรแกรมฆ่าในโรงฆ่าสัตว์ โดยพบว่า บุคคลกลุ่มที่ 1 ของทั้ง 2 กรณี อาจเข้าข่ายเป็นปาณาติบาตได้ ถ้ามีการโฆษณาคุณสมบัติของเครื่องจักรหรือโปรแกรมฆ่าด้วยหวังจูงใจให้เจ้าของโรงงานซื้อ ส่วนบุคคลกลุ่มที่ 2 ของทั้ง 2 กรณี อาจเข้าข่ายเป็นปาณาติบาตได้ใน 3 สถานะ คือ ผู้สั่งบังคับ (อาณัตติกประโยค) ผู้แสวงหาเครื่องมือฆ่าให้แก่คนงาน และผู้กล่าวพรรณนาคุณความตายหรือชักชวนเพื่อนให้ตั้งใจทำงาน และบุคคลกลุ่มที่ 3 ของทั้ง 2 กรณี อาจเข้าข่ายเป็นปาณาติบาตใน 2 สถานะ คือ ผู้ใช้เครื่องจักรหรือโปรแกรมฆ่า (ถาวรประโยค) และผู้กล่าวพรรณนาคุณความตายหรือชักชวนเพื่อนให้ตั้งใจทำงาน ส่วนพระพุทธศาสนามีมุมมองและท่าทีต่ออาชีพหรือการงานนี้ 5 ประการ คือ 1) การงดเว้นหรือไม่ประกอบอาชีพที่ผิดศีลธรรมแบบนี้ 2) ถ้าไม่มีทางเลือก ผู้กระทำจะต้องระลึกอยู่เสมอว่า มันเป็นอาชีพที่ผิดศีลธรรม 3) ไม่ปฏิบัติด้วยมิจฉาทิฏฐิ คือ หลงเข้าใจผิดว่า เป็นอาชีพหรือการงานที่เป็นกุศล 4) ไม่พึงมีความรู้สึกยินดีในขณะปฏิบัติหน้าที่ของตน และ 5) หากมีทางเลือกอื่น ก็ควรเดินออกจากการประกอบอาชีพนี้ และหันไปประกอบอาชีพที่ดีถูกต้องตามหลักศีลธรรม
- Publicationพุทธจริยธรรมเรื่องเพศสัมพันธ์กับหุ่นยนต์เอไอที่เป็นพลเมืองอำนาจ ยอดทอง; Amnat Yodthong (2021)บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาประเด็นพุทธจริยธรรมเรื่องเพศสัมพันธ์กับมนุษย์ 2) เพื่อศึกษาประเด็นพุทธจริยธรรมเรื่องเพศสัมพันธ์กับศพมนุษย์ รูปปั้น และตุ๊กตา และ 3) เพื่อศึกษาประเด็นพุทธจริยธรรมเรื่องเพศสัมพันธ์กับหุ่นยนต์เอไอที่เป็นพลเมือง การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงเอกสาร โดยศึกษาวิเคราะห์เนื้อหาจากคัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถา หนังสือ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผลการวิจัยพบว่า หลักพุทธจริยธรรมเรื่องเพศสัมพันธ์กับมนุษย์ คือเบญจศีลข้อ 3 เจตนางดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม มีองค์ประกอบการกระทำ 4 ประการคือ 1) เป็นวัตถุต้องห้ามสำหรับตน 2) มีจิตยินดีก่อน ขณะ หรือหลังการมีเพศสัมพันธ์ 3) การกระทำทุกอย่างในการมีเพศสัมพันธ์ และ 4) อวัยวะเพศสัมผัสกับมรรค 3 คือ ทวารหนัก ทวารเบา หรือปาก สำหรับคนที่มีสามีหรือภรรยาแล้วถือว่า ชายหรือหญิงอื่นทุกคนจัดเป็นวัตถุต้องห้ามสำหรับตน ถ้าหากทั้ง 2 ฝ่ายมีเพศสัมพันธ์กันย่อมเป็นกาเมสุมิจฉาจาร ส่วนพุทธจริยธรรมเรื่องเพศสัมพันธ์กับศพมนุษย์นั้นมีองค์ประกอบ 3 ประการ (ไม่มีข้อ 1) หากคนที่มีภรรยาหรือสามีแล้วมีเพศสัมพันธ์กับศพที่มีสภาพมรรค 3 สมบูรณ์ย่อมเป็นกาเมสุมิจฉาจาร ส่วนทุกคนที่มีเพศสัมพันธ์กับรูปปั้นและตุ๊กตาที่ไม่เหมือนมนุษย์ย่อมไม่เป็นกาเมสุมิจฉาจาร แต่คนมีเพศสัมพันธ์กับตุ๊กตายางหรือหุ่นยนต์เอไอที่เหมือนมนุษย์นั้นให้พิจารณาเช่นเดียวกับกรณีศพมนุษย์ และพุทธจริยธรรมเรื่องเพศสัมพันธ์กับหุ่นยนต์เอไอที่เป็นพลเมืองนั้นมีองค์ประกอบการกระทำ 4 ประการเช่นเดียวกับการมีเพศสัมพันธ์กับมนุษย์ เพราะการเป็นพลเมืองนั้นเป็นการยกสถานะให้เท่าเทียมกับมนุษย์ตามกฎหมาย
- Publicationพุทธศาสนาเถรวาทกับมุมมองจริยธรรมเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์อํานาจ ยอดทอง; Amnat Yodthong (2020)บทความวิจัยชิ้นนี้ เป็นการศึกษาเชิงเอกสารโดยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหาจากคัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถา และเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาขอบเขตและความหมายของเพศสัมพันธ์ในพุทธศาสนาเถรวาท และ 2) ศึกษามุมมองจริยธรรมเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ในพุทธศาสนาเถรวาท จากการศึกษาพบว่า 1) เพศสัมพันธ์ตามแนวคิดตะวันตกมี 2 ความหมาย คือ ความหมายแบบจารีต คือ การสอดใส่อวัยวะเพศชายเข้าไปในอวัยวะเพศหญิง และ ความหมายแบบสมัยใหม่ ได้แก่ เพศสัมพันธ์กับอวัยวะอื่น เช่น ทวารหนัก หรือกับวัตถุอื่นๆ ส่วนเพศสัมพันธ์ในพุทธศาสนาเถรวาทตรงกับคำว่า “การเสพเมถุนธรรม” คือ การที่บุคคลมีเจตนาหรือมีความยินดีในการสอดใส่อวัยวะเพศเข้าไปในอวัยวะเพศ ทวารหนัก และปาก โดยที่สุดแม้เข้าไปสัมผัสเพียงเท่าเมล็ดงา ไม่ว่าจะเป็นของชายหรือหญิง ของสัตว์เดรัจฉานหรืออมนุษย์ เช่น ยักษ์ รวมถึงของซากศพของสัตว์เหล่านี้ 2) ส่วนมุมมองจริยธรรมเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ตามหลักพุทธศาสนาเถรวาทมีลักษณะสอดคล้องกับแนวคิดทฤษฎีเชิงคุณธรรมมากที่สุด เพราะทฤษฎีนี้มองว่า เพศสัมพันที่ดีคือเพศสัมพันธ์ที่คนดียอมรับ ซึ่งจะต้องเป็นไปตามกฎแห่งทางสายกลาง ของอริสโตเติล คือ “ความพอดี” หรือ “ความพอประมาณ” ส่วนพุทธศาสนาเถรวาทมองว่าเพศสัมพันธ์ที่ดีคือเพศสัมพันธ์ที่ไม่ละเมิดเบญจศีลข้อ 3 งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม และประกอบด้วยเบญจธรรมข้อ 3 คือ สทารสันโดษ ความยินดีพอใจในสามีภรรยาของตน ซึ่งจัดเป็นทางสายกลางของชีวิตผู้ครองเรือนตามมรรค 8 ที่เรียกว่า “สัมมากัมมันตะที่ยังมีสาสวะ” คือ การกระทำที่ถูกต้องของผู้ยังมีกิเลสอยู่
- Publicationวิเคราะห์เชิงวิพากษ์แนวคิดว่าด้วยทศพิธราชธรรมในพระพุทธศาสนาคือธรรมาภิบาลอำนาจ ยอดทอง; Amnat Yodthong (2019)บทความวิจัยชิ้นนี้ เป็นการศึกษาเชิงเอกสารโดยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหาจากคัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถา และเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์เชิงวิพากษ์แนวคิดว่าด้วยทศพิธราชธรรมในพระพุทธศาสนาคือธรรมาภิบาล จากการศึกษาพบว่า ทศพิธราชธรรมในพระพุทธศาสนามีฐานคิดแบบทฤษฎีคุณธรรมให้ความสำคัญกับการเป็นคนดีและผู้นำที่ดี ส่วนธรรมาภิบาลมีฐานคิดแบบทฤษฎีหน้าที่ให้ความสำคัญกับกฎ ระบบ หรือโครงสร้างที่ดี ด้วยเหตุนี้ในแง่หลักการแม้จะสามารถอธิบายและขยายความให้หลักทศพิธราชธรรมในพระพุทธศาสนามีความหมายตรง สอดคล้อง และครอบคลุมถึงหลักธรรมาภิบาลได้ก็ตาม แต่ก็มีปัญหาในแง่ฐานคิด เพราะทศพิธราชธรรมหมายถึงคน ส่วนธรรมาภิบาลหมายถึงระบบหรือโครงสร้าง และที่สำคัญยังมีหลักการบางข้อของทั้ง 2 แนวคิดที่ไม่สามารถมีความหมายสอดคล้องเชื่อมโยงถึงกันได้อีกด้วย การกล่าวว่าทศพิธราชธรรมในพระพุทธศาสนาคือธรรมาภิบาลจึงไม่ถูกต้องทั้งในแง่ฐานคิดและหลักการ ส่วนธรรมาภิบาลที่ใช้ในสังคมไทยได้มีการเพิ่ม “หลักคุณธรรม” ให้เป็นหลักการหนึ่งในระบบธรรมาภิบาล เพื่อเปิดพื้นที่ให้คุณธรรมทางศาสนามีทศพิราชธรรมเป็นต้นเข้ามาอยู่รวมอยู่ในระบบธรรมาภิบาล จึงทำให้หลักธรรมาภิบาลมีองค์ประกอบทั้ง 2 ส่วน คือ คนหรือผู้นำ และระบบหรือโครงสร้าง ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีองค์รวมถึงกระนั้นทศพิธราชธรรมเป็นเพียงหลักการหนึ่งของธรรมาภิบาลเท่านั้น นอกจากนี้ในเชิงปฏิบัติของสังคมไทยยังมีการนำหลักการทั้ง 2 ไปประยุกต์ใช้ทั้งในระดับปัจเจกและระดับโครงสร้างอีกด้วย ซึ่งถือว่าเกินขอบเขตฐานคิดและหลักการเดิมของทั้ง 2 แนวคิด
- Publicationศึกษาวิเคราะห์ความอยากในฐานะ เป็นบ่อเกิดของความขัดแย้งอํานาจ ยอดทอง; Amnat Yodthong (2015)การวิจัยมีวัตถุประสงค์ 2 ประการคือ คือ 1) เพื่อศึกษาขอบเขตและความหมายของความอยากในพระพุทธศาสนา และ 2) เพื่อศึกษาวิเคราะห์ความอยากในฐานะเป็นบ่อเกิดของความขัดแย้ง การวิจัยครั้งเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการศึกษาเอกสารจากคัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา และหนังสืออื่นๆ ที่เกี่ยวข้องและเชื่อมโยงกับประเด็นที่ดําเนินการศึกษาวิจัยเพื่อหาคําตอบจากการทําวิจัยครั้งนี้ ผลการวิจัยสรุปได้ว่า หลักธรรมที่มีความหมายครอบคลุมความอยากได้ทั้งหมด คือ “ฉันทะ” ซึ่งมีความหมายกว้างขวาง ครอบคลุมทั้งความอยากฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว โดยที่ความอยากที่เป็นอกุศล เรียกว่า “ตัณหาฉันทะ” และความอยากที่เป็นกุศล เรียกว่า “กุศลธรรมฉันทะ” ความอยากทั้ง 2 ประการนี้ พระพุทธศาสนามีท่าทีที่แตกต่างกัน กล่าวคือ ท่าทีต่อตัณหาฉันทะ พระพุทธศาสนาถือว่า เป็นความสุขระดับต่ําที่เรียกว่า “กามสุข” ซึ่งเป็นความสุขที่มีความบกพร่อง มีความยินดีน้อย แต่มีโทษมาก พระพุทธศาสนาจึงมีท่าที 2 ประการ คือ (1) ตัณหาฉันทะเป็นธรรมที่ควรละ ควรกําจัด หรือควรทําลายทิ้งเสีย และ (2) สามารถใช้ตัณหาฉันทะละตัณหาฉันทะได้ คือ การใช้กิเลสเป็นอุบายไปสู่ความดีงาม เรียกโดยทั่วไปว่า “การล่อด้วยรางวัล” ส่วนท่าทีต่อกุศลธรรมฉันทะนั้น พระพุทธศาสนาถือว่า เป็นกิจหรือหน้าที่ที่พึงกระทํา เพื่อพัฒนาตนเองไปสู่จุดหมายสูงสุดคือ พระนิพพาน ด้วยวิธีการปฏิบัติ 3 ระดับ คือ (1) กุศลธรรมระดับพื้นฐาน ได้แก่ เบญจศีลมีการงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ เป็นต้น และเบญจธรรมมีความเมตตา ปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์ และกรุณา ความสงสารคิดจะช่วยให้พ้นทุกข์(2) กุศลธรรมระดับกลาง ได้แก่ กุศลกรรมบถ 10 ประการ มีงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ การงดเว้นจากการลักทรัพย์ เป็นต้น และ (3) กุศลธรรมระดับสูงได้แก่ มรรคมีองค์ 8 มีความเห็นชอบ ความดําริชอบ การงานชอบ เป็นต้น