ปรัชญา - อื่นๆ
Permanent URI for this collection
Browse
Browsing ปรัชญา - อื่นๆ by Degree Grantor(s) "มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย"
Now showing 1 - 15 of 15
Results Per Page
Sort Options
- Publicationการวิเคราะห์แนวคิดความอกตัญญูในกลอนลำเรื่อง"ลูกลืมคุณพ่อแม่ ผีแก่ลงนรก" ของหมอลำคณะระเบียบวาทะศิลป์ในทัศนะพุทธปรัชญาและทฤษฎีอัตนิยมของโทมัส ฮอบส์พระธีรวัฌน์ ธีรวํโส (เลิศประเสริฐ); Phra Tirawat Triravangso (Lertprasert) (2013)วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ของการวิจัย 3 ประการ คือ (1) เพื่อศึกษาแนวคิดความกตัญญูในพุทธปรัชญาและทฤษฎีอัตนิยมของโทมัส ฮอบส์ (2) เพื่อศึกษาแนวคิดและปัญหาความอกตัญญูในเรื่อง “ลูกลืมคุณพ่อแม่ ผีแก่ลงนรก” ของหมอลำคณะระเบียบวาทศิลป์ และ (3) เพื่อวิเคราะห์แนวคิดความอกตัญญูในกลอนลำเรื่อง “ลูกลืมคุณพ่อแม่ ผีแก่ลงนรก” ของหมอลําคณะระเบียบวาทะศิลป์ในทัศนะพุทธปรัชญาและทฤษฎีอัตนิยมของโทมัส ฮอบส์ ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ ความกตัญญู คือ ความตระหนักสำนึกรู้ในคุณของบุคคล สัตว์ และสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อตนเองทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ความสำนึกในบุคคลและควรตอบแทนบุคคล ตลอดทั้งช่วยเกื้กูลสังคมส่วนรวมด้วยความเมตตา ส่วนอกตัญญู คือ ความไม่รู้สำนึกต่อบุคคลที่เคยทำดีเคยช่วยเหลือเกื้อกูลตนมา ลืมบุญคุณผู้อื่นที่ทำแก่ตนมา ผู้ไม่ยอมรับบุญคุณของใครทั้งนั้น ทฤษฎีอัตนิยมของโทมัส ฮอบส์ เห็นว่าความเห็นแก่ตัวเป็นธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน ยึดถือประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก กระทำทุกอย่างที่ก่อให้เกิดประโยชน์ในปัจจุบันที่เลวร้าย เพราะแรงกระตุ้นจากปัจจัยภายนอกที่สะสมและมีผลเมื่อแสดงพฤติกรรมออกสู่ภายนอก ทำให้มนุษย์ละเมิดกัน โดยไม่นึกถึงผลที่จะตามมาในอนาคต เพราะอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนไม่สามารถประเมินได้ ปัญหาความอกตัญญูในกลอนลำ (1)หน้าที่ของแม่ทองใบกับไพรินพบว่า ไม่ทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ เลี้ยงลูกสาวตามอารมณ์ ทำให้ไพรินเห็นแก่ตัวไม่รู้จักผิดถูก เพราะรักและเมตตาแต่ปัญญาแค่บโอนอ่อนตามอารมณ์แสวงหาในสิ่งที่ไม่ควร เมื่อบอกให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมถึงกับเป็นปัญหาชกต่อยกันแม่โกรธไล่บุญถึงหนี และยกมรดกสมบัติที่ให้ไพรินคนเดียว (2) ไพรินถูกเลี้ยงแบบตามใจ ทำให้ไม่คำนึงถึงประโยชน์คนอื่นนอกจากประโยชน์ตน นำมาซึ่งความเสื่อมเสีย ไม่ทำหน้าที่การแบ่งเบาภาระบ้านเรือนช่วยแม่ ปัญหาความอกตัญญูของบุตรธิดากับบิดามารดา (1) ปัญหาการลืมคุณแม่พบว่า หลังจากที่ไพรินได้รับมรดกสมบัติได้เอาไปจำนองไม่ไถ่ถอนคืน เงินที่ได้จากการจำนองก็ใช้จ่ายบำเรอความสุขของตน โดยไม่อาลัยใยดีต่อแม่ที่กำลังนอนป่วยอยู่ศาลากลางบ้าน ตลอดระยะเวลาที่ไพรินเข้ากรุงเทพไม่ยอมส่งข่าว แม่คิดถึงจึงไปถามข่าวแต่ถูกไพรินปฏิเสธความเป็นลูก เพราะกลัวเพื่อนบ้านนินทา (2) ปัญหาความเห็นแก่ตัวของไพรินพบว่า ได้นำมรดกสมบัติไปจำนองไม่ไถ่ถอนคืนปล่อยให้ถูกยึด แม่ทองใบต้องลำบากย้ายไปนอนพักที่ศาลากลางบ้าน ส่วนไพรินใช้เงินและสินหมั้นของทองสุขนั้นอย่างมีความสุข ใช้ชีวิตตามอารมณ์โดยไม่นึกถึงแม่ทองใบผู้ให้กำเนิด วิเคราะห์แนวคิดความอกตัญญูในกลอนลำเรื่อง (1) หน้าที่ของแม่ทองใบกับไพริน พุทธปรัชญามองว่าไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของแม่ทองใบ เพราะขาดสติในการพิจารณาก่อนจะยกมรดกสมบัติให้ไพรินคนเดียว ส่วนฮ็อบส์มองว่า เป็นสิ่งที่ดีและควรกระทำ เพราะไพรินมีเจตนาเพื่อผลประโยชน์ตนไม่ได้คำนึงถึงสิ่งภายนอกรวมทั้งบุคคล วัตถุ สิ่งของและอื่นๆ (2) ความอกตัญญูของไพริน พุทธปรัชญามองว่า ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของไพริน เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ควรประพฤติ หากไม่ทำตามหน้าที่ของความเป็นบุตรไม่นึกถึงพระคุณของแม่ที่เลี้ยงมาถือว่าไพรินอกตัญญู ย่อมประสบความเสื่อม ไม่มีความสุข และถูกติเตียน ฮอบส์ มองว่าเห็นด้วย เพราะเป็นการกระทำเพื่อการดูแลชีวิตตนเองก็ต้องเกิดจากจิตเป็นคำสั่งที่ต้องกระทำตามผู้บงการคือความรู้สึกภายในและจิตใต้สำนึก (3) ความเห็นแก่ตัว พุทธปรัชญามองว่า ไม่เห็นด้วยกับการใช้ชีวิตตามอารมณ์ เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้เป็นทาสของวัตถุ โทมัส ฮอบส์ มองว่า เห็นด้วยเพราะมนุษย์มีหน้าที่ในการรักษาชีวิตตนเองเป็นหลักเบื้องต้นแต่ความปรารถนาเป็นการดิ้นรนแสวงหาตามใจตนถือเอาตนเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง
- Publicationการวิพากษ์เชิงเปรียบเทียบแนวคิดการกระทำเพื่อหน้าที่ในภควัทคีตากับจริยศาสตร์ของค้านท์อนุชา แสนยั่งยืน; Anucha Sanyangyuen (2014)วิทยานิพนธ์เรื่องการวิพากษ์เชิงเปรียบเทียบแนวคิดการกระทำเพื่อหน้าที่ในภัควัทคีตากับจริยศาสตร์ของค้านท์ มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1.เพื่อศึกษาแนวคิดการกระทำเพื่อหน้าที่ในคัมภีร์ภควัทคีตา 2.เพื่อศึกษาแนวคิดการกระทำเพื่อหน้าที่ในจริยศาสตร์ของค้านท์ 3.เพื่อวิพากษ์เปรียบเทียบแนวคิดการกระทำเพื่อหน้าที่ในภัควัทคีตา และจริยศาสตร์ของค้านท์ จากการศึกษาพบว่า 1.แนวแนวคิดการกระทำเพื่อหน้าที่ในคัมภีร์ภควัทคีตา พบว่าการกระทำเพื่อหน้าที่เป็นการกระทำในสิ่งที่ต้องการทำ โดยมีหลักคือการกระทำด้วยการใช้ปัญญาแล้วสละผลการกระทำอุทิศแด่พระเจ้า เพื่อแสดงความภักดีต่อพระเจ้า ภควัทคีตาให้ความสำคัญกับการทำหน้าที่ของวรรณะ เพราะเชื่อว่าพระเจ้ากำหนดมาแล้ว และมนุษย์ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะไม่กระทำตามพันธะหน้าที่ได้ นอกจากนี้การทำหน้าที่ของวรรณะก็ถือว่าเป็นความดี เพราะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมและสังคม และผู้กระทำหน้าที่ด้วยความปล่อยวางจากผลประโยชน์ มีปัญญารู้แจ้งในการกระทำ มีความภักดีต่อพระเจ้าอย่างสูงสุด จะสามารถเข้าถึงพระเจ้าหรือบรรลุโมกษะได้ 2.แนวคิดการกระทำเพื่อหน้าที่ในจริยศาสตร์ของค้านท์พบว่า การกระทำเพื่อหน้าที่เป็นการกระทำที่มีค่าทางศีลธรรม เนื่องจากเป็นการทำโดยปราศจากแรงโน้มของอารมณ์ความรู้สึกความรารถนาหรือแม้แต่ผลของการกระทำ ค้านท์เชื่อว่าความดีที่มีค่าทางศีลธรรมนั้นเป็นความจริงและตายตัว การกระทำที่ผิดศีลธรรมจะไม่กลายเป็นถูกไปได้เพียงเพราะผลที่เกิดขั้นนั้นถูก หรือเพราะผลที่เกิดขึ้นนั้นเป็นประโยชน์กับคนส่วนใหญ่ ความดีไม่ขึ้นกับเงื่อนไขใด การกระทำเพื่อทำหน้าที่นำไปสู่ชีวิต ที่มีศีลธรรมในโลกจริงแท้ได้ เพราะเป็นการกระทำจากสำนึกในหน้าที่ เมื่อทำโดยสำนึกในหน้าที่ได้ย่อมแสดงว่ามนุษย์กำลังใช้เหตุผล เมื่อมนุษย์ใช้เหตุผลก็ย่อมมีปัญญาที่สามารถฝืนแรงโน้มของอารมณ์ความรู้สึก ความปรารถนาได้ เมื่อฝืนแรงโน้มถ่วงได้มนุษย์ก็จะหลุดพ้นจากอิทธิพลของเหตุวิสัย เป็นอิสระจากโลกปรากฏและมาสู่ชีวิตศีลธรรมในโลกจริงแท้. 3. การวิพากษ์เปรียบเทียบแนวคิดการกระทำเพื่อหน้าที่ในภัควัทคีตากับจริยศาสตร์ของค้านท์พบว่า แนวคิดในภัควัทคีตามีข้อเสนอเรื่องวรรณะและหน้าที่ของวรรณะ จึงทำให้เกิดความไม่เสมอภาคในสังคม และข้อเสนอว่ามนุษย์ไม่อาจ หลีกเลี่ยงการกระทำตามพันธะหน้าที่ที่พระเจ้ากำหนดไปได้ ก็ย่อมทำให้มนุษย์ไม่อาจเป็นอิสระได้ นอกจากนี้การกระทำเพื่อนหน้าที่ตามนัยยะ ของการกระทำเพื่อพระเจ้าอาจไม่ใช่คุณค่าที่บริสุทธิ์เสมอไปก็ได้ ผู้กระทำยังปรารถนาให้พระเจ้ารับรู้หรือประทานบำเหน็จตอนแทนการกระทำ อย่างไรก็ตาม แนวคิดการกระทำเพื่อหน้าที่ในภัควัทคีตาแม้จะเป็นทางออกสำหรับปัญหาความสับสนในใจของมนุษย์เมื่อต้องกระทำสิ่งที่ขัดแย้งทางศีลธรรมได้ แต่มีขอบเขตเพียงหน้าที่ของวรรณะเท่านั้น จึงทำให้เป็นความคิดที่ไม่เปิดกว้างเท่าที่ควร และข้อเสนอว่าการทำหน้าที่ของวรรณะเป็นการกระทำที่ถูกต้องชอบธรรม แม้จะฆ่าคนทั้งโลกก็ถือว่าไม่ได้ฆ่าใคร แม้ทำบาปพระเจ้าก็ปลดเปลื้องผู้นั้นจากบาป ก็อาจจะเป็นการสนับสนุนให้เกิดการใช้ความรุนแรงในสังคมขึ้นได้ และยังเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ไม่ประสงค์ดีนำวจนะพระเจ้ามาแอบอ้างใช้เพื่อประโยชน์ตัวเองได้ สำหรับแนวคิดการกระทำเพื่อหน้าที่ของค้านท์ แม้ทำให้เกิดความเสมอภาคในสังคมได้แต่การปฏิเสธการกระทำ ที่มาจากความเมตตาว่าไม่มีคุณค่าทางศีลธรรมเลยนั้น ก็ทำให้ขัดแย้งกับสามัญสำนึกของปุถุชนเช่นกัน และข้อเสนอว่าถ้ามนุษย์กระทำโดยใช้สำนึกในหน้าที่ได้ มนุษย์ก็จะเป็นอิสระไปสู่ชีวิตที่มีศีลธรรมได้ แต่ เมื่อเป็นอิสระแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะมีความเห็นที่เหมือนกันทั้งหมดไปได้ นอกจากนี้ การกระทำโดยใช้สึกนึกในหน้าที่แม่เชื่อว่าบริสุทธิ์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นการกระทำที่ถูกต้องเสมอไป เพราะยังไม่ได้ผ่านการตรวจสอบจากเกณฑ์วัดทางศีลธรรมที่ทุกคนยอมรับร่วมกันเป็นสากลเสียก่อน อย่างไรก็ตามในสถานการณ์ที่มีปัญหา ความขัดแย้งทางศีลธรรม แนวคิดการกระทำเพื่อหน้าที่ของค้านท์ ไม่สามารถแก้ปัญหาในสถานการณ์นี้ได้ เพราะยึดถือความดีว่าต้องเป็นจริงแท้อย่างเป็นกฎสัมบูรณ์ ไม่มีการยืดหยุ่น จึงทำให้เงื่อนไขที่รัดตรึงหลักการของตัวเองจนไม่สามารถหาทางออกได้
- Publicationการศึกษาเปรียบเทียบแนวคิดเรื่องจิตกับกายในพุทธปรัชญาเถรวาทกับปรัชญาของเรเน เดส์การ์ตส์พระมหาประธาน ปริชาโณ (เต่าทอง) (2015)
- Publicationการศึกษาเปรียบเทียบแนวคิดเรื่องจิตในพุทธปรัชญาเถรวาท กับปรัชญาของวิลเลียม เจมส์พระมหาอดุล ธีรวโร (ฐานบารุง); Phramaha Adul Theerawaro (Tharnbumrung) (2014)งานวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ ๓ ข้อ คือ ๑) เพื่อศึกษาแนวคิดเรื่องจิตในพุทธปรัชญาเถรวาท ๒) เพื่อศึกษาแนวคิดเรื่องจิตในปรัชญาของวิลเลียม เจมส์ ๓) ศึกษาเปรียบเทียบแนวคิดเรื่องจิตในพุทธปรัชญาเถรวาทกับปรัชญาของวิลเลียม เจมส์ เป็นการศึกษาวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบ ด้วยการศึกษาข้อมูลจากพระไตรปิฎก เอกสารวิชาการทางพระพุทธศาสนา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยวิธีการอธิบายเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า แนวคิดเรื่องจิตในปรัชญาเถรวาท จิต หมายถึง ความคิด สภาพนึกคิด ธรรมชาติที่รู้อารมณ์มีการรับรู้ทั้งภายนอกและภายในอยู่เสมอ จิต เป็นสังขารธรรมอย่างหนึ่ง เป็นธรรมที่ปรุงแต่งได้ และมีลักษณะเกิดดับอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย จนดูเหมือนว่าจิตนั้นดำรงอยู่อย่างนั้นอย่างไม่เคยดับเลย จิตคือธรรมชาติรู้ แต่ธรรมชาติของจิตเองหาได้เป็นเพียงแค่รู้ เพียงอย่างเดียวไม่ แต่มีอย่างอื่นที่เป็นธรรมชาติของจิตด้วยจิตจะปรุงแต่งธรรมใดธรรมหนึ่งขึ้นมาด้วย คือ เวทนาไม่ว่าจิตนั้นจะประกอบไปด้วยปัญญาหรืออวิชชา ล้วนแต่ต้องปรุงแต่งเวทนาขึ้นมาด้วยทั้งนั้น จิตมีการทำหน้าที่สืบทอดต่อกันเป็นลำดับ คือ ความเป็นไปแห่งจิตที่เป็นไปเร็วดุจแล่นไปในอารมณ์ ส่วนแนวคิดเรื่องจิตในปรัชญาของวิลเลียม เจมส์ นั้น จิต หมายถึง ปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนแปลง มีจุดมุ่งหมายและมีลักษณะสัมพันธ์กับร่างกายเชิงชีวภาพ ลักษณะที่สำคัญที่สุดของความคิดหรือจิต คือ ความที่มันมีธรรมชาติเลือกสรรทุกสิ่งที่รับรู้แล้ว และประสาทสัมผัสทั้ง ๕ คือ ตา หู จมูก ลิ้น และร่างกาย จึงเป็นอวัยวะเครื่องมือสำหรับการเลือกสรรของการรับรู้ การจำและการคิด โดยนัยนี้จิตจึงไม่มีสภาวะเป็นเพียงสิ่งที่รับรู้เฉย ๆ ลักษณะและประเภทจิตในปรัชญาของวิลเลียม เจมส์ คือ การแสดงออกถึงธรรมชาติของบุคคลการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในช่วงของระยะห่างของเวลาอย่างเป็นระบบและสมเหตุสมผลที่เป็นปัจจัยต่าง ๆ เข้ามาเป็นองค์ประกอบเข้ามาร่วมกันเป็นสิ่งที่ไม่มีการฝ่าฝืน แตก แบ่งแยก การฝ่าฝืนจากจิตใดจิตหนึ่งไปสู่อีกจิตหนึ่งเป็นไปแบบสันตติและมีการทำงานสืบต่อกันไม่ขาดหายไปไหนจิตดวงหนึ่งเกิดขึ้นในระหว่างความแปรปรวนก่อนที่จะดับก็เกิดจิตดวงหนึ่งมารับช่วงต่อเป็นสายธารแต่ธรรมชาติของจิตถูกมองผ่านระบบของการทำงานของร่างกาย ความเหมือนและความต่างความหมายของจิตในพุทธปรัชญากับปรัชญาของวิลเลียม เจมส์ จิตในพุทธปรัชญาเถรวาท คือ ความคิด สภาพนึกคิด และธรรมชาติที่รับรู้อารมณ์ โดยเฉพาะความหมายของธรรมชาติที่รับรู้อารมณ์ ที่มีความหมายกว้าง ควบคุมถึงสภาพของจิตทั้งหมด ทั้งสภาพของจิตที่รู้อารมณ์สุข ทุกข์ เฉย ๆ ส่วนจิตในปรัชญาของวิลเลียม เจมส์ คือ กำลังของความคิด สภาพที่มีการเปลี่ยนแปลง และธรรมการรับรู้ คือ ความหมายของจิตในพุทธปรัชญากับปรัชญาของวิลเลียม เจมส์ คือ ทั้งพุทธปรัชญาและปรัชญาของวิลเลียม เจมส์ ยอมรับว่า จิต หมายถึง ธรรมชาติการรับรู้อารมณ์ ลักษณะของจิตในพุทธปรัชญาเถรวาทมี ๒ ลักษณะคือสามัญลักษณะหรือจิตทั่วไป ได้แก่ จิตที่ไปได้ไกล มีถ้ำเป็นที่อาศัย ไม่มีสรีระเที่ยวไปผู้เดียวและวิเสสลักษณะ คือ จิตที่ดิ้นรน กวัดแกว่ง รักษาไว้ยาก ห้ามได้ยาก ข่มได้ยาก เป็นธรรมชาติที่เบา หมกมุ่นในอารมณ์ที่น่ารักและจิตเป็นสภาพไม่เที่ยงและลักษณะและประเภทจิตในปรัชญาของวิลเลียม เจมส์ มีลักษณะเป็นการแสดงออกถึงธรรมชาติของบุคคลการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในช่วงของระยะห่างของเวลาอย่างเป็นระบบและสมเหตุสมผลที่เป็นปัจจัยต่าง ๆ เข้ามาเป็นองค์ประกอบเข้ามาร่วมกัน ความคิดของมนุษย์มีอิสระจัดการกับทุกสิ่งในตัวเอง ธรรมชาติของจิตในพุทธปรัชญาเถรวาทและวิลเลียม เจมส์ มีความเหมือนกันคือ ธรรมชาติของจิต เป็นไปแบบสันตติและมีการทำงานสืบต่อกัน ไม่ขาดหายไปไหน จิตดวงหนึ่งเกิดขึ้น ในระหว่างความแปรปรวนก่อนที่จะดับก็เกิดจิตดวงหนึ่งมารับช่วงต่อ จิต มีธรรมชาติเป็นอารมณ์ เกิดขึ้นทางอารมณ์ทางตา เห็น อารมณ์ทางหูได้ยิน อารมณ์ทางจมูกได้กลิ่น อารมณ์ทางลิ้นรับรส อารมณ์ทางกายสัมผัส อารมณ์ทางใจ นึกคิด ความแตกต่างคือ จิตในพุทธปรัชญาเป็นนามธรรมไม่ใช่จิตสำนึกส่วนปรัชญาของวิลเลียม เจมส์ มองจิตผ่านจิตสำนึกว่า เป็นธรรมชาติของจิต ซึ่งในพุทธปรัชญากล่าวถึงจิตสำนึกเป็นเพียงอารมณ์ของจิตเท่านั้น การทำงานของจิต ในพุทธปรัชญาเถรวาทและวิลเลียม เจมส์ มีความเหมือนกันคือ จิตเป็นสภาวะของการรับรู้อารมณ์อายตนะ ทั้ง ๖ มีการสืบต่ออย่างไม่ขาดสาย มีอารมณ์ สุข ทุกข์และอุเบกขา ความแตกต่าง คือ ในพุทธปรัชญา มีการรับรู้อารมณ์ เป็นธรรมชาติรู้ เป็นประธานในการทำสิ่งต่างๆ สิ่งทั้งปวงตกอยู่ในอำนาจของจิตทั้งสิ้น มนุษย์เราจะทำสิ่งใดย่อมอยู่ภายใต้ของความคิดนั่นคือจิต จิตมีการเกิดดับอยู่ตลอดเวลา เมื่อจิตมีการเกิดดับอยู่ตลอดเวลาก็ย่อมเป็นเหตุให้เกิดนามรูป ส่วนวิลเลียม เจมส์ เชื่อว่าการทำงานของจิตขึ้นอยู่กับบุคคล ความสามารถของจิตในการสร้างความคิดทั่วไปเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างเหตุผลจากประสบการณ์จิตสามารถสร้างความคิดรู้ความหมายที่มันให้กับความคิดและเข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่างความคิด
- Publicationการศึกษาเปรียบเทียบปรัชญาการเมืองของเพลโตกับแนวคิดทางการเมืองของพุทธทาสภิกขุพระนิติกร จิตฺตคุตฺโต (วิชุมา) (2012)การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปรัชญาการเมืองของเพลโต แนวคิดทาง การเมืองของพุทธทาสภิกขุ และเปรียบเทียบปรัชญาการเมืองของเพลโตกับแนวคิดทางการเมือง ของพุทธทาสภิกขุ การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการศึกษาจากเอกสารและงานวิจัย ผลการวิจัยพบว่า ปรัชญาการเมืองของเพลโต ก่อรูปแนวคิดขึ้นจากสภาพความปั่นป่วน ทางการเมืองของเอเธนส์ และสภาพแวดล้อมทางครอบครัวที่อยู่ในสังคมชั้นสูง เพลโตมีทัศนะว่า อุตมรัฐเป็นสังคมอุดมคติที่ดีที่สุด มีจุดหมายทางการเมืองคือความยุติธรรม เพลโตให้ความส าคัญ กับระบอบอภิชนาธิปไตยที่เป็นระบอบการปกครองที่ใกล้เคียงกับอุตมรัฐมากที่สุด ลักษณะสังคม ของเพลโตจึงเป็นสังคมนิยม แต่เป็นสังคมนิยมที่เป็นไปเพื่อการเมือง ศีลธรรม และการศึกษา ส่วน สังคมนิยมทางเศรษฐกิจถูกน ามาใช้กับชนชั้นปกครองและชนชั้นผู้พิทักษ์ สังคมอุดมคติของเพลโต เป็นสังคมปลายปิด คือมีรูปแบบจ ากัดตายตัวและแน่นอนไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อีก พุทธทาสภิกขุมีแนวคิดทางการเมือง ที่มีพื้นฐานแนวคิดมาจากหลักธรรมของ พระพุทธศาสนา โดยประยุกต์กับวิชาการต่างๆ มาอธิบายความหมายของการเมือง คือหน้าที่ของ มนุษย์ที่จะต้องท าเพื่อประโยชน์ของของคนหมู่มาก ให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสงบสุข มนุษย์ต้อง ด าเนินชีวิตให้สอดคล้องกับสภาวะธรรมชาติ แต่ปัญหาของสังคมเกิดขึ้นเพราะ ความมีตัณหาของมนุษย์ที่เห็นแก่ตัว กอบโกยกักตุนจนมากเกิน ท่านจึงได้เสนอแนวคิด ”ธัมมิกสังคมนิยม” ที่เป็น สังคมที่ประกอบด้วยธรรม ยึดความเมตตากรุณาเอื้อเฟื้อต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เมื่อน าแนวคิดของทั้งสองท่านมาเปรียบเทียบแล้ว เห็นว่า มีประเด็นที่เหมือนกัน คือ มี แนวคิดทางการเมืองแบบวิวัฒนาการเน้นที่การพัฒนาจิตใจ และคุณธรรมของผู้ปกครองหรือผู้น า ทางการเมือง ซึ่งสังคมการเมืองที่ดีต้องเกิดจากผู้น าที่มีคุณธรรม ทั้งสองท่านปฏิเสธการปกครอง แบบระบอบประชาธิปไตยแบบคนหมู่มาก และแตกต่างกันคือ เพลโตน าเสนอปรัชญาการเมืองที่ ไม่ได้มีพื้นฐานจากความเป็นจริง แต่ใช้วิธีการโต้แย้งด้วยเหตุผลเพื่อเข้าถึงสังคมอุดมคติ ให้ ความส าคัญรูปแบบการปกครองเผด็จการ ที่อ านาจอยู่กับชนชั้นปกครองเพียงกลุ่มเดียว และ ผู้ปกครองต้องผ่านการศึกษาที่ก าหนดเท่านั้น ส่วนพุทธทาสภิกขุไม่ให้ความส าคัญกับระบอบ ปกครองใดๆ เป็นพิเศษ แต่ยอมรับวิธีเผด็จการโดยธรรม ซึ่งมีจุดมุ่งหมายที่รวดเร็วในการ ปฏิบัติงานเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาสังคมการเมืองเท่านั้น ท่านให้ประชาชนเป็นผู้เลือกผู้ปกครองที่ มีคุณธรรมด้วยตัวเอง อุตมรัฐเป็นรูปแบบของสังคมนิยมแบบโบราณ ที่เน้นความสัมพันธ์ ระหว่างประชาชนกับสังคม ถือกรรมสิทธิ์ครอบครองแบบสาธารณะ แตกต่างจากธัมมิกสังคมนิยม ที่เป็นลักษณะเฉพาะ ที่ต้องการให้มนุษย์ด าเนินชีวิตแบบพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน และแตกต่างจาก สังคมนิยมแบบมาร์กซิสต์ที่ให้ความส าคัญกับผลผลิตและเศรษฐกิจ เป็นการปกครองที่เกิดขึ้น จากความขัดแย้ง จุดเด่นแนวคิดของทั้งสองท่านคือ แก้ไขปัญหาของสังคมแบบพัฒนาการและ ระบบจริยธรรมทางสังคมได้ส่วนจุดด้อยของแนวคิด คือ แนวคิดของทั้งสองท่านมีความเป็นอุดม คติเกินไปโดยที่ไม่ยอมรับระบบประชาธิปไตยแบบคนหมู่มาก
- Publicationการศึกษาเปรียบเทียบปรัชญาอัตถิภาวนิยมของเซอเร็น อาบี คีร์เคกอร์ดกับพุทธปรัชญาศรุตานนท์ ไรแสง; Sarutanon Raisang (2018)ดุษฎีนิพนธ์เรื่อง “การศึกษาเปรียบเทียบปรัชญาอัตถิภาวนิยมของซอเร็น อาบี คีร์เคกอร์ด กับพุทธปรัชญา” นี้มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาปรัชญาอัตถิภาวนิยมของซอเร็น อาบี คีร์เคกอร์ด , 2) เพื่อศึกษาปรัชญาอัตถิภาวนิยมในพุทธปรัชญา และ 3) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบปรัชญาอัตถิภาวนิยมของซอเร็น อาบี คีร์เคกอร์ดกับพุทธปรัชญา การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพและประเภทวิเคราะห์เอกสาร จากการวิเคราะห์วัตถุประสงค์ข้อที่ 1 พบว่า ซอเร็น อาบี คีร์เคกอร์ด เสนอว่าชีวิตมนุษย์จะดำรงอยู่ โดยมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับสังคมและผู้อื่น ซึ่งมนุษย์แต่ละคนก็ต้องมีความเป็นตัวตนแบบปัจเจกชน (individual) และต้องมีเป้าหมายของชีวิตหลายมิติ (ontic dimension) ในโลกจริงๆ ไม่ใช่โลกสมมติขึ้นมา ซึ่งต่อมาแนวคิดปัจเจกชนก็ได้ขยายฐานแนวคิด ออกเป็น 3 ระดับ คือ 1) อัตถิภาวะกับสุนทรียศาสตร์ (Aesthetical stage) 2) อัตถิภาวะกับจริยศาสตร์ (Ethical stage) 3) อัตถิภาวะกับศาสนา (Religious stage) เพื่อเชื่อมโยงศรัทธา (faith) ที่มีต่อพระเจ้าขัดเกลาจิตใจของตนเองอย่างบริสุทธิ์ วัตถุประสงค์ ข้อที่ 2 พบว่า พุทธปรัชญามองโลกและชีวิตที่ปรากฎในพุทธประวัติของเจ้าชายสิทธัตถะ ที่มองเห็นปัญหาใหญ่ของมนุษย์จึงได้เริ่มดำริหาวิธีแก้ไข ในที่สุดได้เลือกทางแห่งการแสวงหาความจริงและความหมายของชีวิตตนนั้นตกอยู่ภายใต้กฎแห่งไตรลักษณ์ ได้แก่ อนิจจัง ทุกขังอนัตตา แต่ด้วยความที่ไม่รู้ของมนุษย์จึงเข้าไปหลงยึดหลงติดอยู่กับความเป็นกลุ่มก้อนของธาตุทั้งหลาย ด้วยอำนาจของความอยากอย่างเข้าใจผิดคิดว่าเป็นตัวตน แต่ความจริงมันคือ สภาพของความว่างเปล่า วัตถุประสงค์ข้อที่ 3 พบว่า ซอเร็น อาบี คีร์เคกอร์ดให้ความสำคัญในหลักศรัทธา (faith) ซึ่งเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เพื่อไม่ให้จิตสำนึกหมกหนุนไปกับสิ่งแวดล้อมทางสังคมรอบๆ ตัวเอง เพราะจะทำให้ตัวเองไปกระทำสิ่งที่ผิดต่อพระเจ้า แต่ในพุทธปรัชญาให้ความสำคัญในกฎไตรลักษณ์ ดังนั้นปรัชญาอัตถิภาวนิยมของทั้ง 2 จึงมุ่งไปถึง “แก่นแท้ของศาสนา”ทั้งสิ้น
- Publicationการศึกษาเปรียบเทียบเรื่องความตายตามทัศนะของพุทธทาสภิกขุและอัลแบร์ กามูส์พระอุดร ฐานรโต (กิ่งแก้ว) (2014)การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ของการศึกษา คือ (๑) ศึกษาความตายตามทัศนะของพุทธ ทาสภิกขุ (๒) ศึกษาความตายตามทัศนะของอัลแบร์กามูส์และ (๓) ศึกษาเปรียบเทียบความตายของ พุทธทาสภิกขุและอัลแบร์กามูส์และการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงเอกสาร โดยศึกษาข้อชั้นปฐมภูมิและ ข้อมูลชั้นทุติยภูมิ แล้วนํามาวิเคราะห์เปรียบเทียบตามหลักวิชาการซึ่งผลการวิจัยพบว่า พุทธทาสภิกขุ มองว่าชีวิตคือการปฎิบัติหน้าที่ความตายคือจิตว่างจากอุปาทาน ดังนั้น ความตายไม่มี องค์ประกอบของความตายคือกาย จิต วิญญาณ ประเภทคือตายตามธรรมชาติ และ ตายผิดธรรมชาติ คุณค่าของความตายมีทั้งภายในและภายนอก ชีวิตหลังความตายขึ้นอย่กับกิเลส ถ้า จิตมีกิเลสก็จะเวียนว่ายตายเกิดตามหลักของสังสารวัฏ อัลแบร์กามูส์(Albert Camus) มีความเห็นว่าชีวิตคือการแสดงของตัวละครให้เห็น ภาพการดําเนินชีวิตประจําวันของมนุษย์และเป็นนามธรรม ความตายเป็นสสารนิยม องค์ประกอบ ของความตายเป็นการสร้างสารัตถะขึ้นมา เพื่อสร้างคุณค่าของตนเอง อัลแบร์กามูส์ไม่ได้กล่าวถึง ประเภทของความตายโดยตรง เพียงแต่ว่าสภาวะของมนุษย์ไม่มีสารัตถะที่แน่นนอนตายตัว และ มนุษย์มีความผูกพันกับเวลาและความสุขอันเป็นคุณค่าที่แสดงความสัมพันธ์มนุษย์กับโลก และ สิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวมนุษย์เองเท่านั้น ชีวิตมนุษย์ตามทัศนะของพุทธทาสภิกขุกับอัลแบร์กามูส์มีความสอดคล้องกัน คือ การ ทําประโยชน์ให้ดีที่สุด เป็นหน้าที่ของคนที่มีชีวิตอย่และมีความแตกต่างกันตามธรรมชาติ ความตาย เป็นสิ่งหนึ่งของชีวิตและอัลแบร์กามูส์กล่าวว่าความตายเป็นนามธรรม ใช้จุดหมาย ไม่มีแก่นสาร องค์ประกอบของความตายคือ กาย จิต วิญญาณ และอัลแบร์กามูส์เห็นว่าย่อมไม่ตาย แต่อัลแบร์กามูส์กล่าวว่า การทําหน้าที่ของมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุด โดยสรุป ความตายตามทัศนะทั้ง ๒ ท่าน เป็นเรื่องนามธรรมไม่มีตัวตนเป็นการเข้ามา ยึดถือโดยจิตของมนุษย์เท่านั้นและทําหน้าที่ของความเป็นมนุษย์เท่านั้นที่อย่บนโลกและตอบสนอง ความต้องการตามสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัวเองในแต่ละวันสุดท้ายแล้วมนุษย์ต้องตายเป็นต้น
- Publicationการศึกษาวิเคราะห์ปรัชญาชีวิตนายแสวง มะโนลัย ปราชญ์ชาวบ้าน แห่งทุ่งกุลาร้องไห้ปัญญา ศาสตรา; Panya Sattra (2018)การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ ๑) เพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎีและปรัชญาการดำเนินชีวิตในทัศนะพุทธปรัชญา ๒) เพื่อศึกษาปรัชญาชีวิตนายแสวง มะโนลัย ปราชญ์ชาวบ้านแห่งทุ่งกุลาร้องให้ ๓) เพื่อวิเคราะห์ปรัชญาชีวิตนายแสวง มะโนลัย ปราชญ์ชาวบ้านแห่งทุ่งกุลาร้องไห้ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Quantitative Research) โดยการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) ใช้วิธีวิเคราะห์เชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า ๑. แนวคิด ทฤษฎีและปรัชญาการดำเนินชีวิต บางทีเรียกว่าปรัชญาชีวิตซึ่งมีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า ท่าทีต่อชีวิตและคำว่าการมองโลก เพราะคนมีท่าทีต่อชีวิตหรือมองโลกย่างไรก็มักดำเนินชีวิตไปตามท่าทีหรือการมองนั้นๆ การดำเนินชีวิตตามหลักพุทธปรัชญาแบ่งเป็น ๒ ระดับ คือ ระดับโลกียะ คือ หลักธรรมที่เหมาะสมกับสภาวะของผู้ครองเรือนมี ศีล ๕ ฆราวาสธรรม หลักทิฏฐธัมมิกัตถะ หลักมัตตัญญุตา เป็นต้น โดยมีจุดประสงค์เพื่อความเจริญงอกงามในการดำเนินชีวิตตามแบบของฆาราวาส ส่วนระดับโลกุตตระ คือ อริยสัจ ๔ และอริยมรรคมีองค์ ๘ โดยมีพระนิพพานเป็นเป้าหมายสูงสุดของการดำเนินชีวิต ๒. วิถีชีวิต นายแสวง มะโนลัย ปราชญ์ชาวบ้านผู้มีความมุ่งมั่นเพียรพยายามเพื่อการเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ในการดำเนินชีวิต ด้วยการมองเห็นวิกฤตต่างๆ เป็นโอกาส และยึดมั่นในหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ได้นำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปสู่ภาคปฏิบัติจนประสบความสำเร็จได้เป็นแบบอย่างในการดำรงชีวิตของคนในสังคม และเป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง โดยยึดหลักปรัชญาในการดำเนินชีวิตตามปณิธานที่ว่า “แล้งกะบ่งึด” ๓. นายแสวง มะโนลัย ได้ประพฤติตนเป็นแบบอย่างในฐานะปราชญ์ชาวบ้านผู้ประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิตตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงด้วยการนำหลักคำสอนทางพุทธศาสนาที่ประกอบด้วย หลักสัมมาอาชีวะ หลักทิฏฐธัมมิกัตถะ และหลักมัตตัญญุตา มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตจนทำให้เกิดศูนย์การเรียนรู้ของชุมชน และเป็นที่เคารพนับถือของคนในสังคมทั่วไป
- Publicationการศึกษาวิเคราะห์เสรีภาพของคนไทยในรัฐธรรมนูญไทย พ.ศ.2550กิตติพัทธ์ โมราสุข; Kittiphat Morasuk (2014)วิทยานิพนธ์เรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ 3 อย่าง คือ 1. เพื่อศึกษาแนวทางเกี่ยวกับเสรีภาพในทัศนะของนักปรัชญา 2. เพื่อศึกษาเสรีภาพของคนไทยในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 3. เพื่อศึกษาวิเคราะห์เสรีภาพของคนไทยในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 จากการศึกษาวิจัยพบว่า เสรีภาพในทัศนะของนักปรัชญา มีความหมายว่า เสรีภาพ หมายถึง อิสรภาพความเป็นตัวของตัวเอง เป็นนายของตัวเอง เสรีภาพคู่กับความรับผิชอบ และเสรีภาพมีความหมายทางสังคมการเมือง ธรรมชาติของเสรีภาพ เสรีภาพกับมนุษย์ จุดมุ่งหมายของเสรีภาพ เสรีภาพกับการปกครองของรัฐ ซึ่งมีความเกี่ยงข้องและสัมพันธ์กัน เสรีภาพของคนไทยในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 พบว่าคือ เสรีภาพส่วนบุคคล เสรีภาพในการประกอบอาชีพ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคลและสื่อมวลชน เสรีภาพการศึกษา และเสรีภาพในการชุมนุมและการสมาคม จากกรณีศึกษาแนวคิดเสรีภาพของนักปรัชญาที่มีต่อเสรีภาพของคนไทยในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 โดยภาพรวมคล้ายคลึงกันคือ ฮอบส์ รุสโซ ซาร์ตและพระพรหมคุณาภรณ์ว่า มนุษย์ทุกคนต้องการเสรีภาพในการดำรงอยู่ด้วยการตัดสินใจเลือกด้วยตัวเอง คือ มนุษย์ทุกคนต้องการเป็นนายของตัวเอง แต่เมื่อมาอยู่ในสังคมร่วมกันก็จำเป็นต้องเคารพ กฎหมาย หรือกติกาบางอย่างของสังคมที่ตนเองอยู่ร่วมกันก็เพื่อให้ตัวเองอยู่ได้ และเพื่อผู้อื่นก็อยู่ได้ด้วย ในรัฐธรรมนูญสิ่งที่บัญญัติส่วนใหญ่จะเป็นแนวคิดของนักปรัชญาอยู่แล้ว เพราะนักปรัชญาคือ ฮอบส์ รุสโซ ซาร์ตและล็อค เป็นผู้เสนอแนวคิดเสรีนิยมประชาธิปไตย แต่ชาร์ต เป็นนักวรรณกรรมและนักปรัชญาอัตถิภาวนิยมที่โดดเด่นในแนวคิดทางด้านเสรีภาพ ซึ่งก็สะท้อนให้เห็นได้ร่วมกันในการศึกรัฐธรรมนูญ ส่วนพระพรหมคุณาภรณ์ เห็นว่าเสรีภาพ ต้องเข้าใจถึงกฎของความจริงและกฎเกณฑ์ที่สังคมจะรู้
- PublicationปรัชญาการศึกษาของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวMONECHAI CHANTALA (2017)การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปรัชญาการศึกษาตามแนวคิดของปรัชญาตะวันตกและพุทธปรัชญาการศึกษา 2) เพื่อศึกษาปรัชญาการศึกษาของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 3) เพื่อวิเคราะห์ปรัชญาการศึกษาของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จากการศึกษาพบว่า ปรัชญาการศึกษาตะวันตกมีหลายลัทธิ ได้แก่ นิรันดรนิยม สารัตถนิยม พิพัฒนาการนิยม ปฏิรูปนิยม อัตถิภาวนิยมสามารถ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มอนุรักษ์นิยมและกลุ่มเสรีนิยม ส่วนพุทธปรัชญาการศึกษา พบว่า การศึกษาที่แท้จริง เป็นการศึกษาที่สามารถหลุดพ้นจากความทุกข์ได้ ใช้การศึกษา 3 วิธี ประกอบด้วย สุตมยปัญญา การฟัง จินตามยปัญญา การคิดวิเคราะห์ และ ภาวนามยปัญญา การลงมือปฏิบัติ เป็นต้น สาระสำคัญของการศึกษา ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเริ่มขึ้นหลังจากได้รับเอกราชจากฝรั่งเศส การศึกษามีแบบแผนมากขึ้น รัฐบาลมีความเอาใจใส่กับนโยบายด้านการศึกษามากพอสมควร หนึ่งในจุดมุ่งหมายที่สำคัญ คือ มุ่งให้ประชาชนสามารถอ่านและเขียนภาษาลาวได้ ทั้งนี้เพื่อการถ่ายทอดความรู้ แนวคิด และวัฒนธรรมประเพณีของชาติให้สืบต่อไปในคนรุ่นหลัง การส่งเสริมการเรียนการสอนด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ปรัชญาการศึกษาของลาวมีแนวคิดที่สอดคล้องกับแนวคิดของปรัชญาการศึกษากลุ่มอนุรักษ์นิยมของตะวันตก เนื่องจากมีการเน้นเรื่องระเบียบวินัยเป็นสาระสำคัญ และต้องการธำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมประเพณีของชาติ ดังนั้น จึงสอดคล้องกับแนวคิดปรัชญาการศึกษาสำนักสารัตถนิยม และปรัชญาการศึกษาสำนักนิรันดรนิยม นอกเหนือจากสองสำนักนี้ ลาวยังมีแนวคิดทางการศึกษาที่เป็นไปตามแนวคิดของพุทธปรัชญาการศึกษา ทั้งนี้อาจเป็นเพราะระบบการศึกษาของลาวมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับวัดในพระพุทธศาสนามาอย่างยาวนานนั่นเอง
- Publicationเปรียบเทียบทัศนะเรื่องบุตรในพุทธปรัชญาเถรวาทและปรัชญาจีนพระอธิการสมพร รกฺขิตธมฺโม (กลิ่นศรีสุข); Phra Athikan Somporn Rukkhitadhummo (Klinsrisuk) (2013)การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์การศึกษา 3 ประการได้แก่ 1. เพื่อศึกษาทัศนะเรื่องบุตรในพุทธปรัชญาเถรวาท 2. เพื่อศึกษาทัศนะเรื่องบุตรในปรัชญาจีน 3. เพื่อศึกษาเปรียบเทียบทัศนะเรื่องบุตรในพุทธปรัชญาเถรวาทกับพุทธบุตรในปรัชญาจีน ผลการศึกษาพบว่า ทัศนะบุตรในพุทธปรัชญาเถรวาท คือ ผู้ทำให้บิดามารดามีความสุขใจ ผู้ทำสกุลให้บริสุทธิ์ ได้แบ่งประเภทของบุตรได้ 3 ประเภท คือ 1. บุตรหรือลูกศิษย์ 2.บุตรหรือลูกเลี้ยง 3. บุตรหรือลูกในไส้ การเลี้ยงดูบุตรถือว่าเป็นหน้าที่และเป็นความรับผิดชอบของบิดามารดา มีความมุ่งหมาย 2 สถานคือเลี้ยงดูบุตรให้เติบโตมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ และให้การศึกษาฝึกฝนอบรมนิสัยให้ดีงาม ควบคู่กับการสอนให้บุตรมีศีลธรรม ช่วยแบ่งเบาภาระคอยปรนนิบัติยามเจ็บป่วย ทั้งนี้มีบิดามารดาก็ควรให้รับมรดกไปตามสัดส่วน มรดกที่มอบให้แก่บุตรของตนก็คือคุณธรรม ความดี ส่วนสิ่งภายนอกที่มอบให้ก็เป็นเพียงองค์ประกอบอย่างหนึ่งที่ช่วยให้บุตรมีอาชีพการทำมาหากินเท่านั้น ทัศนะบุตรในปรัชญาจีน ตามความหมายของบุตร คือ บุคคลที่เกิดมาแล้วต้องประกอบไปด้วยความรักแบบกุศลซึ่งเป็นคุณธรรมทางสังคมมุ่งเน้นในเรื่องการทำหน้าที่ ปฏิบัติตนและการมีทัศนคติที่ดีต่อคนในครอบครัว และความสัมพันธ์กับผู้อื่น แนวคิดในการเลี้ยงดูบุตร ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตน และหน้าที่ของต่อผู้อื่นต่อความรัก ความเมตตา และความกตัญญูกตเวที กระบวนการเลี้ยงดูหรือปลูกฝังบุตร บิดามารดา มีหน้าที่ให้การศึกษาแก่บุตรอบรมให้บุตรมีความศรัทธาความรักเรียนบำเพ็ญประโยชน์การสร้างลักษณะนิสัยและทัศนคติที่ดีขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณีความสัมพันธ์ในปรัชญาจีนแบ่งออกเป็น 5 แบบ ได้แก่ความสัมพันธ์ระหว่างบิดาต่อบุตร, พี่ต่อน้อง, สามีต่อภรรยา, ผู้อาวุโสต่อสู้ก่อนวัยและกษัตริย์ต่อราษฎร เปรียบเทียบในคัมภีร์พุทธปรัชญาเถรวาทกับบุตรในปรัชญาจีน ตามความหมายมีความสอดคล้องกัน ทั้งการเลี้ยงดูบุตร และสอนคุณธรรม แตกต่างกันที่วิธีการอบรม พุทธปรัชญาสอนให้มีคุณธรรมภายใน และเน้นการทำมาหากินภายนอก และปรัชญาจีนจะสอนให้มีคุณธรรมภายใน คือความดีและกตัญญูกตเวทีมากกว่าสอนทำมาหากิน เพราะเป็นหน้าที่ของบุตรที่จะต้องศึกษาเล่าเรียน ความสัมพันธ์ที่มีความเหมือนกัน แสดงให้เห็นว่าทั้งสองปรัชญามีความสอดคล้องและแตกต่างกันไม่มากนัก
- Publicationมโนทัศน์เรื่องความพอเพียงในเศรษฐกิจพอเพียงจะเด็ด สุขดี; Chaded Sookde (2015)วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ ๓ ประเด็น คือ ๑) เพื่อวิเคราะห์พัฒนาการของมโนทัศน์ความพอเพียงในความเข้าใจของนักวิชาการ และปฎิทรรศน์ของเศรษฐกิจพอเพียง ๒) เพื่อวิเคราะห์มโนภาพความพอเพียงจากปรัชญาและศาสนา และ ๓) เพื่อตีความเชิงวิเคราะห์ในความหมายของมโนทัศน์ความพอเพียงจากเงื่อนไขที่จำเป็นและเพียงพอเพื่อยืนยันความมีอยู่ในเชิงสาเหตุและผล และในความจริงเชิงปรมัตถ์ ผลของการวิจัยพบว่าพัฒนาการมโนทัศน์ความพอเพียงในเศรษฐกิจพอเพียงนั้น มีมาตั้งแต่ยุคโบราณแล้ว ต่อมาความซับซ้อนของสังคมมนุษย์เพิ่มมากขึ้น ก่อเกิดการเอาเปรียบกันในสังคม ในประเทศไทยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชทานแนวทางแก้ปัญหาพื้นฐานด้วยมโนทัศน์ความพอเพียง แต่การรับรู้ของมนุษย์มีความแตกต่างกันทำให้เศรษฐกิจพอเพียงสามารถเป็นสิ่งที่มีคุณค่าภายนอก เป็นเครื่องมือไปสู่สิ่งที่มีคุณค่าอื่น ๆ เป็นอัตวิสัย และสามารถเป็นสิ่งที่มีคุณค่าภายใน ที่มีเป้าหมายในตัวเอง และเป็นภววิสัย ในขณะเดียวกันก็สามารถมองเศรษฐกิจพอเพียงได้ทั้งสองแบบพร้อม ๆ กัน และอาจเป็นแนวทางที่เหมาะสมที่สุดเพื่อป้องกันการเกิดปฎิทรรศน์ของเศรษฐกิจพอเพียง สำหรับการวิเคราะห์มโนภาพความพอเพียงจากปรัชญาและศาสนา พบว่ามโนภาพความพอเพียงจากปรัชญามีแนวโน้มเป็นมโนภาพที่มีคุณค่าภายนอก สามารถเป็นเครื่องมือไปสู่สิ่งที่มีคุณค่าอื่น ๆ และเป็นอัตวิสัยของแต่ละบุคคล ในขณะที่มโนภาพความพอเพียงจากศาสนามีลักษณะเป็นสิ่งที่มีคุณค่าภายใน ที่มีเป้าหมายในตัวเอง และเป็นภววิสัย การวิจัยยังพบอีกว่า ทั้งมโนภาพของความพอเพียงที่เป็นคุณค่าภายนอกและภายในเป็นปฎิทรรศน์ของเศรษฐกิจพอเพียง จากการพิสูจน์การมีอยู่เชิงความสัมพันธ์ของมโนทัศน์ความพอเพียงด้วยตรรกวิทยาสัญลักษณ์พบว่ามโนทัศน์ความพอเพียงมีอยู่ในรูปแบบของเงื่อนไขที่จำเป็นในรูปแบบสัมพันธ์กันเชิงสาเหตุและผล ในขณะที่มโนทัศน์ความพอเพียงที่มีอยู่ในรูปแบบของเงื่อนไขที่พอเพียงจะมีความสัมพันธ์ในเชิงตรรกะหรือเชิงปรมัตถ์
- Publicationศึกษาการประยุกต์ใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ของชาวบ้านหนองเผือก ตำบลหนองทุ่ม อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคามพระกองศรี อคฺคโชโต (มาตเลิง); Phra Kongsri Aggajoto (Matluang) (2013)การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์คือ๑) เพื่อศึกษาแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว๒) เพื่อศึกษาการประยุกต์ใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของชาวบ้านหนองเผือก ตำบลหนองทุ่ม อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม๓) เพื่อศึกษาคุณค่าหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของชาวบ้านหนองเผือกตำบลหนองทุ่ม อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคามการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างได้แก่พระสงฆ์จำนวน ๑ รูป และฆราวาส ๑๓ คน รวม ๑๔ รูป/คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีพรรณาวิเคราะห์ตามหลักอุปนัยวิธี ผลการวิจัยพบว่า"ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นเศรษฐกิจแบบพื้นฐาน ที่เน้นความพอเพียงในระดับบุคคลและครอบครัว คือ การที่สมาชิกในครอบครัวมีความเป็นอยู่ในลักษณะที่สามารถพึ่งพาตนเองได้ สามารถสนองความต้องการขั้นพื้นฐาน เช่น ความต้องการในปัจจัยสี่ของตนเองและครอบครัวได้ มีการช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน มีความสามัคคีกลมเกลียว และมีความพอเพียงในการดําเนินชีวิตด้วยการประหยัดและการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จําเป็น จนสามารถดํารงชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขทั้งทางกายและใจ การประยุกต์ใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ของชาวบ้านหนองเผือก ตำบลหนองทุ่ม อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม มีการเลี้ยงปลา จักสานจ่อ เพาะเห็ด เลี้ยงวัว เลี้ยงปลา เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่พื้นเมือง ปลูกผักปลอดสารพิษ จากที่เคยทำแต่นา ก็มีการทำไร่นาสวนผสม ทำให้ทุกครอบครัวมีส่วนร่วมและรับผิดชอบงานด้านต่างๆ ที่มีอยู่ในหมู่บ้าน มีอาชีพเกิดขึ้น ที่หลากหลายทำให้ชาวบ้านเลือกทำได้ตามความต้องการไม่ว่าคนแก่ หรือกระทั่งเด็กเล็กก็มีรายได้เสริมยามว่างเพื่อเป็นทุนการศึกษา มีการแบ่งปัน ไม่มีการพนันหรือแม้แต่การทะเลาะวิวาทมีความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีความโอบอ้อมอารี ใช้คุณธรรมในการดำเนินชีวิต มีความเป็นประชาธิปไตย มีความเชื่อมั่นศรัทธาต่อบุคคลที่มีความสามารถ อยู่ร่วมกันด้วยความเอื้ออาทรบ้านหนองเผือกได้กลายเป็นหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงที่ชาวบ้านต่างก็ภาคภูมิใจ มีความตระหนักระลึกเสมอเหมือนคนที่เป็นอยู่ในครอบครัวเดียวกันสายเลือดเดียวกันมีการช่วยเหลือถนอมน้ำใจเกื้อกูลกันอย่างเข้มแข็ง คุณค่าที่เกิดจากการนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของชุมชนบ้านหนองเผือกตำบลหนองทุ่ม อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคามนำมาใช้ได้แก่ ด้านพระพุทธศาสนาซึ่งก็คือความขยันหมั่นเพียร (วิริยะ)คุณค่าที่ชาวบ้านหนองเผือกได้รับในปัจจุบัน ซึ่งเป็นผลของความเพียรพยายามในหลายๆ ด้าน โดยทุกคนในหมู่บ้านได้ร่วมแรงร่วมใจกันและทุกคนถือคติว่า ไม่มีความจนในหมู่คนขยัน ทานและการให้ (ทานํ)เน้นความสุขที่การให้มากกว่าการได้มาซึ่งการครอบครองทางวัตถุกล่าวอีกนัยหนึ่งคือเน้นความสุขในระดับขั้นสูงขึ้นไปคือจิตใจความรู้จัก "พอ" และความไม่สร้างเหตุแห่งทุกข์ความไม่โลภ(อโลภะ)ความไม่โลภของชาวบ้านหนองเผือกคือทุกคนไม่อยากได้ของกันและกันนั่นเองความไม่ประมาท (อปมาโท)การดำเนินชีวิตไปตามกำลังฐานะของตนเองไม่ควรจะทะเยอทะยานให้เกินความเป็นอยู่ของตนเองทำชีวิตให้เป็นไปอย่างเรียบง่ายรู้จักเก็บออมไว้เพื่ออนาคต เข้าวัดทำบุญ หลักความรู้รักสามัคคี
- Publicationศึกษาเปรียบเทียบแนวคิดเรื่องธรรมชาติของตัณหาในพุทธปรัชญาเถรวาทและปรัชญาจารวากพระเสินจัง คมฺภีรปญฺโญ; Son Trang (2019)วิทยานิพนธ์นี้ เป็นการศึกษาเปรียบเทียบแนวคิดเรื่องธรรมชาติของตัณหาในพุทธปรัชญา เถรวาทและปรัชญาจารวาก มีวัตถุประสงค์ ๓ ประการ ดังนี้ (๑) เพื่อศึกษาแนวคิดเรื่องธรรมชาติของ ตัณหาในพุทธปรัชญาเถรวาท (๒) เพื่อศึกษาแนวคิดเรื่องธรรมชาติของตัณหาในปรัชญาจารวาก (๓) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบแนวคิดเรื่องธรรมชาติของตัณหาในพุทธปรัชญาเถรวาทและปรัชญาจารวาก การวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงเอกสาร สรุปผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ ได้ดังนี้ ๑. ตัณหาในพุทธปรัชญาเถรวาท คือ ความทะยานอยาก ๓ ประการ คือ ๑. กามตัณหา ความอยากได้ความใคร่ในกามคุณ ๕ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่น่าใคร่น่าพอใจ ๒. ภวตัณหา ความอยากได้ในภพ เพื่อให้ความสุขที่จะให้คงอยู่ตลอดไป ไม่เปลี่ยนแปลง ๓. วิภวตัณหา ความไม่ อยากมีในความทุกข์อยากพ้นไปจากความทุกข์อยากให้ทุกข์ดับสูญไป ๒. ตัณหาในปรัชญาจารวาก คือ ความอยากมีความสุข มี ๓ ระดับ คือ ๑. ตัณหาใน ระดับพื้นฐาน เป็นระดับในการดำรงชีวิตให้ดำรงอยู่ได้ เช่น อยากได้ปัจจัย ๔ เพื่อดำรงชีพ เป็นต้น ๒. ตัณหาในระดับกลาง เป็นระดับที่สร้างแรงกระตุ้นให้มีการพัฒนาการเสพความสุข ความ สะดวกสบาย ๓. ตัณหาระดับกิเลส เป็นระดับที่หมกมุ่น ฟุ่มเฟือย เพื่อสนองกิเลสที่ไม่รู้จักพอของตน ๓. เปรียบเทียบแนวคิดของตัณหาในพุทธปรัชญาเถรวาทและปรัชญาจารวาก ดังนี้ พุทธ ปรัชญามองตัณหาว่า เป็นอกุศลธรรม เป็นรากเหง้าของความทุกข์ทั้งปวง มนุษย์ประสบความทุกข์ เพราะมีตัณหา ดังนั้น พุทธปรัชญาจึงสอนให้ดับตัณหาที่เป็นเหตุแห่งความทุกข์ และเพื่อให้ถึง ความสุข ๓ ประการ คือ ๑. ความสุขในโลกนี้ ได้แก่ ความสุขในปัจจุบันนี้๒. ความสุขในโลกหน้า ได้แก่ สวรรค์ ๓. สุขในพระนิพพาน ได้แก่ การดับกิเลสที่เป็นเหตุแห่งความทุกข์ ถึงสุขที่ไพบูลย์ ไม่ต้องประสบทุกข์ในวัฏฏสงสารอีกต่อไป ส่วนปรัชญาจารวาก มองตัณหาว่า ไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย แต่เป็นสิ่ง ที่ช่วยให้มนุษย์รู้จักการเสพสุข ตัณหาเกิดขึ้นพร้อมการเกิด และดับไปพร้อมกับการตาย มนุษย์ผู้ฉลาด ต้องรู้จักนำตัณหามาสร้างประโยชน์ ความสุข ความสะดวกสบาย ดังนี้ ๑. กระตุ้นให้มนุษย์ปรับตัว เพื่อความอยู่รอด ๒. กระตุ้นให้เกิดการเสพสุข เช่น การคิดสูตรอาหารอร่อย ทำเครื่องปรับอากาศ เป็นต้น ๓. กระตุ้นให้เกิดการสร้างเทคโนโลยีและความสะดวกสบาย เช่น ผลิตรถยนต์ ผลิตโทรศัพท์ เพื่อใช้สื่อสาร เป็นต้น ๔. กระตุ้นให้เกิดการป้องกัน เช่น คิดค้นยารักษาโรค เป็นต้น ทั้งนี้ก็เพื่อ ต้องการมุ่งเน้นให้เสพสุขให้มากที่สุดและลดความทุกข์ให้เหลือน้อยที่สุดนั่นเอง
- Publicationศึกษาเปรียบเทียบปรัชญาการเมืองของโธมัส ฮอบส์ กับเทียนวรรณพระอนุพงศ์ สิทฺธิเมธี (ตันหยี); Phra Anupong Siddhimedthī (Tanyee) (2016)วิทยานิพนธ์เรื่อง “ศึกษาเปรียบเทียบปรัชญาการเมืองของโธมัส ฮอบส์ กับเทียนวรรณ” มีวัตถุประสงค์ ๓ ประการ คือ ๑) เพื่อศึกษาแนวคิดปรัชญาการเมือง ๒) เพื่อศึกษาแนวคิดปรัชญาการเมืองของโธมัส ฮอบส์ และเทียนวรรณ และ ๓) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบแนวคิดปรัชญาการเมืองของโธมัส ฮอบส์ และเทียนวรรณ ผลจากการศึกษาวิจัย มีดังนี้ ปรัชญาการเมือง คือ ความรู้ที่มีคุณค่าที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางการเมืองการปกครอง ความถูกต้องเหมาะสม ความดีงามของระเบียบทางการเมือง และความมีเสถียรภาพของสังคม รวมถึงการมีเป้าหมายว่าระบบการเมืองการปกครองแบบไหนดีที่สุดในประเด็นเรื่องเสรีภาพ ความเสมอภาค ความยุติธรรม จุดมุ่งหมายของรัฐและสิทธิอันชอบธรรมอำนาจรัฐ ปรัชญาการเมืองของ ฮอบส์ เป็นแบบการนำเอาองค์อธิปัตย์เป็นประมุขทางการเมือง ศาสนา การเคลื่อนไหว และหลักการของความเฉื่อยที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ ในส่วนปรัชญาการเมืองของเทียนวรรณ เป็นแบบการเอาแนวคิดของพราหมณ์และพุทธศาสนา โดยเน้นแนวทางพุทธศาสนาผสมผสานกับแนวคิดทางปรัชญาตะวันตก โดยแยกประเด็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ รัฐ กฎหมาย การปกครอง อุดมคติทางการเมือง และรูปแบบการปกครอง จากการศึกษาเปรียบเทียบแนวคิดปรัชญาการเมืองของโธมัส ฮอบส์ และเทียนวรรณ พบว่า ในด้านธรรมชาติของมนุษย์ของ ฮอบส์ เห็นว่ามนุษย์ทุกคนมีความต้องการการกระทำใดๆ จึงเป็นผลอันเกิดจากความต้องการ มนุษย์มีความต้องการตลอดเวลาโดยที่ความต้องการเป็นผลมาจากอำนาจหรือแรงผลักดันภายใน แต่ทางเทียนวรรณนั้นได้ให้ความหมายไว้ว่า ธรรมชาติมนุษย์นั้นมีความแตกต่างกันมีหลายจำพวกและมนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ของความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน ด้านเสรีภาพ ความเสมอภาค และความยุติธรรม ฮอบส์อธิบายว่ามนุษย์สามารถจะกระทำอะไรก็ได้นอกเหนือจากที่กฎหมายบัญญัติห้ามไว้ แต่เทียนวรรณว่าประชาชนทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในตัวเองในการดำเนินชีวิต โดยไม่ขัดกับหลักศีลธรรม รัฐและอำนาจหน้าที่ของรัฐร่วมไปถึงกฎหมาย แนวความคิดของเทียนวรรณเสนอว่า รัฐต้องส่งเสริมให้การศึกษา และความปลอดภัยแก่ประชาชน ฮอบส์มองว่า มนุษย์โดยธรรมชาติจำต้องมีอำนาจเหนือเหตุผลเสมอ รูปแบบการปกครองของฮอบส์จะเป็นเป็นแบบสมัยใหม่จริงๆ เทียนวรรรณเป็นแบบการนำเอาแนวความคิดแบบดั้งเดิมมาผสมผสานกับแบบประชาธิปไตยได้อย่างเหมาะสม