ปรัชญา : Philosophy
Permanent URI for this community
บทความวิจัย วิทยานิพนธ์สาขาวิชาปรัชญาในหลักสูตรที่สังกัดสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย และงานวิจัยสาขาปรัชญาที่ได้รับทุนสนับสนุนจาก วช. หรือ สกสว.
Browse
Browsing ปรัชญา : Philosophy by Degree Grantor(s) "มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย"
Now showing 1 - 20 of 128
Results Per Page
Sort Options
- Publicationการจัดการความขัดแย้งในระบบสาธารณสุขไทยในทัศนะพุทธปรัชญาณัชชา เพียงพอ; Nutcha Phiengpho (2018)การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาความขัดแย้งในทัศนะพุทธปรัชญา 2) เพื่อศึกษาความขัดแย้งในระบบสาธารณสุขไทย และ 3) เพื่อการจัดการความขัดแย้งในระบบสาธารณสุขไทยในทัศนะพุทธปรัชญา เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) เครื่องที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก แบบสนทนากลุ่ม และแบบสังเกต ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 15 คนวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการพรรณนาตามหลักอุปนัยวิธี ผลการวิจัยพบว่า ความขัดแย้งในทัศนะพุทธปรัชญา มี 2 ประเภท คือความขัดแย้งภายในและความขัดแย้งภายนอก ความขัดแย้งทั้งหมดเกิดจากรากเหง้ามาจากอกุศลมูล 3 ประการคือ 1) โลภะ ได้แก่ความโลภอยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตนเอง 2) โทสะ ได้แก่ความคิดประทุษร้าย พยาบาท คิดปองร้ายผู้อื่น และ ๓) โมหะ ได้แก่ความหลงผิด ความไม่รู้จริง ความมัวเมาและความประมาท รากเหง้าแห่งความขัดแย้งทั้งสามประการนี้ เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะแสดงออกทางกาย วาจา และใจ สุดท้ายนำไปสู่ความขัดแย้งภายในครอบครัว สังคม องค์กร ประเทศชาติต่อไป ความขัดแย้งในระบบสาธารณสุขไทย เป็นความขัดแย้งระหว่างผู้ให้บริการกับผู้มารับบริการ ซึ่งเกิดจากสาเหตุใหญ่ๆ 4 ประการ คือ 1) ความไม่เสมอภาคจากการรับบริการที่มีความเหลื่อมล้ำกัน 2) ความผิดพลาดในการให้บริการ จนทำให้มีการฟ้องร้องเพิ่มมากขึ้น 3) ความขัดแย้งด้านผลประโยชน์ และ 4) ความขัดแย้งด้านความสัมพันธ์ การจัดการความขัดแย้งในระบบสาธารณสุขไทยในทัศนะพุทธปรัชญา โดยใช้กระบวนการการพูดคุยหรือเจรจาไกล่เกลี่ยอย่างเป็นระบบ เป็นขั้นตอน การเจรจาไกล่เกลี่ยทุกขั้นตอนจะนำหลักพุทธปรัชญาเข้าไปร่วมใช้ในการเจรจาไกล่เกลี่ย อันได้แก่ 1) หลักอภัยทาน คือในการเจรจาไกล่เกลี่ยต้องมีการให้อภัยกัน ไม่พยาบาทต่อกัน 2) หลักอหิงสา คือในการเจรจาไกล่เกลี่ยด้วยความไม่บียดเบียนกัน 3) หลักเมตตา คือในการเจรจาไกล่เกลี่ยด้วยความรักและความสงสารต่อเพื่อนร่วมงาน ต่อผู้ให้บริการและต่อผู้มารับบริการ
- Publicationการดูแลผู้ป่วยติดเตียงตามหลักพุทธจริยศาสตร์ในตำบลบ้านฝาง อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ดพระยงค์ยุทธ เทวธมฺโม (จันทะอ่อน); Phra Yongyuth Dhevadhammo (Chanthaon) (2020)การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาของผู้ป่วยติดเตียงในตำบลบ้านฝาง อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด 2) เพื่อศึกษาหลักพุทธจริยศาสตร์เพื่อการดูแลผู้ป่วยติดเตียงในตำบลบ้านฝาง อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด 3) เพื่อศึกษาการดูแลผู้ป่วยติดเตียงตามหลักพุทธจริยศาสตร์ในตำบลบ้านฝาง อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ศึกษาข้อมูลจากพระไตรปิฎก เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง มีผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 30 รูป/คน วิเคราะห์ข้อมูลแบบวิธีพรรณนาตามหลักอุปนัยวิธี ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพปัญหาที่พบในผู้ป่วยติดเตียงมาจากสาเหตุหลัก 2 อย่าง 1) หลอดเลือดในสมองตีบอุดตัน 2) หลอดเลือดในสมองแตก จะพบในผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวตั้งแต่ 1-3 โรค ทำให้มีภาวะที่ต้องได้รับการรักษาที่ซับซ้อน และอาการป่วยจะแตกต่างจากวัยอื่น ๆ และการป่วยติดเตียงจะเกิดภาวะโรคแทรกซ้อน ทำให้ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ต้องอาศัยการดูแลจากบุคคลอื่น และปัญหาที่พบในผู้ป่วยติดเตียงคือ การขาดผู้ดูแลซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในทุกมิติ 2. หลักพุทธจริยศาสตร์ในการดูแลผู้ป่วยติดเตียง พบว่า มีการนำพรหมวิหาร 4 (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกข) ภาวนา 4 (กาย ศีล จิต ปัญญา) และโพชฌงค์ 7 (สติ ธัมมวิจย วิริย ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ) 3. การดูแลผู้ป่วยติดเตียงตามหลักพุทธจริยศาสตร์ในตำบลบ้านฝาง อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด พบว่า การนำหลักพุทธจริยศาสตร์ที่กล่าวมาใช้ในการดูแลผู้ป่วยติดเตียงทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นในทุกมิติ ด้วยวิธีการดูแลด้วยความเอาใจใส่ด้วยความตั้งใจให้หายจากโรค และผู้ดูแลต้องคอยดูแลผู้ป่วยไม่ให้กลับไปเจ็บป่วยอีก และช่วยพัฒนาผู้ป่วยให้เข้าใจถึงภาวะความเปลี่ยนแปลงของชีวิตที่นำไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในทุกมิติ
- Publicationการตีความแนวคิดเรื่องพรหมในพุทธปรัชญาเถรวาทพระนรินทร์ สีลเตโช (สาไชยันต์); Phra Narin Silatejo (Sachayan) (2018)การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์(๑)เพื่อศึกษาแนวคิดเรื่องพรหมในพุทธปรัชญาเถรวาท (๒)เพื่อศึกษาการตีความ (๓) เพื่อวิเคราะห์การตีความแนวคิดเรื่องพรหมในพุทธปรัชญาเถรวาท ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research) โดยเก็บข้อมูลจากเอกสาร แล้วนำข้อมูลมาวิเคราะห์โดยวิธีพรรณนาตามหลักอุปนัยวิธี ผลการวิจัยพบว่า ๑. แนวคิดเรื่องพรหมในพุทธปรัชญาเถรวาทแบ่งพรหมออกเป็น ๒ ประเภท คือ (๑) พรหมในฐานะที่เป็นบุคลาธิษฐาน และ(๒) พรหมในฐานะที่เป็นธรรมาธิษฐาน ๒.การตีความแบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ ๑) การตีความทางศาสนาเป็นการตีความเฉพาะกลุ่ม และ ๒) การตีความแบบสากล โดยใช้ วิภัตติหาระในเนติปกรณ์และทฤษฎีการตีความเชิงรื้อโครงสร้างนิยมของเดอร์ริดา ๓.การวิเคราะห์การตีความแนวคิดเรื่องพรหมในพุทธปรัชญาเถรวาทโดยใช้การตีความแบบวิภัตติหาระในเนติปกรณ์ และการตีความเชิงการรื้อโครงสร้างนิยมของเดอร์ริดา พบว่า ๑) การตีความพรหมในฐานะเป็นบุคลาธิษฐานหมายถึงมนุษย์ที่ฝึกจิตด้วยสมถกรรมฐานจนได้ฌาน เมื่อละจากโลกนี้ไปในขณะที่ฌานไม่เสื่อมจะไปบังเกิดในพรหมโลกทั้ง ๒๐ ขั้นตามกำลังของฌานและ๒)การตีความพรหมฐานะเป็นธรรมาธิษฐานหมายถึงบุคคลที่ได้ปฏิบัติจนเข้าถึงความบริสุทธิ์ ๒ ระดับ คือ ๑) ความบริสุทธิ์ด้วยพรหมวิหารธรรม ๔ ได้แก่ มารดาบิดา และความบริสุทธิ์ด้วยฌาน ๔ ได้แก่พรหมในพรหมโลก ๒๐ ชั้น และ๒) ความบริสุทธิ์ด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ ได้แก่ พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวก
- Publicationการบูรณาการหลักพุทธเศรษฐศาสตร์กับทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ อี เอฟ ชูเมกเกอร์พระประภาส ปญฺญาคโม (ดอกไม้); Phra Praphas Pa ãg mo (Dokmai) (2017)ดุษฎีนิพนธ์นี้วิจัยเพื่อการบูรณาการแนวคิดเศรษฐศาสตร์ วิธีการดำเนินการวิจัยคือ รวบรวมข้อมูลจากข้อมูลปฐมภูมิและทุติยภูมินำมาวิเคราะห์แล้วตกผลึกแนวคิดเพื่อนิพนธ์งานนี้ ดุษฎีนิพนธ์มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1. เพื่อศึกษาหลักพุทธเศรษฐศาสตร์ 2. เพื่อศึกษาทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ของ อี เอฟ ชูเมกเกอร์ 3. เพื่อการบูรณาการหลักพุทธเศรษฐศาสตร์กับทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ของ อี เอฟ ชูเมกเกอร์ การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงเอกสาร ใช้วิธีวิเคราะห์เชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า พุทธเศรษฐศาสตร์มีทางออกในการบริหารจัดการความต้องการอย่างเหมาะสม ลักษณะการดำเนินสายกลางของพุทธเศรษฐศาสตร์ มีเป้าหมายให้บุคคลได้รับความสุขสูงสุดที่พึงได้รับ เป็นความสุขที่เกิดจากการมีชีวิตที่ดีอย่างบริบูรณ์ ตลอดจนช่วยเหลือแบ่งปันปัจจัยในการดำรงชีวิตส่วนเกินให้แก่ผู้ที่ด้อยกว่าในสังคม ซึ่งก็คือเป้าหมายในทางพุทธเศรษฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ของชูเมกเกอร์คือ ที่สำคัญที่สุดคือมนุษย์ หน่วยการผลิตแรกคือชุมชนอำนาจการตัดสินใดๆ ควรมาจากชุมชนเท่านั้นและให้ตระหนักถึงภูมินิเวศให้มากเพราะมนุษย์กับทรัพยากรต่างพึ่งพาอาศัยกัน ทรัพยากรต้องใช้อย่างน้อยที่สุดประหยัดที่สุด และการตัดสินใจทางเศรษฐกิจต้องตั้งอยู่บนหลักพุทธที่สำคัญคือ การละชั่วและเพียรทำดี แนวคิดที่สำคัญในการบูรณาการคือ ทรัพยากรมนุษย์ ทรัพยากรธรรมชาติ วิธีการ ขวัญและกำลังใจ ผลการผสานแนวคิดแบบองค์ธรรมในสี่มิติ คือ ประหยัด ความพอดี ประโยชน์ สันติ ในทางเศรษฐศาสตร์นี้การไม่เบียดเบียนในทรัพยากรเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ชูเมกเกอร์เห็นว่ามนุษย์ทุกคนที่ทำงานนั้นควรเป็นไปเพื่อเป้าหมายในการเติมเต็มความเป็นธรรมชาติ เพราะทุกชีวิตร่วมอยู่ในระบบนิเวศเดียวกัน ต่างพึ่งพาอาศัยกัน แสดงให้เห็นถึงความมีสันติทั้งต่อมนุษย์และธรรมชาติ การบูรณาการเชิงสังคม คือ เป็นคนเย็น เห็นใจผู้อื่น ชีวิตที่กลมกลืนกับธรรมชาติ ฉลาดการใช้ชีวิต มีจิตเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่สังคม อุดมด้วยความดี อุทิศชีวีเพื่อสังคม เป็นการบูรณาการทั้งแบบ พหุเศรษฐศาสตร์และสหเศรษฐศาสตร์
- Publicationการพัฒนาพฤติกรรมการใช้เงิน ตามหลักพุทธปรัชญาเถรวาทของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนโคกสีพิทยาสรรพ์ จังหวัดขอนแก่นชานิณี ยศพันธ์; Chaninee Yospan (2017)การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1 เพื่อศึกษาแนวคิดทฤษฎีพฤติกรรมการใช้เงินตามหลักพุทธปรัชญาเถรวาท 2 เพื่อศึกษาสภาพปัณหาพฤติกรรมการใช้เงินของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย โรเงเรียนโคกสีพิทยาสรรพ์ จังหวัดขอนแก่น และ 3 เพื่อพัฒนาพฤติกรรมการใช้เงินตามหลักพุทธเถรวาท สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายโรงเรียนโคกสีพิทยาสรรพ์ จังหวัดขอนแก่นเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักได้แก่ นักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายจำนวน 30 คนผู้ปกครองของนักเรียนจำนวน 30 คนครูและผู้บริหารโรงเรียนจำนวน 5 คนรวมทั้งสิ้นจำนวน 35 คนเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก แบบสังเหตแบบมีส่วนร่วม และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า แนวคิดทฤษฎีพฤติกรรมการใช้เงินตามหลักพุทธปรัชญาเถรวาทคือหลักการหรือแนวคิดในการใช้เงินในการดำเนินชีวิตเกี่ยวกับปัจจัยสี่ อันได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่มหรือเครื่องประดับ ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค ในการใช้จ่ายเงินแต่ละครั้งต้องพิจารณาถึงคุณค่าแท้ของสิ่งที่จะซื้อก่อนแล้วจึงใช้จ่าย สำหรับหลักธรรมที่จะนำพิจารณาในการใช้จ่ายเงินได้แก่ หลักโภควิภาค หลักทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ มรรคมีองค์แปด สภาพปัญหาพฤติกรรมการใช้เงินของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนโคกสีพิทยาสรรพ์ จังหวัดขอนแก่น นักเรียนมีการใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย โดยเฉพาะด้านอาหาร เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ โทรศัพท์มือถือ การเที่ยวเตร่ เป็นต้น ซึ่งมีผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นยุคที่มีความเจริญก้าวหน้าทางด้านวัตถุมากมีการเข็งขันกันทางด้านวัตถุสูง คนในสังคมให้ค่านิยมทางด้านวัตถุมากกว่าด้านจิตใจ ส่งผลให้นักเรียนตกอยู่ในกระแสบริโภคนิยมไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ พัฒนาพฤติกรรมการใช้เงินตามหลักพุทธปรัชญาเถรวาท สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายโรงเรียนโคกสีพิทยาสรรพ์ จังหวัดขอนแก่น โดยการอบรมเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้เงินด้วยการจัดอบรมให้นักเรียนรู้คุณค่าของการใช้เงิน คุณค่าของการใช้เงินคือการใช้จ่ายเงินแต่ละครั้งต้องพิจารณาถึงคุณค่าที่แท้จริงของสิ่งที่จะซื้อแต่ละครั้ง ซึ่งทางพระพุทธศาสนาเรียกว่าการบริโภคที่คุณค่าแท้
- Publicationการพัฒนาพฤติกรรมมนุษย์ตามแนวพุทธจริยศาสตร์ในตำบลท่าสองคอน อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคามพระมหาอรรถพงษ์ สิริโสภโณ; Phramaha Attapong Sirisobhaṇ (2020)การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ตามแนวพุทธจริยศาสตร์ 2) เพื่อศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ตามแนวพุทธจริยศาสตร์ในตำบลท่าสองคอน อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม 3) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาพฤติกรรมมนุษย์ตามแนวทางพุทธจริยศาสตร์ของประชาชนตำบลท่าสองคอน อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ศึกษาข้อมูลจากพระไตรปิฎก เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง มีผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 41 รูป/คน วิเคราะห์ข้อมูลแบบพรรณนาตามหลักอุปนัยวิธี ผลการวิจัยพบว่า 1. พุทธจริยศาสตร์เป็นข้อปฏิบัติเพื่อควบคุมและพัฒนาพฤติกรรมมนุษย์ ซึ่งเป็นเกณฑ์ตัดสินคุณค่าความดีงามของมนุษย์ และเป็นตัวชี้วัดมาตรฐานทางจริยธรรม จำแนกออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ พุทธจริยศาสตร์ระดับต้น คือ ศีล พุทธจริยศาสตร์ระดับกลาง คือ กุศลกรรมบถ 10 และพุทธจริยศาสตร์ระดับสูง คือ มรรค 8 ทำให้พฤติกรรมดีและพัฒนาเหตุผลเชิงจริยธรรมไปพร้อมกับการพัฒนาพฤติกรรม 2. สภาพทางพุทธจริยศาสตร์ของประชาชนตำบลท่าสองคอน พบว่า มีพฤติกรรมละเมิดพุทธจริยศาสตร์ 3 กลุ่ม คือ พฤติกรรมละเมิดกฎเกณฑ์ศีลธรรม ละเมิดเพราะความไม่รู้ และจงใจละเมิด ส่วนการพัฒนาพฤติกรรมมนุษย์ตามแนวพุทธจริยศาสตร์ในตำบลท่าสองคอน ได้พัฒนาตามหลักศีล 5 โดยการพัฒนาพฤติกรรมเบญจศีลและเบญจธรรม พัฒนาพฤติกรรมให้กับกลุ่มที่มีปัญหา การจัดการปัจจัยเอื้อต่อการพัฒนาพฤติกรรม การใช้มาตรการชุมชนมาควบคุมพฤติกรรม และพัฒนาพฤติกรรมสุขภาวะไปด้วย 3. แนวทางพัฒนาพฤติกรรมมนุษย์ตามแนวพุทธจริยศาสตร์ โดยใช้พุทธจริยศาสตร์เป็นตัวกำหนดวิถีชีวิตและสร้างบรรทัดฐานเพื่อให้เป็นระบบกลไกจริยธรรมชุมชน ประยุกต์พุทธจริยศาสตร์ให้เหมาะสมกับบริบทชุมชน การพัฒนามนุษยธรรมและทักษะการใช้พุทธจริยศาสตร์ พัฒนาพฤติกรรมตามสภาพปัญหา และใช้เป็นหลักประกันทางสังคม รวมทั้งพัฒนาเหตุผลเชิงจริยธรรมไปพร้อมกับจัดการปัจจัยเอื้อต่อพุทธจริยศาสตร์ ส่งผลให้พฤติกรรมดีงาม การอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูล และพัฒนาศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์อย่างมีคุณค่า
- Publicationการวิเคราะห์ความงามผ้าไหมนครชัยบุรินทร์ ตามทฤษฎีวัตถุวิสัยพระมหาณัฐพันธ์ สุทสฺสนวิภาณี (หาญพงษ์); Phramaha Natthabhan Sudassanavibhãnĩ (Hanpong) (2018)การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาความงามตามทฤษฎีวัตถุวิสัย 2) ศึกษาผ้าไหมนครชัยบุรินทร์และ 3) วิเคราะห์ความงามผ้าไหมนครชัยบุรินทร์ ตามทฤษฎีวัตถุวิสัย ซึ่งเป็นการวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการเก็บข้อมูลจากการสนทนากลุ่มและการสัมภาษณ์เชิงลึกกับกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ กลุ่มผู้ทอผ้าไหมและกลุ่มปราชญ์ชาวบ้าน 20 คน กลุ่มผู้ส่งเสริม 16 คน กลุ่มผู้ให้ข้อมูลทั่วไป 16 คน รวม 52 คน แล้ววิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนาตามหลักอุปนัยวิธี ผลการวิจัยพบว่า 1) ความงามตามทฤษฎีวัตถุวิสัย เป็นการมองคุณค่าของสุนทรียะนั้นเป็นเรื่องของวัตถุอย่างเดียวที่ประกอบด้วยองค์ประกอบของศิลปวัตถุ ได้แก่ สี ขนาด สัดส่วน ช่วงจังหวะ บริเวณช่องว่างและตัวประกอบเสริม โดยสามารถรับรู้คุณค่าของศิลปวัตถุนี้ได้ด้วยประสาทสัมผัส ซึ่งคนส่วนใหญ่เกิดความพึงพอใจหรือชอบในศิลปวัตถุชิ้นนั้นๆ 2) ผืนผ้าไหมนครชัยบุรินทร์ ได้แก่ ผ้าไหมหางกระรอก จังหวัดนครราชสีมา ผ้าไหมขอคั่นนารี จังหวัดชัยภูมิ ผ้าไหมตีนแดง จังหวัดบุรีรัมย์ และผ้าไหมโฮล จังหวัดสุรินทร์ เป็นงานหัตถศิลป์ประเภทผ้าทอมือที่มีความงามของผืนผ้าไหมและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่น ด้วยสีสัน ลวดลาย เพื่อตอบสนองจุดมุ่งหมายการนำไปใช้ต่าง ๆ 3) ความงามของผ้าไหมนครชัยบุรินทร์ตามทฤษฎีวัตถุวิสัย เป็นความงามที่ผ่านกระบวนการทออย่างพิถีพิถัน บรรจงและประณีตประกอบกับความเพียรของตัวผู้ทอ ด้วยอาศัยความรู้ในศาสตร์และศิลป์เกี่ยวกับการทอผ้าเป็นอย่างดี เมื่อวิเคราะห์คุณค่าความงามตามทฤษฎีวัตถุวิสัย จะเห็นว่าคุณค่าความงามของผ้าไหมหางกระรอก ผ้าไหมขอคั่นนารี ผ้าไหมตีนแดง และผ้าไหมโฮล มีคุณสมบัติความงาม 3 ประการ คือ 1) ความงามเกิดจากเส้น สี ขนาดสัดส่วน ช่วงจังหวะ บริเวณว่าง และสีสัน 2) ความงามเกิดจากการอธิบายโดยอาศัยศิลปะ และ3) ความงามเกิดจากการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัส
- Publicationการวิเคราะห์แนวคิดขณิกวาทในปรัชญามาธยมิกพระอธิการนพพร กิตฺติสาโร (ศรีธนปัญญากุล); Phra Nopporn Kittisaro (Srithanapanyakul) (2018)การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 3 ประการคือ 1) เพื่อศึกษาแนวคิดขณิกวาทในปรัชญามหายาน 2) เพื่อศึกษาแนวคิดขณิกวาทในปรัชญามาธยมิก และ 3) เพื่อวิเคราะห์แนวคิดขณิกวาทในปรัชญา มาธยมิก การวิจัยนี้ เป็นการวิจัยในเชิงเอกสาร (Documentary Research) โดยการเก็บข้อมูลจากเอกสารปฐมภูมิและเอกสารทุติยภูมิ แล้วจึงนำข้อมูลนั้นมาพรรณาวิเคราะห์ ผลการวิจัยพบว่า 1. แนวคิดขณิกวาทในปรัชญามหายาน นั้นมีแนวคิดที่แตกต่างกัน คือ ไวภาษิกะ มีแนวคิดว่า องค์ประกอบพื้นฐานของโลกและชีวิตคือ ธรรม นิกายเสาตรานติกะ เชื่อว่าความจริงมีสองอย่างคือวัตถุกับจิตใจ ทุกอย่างอนิจจัง ไม่เที่ยงทั้งภาวะและอภาวะ โลกและชีวิตคืออนุกรมแห่งความเปลี่ยนแปลง นิกายโยคาจาร คำว่าโยคาจาร แปลว่า การปฏิบัติโยคะหรือบำเพ็ญเพียร เป็นการควบคุมร่างกายและจิตใจโดยการทำสมาธิ นิกายมัธยมิก นิกายแห่งทางสายกลาง ตั้งขึ้นในพุทธศตวรรษที่ ๗ ท่านคุรุนาคารชุนเป็นผู้ก่อตั้ง โดยได้อรรถาธิบายพุทธมติ ด้วยระบบวิภาษวิธี 2. ขณิกวาทในปรัชญามาธยมิก คือแนวคิดของความเปลี่ยนแปลงในทุกสรรพสิ่งเกิดดับทุกขณะ ตามลำดับความสืบทอดแห่งเหตุปัจจัยที่แท้จริง เรียกว่าสันตานวาท (ทฤษฎีว่าด้วยความสืบเนื่อง) ทุกสรรพสิ่ง หรือแม้แต่จิตเพียงอย่างเดียวเป็นขณิกะ พระนาคารชุนได้สร้างหลักทฤษฎีเกี่ยวกับศูนยตาขึ้น เพื่อที่จะอธิบายหลักปจจยการ และอนัตตา ด้วยวิภาษวิธีให้ถึงแก่นแท้ตามหลักปฏิจจสมุปบาท สู่จุดมุ่งหมายสูงสุดคือ นิรวาณ 3. วิเคราะห์แนวคิดขณิกวาทในปรัชญามาธยมิกนั้นแสดงให้เห็นว่า สิ่งต่างๆทั้งวัตถุและจิตล้วนแต่ดำเนินไปตามเหตุปัจจัยในแต่ละขณะ ทุกสรรพสิ่งต้องเปลี่ยนแปลงไปเป็นกระแส ไม่มีอะไรคงทนถาวรอยู่ได้แม้ชั่วขณะเดียว (ขณิกทัศนะ) สิ่งทั้งหลายล้วนอาศัยซึ่งกันและกันตามเหตุตามปัจจัย (ปฏิจจสมุปบาท) ธรรมชาติของสรรพสิ่งก็เพียงความว่างเปล่า การเข้าถึงขณิกวาทคือการเข้าถึงซึ่งความไม่ประมาทในการดำเนินดำรงอยู่อย่างมีสติ ระลึกรู้ในทุกขณะรวมถึงการรู้แจ้งขณิกทัศนะอย่างถูกต้องนั้นต้องอาศัยภาวนามยปัญญาพิจารณาให้เห็นสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง จนถึงสภาวะของความว่าง คือว่างจากกิเลสตัณหา และว่างจากการพรรณนาความจริงขั้นปรมัตถ์ สู่ความหลุดพ้นสูงสุด คือ (นิรวาณ)
- Publicationการวิเคราะห์แนวคิดความอกตัญญูในกลอนลำเรื่อง"ลูกลืมคุณพ่อแม่ ผีแก่ลงนรก" ของหมอลำคณะระเบียบวาทะศิลป์ในทัศนะพุทธปรัชญาและทฤษฎีอัตนิยมของโทมัส ฮอบส์พระธีรวัฌน์ ธีรวํโส (เลิศประเสริฐ); Phra Tirawat Triravangso (Lertprasert) (2013)วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ของการวิจัย 3 ประการ คือ (1) เพื่อศึกษาแนวคิดความกตัญญูในพุทธปรัชญาและทฤษฎีอัตนิยมของโทมัส ฮอบส์ (2) เพื่อศึกษาแนวคิดและปัญหาความอกตัญญูในเรื่อง “ลูกลืมคุณพ่อแม่ ผีแก่ลงนรก” ของหมอลำคณะระเบียบวาทศิลป์ และ (3) เพื่อวิเคราะห์แนวคิดความอกตัญญูในกลอนลำเรื่อง “ลูกลืมคุณพ่อแม่ ผีแก่ลงนรก” ของหมอลําคณะระเบียบวาทะศิลป์ในทัศนะพุทธปรัชญาและทฤษฎีอัตนิยมของโทมัส ฮอบส์ ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ ความกตัญญู คือ ความตระหนักสำนึกรู้ในคุณของบุคคล สัตว์ และสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อตนเองทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ความสำนึกในบุคคลและควรตอบแทนบุคคล ตลอดทั้งช่วยเกื้กูลสังคมส่วนรวมด้วยความเมตตา ส่วนอกตัญญู คือ ความไม่รู้สำนึกต่อบุคคลที่เคยทำดีเคยช่วยเหลือเกื้อกูลตนมา ลืมบุญคุณผู้อื่นที่ทำแก่ตนมา ผู้ไม่ยอมรับบุญคุณของใครทั้งนั้น ทฤษฎีอัตนิยมของโทมัส ฮอบส์ เห็นว่าความเห็นแก่ตัวเป็นธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน ยึดถือประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก กระทำทุกอย่างที่ก่อให้เกิดประโยชน์ในปัจจุบันที่เลวร้าย เพราะแรงกระตุ้นจากปัจจัยภายนอกที่สะสมและมีผลเมื่อแสดงพฤติกรรมออกสู่ภายนอก ทำให้มนุษย์ละเมิดกัน โดยไม่นึกถึงผลที่จะตามมาในอนาคต เพราะอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนไม่สามารถประเมินได้ ปัญหาความอกตัญญูในกลอนลำ (1)หน้าที่ของแม่ทองใบกับไพรินพบว่า ไม่ทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ เลี้ยงลูกสาวตามอารมณ์ ทำให้ไพรินเห็นแก่ตัวไม่รู้จักผิดถูก เพราะรักและเมตตาแต่ปัญญาแค่บโอนอ่อนตามอารมณ์แสวงหาในสิ่งที่ไม่ควร เมื่อบอกให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมถึงกับเป็นปัญหาชกต่อยกันแม่โกรธไล่บุญถึงหนี และยกมรดกสมบัติที่ให้ไพรินคนเดียว (2) ไพรินถูกเลี้ยงแบบตามใจ ทำให้ไม่คำนึงถึงประโยชน์คนอื่นนอกจากประโยชน์ตน นำมาซึ่งความเสื่อมเสีย ไม่ทำหน้าที่การแบ่งเบาภาระบ้านเรือนช่วยแม่ ปัญหาความอกตัญญูของบุตรธิดากับบิดามารดา (1) ปัญหาการลืมคุณแม่พบว่า หลังจากที่ไพรินได้รับมรดกสมบัติได้เอาไปจำนองไม่ไถ่ถอนคืน เงินที่ได้จากการจำนองก็ใช้จ่ายบำเรอความสุขของตน โดยไม่อาลัยใยดีต่อแม่ที่กำลังนอนป่วยอยู่ศาลากลางบ้าน ตลอดระยะเวลาที่ไพรินเข้ากรุงเทพไม่ยอมส่งข่าว แม่คิดถึงจึงไปถามข่าวแต่ถูกไพรินปฏิเสธความเป็นลูก เพราะกลัวเพื่อนบ้านนินทา (2) ปัญหาความเห็นแก่ตัวของไพรินพบว่า ได้นำมรดกสมบัติไปจำนองไม่ไถ่ถอนคืนปล่อยให้ถูกยึด แม่ทองใบต้องลำบากย้ายไปนอนพักที่ศาลากลางบ้าน ส่วนไพรินใช้เงินและสินหมั้นของทองสุขนั้นอย่างมีความสุข ใช้ชีวิตตามอารมณ์โดยไม่นึกถึงแม่ทองใบผู้ให้กำเนิด วิเคราะห์แนวคิดความอกตัญญูในกลอนลำเรื่อง (1) หน้าที่ของแม่ทองใบกับไพริน พุทธปรัชญามองว่าไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของแม่ทองใบ เพราะขาดสติในการพิจารณาก่อนจะยกมรดกสมบัติให้ไพรินคนเดียว ส่วนฮ็อบส์มองว่า เป็นสิ่งที่ดีและควรกระทำ เพราะไพรินมีเจตนาเพื่อผลประโยชน์ตนไม่ได้คำนึงถึงสิ่งภายนอกรวมทั้งบุคคล วัตถุ สิ่งของและอื่นๆ (2) ความอกตัญญูของไพริน พุทธปรัชญามองว่า ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของไพริน เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ควรประพฤติ หากไม่ทำตามหน้าที่ของความเป็นบุตรไม่นึกถึงพระคุณของแม่ที่เลี้ยงมาถือว่าไพรินอกตัญญู ย่อมประสบความเสื่อม ไม่มีความสุข และถูกติเตียน ฮอบส์ มองว่าเห็นด้วย เพราะเป็นการกระทำเพื่อการดูแลชีวิตตนเองก็ต้องเกิดจากจิตเป็นคำสั่งที่ต้องกระทำตามผู้บงการคือความรู้สึกภายในและจิตใต้สำนึก (3) ความเห็นแก่ตัว พุทธปรัชญามองว่า ไม่เห็นด้วยกับการใช้ชีวิตตามอารมณ์ เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้เป็นทาสของวัตถุ โทมัส ฮอบส์ มองว่า เห็นด้วยเพราะมนุษย์มีหน้าที่ในการรักษาชีวิตตนเองเป็นหลักเบื้องต้นแต่ความปรารถนาเป็นการดิ้นรนแสวงหาตามใจตนถือเอาตนเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง
- Publicationการวิเคราะห์แนวคิดภพภูมิในพระไตรปิฎกที่ปรากฏในไตรภูมิพระร่วงพระครูวิจิตรธรรมาทร (เรียน ติสฺสวํโส); Phrakru Vijitdhammathon (Rian Tissawangso) (2018)การวิจัยมีคือ ๑) เพื่อศึกษาแนวคิดภพภูมิในพระไตรปิฎก ๒) เพื่อศึกษาแนวคิดภพภูมิในไตรภูมิพระร่วง และ ๓) เพื่อวิเคราะห์แนวคิดภพภูมิในพระไตรปิฎกที่ปรากฏในไตรภูมิพระร่วง เป็นการวิจัยเชิงเอกสาร โดยการเก็บข้อมูลจากเอกสารปฐมภูมิและทุติยภูมิ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีพรรณนาตามหลักอุปนัยวิธี ผลการวิจัยพบว่า ๑. แนวคิดภพภูมิในพระไตรปิฎก พบว่า ภพภูมิในพระไตรปิฎกเป็นดินแดนอันเป็นที่เกิดของสัตว์มีอยู่ ๓ ดินแดน เรียกว่า ไตรภูมิ ได้แก่ ๑) กามภูมิ คือ ดินแดนอันเป็นที่เกิดของสัตว์ที่ยังวนเวียนอยู่ในกามประกอบด้วย อบายภูมิ มนุษย์ภูมิ และสวรรค์ภูมิ ๒) รูปภูมิ คือ ดินแดนที่เป็นดินแดนที่อยู่เหนือสวรรค์ชั้นปรมินมิตวสวัตดีขึ้นไปเรียกว่า พรหมโลก ได้แก่ รูปพรหม และ ๓) อรูปภูมิ คือ ดินแดนอันเป็นที่เกิดของสัตว์ที่ไม่มีรูป ไม่มีตัวตน มีแต่เพียงจิต ได้แก่ อรูปพรหม ๒. แนวคิดภพภูมิในไตรภูมิพระร่วง พบว่า ไตรภูมิพระร่วงเป็นวรรณคดีที่สำคัญเล่มหนึ่งของพุทธศาสนาที่มีอิทธิพลต่อคนไทย พระราชนิพนธ์ขึ้นในสมัยสุโขทัย โดยพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พญาลิไท) มีสารัตถะที่พรรณนาถึงคติความเชื่อเกี่ยวกับ นรก สวรรค์ การเวียนว่ายตายเกิด และสัณฐานของโลก ที่แบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่ กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ ๓. แนวคิดภพภูมิในพระไตรปิฎกที่ปรากฏในไตรภูมิพระร่วง พบว่า มีการกล่าวถึงภพภูมิเหมือนกัน แต่มีการพรรณนาเกี่ยวภพภูมิที่แตกต่างกันดังนี้ พระไตรปิฎก มีจุดมุ่งหมายในการแสดงภพภูมิในลักษณะของการเวียนว่ายตายเกิดที่ทำให้เกิดทุกข์ และแสดงวิธีพ้นทุกข์ด้วยการบรรลุนิพพาน ส่วนไตรภูมิพระร่วงมีจุดมุ่งหมายในการแสดงภพภูมิเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการปกครองบ้านเมือง และการควบคุมคนในสังคม โดยสอนให้คนทำความดี และเว้นการทำความชั่ว
- Publicationการวิเคราะห์แนวคิดเรื่องขันธ์ 5 ในเชิงอภิปรัชญาพระมหาไพฑูรย์ สิริธมฺโม (ชัยกุง); Phramaha Praitool Siritammo (Chaikhung) (2018)การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ ๑) เพื่อศึกษาปัญหาอภิปรัชญาในพุทธปรัชญาเถรวาท ๒) เพื่อศึกษาแนวคิดเรื่องขันธ์ ๕ ในพุทธปรัชญาเถรวาท ๓) เพื่อวิเคราะห์แนวคิดเรื่องขันธ์ ๕ ในเชิงอภิปรัชญา การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิธีวิเคราะห์เชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า อภิปรัชญาในพุทธปรัชญานั้นมีลักษณะที่ต่างจากทัศนะแบบตะวันตก ซึ่งไม่ใช่เป็นลักษณะการคาดเก็งความจริง หรืออนุมานถึงความน่าจะเป็นของสรรพสิ่ง หากแต่เป็นการแสดงถึงความจริงของสรรพสิ่งตามที่มันเป็น พุทธปรัชญาสอนหลักความจริงว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นคนสัตว์หรือสิ่งของ เป็นรูปธรรมหรือนามธรรม เป็นเรื่องทางวัตถุหรือเป็นเรื่องจิตใจ ทั้งหมดล้วนเป็นไปตามหลักธรรมดาแห่งเหตุปัจจัย เป็นเรื่องของปัจจัยสัมพันธ์ ปัญหาทางอภิปรัชญาในพระพุทธศาสนามาสามารถสรุปได้ ๒ แนวคิดหลัก คือ สัสสตทิฏฐิ ความเห็นว่าเที่ยง, ความเห็นว่าอัตตาและโลกเที่ยงแท้ยั่งยืนคงอยู่ตลอดไป และอุจเฉททิฏฐิ ความเห็นว่าขาดสูญ, ความเห็นว่าอัตตาและโลกซึ่งจักพินาศขาดสูญหมดสิ้นไป ขันธ์ ๕ เป็นการรวมส่วนประกอบของกระบวนการแห่งชีวิต ได้แก่ รูป (กาย) เวทนา (ความรู้สึก) สัญญา (ความจำ) สังขาร (สิ่งปรุงแต่ง) วิญญาณ (ความแจ้ง) หรือเรียกอีกอย่างว่ารูปและนาม (กายกับจิต) เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นและมีการทำงานร่วมกันไม่อาจแยกออกจากกันได้ พุทธปรัชญามองชีวิตในลักษณะวิเคราะห์ (Analysis) แยกองค์ประกอบใหญ่เป็นชิ้นส่วนย่อย เราจะเห็นว่าแท้ที่จริงแล้วตัวตนที่แท้จริงก็มาจากการประชุมกันของธาตุต่างๆ พระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องของขันธ์ ๕ เพื่อความคลายยึดมั่นถือมั่น แสดงเรื่องทุกข์และความดับแห่งทุกข์ โดยการทำความเข้าใจเรื่องขันธ์ ๕ นั่นเอง พุทธปรัชญาเป็นทฤษฎีความเป็นจริงแบบวิภัชชวาท คือ ทฤษฎีความเป็นจริงที่ว่าด้วยการกล่าว จำแนก แยกแยะ ความจริงในพุทธปรัชญาจัดเป็นสัจนิยม (Realism) ที่ถือว่าโลกทางกายภาพนอกตัวเรามีอยู่จริงและมีความเป็นจริงในตัว ไม่ขึ้นกับความคิด ความเห็น หรือความรู้ของมนุษย์ เรื่องของขันธ์ ๕ ไม่ใช่เป็นเพียงการทำความเข้าใจในปัญหาทางอภิปรัชญาเท่านั้น แต่ยังเป็นการทำความเข้าใจในความจริงของชีวิตตลอดทั้งสาย การเข้าถึงหลักความจริงในพระพุทธศาสนา (นิพพาน) สามารถเข้าได้ด้วยการปฏิบัติตนให้พ้นจากกิเลสเท่านั้น
- Publicationการวิเคราะห์บทบาทของภิกษุณีในพระพุทธศาสนาพลเผ่า เพ็งวิภาศ; Phonphao Phengwiphat (2018)งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาภูมิหลังองภิกษุณีในพระพุทธศาสนา (2) เพื่อศึกษาบทบาทของภิกษุณีในพระพุทธศาสนา (3) เพื่อศึกษาการวิเคราะห์บทบาทของภิกษุณีในพระพุทธศาสนา เป็นการวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary research) โดยเก็บข้อมูลชั้นปฐมภูมิ จาก พระไตรปิฎกภาษาไทย และเอกสารทุติยภูมิ จากเอกสาร บทความทางวิชาการ หนังสือ ตำรา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนาวิธีตามหลักอุปนัยโดยยึดวัตถุประสงค์เป็นแนว ผลการวิจัยพบว่า 1) สังคมอินเดียโบราณได้กีดกันสตรีและปฏิเสธการเข้ามาบวชในศาสนาเพราะค่านิยมของสังคมและจารีตประเพณี แต่พระพุทธเจ้ายอมรับให้สตรีเข้ามาบวชในพุทธศาสนาได้จากทุกชั้นวรรณะ โดยไม่มีข้อจำกัด จนทำให้เกิดภิกษุณีรูปแรกคือพระปชาบดีโคตมีเถรีขึ้นในพระพุทธศาสนาโดยการทูลขออนุญาตของพระอานนท์หลังจากที่พระองค์ได้ตรัสรู้แล้วได้ 5 พรรษา จากนั้นได้มีภิกษุณีอุปสมบทในพุทธศาสนาอีกจำนวนมาก 2) บทบาทของภิกษุณี มี 5 ด้าน ประกอบด้วย 1) บทบาทด้านการเผยแพร่คำสอนพระพุทธศาสนา มีภิกษุณี จำนวน 3 รูป ที่มีบทบาทโดดเด่น ประกอบด้วย คือ 1. พระรูปนันทาเถรี 2.พระธรรมทินนาเถรี 3. พระภัททากัจจานาเถรี 2) บทบาทด้านการศึกษาสงเคราะห์ มีภิกษุณี จำนวน 2 รูป ที่มีบทบาทโดเด่น ประกอบด้วย 1.พระภัททากุณฑลเกสาเถรี 2. พระสิงคาลมาตาเถรี 3) บทบาทด้านการปกครอง มีภิกษุณี จำนวน 3 รูป ที่มีบทบาทโดเด่น ประกอบด้วย 1. พระนางมหาปชาบดีโคตมี 2. พระปฏาจาราเถรี 3. พระสกุลาเถรี 4) บทบาทด้านการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม มีภิกษุณี จำนวน 4 รูป ที่มีบทบาทโดเด่น ประกอบด้วย 1. พระเขมาเถรี 2.พระอุบลวรรณาเถรี 3. พระโสณาเถรี 4. พระภัททกาปิลานีเถรี 5) บทบาทด้านสาธารณสงเคราะห์ มีภิกษุณี จำนวน 2 รูป ที่มีบทบาทโดเด่น ประกอบด้วย 1.พระกีสาโคตรมีเถรี 2.พระสิงคาลมาตาเถรี 3) ภิกษุณีสงฆ์ได้ทำบทบาทใน 5 ด้าน ในฐานะเป็นพุทธบริษัทด้วยการนำคำสอนไปบูรณาการในการสอนให้เข้ากับยุคสมัยจุดประสงค์เพื่อสร้างสังคมให้ดีงาม มีการจัดการศึกษาแบบให้เปล่าเพื่อให้ทุกคนได้เข้าถึงการศึกษาโดยไม่มีการแบ่งชนชั้น และใช้หลักธรรมวินัยเป็นเครื่องมือในการปกครองเคารพในระบบคุณธรรมและระดับอาวุโส ทั้งนี้ยังมีการสืบทอดวัฒนธรรมอันดีงามในการเคารพสิทธิส่วนบุคคลมีกตัญญูต่อบรรพบุรุษ รวมถึงการสร้างสาธารณูปโภคเพื่อเป็นประโยชน์แก่สังคม สรุปได้ว่า บทบาทที่ภิกษุณีได้แสดงออกมาใน 5 ด้านนั้น เป็นประโยชน์เกื้อกูลในการขัดเกลาจิตใจของคนให้ดีงามและเป็นประโยชน์เกื้อกูลด้วยการสร้างความสงบสุขต่อสังคมโลก
- Publicationการวิเคราะห์พุทธจริยศาสตร์เพื่อการครองเรือนกับกฎหมายการฟ้องหย่าสุทิน ไชยวัฒน์; Sutin Chaiwat (2020)การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาพุทธจริยศาสตร์สำหรับการครองเรือน 2) เพื่อศึกษาแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับกฎหมายการฟ้องหย่า 3) เพื่อศึกษาวิเคราะห์พุทธจริยศาสตร์เพื่อการครองเรือนกับกฎหมายการฟ้องหย่า เป็นการวิจัยเชิงเอกสาร โดยศึกษาข้อมูลจากพระไตรปิฎก เอกสารวิชาการด้านกฎหมาย และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการพรรณนาเชิงวิเคราะห์ตามหลักอุปนัยวิธี ผลการวิจัยพบว่า 1. หลักพุทธจริยศาสตร์เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ใช้เป็นหลักปฏิบัติสำหรับการครองเรือนแบ่งเป็นระดับต้น ได้แก่ ศีล ใช้ควบคุมกาย วาจา ระดับกลาง ได้แก่ กุศลกรรมบถ 10 ใช้ควบคุมกาย วาจา ใจ และระดับสูง ได้แก่มรรคมีองค์ 8 ใช้ควบคุมกาย วาจา ใจ และพัฒนาสติปัญญา นอกจากนี้ยังนำหลักทิศ 6 ฆราวาสธรรม และอบายมุข มาร่วมเป็นเครื่องมือในการพัฒนาด้วย 2. กฎหมายการฟ้องหย่า เป็นหลักการที่นำไปใช้เพื่อการฟ้องหย่าที่เกิดจากความผิดของคู่สามีภรรยา เช่น การมีชู้ การประพฤติชั่วด้วยกาย วาจา และด้วยสาเหตุการฟ้องหย่าที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนฐานความผิดของคู่สมรสเช่น การต้องคำพิพากษาให้จำคุก เป็นคนวิกลจริต เป็นโรคติดต่อร้ายแรง และการมีสภาพร่างกายไม่อาจร่วมประเวณีได้ เป็นต้น 3. วิเคราะห์พุทธจริยศาสตร์เพื่อการครองเรือนกับกฎหมายการฟ้องหย่า ประกอบด้วย (1) หลักอินทรีย์สังวร 6 ไม่หลงเพลิดเพลินในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (2) หลักฆราวาสธรรม 4 (3) ศีล 5 (4) หลักอบายมุข 6 (5) หลักทิศ 6 หมายเอาเฉพาะทิศเบื้องหลัง ได้แก่ ภรรยาหรือสามี ที่จะทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ด้วยข้อปฏิบัติที่กล่าวไว้ในทิศเบื้องหลังนั้นเช่น สามีต้องยกย่อง ไม่ดูหมิ่น ไม่นอกใจ มอบความเป็นใหญ่ ส่วนภรรยาก็จะทำหน้าที่ของตนอย่างสมบูรณ์ด้วยการดูแลทรัพย์สิน ญาติ ไม่นอกใจ และไม่เกียจคร้าน เพราะหลักพุทธจริยศาสตร์ที่กล่าวมานี้จะทำให้เกิดความสุขในการครองเรือน และไม่มีการฟ้องหย่าเกิดขึ้นในทุกกรณี
- Publicationการวิเคราะห์เรื่องตัวตนในงานวรรรกรรมของ เสกสรรค์ ประเสริฐกุลตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาทเด่นชัย ประทุมแฝง; Deanchai Pratumfang (2012)วิทยานิพนธ์ฉบับนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพในสาขาปรัชญาการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิเคราะห์แนวคิดเรื่องตัวตนในงานวรรณกรรมของเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาท การวิจัยเป็นการวิจัยเอกสารโดยอ่านและวิเคราะห์เนื้อหาในงานเขียนของเสกสรรค์ฯ จำนวน ๓๓ เล่ม เพื่อศึกษาแนวคิดเรื่องตัวตนในพุทธปรัชญาเถรวาทโดยศึกษาข้อมูลในพระไตรปิฏก อรรถกถา ฎีกาและเอกสารที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวคิดเรื่องตัวตนในพุทธปรัชญาโดยอาศัยทฤษฎีสัจจะ ๒ เป็นหลักซึ่งจะเห็นได้ว่าความจริงสูงสุดคือปรมัตถสัจจะนั้นพุทธปรัชญาเถรวาทปฏิเสธแนวคิดเรื่องตัวตนที่ถาวรซึ่งสุดท้ายแล้วเป็นเพียงสภาวะที่ว่างเปล่าคือสุญญตาไม่มีตัวตนที่ถาวรตัวตนในระดับสมมติสัจจะซึ่งเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่ใช้เพื่อการสื่อสาร (ภาษา) ในการสร้างความเข้าใจเพื่อการอยู่ร่วมของมนุษย์ คำว่าตัวตนระดับสมมติสัจจะนี้เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ การศึกษาแนวคิดเรื่องตัวตนที่ปรากฏในงานวรรณกรรมของ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล พบว่าตัวตนแบ่งออกได้ ๓ แบบคือ ๑. ตัวตนที่เป็นวัตถุคือร่างกาย ๒. ตัวตนที่เป็นจิตคือความคิด และ ๓. ตัวตนที่เป็นลักษณะเฉพาะตัว ตัวตนทั้งหมดที่นำเสนอผ่านงานวิจัยนี้ล้วนมาปัจจัยหลัก ๒ ประการคือ ๑. จากประสบการณ์ในชีวิต ๒. จากการศึกษาเรียนรู้ผ่านทฤษฎีต่าง ๆ จนเกิดบูรณาการขึ้นมาเป็นชุดความคิดต่าง ๆของตัวเอง ดังนั้น ตัวตนในงานวรรณกรรมของ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล เมื่อวิเคราะห์ตามแนว พุทธปรัชญาเถรวาทแล้ว ในระดับที่เป็นภาษาและข้อความในงานวรรณกรรมเป็นเพียงตัวตนในระดับสมมติบัญญัติเท่านั้น แต่จากประสบการณ์ของชีวิตและทฤษฎีที่เรียนรู้มาทำให้เห็นว่าเป้าหมายของความสมบูรณ์ของมนุษย์คือการปราศจากทุกข์อย่างสิ้นเชิงซึ่งเมื่อมองตามเจตนารมณ์ของ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล แล้วถือว่าเป็นความจริงระดับปรมัตถสัจจะ
- Publicationการวิเคราะห์หลักพุทธจริยศาสตร์กำหรับแก้ปัญหาการครองเรือนในสังคมไทยพระวิทูล สนฺตจิตฺโต (โพธิเศษ); Phra Witool Santajitto (Phothised) (2012)การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ ๓ ประการ คือ๑) เพื่อศึกษาแนวคิดและปัญหาเกี่ยวกับการครองเรือน ๒) ศึกษาหลักพุทธจริยศาสตร์สำหรับการครองเรือน ๓) เพื่อศึกษาวิเคราะห์หลักพุทธจริยศาสตร์สำหรับแก้ปัญหาการครองเรือนในสังคมไทย เป็นการวิจัยเอกสาร (Documentary research) โดยใช้วิธีวิเคราะห์เชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า หลักการและแนวคิดเกี่ยวกับการครองเรือนในทรรศนะทางปรัชญามีอยู่มากมาย เช่น แนวคิดแบบประโยชน์นิยม แนวคิดแบบสุขนิยม แนวคิดแบบจิตนิยม และแนวคิดแบบศิลปนิยม เป็นต้น ซึ่งหลักการครองเรือนเหล่านี้และมนุษย์เราสามารถเลือกได้ตามความสมเหตุสมผล เพื่อเป็นการลดปัญหาต่างๆ อันจะเกิดขึ้นในการดำเนินชีวิตเพราะสังคมไทยในปัจจุบันกำลังประสบกับปัญหาต่างๆ มากมาย เช่น ปัญหาการหย่าร้าง ปัญหาการเลี้ยงดู ปัญหาการทอดทิ้งมารดาบิดา และปัญหายาเสพติด เป็นต้น หลักพุทธจริยศาสตร์เป็นหลักการประพฤติปฏิบัติของบุคคลเพื่อเข้าถึงจุดหมายสูงสุด พุทธปรัชญาได้วางหลักจริยศาสตร์ไว้ ๓ ระดับ คือ จริยศาสตร์ระดับต้นคือศีล ๕ จริยศาสตร์ระดับกลางคือกุศลกรรมบถ ๑๐ และจริยศาสตร์ระดับสูงคืออริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นต้น ในการครองเรือนนั้นพุทธจริยศาสตร์ได้วางหลักการประพฤติปฏิบัติ ไว้เป็นกรอบแนวความคิดสำหรับการดำเนินชีวิตของผู้ครองเรือน อันได้แก่หลักสังคหวัตถุ ๔ สำหรับการครองตนเป็นคนดีอันเกิดประโยชน์ทั้งต่อตนเองและยังส่งผลไปสู่บุคคลรอบข้างด้วยหลักฆราวาสธรรม ๔ สำหรับสร้างความรักความสามัคคีของคนในสังคม เป็นหลักการครองชีวิตอันจะประสบกับความสุขความร่มเย็น หลักปฏิบัติต่อกันของผู้ครองเรือนในรูปแบบสามีภรรยาคือหลักทิศ ๖ โดยมีจุดมุ่งหมาย ๓ ขั้น ได้แก่ ขั้นตาเห็นหรือประโยชน์ในปัจจุบัน ขั้นเลยตาเห็นหรือประโยชน์เบื้องหน้า และจุดหมายขั้นสูงสุดหรือประโยชน์อย่างยิ่ง หลักพุทธจริยศาสตร์สำหรับแก้ปัญหาการครองเรือน คือ ใช้หลักฆราวาสธรรมอันได้แก่ ความจริงใจ การปรับตัว ความอดทน และเสียสละแบ่งปัน ในการแก้ปัญหาการหย่าร้าง หลักพรหมวิหารธรรมอันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ในการแก้ปัญหาการเลี้ยงดูบุตร หลักการเลือกคบมิตร ในการแก้ปัญหายาเสพติด หลักความกตัญญูกตเวทีและหลักสังคหวัตถุอันได้แก่ การสงเคราะห์ วาจาไพเราะอ่อนหวาน การขวานขวายช่วยเหลือ และการประพฤติตนเป็นผู้เสมอต้นเสมอปลาย ในการแก้ปัญหาการทอดทิ้งผู้สูงอายุ อันเป็นหลักปฏิบัติสำหรับคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน เพื่อความดีงามและความผาสุกในการครองเรือน และเป็นการสร้างสรรค์สังคมให้เกิดความสงบเรียบร้อย
- Publicationการวิเคราะห์หลักอัตถิภาวนิยมในพระพุทธศาสนาเอกบุญญาวรรณ พลอยพรรณณา; Ekboonyawan Ploypanna (2020)งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาหลักอัตถิภาวนิยมในพระพุทธศาสนา 2) เพื่อศึกษาทฤษฎีอัตถิภาวนิยม 3) เพื่อวิเคราะห์หลักอัตถิภาวนิยมในพระพุทธศาสนา เป็นการวิจัยเชิงเอกสาร ศึกษาข้อมูลจากพระไตรปิฎก เอกสารวิชาการ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนาตามหลักอุปนัยวิธี ผลการวิจัยพบว่า 1. หลักอัตถิภาวนิยมในพระพุทธศาสนา พบว่า สภาวะของจิตที่มีเสรีภาพเป็นจิตปภัสสรที่มีความบริสุทธิ์เพราะปราศจากกิเลสเศร้าหมองมารบกวน และจิตประภัสสรนี้เกิดความเศร้าหมองขึ้นเพราะถูกกิเลสต่าง ๆ ครอบงำจนไร้เสรีภาพ และเสรีภาพนี้จะเกิดขึ้นได้ด้วยการปฏิบัติอย่างเคร่งครัดจนจิตหลุดพ้นจากอวิชชา ตัณหา อุปาทาน จนบรรลุพระนิพพาน จึงได้ชื่อว่า จิตมีเสรีภาพอย่างแท้จริง 2. ทฤษฎีอัตถิภาวนิยม พบว่า เสรีภาพเป็นสภาวะของจิตที่มีอิสระ สามารถทำการต่าง ๆ ได้ตามปรารถนา ไม่มีอุปสรรคใด ๆ มาขัดขวางการกระทำของตน โดยถือว่า มนุษย์ถูกสาปให้มีเสรีภาพ และเกิดมาพร้อมกับเสรีภาพ เสรีภาพจึงเป็นแก่นแท้ของชีวิตมนุษย์ เมื่อมนุษย์มีเสรีภาพ เขาจึงเลือกใช้เสรีภาพของเขาโดยไม่ให้ไปกระทบต่อเสรีภาพของคนอื่น 3. การวิเคราะห์หลักอัตถิภาวนิยมในพระพุทธศาสนา พบว่า การนำแนวคิดอัตถิภาวนิยมที่มีอยู่ในหลักคำสอนของพระพุทธศาสนามาเป็นกระบวนการพัฒนามนุษย์ให้เข้าถึงเป้าหมายที่แท้จริงในระดับโลกิยะคือการกระทำของตนให้ตั้งอยู่ในกุศลธรรม และระดับโลกุตตระด้วยการละสังโยชน์ได้ ซึ่งมีขั้นตอนการเข้าถึงเสรีภาพคือ การรักษาศีล เจริญสมาธิจนได้ฌาน แล้วยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนาด้วยการพิจารณาเห็นไตรลักษณ์ และละสังโยชน์เครื่องผูกสัตว์ไว้ในสังสารวัฏ และการจะมีเสรีภาพมาก หรือน้อยขึ้นอยู่กับการละสังโยชน์ได้ ถ้าละได้ทั้ง 10 ข้อ ก็จะบรรลุนิพพานที่ถือเป็นเสรีภาพขั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนา
- Publicationการวิเคราะห์อภิปรัชญาที่ปรากฏในสารัตถะแห่งคัมภีร์มิลินทปัญหาพระมหาปพน กตสาโร (แสงย้อย); Phramaha Papon Katasaro (Seangyoi) (2018)การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาแนวคิดอภิปรัชญาในอภิธรรมปิฎก 2) เพื่อศึกษาสารัตถะแห่งคัมภีร์มิลินทปัญหา 3) เพื่อวิเคราะห์อภิปรัชญาที่ปรากฏในสารัตถะแห่งคัมภีร์มิลินทปัญหาเป็นการวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary research) โดยการเก็บข้อมูลจากเอกสารปฐมภูมิ และเอกสารทุติยภูมิ แล้วนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการพรรณนา ตามหลักอุปนัยวิธี ผลการวิจัยพบว่า 1) แนวคิดอภิปรัชญาในอภิธรรมปิฎกพบว่า อภิปรัชญานั้นหมายถึงปรมัตถธรรม ที่ประกอบด้วย จิต ได้แก่ กุศลจิต อกุศลจิต และอัพยากตจิต, เจตสิก ได้แก่ เจโตยุตตลักขณะ 4 ลักษณะ คือ 1) เอกุปปาทะ เกิดพร้อมกับจิต, 2) เอกนิโรธ ดับพร้อมกับจิต, 3) เอกาลมุพนะ รับอารมณ์อย่างเดียวกับจิต 4) เอกวาถูกะ อาศัยวัตถุอย่างเดียวกับจิต, รูป ได้แก่ 1) รูปสมุทเทสนัย (มหาภูตรูป, อุปาทายรูป,2) รูปวิภาคนัย, 3) รูปสมุฏฐานนัย, 4) รูปกลาปนัย, และ5) รูปปวัตติกกมนัย และนิพพานได้แก่ 1) สันติลักษณะ, 2) สอุปาทิเสสนิพพาน, 3) อนุปาทิเสสนิพพาน, 4) สุญญตนิพพาน, 5) อนิมิตตนิพพาน, 6) อัปปณิหตนิพพาน 2) สารัตถะแห่งคัมภีร์มิลินทปัญหา พบว่า คัมภีร์มิลินทปัญหา แบ่งเป็น 6 ส่วน ดังนี้ (1) บุพพกรรมของพระนาคเสนและพระเจ้ามิลินท์ (2) ปัญหาเงื่อนเดียว (3) ปัญหาสองเงื่อน (4) เรื่องที่รู้โดยอนุมาน (5) ลักษณะแห่งธรรมต่าง ๆ (6) เรื่องที่จะพึงทราบด้วยอุปมา ส่วนสารัตถะในคัมภีร์มิลินทปัญหาที่เกี่ยวข้องกับปรมัตถธรรมได้แก่ จิต เจตสิก รูป และนิพพาน นั้นปรากฏอยู่ทั่วไปในการถาม-ตอบปัญหาระหว่างพระยามิลินท์กับพระนาคเสนซึ่งไม่ได้ระบุตรง ๆว่าอะไรเป็น จิต เจตสิก รูป และนิพพาน 3) อภิปรัชญาที่ปรากฏในสารัตถะแห่งคัมภีร์มิลินทปัญหาซึ่งสามารถจัดเป็นหมวดหมู่ได้ 4 กลุ่ม คือ 1) มิลินทปัญหาที่เกี่ยวกับปรมัตถธรรมทั้ง 4 (จิต เจตสิก รูป และนิพพาน), 2) มิลินทปัญหาที่เกี่ยวกับปรมัตถธรรม 3 (จิต เจตสิก รูป),3) มิลินทปัญหาเกี่ยวกับจิต และเจตสิก, และ4) มิลินทปัญหาที่เกี่ยวกับนิพพาน โดยมีลักษณะการถาม-ตอบปัญหาที่ปรากฏในมิลินทปัญหา
- Publicationการวิพากษ์เชิงเปรียบเทียบแนวคิดการกระทำเพื่อหน้าที่ในภควัทคีตากับจริยศาสตร์ของค้านท์อนุชา แสนยั่งยืน; Anucha Sanyangyuen (2014)วิทยานิพนธ์เรื่องการวิพากษ์เชิงเปรียบเทียบแนวคิดการกระทำเพื่อหน้าที่ในภัควัทคีตากับจริยศาสตร์ของค้านท์ มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1.เพื่อศึกษาแนวคิดการกระทำเพื่อหน้าที่ในคัมภีร์ภควัทคีตา 2.เพื่อศึกษาแนวคิดการกระทำเพื่อหน้าที่ในจริยศาสตร์ของค้านท์ 3.เพื่อวิพากษ์เปรียบเทียบแนวคิดการกระทำเพื่อหน้าที่ในภัควัทคีตา และจริยศาสตร์ของค้านท์ จากการศึกษาพบว่า 1.แนวแนวคิดการกระทำเพื่อหน้าที่ในคัมภีร์ภควัทคีตา พบว่าการกระทำเพื่อหน้าที่เป็นการกระทำในสิ่งที่ต้องการทำ โดยมีหลักคือการกระทำด้วยการใช้ปัญญาแล้วสละผลการกระทำอุทิศแด่พระเจ้า เพื่อแสดงความภักดีต่อพระเจ้า ภควัทคีตาให้ความสำคัญกับการทำหน้าที่ของวรรณะ เพราะเชื่อว่าพระเจ้ากำหนดมาแล้ว และมนุษย์ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะไม่กระทำตามพันธะหน้าที่ได้ นอกจากนี้การทำหน้าที่ของวรรณะก็ถือว่าเป็นความดี เพราะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมและสังคม และผู้กระทำหน้าที่ด้วยความปล่อยวางจากผลประโยชน์ มีปัญญารู้แจ้งในการกระทำ มีความภักดีต่อพระเจ้าอย่างสูงสุด จะสามารถเข้าถึงพระเจ้าหรือบรรลุโมกษะได้ 2.แนวคิดการกระทำเพื่อหน้าที่ในจริยศาสตร์ของค้านท์พบว่า การกระทำเพื่อหน้าที่เป็นการกระทำที่มีค่าทางศีลธรรม เนื่องจากเป็นการทำโดยปราศจากแรงโน้มของอารมณ์ความรู้สึกความรารถนาหรือแม้แต่ผลของการกระทำ ค้านท์เชื่อว่าความดีที่มีค่าทางศีลธรรมนั้นเป็นความจริงและตายตัว การกระทำที่ผิดศีลธรรมจะไม่กลายเป็นถูกไปได้เพียงเพราะผลที่เกิดขั้นนั้นถูก หรือเพราะผลที่เกิดขึ้นนั้นเป็นประโยชน์กับคนส่วนใหญ่ ความดีไม่ขึ้นกับเงื่อนไขใด การกระทำเพื่อทำหน้าที่นำไปสู่ชีวิต ที่มีศีลธรรมในโลกจริงแท้ได้ เพราะเป็นการกระทำจากสำนึกในหน้าที่ เมื่อทำโดยสำนึกในหน้าที่ได้ย่อมแสดงว่ามนุษย์กำลังใช้เหตุผล เมื่อมนุษย์ใช้เหตุผลก็ย่อมมีปัญญาที่สามารถฝืนแรงโน้มของอารมณ์ความรู้สึก ความปรารถนาได้ เมื่อฝืนแรงโน้มถ่วงได้มนุษย์ก็จะหลุดพ้นจากอิทธิพลของเหตุวิสัย เป็นอิสระจากโลกปรากฏและมาสู่ชีวิตศีลธรรมในโลกจริงแท้. 3. การวิพากษ์เปรียบเทียบแนวคิดการกระทำเพื่อหน้าที่ในภัควัทคีตากับจริยศาสตร์ของค้านท์พบว่า แนวคิดในภัควัทคีตามีข้อเสนอเรื่องวรรณะและหน้าที่ของวรรณะ จึงทำให้เกิดความไม่เสมอภาคในสังคม และข้อเสนอว่ามนุษย์ไม่อาจ หลีกเลี่ยงการกระทำตามพันธะหน้าที่ที่พระเจ้ากำหนดไปได้ ก็ย่อมทำให้มนุษย์ไม่อาจเป็นอิสระได้ นอกจากนี้การกระทำเพื่อนหน้าที่ตามนัยยะ ของการกระทำเพื่อพระเจ้าอาจไม่ใช่คุณค่าที่บริสุทธิ์เสมอไปก็ได้ ผู้กระทำยังปรารถนาให้พระเจ้ารับรู้หรือประทานบำเหน็จตอนแทนการกระทำ อย่างไรก็ตาม แนวคิดการกระทำเพื่อหน้าที่ในภัควัทคีตาแม้จะเป็นทางออกสำหรับปัญหาความสับสนในใจของมนุษย์เมื่อต้องกระทำสิ่งที่ขัดแย้งทางศีลธรรมได้ แต่มีขอบเขตเพียงหน้าที่ของวรรณะเท่านั้น จึงทำให้เป็นความคิดที่ไม่เปิดกว้างเท่าที่ควร และข้อเสนอว่าการทำหน้าที่ของวรรณะเป็นการกระทำที่ถูกต้องชอบธรรม แม้จะฆ่าคนทั้งโลกก็ถือว่าไม่ได้ฆ่าใคร แม้ทำบาปพระเจ้าก็ปลดเปลื้องผู้นั้นจากบาป ก็อาจจะเป็นการสนับสนุนให้เกิดการใช้ความรุนแรงในสังคมขึ้นได้ และยังเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ไม่ประสงค์ดีนำวจนะพระเจ้ามาแอบอ้างใช้เพื่อประโยชน์ตัวเองได้ สำหรับแนวคิดการกระทำเพื่อหน้าที่ของค้านท์ แม้ทำให้เกิดความเสมอภาคในสังคมได้แต่การปฏิเสธการกระทำ ที่มาจากความเมตตาว่าไม่มีคุณค่าทางศีลธรรมเลยนั้น ก็ทำให้ขัดแย้งกับสามัญสำนึกของปุถุชนเช่นกัน และข้อเสนอว่าถ้ามนุษย์กระทำโดยใช้สำนึกในหน้าที่ได้ มนุษย์ก็จะเป็นอิสระไปสู่ชีวิตที่มีศีลธรรมได้ แต่ เมื่อเป็นอิสระแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะมีความเห็นที่เหมือนกันทั้งหมดไปได้ นอกจากนี้ การกระทำโดยใช้สึกนึกในหน้าที่แม่เชื่อว่าบริสุทธิ์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นการกระทำที่ถูกต้องเสมอไป เพราะยังไม่ได้ผ่านการตรวจสอบจากเกณฑ์วัดทางศีลธรรมที่ทุกคนยอมรับร่วมกันเป็นสากลเสียก่อน อย่างไรก็ตามในสถานการณ์ที่มีปัญหา ความขัดแย้งทางศีลธรรม แนวคิดการกระทำเพื่อหน้าที่ของค้านท์ ไม่สามารถแก้ปัญหาในสถานการณ์นี้ได้ เพราะยึดถือความดีว่าต้องเป็นจริงแท้อย่างเป็นกฎสัมบูรณ์ ไม่มีการยืดหยุ่น จึงทำให้เงื่อนไขที่รัดตรึงหลักการของตัวเองจนไม่สามารถหาทางออกได้
- Publicationการศึกวิเคาะห์แนวคิดเรื่องมนต์คาถาในพุทธปรัชญาเถรวาทของสังคมไทยพระมหาสมคิด นาถสีโล (ใจเย็น); Phra Maha Somkid Nattasriro (Jaiyeun) (2012)การศึกษาวิเคราะห์แนวคิดเรื่องมนต์คาถาในพุทธปรัชญาเถรวาทของสังคมไทยมีวัตถุประสงค์ ๓ ประการคือ (๑) เพื่อศึกษาแนวคิดเรื่องมนต์คาถาที่ปรากฏในคัมภีร์พุทธปรัชญา เถรวาท (๒) เพื่อศึกษาความเชื่อเรื่องมนต์คาถาในพุทธปรัชญาเถรวาทของสังคมไทย (๓) เพื่อวิเคราะห์ความเชื่อเรื่องมนต์คาถาในพุทธปรัชญาเถรวาทที่มีอิทธิพลต่อสังคมไทย ผลการวิจัยพบว่า แนวคิดเรื่องมนต์คาถาที่ปรากฏในคัมภีร์พุทธปรัชญาเถรวาท นั้นเป็นสิ่งที่บุคคลส่วนใหญ่ให้ความสนใจว่ามนต์คาถาที่ปรากฏในพุทธปรัชญาเถรวาทจะส่งผลในด้านใดบ้าง กล่าวคือด้านความหมายมีปรากฏในพระไตรปิฏกและนักวิชาการให้ความหมายไว้ว่าคาถามีไว้ เพื่อสวดมนต์สรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้า และเพื่อความเจริญรุ่งเรืองในการดำเนินชีวิต มูลเหตุที่มาของลัทธิความเชื่อคาถา กล่าวคือ เกิดจากความกลัวภัยพิบัติสวดเพื่ออ้อนวอนผีสางเทวดา การไหว้สวดอ้อนวอนเพื่อความอบอุ่นใจและเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตน ด้วยการบูชานับถือตามความเชื่อความรู้ของตน กล่าวคือ แม้ว่าจะมีความเชื่อบางประการที่แตกต่าง แต่หลักการสำคัญที่เป็นหลักคำสอนก็ยังคงยึดตามหลักของพระพุทธศาสนา ประเภทของคาถา คือ ประเภทที่บัญญัติไว้ในพระไตรปิฏก คัมภีร์อรรถกถา ฏีกา เป็นต้น และคาถาที่มาจากการแต่งขึ้นสำหรับผู้ประพันธ์ขึ้น แต่งโดยอิงจากบทพุทธจวนะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคาถาบางบทนั้นไม่ได้เน้นให้ความสำคัญกับหลักไวยกรณ์บาลี แต่กลับแต่งขึ้นเพื่อเป็นจุดมุ่งหมายของจิตใจ ความเชื่อของคาถาตามหลักพุทธปรัชญาเถรวาท คือ เชื่อว่าสวดคาถาจะช่วยอำนวยผลแก่ตนและครอบครัวให้อยู่เย็นเป็นสุข ปราศจากอันตรายทั้งปวง และเชื่อในโชคลาภ การเสริมสร้างความเป็นสิริมงคลและเชื่อในคุณของพระพุทธเจ้า และวิธีการใช้คาถาส่วนใหญ่นิยมใช้ในการประกอบพิธีกรรมและในเวลาที่มี ความจำเป็นบ้าง ภาษาที่ใช้ของคาถาและคำฉันท์ ในพระพุทธศาสนาจะใช้ภาษาบาลี ส่วนใหญ่เป็นคำประพันธ์ประเภทร้อยกรอง จึงนิยมการสวดสรภัญญะทำให้เสียงไพเราะ น่าฟัง ชวนติดตามยิ่งขึ้น จุดมุ่งหมายของการแสดงคาถา กล่าวคือ เพื่อรักษาพระศาสนา การท่องจำพระสูตร พระสาวกทั้งหลายปฏิบัติต่อๆ กันมา ซึ่งวิธีสวดเหล่านี้จะส่งผลให้ผู้ปฎิบัติเกิดสมาธิ ปัญญาในที่สุด แนวคิดเรื่องมนต์คาถาในพุทธปรัชญาเถรวาท เนื่องด้วยสังคมไทยเป็นสังคมที่นับถือพราหมณ์มาก่อนและได้คาถามาจากลัทธิต่างๆ เมื่อพระพุทธศาสนารุ่งเรืองก็หันมานับถือพุทธ ต้องเข้าใจว่าคาถาย่อมส่งผลให้คุณประโยชน์และโทษมหันต์หากเกิดความเข้าใจผิดคลาดเคลื่อน ตามหลักพุทธปรัชญาเถรวาทมีการปรับโทษสำหรับผู้ไม่ปฏิบัติตามหลักศีลธรรม กล่าวคือ ผู้ที่เชื่อเรื่องคาถาอาคม จะต้องมีธรรมเนียมปฏิบัติตามหลักศีล ๕ เช่น ห้ามพูดคำหยาบคาย ห้ามด่าทำร้ายบุพการี ห้ามผิดประเวณี ห้ามลักทรัพย์ ห้ามรังแก ผู้ที่อ่อนแอกว่าหรือผู้ไม่มีทางสู้ ฯลฯ หากมีการละเมิดจากคำมั่นเดิมที่ได้ให้สัญญาไว้ก็เชื่อว่าทำให้วิทยาคมในคาถาอาคมนั้นเสื่อมถอยลงไปได้ วิเคราะห์แนวคิดความเชื่อเรื่องมนต์คาถาในพุทธปรัชญาเถรวาทที่มีอิทธิพลต่อสังคมไทย กล่าวคือ แนวคิดความเชื่อเรื่องคาถามีอิทธิพลมากในสังคมไทย สืบเนื่องจากสังคมไทยได้รับอิทธิพลมาจากหลายลัทธิ และความเชื่อต่างๆ เช่น ความเชื่อของมนุษย์เกิดจากอิทธิพล ๒ ปัจจัยใหญ่ คืออิทธิพลอำนาจใน(ตัวเอง) และความเชื่อจากอิทธิพลอำนาจภายนอก ส่วนใหญ่จะอยู่ในลักษณะความเชื่อหวังพึ่งอำนาจเหนือธรรมชาติ การดลบันดาลจากอำนาจภายนอก เกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ สิ่งเร้นลับเหนือธรรมชาติ ซึ่งปัจจัยที่ ๒ จะมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของมนุษย์มากที่สุด ทำให้เกิดการเรียนรู้คาถาเพื่อป้องกันตัว และใช้คาถาไม่เหมาะสมและถูกต้อง จึงส่งผลกระทบโดยตรงทางด้านจิตใจ และความเชื่อเหล่านี้จึงมีการนำคาถาต่างๆ มาปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เพราะเชื่อว่าคาถามีอิทธิพล ศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง แต่ในปัจจุบันแตกต่างในอดีตมากเพราะมักจะนำคาถามาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นในทางผิดๆ เช่น การสวดมนต์อ้อนวอนให้โชคลาภ มากกว่าการทำงานที่ยึดอาชีพสุจริตจึงทำให้อิทธิพลความเสื่อมของคาถาแบบดั้งเดิมลดลงไป แต่บุคคลใดที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ อิทธิพลของคาถาก็จะส่งผลให้เกิดความหลุดพ้นตามหลักพุทธปรัชญาเถรวาทได้ เช่น การดำเนินชีวิตด้วยความไม่หวาดกลัว เกิดความสุขทั้งทางกายและใจ และสามารถที่จะถ่ายทอดและเผยแผ่ให้ชนรุ่นหลังได้ปฏิบัติตามนำเอาคาถาที่ถูกต้องในหลักพุทธปรัชญาเถรวาทมาใช้ได้และเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง
- Publicationการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภวังคจิตกับวิญญาณ 6พระลือนาม ชุตินฺธโร (การะเกศ); Phra Luenam Jutindharo (Karaket) (2013)การศึกษาเรื่อง "การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภวังคจิตกับวิญญาณ ๖" มีวัตถุประสงค์ในการศึกษา ๓ ประการ เพื่อการศึกษาความหมายของภวังคจิต เพื่อการศึกษาความหมายของวิญญาณ ๖ และเพื่อการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภวังคจิตกับวิญญาณ ๖ เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพด้วยการศึกษาค้นคว้าเอกสารจากพระไตรปิฎก คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา เอกสารด้านวิชาการทางพระพุทธศาสนา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ด้วยวิธีการวิเคราะห์เชิงพรรณา ผลการศึกษาพบว่า ภวังคจิต เป็นจิตพื้นฐานที่อยู่ในภาวะธรรมชาติล้วนๆ ยังไม่แปดเปื้อนด้วยกิเลส ภวัคจิต ตามหลักพระอภิธรรมในพุทธศาสนา หมายถึง ดวงจิตที่ได้รับหรือเกิดจากดวงจิต บิดามารดา เริ่มตั้งแต่ปฏิสนธิและเจริญเติบโตจนคลอดและเจริญวัยไปจนถึงดับคือตาย เป็นจิตที่สถิตอยู่หรือทำงานอยู่ในสรีระร่างกายของบุคคล สงบอยู่ในขณะที่ยังมิได้สัมผัสทางอายตนะทั้งภายในและภายนอกต่อเมื่อ ได้รับการสัมผัสก็จะเกิดวิถีจิต คือความเป็นไปตามจิตหรือเป็นไปตามระบบการทำงานของร่างกาย จากที่ได้รับการสัมผัสนั้นๆ เช่น ดีใจ เสียใจ ตกใจ คิด ระลึกได้เป็นต้น ต่อเมื่อวิถีจิตดับหมดไปหรือร่างกายได้ทำงานตามระบบแห่งการได้สัมผัสนั้นๆจนถึงที่สุดหรือสิ้นสุดภวังคจิตก็จะกลับไปอยู่ในสภาพตามเดิมหมุนวนอยู่อย่างนั้นเป็นธรรมดา ส่วนความหมายธรรมชาติของวิญญาณ ๖ หมายถึง การรับรู้ทางสื่อหรือทางอายตนะสัมผัส คือ ๑. จักขุวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางตารู้รูปด้วยตา ๒. โสตวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางหู ๓. ฆานวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางจมูก ๔. ชิวหาวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางลิ้น ๕. กายวิญญาณความรู้อารมณ์ทางกาย ๖. มโนวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางใจ จากการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภวังคจิตกับวิญญาณ ๖ ชี้ให้เห็นว่าภวังคจิต มีหน้าที่เช่นเดียวกับจิตที่ทำหน้าที่รักษาภพของบุคคลให้เป็นไปไม่ให้เป็นอย่างอื่น คือ การเกิดปฏิสนธิจิตมาด้วยจิตใดก็ให้จิตนั้นเป็นไปตลอดชีวิตในภพหนึ่ง โดยการทำหน้าที่ควบคุมระบบประสาททุกส่วนทั้งหมดโดยที่เราไม่รู้สึกตัว ภวังคจิตเป็นจิตที่สืบเนื่องมาจากปฏิสนธิจิต เมื่อปฏิสนธิจิตที่เกิดขึ้นเพียงชั่วขณะจิตเดียวต่อจากนั้นก็เป็นภวังคจิตเรื่อยไปจนกว่าจะมีวิญญาณ ๖ ซึ่งเป็นอายตนะภายนอก คือ ตา หู จมูก ลิ้นรับรส กายสัมผัสและรับรู้อารมณ์ทางใจ จึงเกิดวิถีจิตขึ้นมาและเป็นส่วนหนึ่งของภวังคจิตที่ติดต่อกับโลกภายนอกคือวญญาณ ๖ นั้นเอง