วรรณกรรม/วรรณคดีบาลีและสันสกฤต
Permanent URI for this collection
บทความวิจัย บทความวิชาการ รายงานการวิจัย วิทยานิพนธ์ สารนิพนธ์ และหนังสือเกี่ยวกับวรรณคดีบาลี วรรณคดีสันสกฤต ประวัติวรรณคดีบาลี ประวัติวรรณคดีสันสกฤต วรรณคดีบาลีและสันสกฤตในวรรณคดีไทย การศึกษาจารึกและเอกสารโบราณ
Browse
Browsing วรรณกรรม/วรรณคดีบาลีและสันสกฤต by Degree Department "คณะโบราณคดี"
Now showing 1 - 9 of 9
Results Per Page
Sort Options
- Publicationการศึกษาเชิงวิเคราะห์มังคลัตถทีปนีพระมหาอดุลย์ คนแรง; Khonraeng, Phramaha Adul (1998)วิทยานิพนธ์นี้เป็นการศึกษาเชิงวิเคราะห์มังคลัตถทีปนีซึ่งเป็นผลงานของพระสิริมังคลาจารย์ผู้เป็นพระเถระชาวไทยรูปหนึ่งในอาณาจักรลานนาไทย รจนาขึ้นเมื่อ พุทธศักราช 2063 โดยท่านผู้รจนาได้อาศัยเนื้อหาสาระที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา คัมภีร์พงศาวดาร สัททวิเสส และปกรณ์วิเสสที่กล่าวถึงเรื่องมงคล 28 ประการมาเป็นหลักในการรจนา เนื้อหาของวิทยานิพนธ์แบ่งออกเป็น 4 บท บทที่ 1 เป็นบทนำชี้แจงความเป็นมา และความสำคัญของปัญหาในฐานะที่พระสิริมังคลาจารย์ผู้เป็นพระอรรถกถาจารย์แห่งลานนาไทย ได้รจนามังคลัดถทีปนีซึ่งยอมรับกันโดยทั่วไปว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของท่าน หนังสือเล่มนี้ได้จารึกด้วยอักษรหลายชนิด แสดงให้เห็นการใช้ศึกษาทั้งด้านหลักภาษาบาลีและด้านการอธิบายธรรมอย่างแพร่หลาย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน บทที่ 2 เป็นการศึกษาเชิงวิเคราะห์ลักษณะภาษาบาลี ในมังคลัตถทีปนีแยกฉันทลักษณ์ แต่ละประเภทตามรูปแบบของฉันท์ในคัมภีร์วุตโตทัย อธิบายลักษณะเด่นของอลังการศาสตร์ ตามหลักของคัมภีร์สุโพธาลังการแล้วยกตัวอย่างคาถาในมังคลัตถทีปนีประกอบการอธิบาย รวมทั้งการอธิบายบทตั้งด้วยบทขยายทั้งระดับศัพท์และความหมายของศัพท์ที่ปรากฏในสำนวนแก้อรรถ บทที่ 3 เป็นการศึกษาวิเคราะห์เนื้อหาในมังคลัตถทีปนี แบ่งเนื้อหาออกเป็นหมวดหมู่ แล้วจึงศึกษาว่าวิธีการอธิบายหลักธรรมของมงคล 38 ประการ สะท้อนให้เห็นความหมายของมงคลแต่ละประการ ขยายเนื้อหาสาระให้พิสดารแล้วยกตัวอย่างนิทานประกอบการอธิบาย ทำให้ผู้ศึกษาได้ความรู้ในพุทธธรรมและได้รับรสความเพลิดเพลินไปพร้อมกัน บทที่ 4 เป็นบทสรุปผลการศึกษาและข้อเสนอแนะสรุปให้เห็นลักษณะภาษาบาลีในมังคลัตถทีปนีทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง พร้อมทั้งวิธีการอธิบายหลักธรรมของมงคล 38 ประการ ตามหลักฐานจากพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา คัมภีร์พงศาวดาร สัททาวิเสสและปกรณ์วิเสส ซึ่งเป็นคัมภีร์ของพุทธศาสนาเถรวาทที่เกิดขึ้นต่างยุคกัน เสนอแนะการที่จะศึกษามังคลัตถทีปนีในแง่มุมใหม่ ภาคผนวกประกอบด้วยบทร้อยกรอง หลักฐานอ้างอิงและตัวอย่างนิทานทั้งหมดที่ปรากฏในมังคลัตถทีปนี
- Publicationการศึกษาเปรียบเทียบวรรณกรรมเรื่องเตมิยชาดกฉบับภาคกลางและภาตเหนือพระมหาทศพร ด้วงช้าง; Duangchang, Phramaha Todsaporn (2005)
- Publicationการศึกษาวิเคราะห์คัมภีร์สมันตปาสาทิกาปฐมภาคธัช มั่นต่อการ; Montokan, Tach (2004)งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิเคราะห์คัมภีร์สมันตปาสาทิกาปฐมภาค ซึ่งฉบับที่นำมาศึกษาวิเคราะห์ เขียนด้วยอักษรไทย ภาษาบาลี พิมพ์โดยมหามกุฎราชวิทยาลับ ปี 2463 วิทยานิพนธ์นี้แบ่งออกเป็น 5 บท คือ บทที่ 1 บทนำ กล่าวถึงความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา วัตถุประสงค์ ขอบเขตและวิธีการดำเนินการวิจัยเป็นต้น บทที่ 2 วิเคราะห์ด้านเนื้อหาประกอบด้วย ประวัติความเป็นมาของเรื่อง ประวัติผู้แต่ง จุดมุ่งหมายของการแต่ง ธรรมเนียมของการแต่ง และเนื้อเรื่อง บทที่ 3 วิเคราะห์ด้านไวยากรณ์ ร้อยกรอง ร้อยแก้ว และอลังการ บทที่ 4 วิเคราะห์ด้านคุณค่าทางสังคม บทที่ 5 สรุปผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ ผลการวิจัยพบว่า คัมภีร์สมันตปาสาทิกาปฐมภาค พระพุทธโฆสาจารย์แต่งขึ้นที่ลังกา แต่งเป็นภาษามคธ (บาลี) โดยอาศัยเค้าโครงของคัมภีร์อื่น ๆ เป็นต้นแบบในการแต่ง คือ ท่านนำคัมภีร์อรรถกถาชื่อว่ากุรุนที เป็นต้นแบบในการแต่งพระวินัย นำคัมภีร์มหาอรรถกถาเป็นต้นแบบในการแต่งกระสุตตันตปิฎก และนำคัมภีร์มหาปัจจรี เป็นต้นแบบในการแต่งพระอภิธรรม แต่ว่าในคัมภีร์สมันตปาสาทิกาปฐมภาคนี้ ส่วนของพระสูตรและพระอภิธรรมมีอธิบายไว้น้อยมาก อนึ่งคัมภีร์สมันตปาสาทิกาปฐมภาค นับว่า เป็นคัมภีร์ชั้นอรรถกถาที่มีความหลากหลายทางไวยากรณ์อย่างมาก คือ พระพุทธโฆสาจารย์ท่านได้แสดงความเชี่ยวชาญไวยากรณ์ในด้านที่เกี่ยวกับศัพท์พระบาลีไว้เป็นจำนวนมาก มีการอธิบายคำเฉพาะของศัพท์ อธิบายความหมายของศัพท์ อธิบายการเปลี่ยนแปลงของศัพท์ และอธิบายเรื่องฉันทลักษณ์เป็นต้น ในด้านคุณค่าทางสังคม พบว่าท่านได้อธิบายเรื่อง อิทธิพลความเชื่อ วัฒนธรรมและประเพณีเป็นต้น ที่ลังการับมาจากอินเดียโดยผ่านทางพระพุทธศาสนาบ้าง ผ่านทางพระราชาผู้มีอำนาจในขณะนั้นบ้าง เมื่อศึกษาต่อไปจึงพบว่า อิทธิพลความเชื่อ วัฒนธรรมและประเพณีเป็นต้นเหล่านั้น ยังได้รับการเผยแพร่มาสู่ประเทศไทยอีกด้วย และอิทธิพลความเชื่อ วัฒนธรรมประเพณีเหล่านั้น ยังปรากฏอยู่จนทุกวันนี้
- Publicationการศึกษาวิเคราะห์จารึกตวลปราสาทในเชิงวรรณคดีศึกษาณัฐพล จันทร์งาม; Chan-ngam, Nattapon (2007)
- Publicationการศึกษาวิเคราะห์จารึกที่ฐานพระพุทธรูป : พิพิธภัณฑ์วัดพระธาตุศรีดอนคำ อำเภอลอง จังหวัดแพร่ชัยสิทธิ์ ปะนันวงค์; Pananwong, Chaiyasit (2016)วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ทำการศึกษาวิเคราะห์ รูปแบบอักษร อักขรวิธี และเนื้อหาที่ได้จากจารึกที่ฐานพระพุทธรูปในพิพิธภัณฑ์วัดพระธาตุศรีดอนคำ อำเภอลอง จังหวัดแพร่ จำนวน ๕๔๖ องค์ ผลการศึกษามีดังนี้ รูปแบบอักษร อักษรส่วนใหญ่เป็นอักษรธรรมล้านนา กำหนดอายุอยู่ในช่วง พ.ศ. ๒๓๐๑ - ๒๕๐๐ พบพยัญชนะตัวเต็ม ๓๙ รูป พยัญชนะตัวเชิง ๒๗ รูป สระจม ๒๑ รูป สระลอย ๓ รูป เครื่องหมายต่าง ๆ ๑๐ รูป วรรณยุกต์ ๒ รูป ตัวเลขธรรม ๕ รูป ตัวเลขโหรา ๑๐ รูป อักษรพิเศษ ๒ รูป และคำพิเศษ ๔ รูป รูปแบบอักษรของจารึกซึ่งมีอายุในช่วง ๒๐๐ ปี มีการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก ในด้านอักขรวิธี อักขรวิธีที่พบส่วนใหญ่ เป็นการสะกดตามเสียงจึงทำให้มีการสะกดคำ ๆ เดียวหลากหลายรูปแบบ ใน ๑ รูปคำอาจใช้พยัญชนะหรือสระร่วมกัน การย่อคำ การเขียนพยัญชนะซ้อนกันในคำที่พยางค์หน้าไม่มีพยัญชนะสะกด การเขียนอักษรและตัวเลขปะปนกันในคำบอกศักราช การเขียนตามการออกเสียงในสำเนียงท้องถิ่น ความแตกต่างเล็กน้อยเหล่านี้ ขึ้นอยู่กับลายมือ ภูมิรู้ ประสบการณ์ และทักษะความชำนาญของผู้จารึก แต่ละคน ด้านเนื้อหา จารึกที่ฐานพระพุทธรูปในพิพิธภัณฑ์วัดพระธาตุศรีดอนคำสามารถจำแนกเนื้อหาได้ ๔ ส่วน คือ ๑. เวลาที่ปรากฏในจารึกอาจประกอบด้วย ปีจุลศักราช ปีพุทธศักราช ปีแบบขอม ปีหนไท ฤดูกาล เดือนแบบพื้นเมืองล้านนา เดือนแบบขอม วันเม็งและวันหนไท เวลาที่ปรากฏในจารึกคือเวลาที่ถวายพระพุทธรูป ซึ่งส่วนใหญ่คือ วันยี่เป็ง (๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒) ๒. รายนามผู้ถวายพระพุทธรูปอาจเป็นบุคคลเดียวหรือกลุ่มคน ๓. การประกาศกุศลกิจกรรมของผู้ถวายพระพุทธรูปมี ๕ ประการ คือ เพื่อพุทธาภิเษก พระพุทธรูป เพื่อค้ำชูพระพุทธศาสนาให้ครบ ๕,๐๐๐ ปี เพื่อเสริมดวงชะตาของตน เพื่อเป็นที่สักการะแก่คนและเทวดา และเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับไปแล้ว และ ๔. การประกาศเจตนาของผู้ถวายพระพุทธรูปมี ๙ ประการ คือ ปรารถนาในนิพพาน ปรารถนาเป็นพระอรหันต์ ปรารถนาในโลกุตระ ปรารถนาในสุข ๓ ประการ ปรารถนาให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ ปรารถนาให้สมดั่งความคิดทุกประการ ปรารถนาให้อายุยืน ปรารถนาไม่อยากเกิดในนรกแต่ต้องการไปเกิดบนสวรรค์ และปรารถนาให้ผลบุญค้ำชูชาตินี้และชาติหน้า
- Publicationการศึกษาวิเคราะห์จารึกแม่บุญตะวันออกพระมหาปราโมทย์ แก้วนา; Kaewna, Phramaha Pramote (2016)วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแปลและวิเคราะห์ข้อความจารึกแม่บุญตะวันออก (K.528) จากต้นฉบับภาษาสันสกฤตเป็นภาษาไทยในเชิงวรรณคดีศึกษาและคุณค่าในเชิงวรรณศิลป์ รวมทั้งภาพสะท้อนทางวัฒนธรรมที่ปรากฏในจารึก เบื้องต้นผู้วิจัยได้ศึกษาศิลปะและสถาปัตยกรรมปราสาทแม่บุญตะวันออกโดยสังเขป พบว่ามีความสอดคล้องกับข้อความในจารึก ทั้งสถานที่ตั้ง สิ่งก่อสร้างและลักษณะทางศิลปะของสถาปัตยกรรมที่สามารถกำหนดได้เป็นศิลปะแบบแปรรูป อายุราวพุทธศตวรรษที่ 15 ผลการศึกษาจารึกแม่บุญตะวันออกพบว่า เนื้อหาของจารึกสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ส่วน คือ ส่วนแรกเป็นบทสดุดีเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกาย ส่วนที่สองกล่าวถึงราชประวัติทางสายสกุลของพระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 ส่วนที่สามเป็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ในรัชสมัยของพระเจ้าราเชนทร- วรมันที่ 2 ส่วนท้ายของจารึกกล่าวถึงการถวายสิ่งของเครื่องใช้สอยและการประดิษฐานศรีราเชนทเรศวรลึงค์ รวมถึงแนวทางที่พระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 ชี้นำให้แก่เหล่าพระราชาในราชอาณาจักรได้ประพฤติตาม ด้านการเมืองการปกครอง พบว่าพระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 ว่ามีเชื้อสายเหมาะสมที่จะขึ้นครองราชย์ โดยพระองค์มีเชื้อสายทางพระราชมารดาเกี่ยวเนื่องกับอดีตกษัตริย์กัมพูชาสมัยเมืองพระนคร ถึงแม้ว่าพระราชบิดาของพระองค์จะมาจากเมืองภวปุระซึ่งก่อนหน้านี้เป็นดินแดนอิสระ ในขณะที่พระองค์ปกครองแผ่นดิน กวีกล่าวถึงพระองค์ว่า เป็นพระเจ้าจักรพรรดิที่อยู่เหนือพระราชาองค์อื่น พระองค์ปกครองอาณาจักรทำให้แผ่นดินมีความรุ่งเรือง การขยายอาณาจักรเกิดจากความสามารถด้านการรบของพระองค์ หลักที่ใช้ในการปกครองส่วนใหญ่ได้ยึดตามแนวอรรถศาสตร์ของเกาฏิลยะเป็นสำคัญ ด้านศาสนา ปรากฏหลักความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์เรื่องพระตรีมูรติ รวมถึงความเชื่อเรื่องศักติ โดยมีไศวนิกายเป็นแกนหลัก ปรัชญาของลัทธิพราหมณ์ทั้ง 6 สำนัก ทั้งมีการอ้างถึงคัมภีร์ต่างๆ ทางศาสนาพราหมณ์ ตลอดจนเรื่องราวในมหากาพย์มหาภารตะ รามายณะ และเทพปกรณัม ด้านประเพณีและวัฒนธรรมสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับราชสำนักเป็นหลัก ราชพิธีที่สำคัญคือการประดิษฐานรูปเคารพยังศาสนสถานต่างๆ และพิธีเบิกพระเนตรเทวรูป รวมทั้งการบำเพ็ญบุญและพิธีกรรมทางศาสนาพราหมณ์ ทั้งนี้ยังพบว่ามีการใช้กระจกเงาในราชสำนักด้วย จารึกแม่บุญตะวันออกสะท้อนให้เห็นอัจฉริยภาพของกวีผู้แต่งว่ามีความรู้ความสามารถในการใช้ภาษาสันสกฤตเป็นอย่างดี เนื้อหาและถ้อยคำที่กวีใช้แต่งจารึกมีคุณค่าในเชิงวรรณคดีอย่างชัดเจน กวีใช้ภาษาและรูปแบบการประพันธ์ตามลักษณะของการแต่งบทกวีนิพนธ์ สร้างอลังการอย่างหลากหลาย มีการเปรียบเทียบให้ผู้อ่านได้เห็นภาพ ปรากฏทั้งศัพทาลังการ คือ อลังการด้านเสียงได้แก่ ยมกและอนุปราสะ ทั้งอรรถาลังการซึ่งมีหลากหลาย โดยพบอลังการประเภทอุตเปรกษามากที่สุด รองลงมาก็เป็นอุปมาและรูปกะตามลำดับ โดยกวีผู้แต่งเลือกใช้ฉันท์ถึง 7 ชนิด สลับช่วงจังหวะลีลาการประพันธ์อย่างเหมาะสมและงดงามตามแบบวรรณศิลป์
- Publicationการศึกษาอลังการในจารึกปราสาทตาพรหมของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7นิพัทธ์ แย้มเดช; Yamdate, Nipat (2016)วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอลังการที่ปรากฏในจารึกปราสาทตาพรหม โดยแปลเนื้อความจารึกปราสาทตาพรหมเป็นภาษาไทย ศึกษาขนบการสร้างสรรค์อลังการ อลังการด้านเสียง และอลังการด้านความหมาย โดยใช้ทฤษฏีอลังการศาสตร์มาวิเคราะห์ความงามของอลังการที่ปรากฏในจารึกปราสาทตาพรหม ผลการศึกษาพบว่าจารึกปราสาทตาพรหม ประพันธ์โดยเจ้าชายศรีสูรยกุมาร ซึ่งเป็นพระโอรสของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แต่งขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และเพื่อระบุรายละเอียดกิจกรรมทางศาสนา รวมทั้งการทำนุบำรุงศาสนสถาน โดยใช้รูปแบบคำประพันธ์ร้อยกรองจำนวน 145 โศลก เนื้อหาจารึกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่ (1) บทประณามพจน์ (2) เนื้อหาส่วนที่แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับ พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (3) เนื้อหาที่แสดงรายละเอียดการสร้างรูปเคารพและรายการสิ่งของ (4) เนื้อหาส่วนที่เป็นบทลงท้าย อลังการที่ปรากฏในจารึกปราสาทตาพรหมดำเนินตามขนบการสร้างสรรค์อลังการด้านเสียง และอลังการด้านความหมาย ขนบการสร้างสรรค์อลังการด้านเสียงในจารึกปราสาทตาพรหม กวีสร้างอลังการในเรื่องของเสียง และจังหวะตามขนบในคัมภีร์ทางศาสนา เพื่อให้จารึกมีสถานภาพเป็นตัวบทค าประพันธ์อันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเหมาะสมกับสถานที่ตั้งจารึกซึ่งเป็นศาสนสถานที่สำคัญ ส่วนขนบการสร้างสรรค์อลังการด้านความหมายในจารึกปราสาทตาพรหม ดำเนินตามขนบจารึกประเภทสดุดีพระมหากษัตริย์ ได้แก่ (1) ขนบที่ปรากฏในด้านภาษาและฉันทลักษณ์ (2) ขนบการเปิดเรื่องด้วยบทประณามพจน์ (3) ขนบการดำเนินเนื้อเรื่อง และ (4) ขนบการปิดท้ายหรือบทจบเรื่อง แนวคิดเรื่องขนบการสร้างสรรค์อลังการท าให้เห็นว่าจารึกปราสาทตาพรหมมีการสร้างสรรค์อลังการด้านเสียง และอลังการด้านความหมายอย่างเป็นระบบ อลังการด้านเสียงในจารึกปราสาทตาพรหมปรากฏให้เห็นในรูปของอนุปราส และยมก อนุปราสที่พบแบ่งออกเป็น เฉกานุปราส ลาฏานุปราส และ วฤตตยานุปราส ส่วนอลังการด้านความหมายในจารึกปราสาทตาพรหม แบ่งออกเป็น 7 กลุ่ม ซึ่งอลังการที่ปรากฏทั้งหมดมี 12 รูปแบบ ได้แก่ (1) อลังการที่แสดงความหมายเปรียบเทียบ มี 3 รูปแบบ คือ อุปมา รูปกะ และวยติเรก (2) อลังการที่แสดงความหมายในการบรรยายหรือพรรณนาความ มี 1 รูปแบบ คือ ชาติ หรือสวภาโวกติ (3) อลังการที่แสดงความหมายหลายระดับ มี 2 รูปแบบ คือ อากเษป และ เศลษะ (4) อลังการที่แสดงความหมายในรูปพลังของจินตนาการ มี 1 รูปแบบ คือ อุตเปรกษา (5) อลังการที่แสดงความหมายความหนักแน่น มี 2 รูปแบบ คือ อติศยะหรืออติศโยกติ และทีปกัมหรือทีปกะ (6) อลังการที่แสดงความหมายในลักษณะที่เป็นเหตุเป็นผลกัน มี 1 รูปแบบ คือ เหตุ (7) อลังการที่แสดงความหมายโดยการกล่าวถึงสิ่งต่างๆ เรียงต่อกันตามลำดับ มี 2 รูปแบบ คือ ยถาสังขยัม และเอกาวลี
- Publicationศึกษาวิเคราะห์จามเทวีวงศ์ฉบับจังหวัดแพร่ศรี แนวณรงค์; Naewnaronk, Sri (1990)วิทยานิพนธ์นี้มุ่งศึกษาวรรณกรรมล้านนาไทย เรื่องจามเทวีวงศ์ ซึ่งมีต้นฉบับเป็นคัมภีร์ใบลานของวัดสูงเม่น ตำบลสูงเม่น อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ ที่ได้จารไว้ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 แห่งราชวงศ์จักรี เนื้อหาของวิทยานิพนธ์ได้แบ่งออกเป็น 6 บท บทที่ 1 เป็นบทนำ ชี้แจงเกี่ยวกับความเป็นมาและวิธีดำเนินการวิจัย บทที่ 2 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับจามเทวีวงศ์ ศึกษาลักษณะอักษรธรรมล้านนาในจามเทวีวงศ์ พร้อมด้วยเนื้อเรื่องจามเทวีวงศ์โดยสังเขป บทที่ 3 ศึกษาลักษณะภาษาบาลีที่ใช้ในจามเทวีวงศ์ ว่าด้วยการศึกษาภาษาบาลีในล้านนาไทยในอดีต การสร้างศัพท์วิสามัญ และการสร้างประโยคตลอดจนความบกพร่องในการจาร บทที่ 4 ศึกษาจามเทวีวงศ์ในเชิงวรรณกรรมประวัติศาสตร์ บทที่ 5 ศึกษาวิเคราะห์จามเทวีวงศ์ในเชิงสังคม วัฒนธรรม ประเพณี ศาสนา และคติความเชื่อ และ บทที่ 6 เป็นบทสรุปและข้อเสนอแนะ การศึกษาวิเคราะห์เรื่องจามเทวีวงศ์ ซึ่งเป็นผลวานของท่านมหาปราชญ์ พระโพธิรังสีมหาเถระ ชาวล้านนาไทย ทำให้เข้าใจลักษณะอักษรธรรมล้านนาที่จารเป็นภาษาบาลี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอักษรบางตัวใช้แทนกันได้ เช่น ในกรณีของอักษร ถ แทนอักษร ฐ เป็นต้น และเป็นผลสะท้อนให้ความกระจ่างแจ้ง ความเป็นมาของเมืองหริภุญชัย ตลอดถึงชีวิตความเป็นอยู่ สังคม วัฒนธรรม ประเพณี ศาสนาและคติความเชื่อของชาวล้านนาไทยในสมัยนั้นด้วย.
- Publicationอลังการในบทสดุดีพระเกียรติในจารึกภาษาสันสกฤตของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7นิพัทธ์ แย้มเดช; Yamdate, Nipat (2021)วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิเคราะห์อลังการ และคุณค่าด้านต่างๆ ในบทสดุดีพระเกียรติในจารึกภาษาสันสกฤตของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 จารึกที่นำมาศึกษา คือ จารึกปราสาทตาพรหม จารึกทรายฟอง จารึกปราสาทโตว์ จารึกปราสาทพระขรรค์ จารึกปราสาทพิมานอากาศ และจารึกปราสาทจรุง (หลักที่ k.287 k.288 k.547 และ k.597) ผลการศึกษาพบว่า บทสดุดีพระเกียรติในจารึกมีความงามทั้งอลังการทางเสียง(ศัพทาลังการ) และอลังการทางความหมาย (อรรถาลังการ) อลังการทางเสียง มีอยู่ 2 ลักษณะ คือ (1) การเล่นเสียงที่สอดคล้องกับอนุปราส เช่น การเล่นเสียงพยัญชนะคู่เสียงเดียวกัน การเล่นเสียงพยัญชนะหลายตัวซ้ำกัน การเล่นเสียงคำชุดเดียวกัน เสียงพยางค์ท้ายคำซ้ำกัน เป็นต้น นอกจากนี้ กวียังเล่นเสียงคำและระดับเสียงเป็นจังหวะด้วย (2) การเล่นเสียงที่สอดคล้องกับยมก พบว่า มีการย้ำน้ำหนักเสียงและเล่นความหมายต่างกัน อลังการทางความหมาย สัมพันธ์กับการสื่อความหมายปรัมปราคติ การสื่อความหมายสนามรบ การสื่อความหมายสรรพศิลป์ การสื่อความหมายพระเกียรติยศ และการพรรณนาเมืองและสถานที่ การสื่อความหมายหลากหลายนี้ กวีใช้อลังการหลายรูปแบบผสมผสานกัน เช่น อุตเปรกษา อุปมา รูปกะ อติศโยกติ วยติเรก อรรถานตรันยาสะ เศลษะ เป็นต้น ขณะเดียวกันกวีแสดงอิสระแห่งกวีหรือความคิดสร้างสรรค์ในการประพันธ์ ซึ่งความประณีตของอลังการสะท้อนภาพลักษณ์ พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ในแง่อุดมคติ คือ เป็นพระมหากษัตริย์ดีเลิศทางโลกและทางธรรม ผลการศึกษาต่อมา พบว่าจารึกสะท้อนคุณค่าประวัติศาสตร์ ศาสนาและปรัชญา สังคมและ วิถีชีวิตของผู้คน คุณค่าดังกล่าวเติมเต็มองค์ความรู้พระราชประวัติพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 สะท้อนคุณค่าทางศาสนาและหลักปรัชญาการดำเนินชีวิต ตลอดจนสะท้อนบริบทสังคมและความเคลื่อนไหวของกลุ่มชนต่างๆ อันประกอบด้วย ชนชั้นสูงจนถึงชนชั้นผู้ยากไร้ ข้อสังเกตคือ จารึกให้ภาพความเป็นเอกภาพของศาสนาและวิถีชีวิตของผู้คนที่หลากหลาย ภายใต้การปกครองของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ที่มีเสถียรภาพ การศึกษาครั้งนี้ ทำให้ประจักษ์คุณค่าจารึกภาษาสันสกฤตในฐานะบทสดุดีพระเกียรติ จารึกเป็นผลงานลายลักษณ์สร้างสรรค์โดยมนุษย์ สะท้อนสัจธรรมที่ว่าไม่ว่ายุคสมัยผ่านไป มนุษย์ก็มีลักษณะสากล คือ มีความอ่อนไหวทางจิตวิญญาณ ความเชื่อ จินตนาการ และความรักยกย่องผู้นำเหมือนกัน ดังนั้น การเรียนรู้จารึกจึงทำให้เข้าใจคุณค่าชีวิตมนุษย์ เรียนรู้ “ตัวตน” ของเรา และ “ประชาคมเพื่อนบ้าน” บนรากฐานอารยธรรมร่วมกัน