ปรัชญา : Philosophy
Permanent URI for this community
บทความวิจัย วิทยานิพนธ์สาขาวิชาปรัชญาในหลักสูตรที่สังกัดสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย และงานวิจัยสาขาปรัชญาที่ได้รับทุนสนับสนุนจาก วช. หรือ สกสว.
Browse
Browsing ปรัชญา : Philosophy by browse.metadata.researchtheme2 "ปรัชญาญี่ปุ่น"
Now showing 1 - 16 of 16
Results Per Page
Sort Options
- PublicationThe Japanese perception of 'God' through bible translation : the way of Japanese christianityHideo Maruyama (2013)This dissertation is concerned with investigating the Japanese translation 'Kami' from the English word 'God' and the role of inculturation in this process. The researcher aims to show that a perfect translation of this word is unattainable because it produces gaps in signification. However, these gaps allow for inculturation - i.e. the unique interpretation of such words within different cultural contexts. Thus translation is a significant factor in the process of religious inculturation. It is impracticable for translation to convey an original meaning fully to a target language, especially in the cases of abstract religious terminology. for instance, 'God' is rendered into 'Kami' in the Japanese Bible. 'God' is a term applied to monotheism, while 'Kami', reflects a traditional Japanese world perspective and includes elements of nature, animism, good and bad, invisible power, spirits of casualties and so on. This will be testified by analyzing the Japanese world perspective in relation to this term. In semiotic theory a sign (a meaning of a cultural unit) is composed of both a signifier (a word or picture) and a signified (a concept), thus if there is no specific concept to be represented, there will be no word to represent it. In traditional Japanese perspectives, there is no idea of monotheism and thus no term for monotheism. There is no other choice, in Japanese, than to render 'God' into 'Kami'. There is a gap between word and concept. These terms cannot completely converge. This is a gap of translation. The gap is produced from the differences of language and its perspective. The larger the difference in perspective, the greater the perspective gap. This is supported by theories of linguistic relativism. However, the researcher proposes that the impossibility of accurate translation provides a significant role for the process of inculturation. The gap is produced from the impossibility of the translation and it creates room for new meaning. This gap allows for the creation of Japanese 'Kami' from 'God'. God has to first dress in Japanese costume to enter into the Japanese context. This is the first step of inculturation of Christianity into Japanese contexts. Without the problems of translation, there is no inculturation. Yet acceptance is also achieved through translation. People interpret and understand the world, and the terms used to navigate it, conditioned by their language and their perspective. Through the process of translation, Christianity becomes Japanese Christianity. And it is Christianity by the Japanese people and for the Japanese people. Finally my thesis accepts a social constructionist viewpoint and multiple perspectives - as this Japanese Christianity constitutes one of many Christianities.
- Publicationการตีความอนิจจังในทัศนะของโดเก็นวนัสนันท์ ขุนพล; Wanassanant Kunphon (2016)บทความนี้มุ่งวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบความหมายและลักษณะของอนิจจังหรืออนิจจตา (Impermanence) ในพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทกับอนิจจังในทัศนะของโดเก็น เพื่อชี้ให้เห็นความเหมือนและความแตกต่างของอนิจจังทั้งสองฝ่าย และเข้าไปถกเถียงกับเควิน ชิลเบรก (Kavin Schilbrack) ในประเด็นของการตีความ “อนิจจัง” ในปรัชญาเซนของโดเก็น โดยสนับสนุนแนวคิดของโทมัส คาซูลิส (Thomas P. Kasulis) ที่มองว่า ปรัชญาเซนของโดเก็นสามารถอธิบายผ่านประสบการณ์และปรากฏการณ์วิทยา กล่าวคือ สรรพสิ่งสามารถมีอยู่ ดำรงอยู่ได้ภายใต้พุทธภาวะ (Buddha-nature) ที่เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง มีลักษณะของการไหลตลอดเวลา (flowing) เป็นการเปลี่ยนแปลงภายในสรรพสิ่ง ในขณะที่ชิลเบรกมองว่า การตีความแบบคาซูลิส สามารถอธิบายได้ทั้งในลักษณะทางอภิปรัชญา (metaphysics) และทางศาสนศาสตร์ (soteriology) ซึ่งเขาเห็นว่า การตีความได้ในหลายทางนั้น นอกจากจะไม่นำผลดีมาให้แล้ว อาจก่อให้เกิดคำถามอื่นๆ ตามมามากมาย
- Publicationการลดทอนเชิงอภววิทยาในปรัชญาญี่ปุ่นสมัยใหม่ของนิชิดะ คิตะโรสรายุทธ เลิศปัจฉิมนันท์; คำแหง วิสุทธางกูร; Sarayuddha Lhaspajchimanand; Khamhaeng Visuddhangkoon; รัตนา จันทร์เทาว์ (2018)การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนําเสนอปรัชญาของนิชิดะ คิตะโร ในแง่มุมอภววิทยา โดยอาศัยแนววิธีปรากฏการณ์วิทยาเป็นเครื่องมือวิเคราะห์และตีความมโนทัศน์หลักทั้งสามในระบบปรัชญาของนิชิดะ ได้แก่ ประสบการณ์พิสุทธิ์แท้ ตรรกะของแห่งหน และนัตถิภาวะสัมบูรณ์ ทั้งนี้ผลการศึกษาพบว่า นิชิดะได้อาศัยวิธีการลดทอนสิ่งเฉพาะออกไปจากความรู้ อารมณ์ และความคิด รวมถึงลดทอนรูปแบบของตรรกะที่แสดงออกทางภาษา ให้มาเป็นตรรกะของแห่งหน เพื่อเปิดรับความสํานึกรู้ที่แท้จริง ที่วิถีจําานงของจิตได้มุ่งไปสู่สิ่งสากล ด้วยเหตุนี้จึงนําไปสู่ข้อค้นพบว่า วิธีการทางปรัชญาที่สําคัญของนิชิดะ คือ วิธีการลดทอนเชิงอภววิทยา
- Publicationการศึกษาเชิงปัญหาด้านปรัชญาญี่ปุ่นในประเทศไทยสรายุทธ เลิศปัจฉิมนันท์; Sarayuddha Lhaspajchimanandh (2018)ปรัชญาญี่ปุ่นเป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงและทำการศึกษษกันในประเทศไทยมาแล้วพอสมควร แต่ก็เป็นที่น่าแปลกใจว่าความเข้าใจเรื่องขอบเขตของปรัชญาญี่ปุ่นนั้น กลับเป็นสิ่งที่คลุมเครือมาโดยตลอดเช่นกัน กระทั่งทำให้ทิศทางของการศึกษาปรัชญาญี่ปุ่นในประเทศไทยมักคลาดเคลื่อนไกลออกไปสู่การศึกษาญี่ปุ่นในเชิงประวัติศาสตร์ อารยธรรม และสังคม บทความนี้จึงมีความมุ่งหมายในการนำสนอข้อถกเถียงของนักปรัชญาญี่ปุ่นสมัยใหม่เพื่อสร้างความชัดเจนทางด้านขอบเขต และนำไปสู่การแยกแยะได้ว่าสิ่งใดเป็นปรัชญาญี่ปุ่น และสิ่งใดเป็นเพียงเรื่องเล่าเชิงพรรณนาทั่วไปเกี่ยวกับญี่ปุ่น
- Publicationการศึกษาวิเคราะห์จริยธรรมความรักชาติในศาสนาชินโตที่มีผลต่อจิตวิญญาณของคนญี่ปุ่นทนุรัก ตันตรานนท์; Tanuruk Tuntranont (2017)การทำงานวิจัยนี้เพื่อศึกษาอิทธิพลศาสนาชินโตที่มีผลต่อจิตวิญญาณคนญี่ปุ่น เชิงวิเคราะห์ เรื่องความรักชาติโดยศึกษาจากประวัติความเป็นมา ความหมายองค์ประกอบ และความเชื่อที่ สำคัญในศาสนาชินโต ที่เป็นแนวคิดพื้นฐานของความรักชาติในญี่ปุ่น ส่วนการศึกษาประเทศญี่ปุ่น เป็นการศึกษาด้านประวัติศาสตร์ ความหมายความเป็นมาองค์ประกอบทางด้านวิถีชีวิตความ เป็นอยู่และรากฐานแนวคิดของชาวญี่ปุ่นจากสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดแนวคิดความรักชาติ จากการศึกษาพบว่า การรักชาติเกิดขึ้นได้จากปัจจัย 2 ประการคือ 1. ศาสนาชินโต ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติของประเทศญี่ปุ่นนับถือเทพเจ้าหลายองค์ (พหุเทวนิยม) ทำให้หลักคำสอนและหลักจริยธรรมทางศาสนาเป็นไปเพื่อให้ความเคารพบูชาเทพเจ้า ความเคารพในพระจักรพรรดิเชื่อว่า พระองค์สืบเชื้อสายมาจากสุริยเทพที่เป็นผู้สร้างประเทศญี่ปุ่น และเกิดความรักเคารพธรรมชาติ เพราะเชื่อว่า เบื้องหลังปรากฏการณ์ธรรมชาติก็คือเทพเจ้าแนวคิดลักษณะนี้ส่งผลให้ชาวญี่ปุ่นถือว่า ประเทศของตนเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นเผ่า พันธุ์แห่งเทพ ก่อให้เกิดแนวคิดแห่งความรักชาติขึ้น 2. เกิดจากเหตุการณ์ต่าง ๆ นับแต่อดีตถึงปัจจุบันเกิดจากธรรมชาติอย่างภัยธรรมชาติหรือเกิดจาก มนุษย์อย่างสงครามโลกเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบรุนแรงทั้งต่อประเทศญี่ปุ่นและสภาพจิตใจ ชาวญี่ปุ่นเกิดความสูญเสียทั้งพลเมืองและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศการฟื้นฟูเป็นเรื่องที่ต้อง รีบเร่งทำ สิ่งสำคัญคือการฟื้นฟูสภาพจิตใจของชาวญี่ปุ่นด้วยกันเองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็น แรงกระตุ้น ที่สำคัญยิ่ง ก่อให้เกิดความรักชาติของประเทศญี่ปุ่ นการศึกษาวิเคราะห์ศาสนาชินโตที่ มีอิทธิพลต่อจิตวิญญาณของชาวญี่ปุ่ นเป็นการศึกษาโดยอาศัยองค์ประกอบด้านความเชื่อสิ่งแวดล้อมวัฒนธรรมประเพณีสังคม การเมืองและการปกครองสิ่งสำคัญคือหลักคำ สอนและหลักจริยธรรมทางศาสนาชินโต ภายหลังสงครามโลกครั้งที่2 ได้ถูกลดบทบาทลงแต่เนื่องการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและสืบทอดมาเป็นเวลานานทำให้ยังคงแทรกซึมอยู่ในวิถีการดำรงชีวิตของชาวญี่ปุ่ นมาจนถึงปัจจุบัน
- Publicationการสืบสอบมโนทัศน์โคฟุกุในปรัชญาญี่ปุ่นสมัยใหม่ ของนิชิดะ คิตะโรสรายุทธ เลิศปัจฉิมนันท์; รัตน์จิต ทองเปรม; Sarayuddha Lhaspajchimanandh; Ratjit Thongprem (2022)การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเอกสารขั้นปฐมภูมิของนิชิดะ คิตะโร โดยสืบสอบถึงมโนทัศน์โคฟุกุในข้อเสนอทางปรัชญาของนิชิดะ คิตะโรอย่างเป็นระบบ โดยข้อค้นพบของการวิจัยครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า นิชิดะได้เสนอแนวคิดโคฟุกุผ่านประเด็นเรื่องความมีอยู่จริง ความดี และศาสนา ด้วยเหตุนี้จึงน�ามาสู่ผลการวิจัยอันเป็นข้อสรุปที่ได้จากการสืบสอบดังนี้ ประการที่ 1) โคฟุกุในแง่ของความมีอยู่จริง คือ ทุกข์สุขแห่งเอกภาพของชีวิต ประการที่ 2) โคฟุกุในแง่ของความดี คือ ความปรารถนาที่มีต่ออุดมคติของสภาวะอันดี, และประการสุดท้าย 3) โคฟุกุในแง่ของศาสนา คือ การส�าแดงให้เห็นถึงประสบการณ์ทางศาสนาที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
- Publicationจริยศาสตร์สิ่งแวดล้อมในชินโตสถาพร ไปเหนือ; SATHAPHORN PAINUEA (2018)วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์คือ 1. เพื่อวิเคราะห์แนวคิดด้านจริยศาสตร์สิ่งแวดล้อมในชินโต และ 2. เพื่อพิจารณาข้อโต้แย้งเรื่องคุณค่าทางจริยธรรมของโลกธรรมชาติโดยใช้ทฤษฎีจริยศาสตร์สิ่งแวดล้อม เป็นกรอบในการวิเคราะห์ข้อมูลงานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ ผลการศึกษาพบว่า ชินโตมีท่าทีทางด้านจริยศาสตร์สิ่งแวดล้อมใกล้เคียงกับแนวคิดมนุษย์คือ ผู้อภิบาลและแนวคิดแบบองค์รวมแต่ไม่มีท่าทีที่ยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลางโดยพิจารณาจากความเชื่อของชินโต เรื่องคะมิ วิหารและงานเทศกาล ความเชื่อเรื่องคะมิของชินโต สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดจริยศาสตร์สิ่งแวดล้อม 2 แนวคิด โดยแนวคิดแรกคือแนวคิดมนุษย์คือผู้อภิบาลเนื่องจากชินโตเชื่อว่า นอกจากคะมิที่สถิตอยู่บนสรวงสวรรค์ด้งที่ปรากฏในเทวตำนานแล้วยังมีคะมิที่สถิตในธรรมชาติด้วยความเชื่อดังกล่าวทำให้ชินโตมองว่า ธรรมชาตินั้น ศักดิ์สิทธิ์มยุษย์จึงควรให้ความเคารพโลกธรรมชาติและตระหนักว่า โลกธรรมชาตินั้นมีคุณค่าควรแก่การปกป้องรักษาในขณะเดียวกันความมีอยู่ของคะมิในโลกธรรมชาติก็เป็นสิ่งที่ช่วยปกป้องคุ้มครองโลกธรรมชาติไม่ให้ถูกทำลายจากการกระทำของมนุษย์เช่นกัน ดังนั้น ทั้งคะมิและมนุษย์จึงถือเป็นผู้อภิบาลสิ่งแวดล้อม และแนวคิดที่สอง คือ แนวคิดแบบองค์รวม เนื่องจากชินโตเชื่อว่า สรรพสิ่งเกิดจากคะมิดังนั้น ทั้งคะมิมนุษย์และโลกธรรมชาติจึงมีความสัมพันธ์กันในลักษณะที่ต่างพึ่งพาอาศัยกันและอยู่ร่วมในระบบเดียวกัน ส่วนความเชื่อเรื่องวิหารและงานเทศกาลนั้นสะท้อนถึงแนวคิดแบบองค์รวมเช่นกัน เนื่องจากวิหาร ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่ประทับของคะมิที่ตั้งของวิหารจึงมีความสัมพันธ์กับกับสภาพแวดล้อม ซึ่งต้อง ได้รับการดูแลรักษาให้ดีเสมอ วิหารคือจุดเริ่มต้นของงานเทศกาล ซึ่งเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงชุมชนกับคะมิแสดงให้ เห็นถึงความร่วมมือร่วมใจกันของคนในชุมชน และแสดงให้เห็นว่าสิ่งต่าง ๆ ล้วนมีความสัมพันธ์กันการตระหนักถึงความสำคัญของการอยู่ร่วมกันอย่างประสานกลมกลืน จะนำไปสู่การสร้างสรรค์ใหม่ที่ดีกว่าเดิม ในส่วนของข้อโต้แย้งเรื่องคุณค่าทางจริยธรรมของโลกธรรมชาติพบว่า แนวคิดที่ยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลาง มองว่ามีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่มีคุณค่าในตัวเองโลกธรรมชาติเป็นเพียงวัตถุที่ไม่มีคุณค่าใด ๆ และ มนุษย์ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อโลกธรรมชาติในขณะที่แนวคิดมนุษย์คือผู้อภิบาลรวมมองว่า โลกธรรมชาติมีคุณค่าในตัวเองในฐานะที่เป็นสิ่งสร้างของพระเจ้าเช่นเดียวกับมนุษย์ดังนั้นมนุษย์จึงต้องรับผิดชอบต่อโลกธรรมชาติตามหน้าที่ ๆ ได้รับมอบหมายจากพระเจ้าส่วนแนวคิดแบบองค์รวมมองว่าทุกสิ่งมีคุณค่าในตัวเองและมีสัมพันธ์กับสิ่งอื่นทั้งสิ้น มนุษย์เป็นเพียงส่วนหนึ่งในระบบที่ยิ่งใหญ่การกระทำใด ๆ ที่มนุษยก์ระทำต่อโลกธรรมชาติมนุษย์ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำนั้น เนื่องจากทุกสิ่งนั้นเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันการกระทำของมนุษย์ที่มีต่อโลกธรรมชาติก็ย่อมส่งผลต่อสิ่งอื่น ๆ ในโลกธรรมชาติด้วยและผลกระทบที่ เกิดขึ้นก็จะมาถึงมนุษย์ในที่สุด
- Publicationท่าทีแบบปรากฏการณ์วิทยาในปรัชญาญี่ปุ่นสรายุทธ เลิศปัจฉิมนันท์; คำแหง วิสุทธางกูร (2018)ปรากฏการณ์วิทยาเป็นวิธีวิทยาของปรัชญาตะวันตกที่ริเริ่มโดย เอ็ดมุนด์ ฮุสเซิร์ล ซึ่งมีท่าทีที่ส าคัญคือการลดทอนเชิงปรากฏการณ์วิทยา แต่ท่าทีดังกล่าวไม่ได้มีแต่ในปรัชญาตะวันตกเท่านั้น ในปรัชญาตะวันออกโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปรัชญาญี่ปุ่น ก็มีท่าทีแบบนั้นอยู่ บทความนี้จึงมีความมุ่งหมายที่จะเสนอให้เห็นถึงท่าทีแบบปรากฏการณ์วิทยาในปรัชญาญี่ปุ่นก่อนสมัยใหม่ รวมถึงอิทธิพลของปรากฏการณ์วิทยาตะวันตกที่มีต่อปรัชญาญี่ปุ่นสมัยใหม่และร่วมสมัย ซึ่งท าให้พบว่าปรัชญาญี่ปุ่นแบบแผนดั้งเดิมของโดเง็นนั้น สนใจประเด็นปัญหาเรื่องการไตร่ตรองเจตนารมณ์ของจิต โดยแบ่งแยกอารมณ์ของการคิดและการไม่คิดออกจากกัน เพื่อน าไปสู่การไร้คิด ส่วนปรัชญาญี่ปุ่นสมัยใหม่ของนิชิดะ คิตะโร เริ่มต้นจากการชี้ให้เห็นข้อบกพร่องในปรากฏการณ์วิทยาของฮุสเซิร์ลที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของอัตภาวะและประสบการณ์บริสุทธิ์ และเสนอแนวคิดเรื่องประสบการณ์พิสุทธิ์แท้ที่เกี่ยวข้องกับนัตถิภาวะสัมบูรณ์ ซึ่งทั้งวิธีคิดของนิชิดะและอิทธิพลของปรากฏการณ์วิทยา ต่างก็ส่งผลต่อกระแสความคิดในปรัชญาญี่ปุ่นร่วมสมัยเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
- Publicationแนววิธีปรากฏการณ์วิทยาว่าด้วยมโนทัศน์อภววิทยาของนิชิดะ คิตะโรสรายุทธ เลิศปัจฉิมนันท์; ิSarayuddha Lhaspajchimanandh (2018)นิชิดะ คิตะโร ได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งปรัชญาญี่ปุ่ นสมัยใหม่ และเป็นผู้มีคุณูปการสูงสุด ในประวัติศาสตร์ปรัชญาญี่ปุ่ น การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนําเสนอปรัชญาของนิชิดะในแง่มุม อภววิทยา โดยอาศัยแนววิธีปรากฏการณ์วิทยาเป็นเครื่องมือวิเคราะห์และตีความมโนทัศน์หลักทั้งสามใน ระบบปรัชญาของนิชิดะ ได้แก่ ประสบการณ์พิสุทธิ์แท้ ตรรกะของแห่งหน และนัตถิภาวะสัมบูรณ์ ทั้งนี้ ผลการศึกษาพบว่านิชิดะได้อาศัยวิธีการลดทอนสิ่งเฉพาะออกไปจากความรู้ อารมณ์ และความคิด รวมถึง ลดทอนรูปแบบของตรรกะที่แสดงออกทางภาษา ให้มาเป็นตรรกะของแห่งหน เพื่อเปิดรับความสํานึกรู้ที่แท้จริง ที่เจตนารมณ์ของจิตมุ่งไปสู่สิ่งสากล พร้อมเสนอกิจกรรมของจิตที่เรียกว่าปัญญาญาณและ การหยั่งรู้พฤติการณ์เพื่อการตระหนักถึงแห่งหนของนัตถิภาวะสัมบูรณ์ด้วยเหตุนี้จึงนําไปสู่ข้อค้นพบว่า วิธีการทางปรัชญาที่สําคัญของนิชิดะ คือ วิธีการลดทอนเชิงอภววิทยา ที่เขาได้ทําการพัฒนามาจากท่าที แบบปรากฏการณ์วิทยาโดยประยุกต์จากฐานคิดของพุทธปรัชญามหายานอย่างจตุษโกฏิ และศูนยตา
- Publicationปรัชญาพุทธศาสนานิกายเซน อิทธิพลสู่ยุคปัจจุบันจรัญ บุญมี; Charan Bunmee (2020)บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1.เพื่อศึกษาจริยศาสตร์ผู้ใช้พุทธศาสนานิกายเซน 2.เพื่อวิเคราะห์การปลูกพลังเสียสละผู้คนด้วยพุทธศาสนานิกายเซน ผลการวิจัย พบว่านิกายเซนที่เราเข้าใจได้ง่ายปฏิบัติตามได้ง่าย เป็นองค์ทะไลลามะและที่ภาษาใกล้เคียงไทยมาก คือหลวงปู่ติช นัท ฮันห์แห่งบ้านพลัม ที่น่าสนใจในเมืองไทยเรามีองค์กรอย่างแพทย์วิถีธรรม ผู้วิจัยศึกษาด้วยการเข้าไปเป็นอาสาหลัก ผลพบว่าแพทย์วิถีธรรมไม่ระบุนิกายมีความเป็นเซนที่ปฏิบัติสมาธิอยู่กับการงานและช่วยเหลือสังคมอย่างกว้างขวาง ใช้ปัญญาที่ลึกซึ้ง แต่มีจุดเด่นที่ใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายคือทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย และผู้ที่มีบารมีเมื่อมารวมกันจะเกิดอจินไต คือสิ่งที่เหลือเชื่อไม่ใช้อิทธิฤทธิ์ แต่กิจกรรมที่ดีงามเป็นองค์ประกอบที่ลงตัวโดยไม่ต้องวางแผน ทำเฉพาะงานที่เป็นยุทธศาสตร์สำคัญจำเป็นของชีวิตและเอื้อแก่การฝึกฝน ทำหนึ่งงานสำเร็จก็ได้ไม่สำเร็จก็ได้แต่บรรลุในตนพร้อมช่วยให้ผู้อื่นบรรลุตามสำเร็จตลอด “ความสำเร็จของใจคือความสำเร็จของงาน” ปฏิบัติธรรมในทุกอณูของการทำงาน ไม่ตั้งขยายกว้างเพราะเข้าใจว่าแนวนี้เมื่อลึกจะกว้างห้ามก็ไม่อยู่ ตัวชี้วัดของโพธิสัตหรือพุทธแท้
- Publicationปรัชญาแห่งความว่างในจิตแบบนิกายเซ็นจงกช สุทธิโอสถ; Jongkot Sutti-o-sot (2019)ปรัชญาแห่งความว่างในจิตแบบนิกายเซ็น เป็นจุดเด่นที่น่าสนใจของนักปฏิบัติธรรม โดย เฉพาะในประเทศ จีนที่นําลัทธินมี้าจากอินเดียการปฏิบัติจะเน้นไปที่พฤติกรรมการดํารงชีวิตของคนเช่นการกินการทํางานการหุง หาอาหาร การดํารงชีวิต การนั่งสมาธิ การฝึกมวย ฝึกดาบ ฝึกกังฟู และอื่นๆโดยใช้ธรรมชาติเป็นตัวช่วยในการ เข้าถึงธรรมจากปริศนาธรรม การรู้แจ้งแห่งความจริงสูงสุด (ซาโตริ) ซึ่งออกมาในรูปของวรรณกรรมหรืองานศิลปะ แนวคิดและหลักปฏิบัติของเซ็นวางอยู่บนหลักแห่ง ความว่าง อันเป็นหนึ่งเดียวแห่งสรรพสิ่ง ท้าทายความรู้สึกนึกคิด ของคนทั่วไปที่คุ้นเคยกับกรอบแห่งความยึดมั่นถือมั่น
- Publicationพุทธศาสนานิกายเซนกับการจัดสวนญี่ปุ่นพระมหาสุรชัย ชยาภิวฑฺฒโน (พุดชู); Phramaha Surachai Jayabhivaddhano (Phutchu) (2018)บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายแนวคิดการจัดสวนญี่ปุ่น ซึ่งเป็นศิลปวัฒนธรรมญี่ปุ่นอย่างหนึ่งที่ได้รับอิทธิพลมาจากพุทธศาสนาและผสมผสานกับความเชื่อดั้งเดิมในญี่ปุ่นเอง จึงกลายเป็นรูปแบบและแนวคิดการจัดสวนที่สอดแทรกคำสอนทางพุทธศาสนาในเชิงปรัชญาอย่างน่าขบคิด และสะท้อนภูมิปัญญาการจัดสวนของชาวญี่ปุ่นที่ไม่เหมือนใคร การจัดส่วนญี่ปุ่นทั่วไปมี 3 ประเภท คือ 1) สวนภูเขา 2) สวนในที่ราบ และ 3) สวนน้ำชา รูปแบบการจัดแต่ละประเภทมีลักษณะภูมิทัศน์ที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะไม้ประดับตกแต่ง รวมถึงสถานที่และการใช้ประโยชน์ภายในสวน สวนที่สะท้อนแนวคิดตามแบบเซนอย่างแท้จริงก็คือสวนในที่ราบ โดยเฉพาะสวนในพื้นที่แห้งที่มีทรายหรือก้อนกรวดแทนการปลูกหญ้าหรือมอส แล้วสมมติเป็นพื้นน้ำ ก้อนหินวางเรียงสมมติเป็นเกาะ สวนประเภทนี้มีนัยทางพุทธปรัชญาเป็นอย่างมาก เพราะเน้นการตกแต่งให้น้อยที่สุด มีความเรียบง่าย ไม่ฟุ่มเฟือย เพื่อให้อยู่ติดกับธรรมชาติ ขณะที่สวนน้ำชาเป็นการนำลักษณะเด่นของสวนภูเขาและสวนในที่ราบมาผสมผสานและเน้นพิธีชงชาหรือซาโด (Sado) เป็นพิเศษ ญี่ปุ่นได้รับพิธีนี้มาจากวัฒนธรรมจีนและประยุกต์ให้เข้ากับการจัดสวนที่มีกระท่อมชาไว้สำหรับชงชาโดยเฉพาะ พิธีชงชาแบบญี่ปุ่นจะเน้นความมีสติทุกอิริยาบถ ตั้งแต่การชง การริน กระทั่งการดื่มที่ให้รู้สึกถึงรสชาติของชา มีสติกำกับตลอดเวลา รวมจิตเป็นหนึ่งเดียวกับการดื่ม กระทั่งไม่มีการแบ่งแยกระหว่างคำว่าชากับผู้ดื่มพิธีชงชาจึงเป็นการฝึกสติที่ประยุกต์เข้ากับวิถีชีวิต ดังที่ปรากฏในสวนน้ำชาโดยตรงหรือสวนแบบเซนที่นิยมจัดไว้มุมใดมุมหนึ่งภายในวัดเซนเอง
- Publicationภววิทยาของความสุขและสุขภาวะที่ดีในปรัชญาชีวิตแบบญี่ปุ่นสรายุทธ เลิศปัจฉิมนันท์; รัตน์จิต ทองเปรม; Sarayuddha Lhaspajchimanand; Ratjit Thongprem; Asst. Prof. Wanichcha Narongchai, Ph.D.; ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วณิชชา ณรงค์ชัย (2022)งานศึกษาวิจัยเกี่ยวกับความสุขและสุขภาวะที่ดีด้วยวิธีการทางสถิติเพียงอย่างเดียวในกรณีของประเทศญี่ปุ่นทำให้พบว่า สำนึกเชิงอัตวิสัยด้านความสุขไม่สัมพันธ์ตัวบ่งชี้เชิงภววิสัยของสุขภาวะที่ดี ข้อค้นพบที่สวนทางกันเช่นนี้ทำให้การศึกษาเกี่ยวกับความสุขหรือสุขภาวะที่ดีในแบบญี่ปุ่นได้หวนกลับไปสู่ท่าทีเชิงภววิทยา ที่ให้ความสำคัญกับการเข้าใจธรรมชาติของชีวิตซึ่งดำรงอยู่ในโลก ณ ตรงนี้/เวลานี้ ผลสรุปของการศึกษาในครั้งนี้จึงแสดงให้เห็นว่า ท่าทีดังกล่าวมีความคล้ายคลึงกับภววิทยาขั้นมูลฐานของไฮเด็คเกอร์ที่ให้ความสำคัญกับการเข้าใจสารัตถะของสัตว์ที่ดำรงอยู่จริงอย่างที่เป็นอยู่ในโลก
- Publicationวาบิ-ซาบิ กับแนวคิดเรื่องความงามในมุมมองสุนทรียศาสตร์นฐนกร ธงพุทธามนท์; พระมหาคมคาย สิริปญโญ; Notnargorn Thongputtamon; Phramaha Komkai Sington (2022)บทความเรื่องวาบิ-ซาบิ กับแนวคิดเรื่องความงามในมุมมองสุนทรียศาสตร์มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทฤษฎีทางสุนทรียศาสตร์ การตีความและการให้คุณค่าที่เกี่ยวกับแนวคิดวาบิ-ซาบิ ซึ่งมีที่มาจากประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากแนวคิดวาบิ-ซาบิ เป็นแนวคิดทฤษฎีที่ยอมรับเกี่ยวกับความไม่สมบูรณ์แบบ โดยมีความเห็นว่าความงามไม่จําเป็นต้องสมบูรณ์พร้อม มีความเรียบง่าย ไม่ถูกปรุงแต่งมากจนเกินไปวัตถุประสงค์ถัดมาคือการพยายามหาคําตอบของคําว่า สวยงาม ในมุมมองทางสุนทรียศาสตร์ในบริบทของวาบิ-ซาบินั้นมีความเป็นไปได้หรือไม่ กับการตอบคําถามที่ว่าความไม่สมบูรณ์แบบในผลงานศิลปะเหล่านั้นจะถูกยอมรับว่ามีคุณค่าทางศิลปะ สุนทรียภาพที่เกิดขึ้นจากแนวคิดวาบิซาบิ ได้ให้ความหมายลึกซึ้งถึงคุณค่าหรือไม่ การศึกษานี้เป็นการศึกษาเชิงเอกสาร โดยศึกษาจากแหล่งข้อมูลต่างๆที่ได้ให้คําอธิบายและนิยามความหมายไว้ถึงข้อสนับสนุนและข้อโต้แย้ง รวมไปถึงการนํากรอบทฤษฎีทางสุนทรียศาสตร์มาเป็นกรอบในการวิเคราะห์ ผลการศึกษาพบว่า การที่จะยอมรับแนวคิดวาบิ-ซาบิ ว่ามีคุณค่าความงามหรือไม่นั้น สิ่งสําคัญคือการนํากรอบทฤษฎีทางสุนทรียศาสตร์มาวิเคราะห์ ภายใต้กฎเกณฑ์ทําให้พบหลักฐานว่า วาบิ-ซาบิ นับเป็นสุนทรียภาพหนึ่งที่มีคุณค่าตามมาตรฐานความงามที่มิได้ขัดแย้งกับความเป็นจริง เพราะความงามของวาบิ-ซาบิ เป็นความงามที่จริงแท้ สัมผัสได้ และไม่ใช่เรื่องไกลตัวที่คนธรรมดาไม่สามารถรับรู้ได้ ความงามในรูปแบบของวาบิ-ซาบินั้นตั้งอยู่บนเรื่องราวของชีวิตที่สามารถนํามาอธิบายเป็นข้อเท็จจริงเป็นทฤษฎีที่เป็นรูปธรรมทางสุนทรียศาสตร์ได้ โดยหลักความจริงทางปรัชญาที่ค้นพบในวาบิ-ซาบิมี 3 ประการที่มีเกี่ยวข้องกับสภาวะแวดล้อม ได้แก่ “ปริมาณน้อย, การเลือกคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ที่มาจากที่มาของเนื้อแท้ของสิ่งนั้น, การเคารพธรรมชาติ”ซึ่งความงามในแบบของวาบิซาบิ มีอยู่ในวัฒนธรรมญี่ปุ่น และวิถีแห่งปรัชญา ซึ่งมีอิทธิพลต่อการรับรู้สุนทรียภาพของญี่ปุ่น และสิ่งที่ประกอบไปด้วยบริบทเหล่านี้ ได้แก่ พิธีชงชา, การจัดดอกไม้, บทกวีญี่ปุ่น(Haiku), การออกแบบสวน และ ละครเต้นรําคลาสสิกแม้ในยุคสมัยใหม่ วาบิ-ซาบิ ก็ยังถูกยอมรับความเป็นแนวคิดสําคัญที่ไม่ได้ถูกจํากัดอยู่ในวัฒนธรรมของญี่ปุ่นเพียงที่เดียว แต่ถูกมองว่าเป็นเรื่องของมนุษย์ที่มีความคิดมีจิตใจ และนอกจากนี้ วาบิ-ซาบิ ยังสอดคล้องกับทฤษฎีสุนทรียศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องของการให้คุณค่า โดยคุณค่าของวาบิ-ซาบิที่ถูกค้นพบนั้นถูกให้ไว้ในเชิงบวก คือ นอกจากจะสร้างความละเมียดในการสื่อสารแล้วยังมีคุณค่าทําให้จิตใจของผู้ที่ถูกฝึกฝนในเรื่องสุนทรียภาพให้มีความอ่อนโยน เข้าใจสังคมและมีความงดงามในจิตใจด้วย
- Publicationสุนทรียทัศน์แบบเซ็นในงานศิลปะของคามิน เลิศชัยประเสริฐอิสระ ตรีปัญญา; Isara Treepunya (2020)บทความเรื่อง สุนทรียทัศน์แบบเซนในงานศิลปะของคามิน เลิศชัยประเสริฐ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิเคราะห์สุนทรียทัศน์แบบเซนในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะร่วมสมัยของคามิน เลิศชัยประเสริฐ ใช้วิธีการรวบรวมข้อมูลจากเอกสารทางวิชาการและเอกสารที่ได้จากการสัมภาษณ์ศิลปินและนักวิชาการ โดยใช้แนวคิดสุนทรียทัศน์แบบเซนมาเป็นกรอบการศึกษาวิเคราะห์ในประเด็นเรื่องคุณค่าสุนทรียะและประสบการณ์สุนทรียะ ผลการศึกษาพบว่า ในด้านคุณค่าสุนทรียะ ผลงานศิลปะของคามิน เลิศชัยประเสริฐมีลักษณะอัตวิสัย การกล่าวคือ คุณค่านี้มาจากการให้ความสำคัญกับกระบวนการทำงานมากว่าผลลัพธ์ที่เป็นวัตถุ ผลงานศิลปะที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการยืนยันถึงร่องรอยประสบการณ์บางอย่างที่สำเร็จเสร็จสิ้นแล้วในจิตของศิลปิน ส่วนในด้านประสบการณ์สุนทรียะนั้นเป็นการรับรู้ในประสบการณ์ขณะนั้นอย่างบริสุทธิ์และจริงใจ ปราศจากความคิดปรุงแต่งและความคาดหวังใดๆ โดยศิลปินเห็นว่าการเข้าถึงประสบการณ์ทางสุนทรียะนี้เป็นสภาวะหนึ่งเดียวกันกับประสบการณ์ของสัจจะที่ตนได้รับรู้
- Publicationอุปายโกศลวิธี: ทฤษฎีการตีความในพุทธปรัชญาเซนพระมหาสุรชัย ชยาภิวฑฺฒโน (พุดชู); Phramaha Surachai Jayabhivaddhano (Phutchu) (2019)ทฤษฎีการตีความเชิงพุทธปรัชญามหายานที่สำคัญ คือ อุปายโกศลวิธี ซึ่งเป็นตัวอย่างของทฤษฎีบูรณาการหรือสัมพัทธนิยมที่เน้นทั้งการอธิบายความและการตีความ โดยความหมายแล้ว อุปายโกศลวิธี หมายถึง ความฉลาดในการสอนที่มีขอบเขตไม่จำกัด ประยุกต์ได้อย่างหลากหลาย ในพุทธปรัชญาเซนมีเครื่องมือสำคัญที่จัดเป็นอุปายโกศลวิธีเรียกว่า โกอาน ซาเซนและมอนโด ทั้งสามเครื่องมือเป็นรูปแบบการสอนที่เป็นอัตลักษณ์ของเซน ผู้สอนต้องมีประสบการณ์ตรงจากการปฏิบัติหรือการบรรลุธรรม จีงสามารถถ่ายทอดธรรมะผ่านเครื่องมือทั้งสามให้ศิษย์ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ พุทธปรัชญาเซนจึงเน้นประสบการณ์ทางจิตของปัจเจกชน ซึ่งการเข้าถึงประสบการณ์ทางจิตไม่สามารถบันทึกไว้ได้ด้วยภาษาซึ่งมีขอบเขตที่จำกัด กระนั้น ตัวภาษาเองก็มีส่วนสำคัญในฐานะเป็นกระบวนการที่เรียกว่า กายวิญญัติและวจีวิญญัติให้ศิษย์เข้าถึงธรรมะที่มีอยู่แล้วในทุกคนผ่านเครื่องมือ คือการขบคิดปริศนาธรรม (โกอาน) รวมถึงการสนทนาถามตอบแบบฉับพลัน (มอนโด) และการปฏิบัติธรรม (ซาเซน) ที่จัดเป็นทั้งวัจนภาษาและอวัจนภาษาในการสื่อสาร เครื่องมือทั้งสามจึงเป็นตัวอย่างของทฤษฎีอุปายโกศลวิธีที่เน้นการสอนเชิงผลสัมฤทธิ์ คือการเข้าถึงพุทธภาวะในทัศนะของพุทธปรัชญาเซน