Search Results
พัฒนาการทางการศึกษาของผู้หญิงไทย พ.ศ. 2500-2540: หลักสูตรการศึกษากับการพัฒนาผู้หญิงสู่ความทันสมัย
จิตตมาศ จิระสถิตย์พร, Jittamas Jirasatitporn (2017)
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มุ่งศึกษาพัฒนาการทางการศึกษาของผู้หญิงไทยในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2500 – 2540 โดยศึกษาบริบททางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมที่ส่งผลต่อการกำหนดนโยบายทางการศึกษาและหลักสูตรการศึกษากับการพัฒนาผู้หญิงสู่ความทันสมัย จากการศึกษาพบว่า การจัดการศึกษาของผู้หญิงในปี พ.ศ. 2500 – 2540 ได้รับการวางแผนส่งเสริมและสนับสนุนผู้หญิงให้ได้รับสิทธิและโอกาสทางการศึกษาขั้นพื้นฐานจากแนวนโยบายทางการศึกษาทั้งภายในและระหว่างประเทศ ซึ่งส่งผลให้การกำหนดหลักสูตรการศึกษาประกอบด้วยรายวิชาพื้นฐานทั่วไปที่มีเนื้อหาสอดคล้องกับบริบทการเปลี่ยนแปลงและความต้องการทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ทั้งนี้ภายใต้รายวิชาดังกล่าวได้สะท้อนให้เห็นรายวิชาที่สอดคล้องกับการส่งเสริมบทบาทและหน้าที่ของผู้หญิงด้วยการให้ความรู้ที่ทันสมัย ได้แก่ วิชาคหกรรมศาสตร์ วิชาประชากรศึกษา วิชาศิลปปฏิบัติและหัตถศึกษา และวิชาการงานและอาชีพ ต่างมีส่วนสร้างเสริมความรู้และทักษะที่จำเป็นกับผู้หญิงต่อการใช้ชีวิตประจำวันและการประกอบอาชีพในแต่ละช่วงเวลา
"หญิงชั่ว" ในประวัติศาสตร์ไทย: การสร้างความเป็นหญิงโดยชนชั้นนำสยามช่วงต้นรัตนโกสินทร์-พ.ศ. 2477
วรธิภา สัตยานุศักดิ์กุล, Worathipa Satayanusakkul (2016)
วิทยานิพนธ์นี้มุ่งศึกษากระบวนการสร้างและการนำเสนอ “หญิงชั่ว” ในประวัติศาสตร์ไทย โดยศึกษาประวัติและภาพลักษณ์ของผู้หญิงที่ถูกตีตราและเข้าข่ายชั่วในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ บริบททางสังคมและวัฒนธรรมในแต่ละยุคสมัยเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมความชั่วและเป็นตัวกำกับการสร้างความดีความชั่วให้แก่ผู้หญิง ผ่านการถ่ายทอดความรู้ สำนึก ค่านิยมและจารีตทางสังคม ผลการศึกษาพบว่าภาพลักษณ์ของ“หญิงชั่ว”ในประวัติศาสตร์ไทยช่วงต้นรัตนโกสินทร์ - พ.ศ. 2477 เกิดจากมโนทัศน์และค่านิยมของผู้ชาย ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ “หญิงชั่ว”ถูกเสนอในภาพของผู้หญิงที่ละเมิดศีลธรรมทางพุทธศาสนา และในยุคถัดมาคือ สมัยรัชกาลที่ 4 – พ.ศ. 2477 “หญิงชั่ว”ถูกเสนอในภาพของผู้หญิงที่ละเมิดจารีตเดิมและต่อต้านอำนาจชายเป็นใหญ่ในสังคมสยาม การเขียนประวัติศาสตร์ของผู้ชายยังสะท้อนถึงค่านิยมบางประการที่ผู้ชายคาดหวังต่อผู้หญิงและความคาดหวังเหล่านี้ถูกแสดงออกมาในรูปแบบของการสร้างภาพลักษณ์ผู้หญิงที่ไม่เป็นที่พึงประสงค์ของผู้ชายในรูปแบบของหญิงชั่วที่หญิงดีไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง
สวนสนุก: การเปลี่ยนแปลงของธุรกิจการพักผ่อนหย่อนใจในกรุงเทพ ปีพ.ศ. 2470-2540
ภาสวร สังข์ศร, Passavon Sungsorn (2016)
สวนสนุกเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจกลางแจ้งขนาดใหญ่ที่มีกิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจที่หลากหลาย การศึกษาธุรกิจสวนสนุกในพื้นที่กรุงเทพสามารถอธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมในกรุงเทพอย่าง การพักผ่อนหย่อนใจ วิถีชีวิตประจำวัน ในแต่ละช่วงเวลาได้ เนื่องจากกรุงเทพเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กรุงเทพในฐานะเมืองหลวงกลายเป็นเมืองโตเดี่ยวที่มีพัฒนาการทางกายภาพอย่างรวดเร็วและรับอิทธิพลวัฒนธรรมยุโรปได้มากกว่าเมืองอื่นๆ ในประเทศ กิจกรรมการพักผ่อนหย่อนใจและความบันเทิงรูปแบบใหม่จึงแพร่หลายในกรุงเทพ สวนสนุกในเมืองกรุงเทพก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นพื้นที่ให้ความบันเทิงที่เกี่ยวข้องกับการพนันสำหรับผู้ใหญ่เป็นหลัก เช่น สวนสนุก (ในลุมพินี) อันแตกต่างจากพื้นที่สวนสนุกในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเฉพาะสวนสนุกแดนเนรมิตที่เกิดขึ้นในปี 2519 ที่รองรับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยรับอิทธิพลสวนสนุกดีสนีย์แลนด์และสื่อการ์ตูนดีสนีย์ในประเทศสหรัฐอเมริกา ในช่วงทศวรรษ 2520 สวนสนุกได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น สวนสยามที่มีทั้งพื้นที่สวนน้ำและสวนสนุก รวมถึงพื้นที่สวนสนุกและสวนน้ำบนศูนย์การค้าต่างๆ ได้เกิดขึ้นหลายแห่งในย่านชานเมืองของกรุงเทพ แต่วิกฤตเศรษฐกิจปีพ.ศ. 2540 ได้สร้างผลกระทบต่อธุรกิจสวนสนุกในกรุงเทพ ทำให้ธุรกิจสวนสนุกต่างๆในกรุงเทพต้องปรับตัวและเปลี่ยนแปลงให้อยู่รอด การศึกษาธุรกิจสวนสนุกในกรุงเทพจึงสามารถอธิบายการเกิดขึ้นและการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่สวนสนุกที่มีบริบทเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมที่แตกต่างในแต่ละช่วงเวลา
กีฬาดาบไทยและกีฬาดาบสากลกับบทบาทต่อนโยบายของรัฐ พ.ศ. 2508-2555
อารยา พิทยจำรัส, Araya Pittayachamrat (2016)
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ศึกษาบทบาทของกีฬาดาบไทย และกีฬาดาบสากลที่มีต่อนโยบายของรัฐ ตั้งแต่ช่วง พ.ศ. 2508-2555 โดยผลการศึกษาพบว่ากีฬาทั้งสองชนิดมีบทบาทที่สอดคล้องและตอบสนองต่อนโยบายด้านการกีฬาของรัฐในการใช้กีฬาเพื่อจัดการกับประชาชนมาโดยตลอด ซึ่งความพยามในการจัดการประชาชนของรัฐไม่เพียงแต่ปรากฏในกีฬาทั้งสองชนิดหรือกีฬาชนิดอื่นๆ เท่านั้นแต่ยังปรากฏอยู่ทั่วไปทั้งหน่วยงานของภาครัฐและเอกชน การใช้กีฬาเพื่อจัดการกับประชาชนตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ที่กีฬาเป็นเครื่องมือหนึ่งของชนชั้นนำที่ใช้ในการขัดเกลา และสร้างลักษณะที่พึงประสงค์ให้แก่ประชาชน เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยที่กำลังเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจโลกโดยมีเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความเข้าใจเรื่องกีฬาแก่ประชาชน อีกทั้งกีฬาตามแบบเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรียังคงมีอิทธิพลสืบเนื่องมาถึงปัจจุบัน ในช่วงเวลาต่อมากีฬาไม่เพียงแต่ขัดเกลาลักษณะนิสัยของประชาชนเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทในฐานะเครื่องมือในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศผ่านการเข้าร่วมการแข่งขัน และการเป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬาระดับนานาชาติ นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องมือของรัฐที่ใช้แก้ปัญหาต่างๆ ภายในประเทศที่เกี่ยวข้องกับประชาชนเช่น เป็นส่วนหนึ่งในการจัดการกับปัญหาคอมมิวนิสต์ของรัฐ หรือการใช้กีฬาโดยมีนักกีฬาที่มีชื่อเสียงเป็นตัวอย่างที่ดีของประชาชน การดำเนินการเพื่อตอบสนองต่อนโยบายของรัฐในช่วงเวลาต่างๆ สมาคมกีฬาไทยฯ ที่รับผิดชอบกีฬาดาบไทย และสมาคมฟันดาบฯ ล้วนมีการดำเนินงานที่สอดคล้อง และตอบสนองต่อนโยบายของรัฐเกี่ยวกับกีฬามาโดยตลอด กีฬาทั้งสองชนิดจึงมีบทบาทในการเป็นเครื่องมือของรัฐในการจัดการกับประชาชน การศึกษาบทบาทของกีฬาทั้งสองจึงเป็นการศึกษาที่ชี้ให้เห็นกระบวนการในการจัดการประชาชนของรัฐผ่านหน่วยงานต่างๆ ในสังคมไม่เพียงแต่ในวงการกีฬาเท่านั้น
โรงภาพยนตร์กับวัฒนธรรมภาพยนตร์ในกรุงเทพฯ พ.ศ. 2500-2520
ปฏิพัทธ์ สถาพร, Patipat Sathaporn (2017)
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างโรงภาพยนตร์กับวัฒนธรรมภาพยนตร์ โดยใช้วิธีวิจัยทางประวัติศาสตร์เพื่ออธิบายบทบาทของโรงภาพยนตร์ต่อการเผยแพร่และการชมภาพยนตร์ในสังคมกรุงเทพฯ จากการศึกษาพบว่า ในช่วง พ.ศ. 2500-2520 ซึ่งถือเป็นยุคเฟื่องฟูของกิจการโรงภาพยนตร์ในกรุงเทพฯ โรงภาพยนตร์ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตแบบเมืองและเป็นตัวแทนของการพัฒนาและความทันสมัย วัฒนธรรมภาพยนตร์ในมิติต่าง ๆ ทั้งการสร้างภาพยนตร์ ธุรกิจภาพยนตร์ ตลอดจนวิถีการชมภาพยนตร์ต่างก็มีปฏิสัมพันธ์กันและปรากฏให้เห็นผ่านพื้นที่โรงภาพยนตร์ การดำเนินงานบนพื้นฐานธุรกิจส่งผลให้การแข่งขันเพื่อสร้างกำไรเป็นเป้าหมายสำคัญของโรงภาพยนตร์ ภาพยนตร์ต่างประเทศ โดยเฉพาะภาพยนตร์ฮอลลีวูด จึงครองตลาดการฉายในโรงภาพยนตร์ชั้นหนึ่งกรุงเทพฯ ขณะที่โรงภาพยนตร์ชั้นสองและชั้นสามเป็นพื้นที่เปิดสำหรับภาพยนตร์ทุกสัญชาติ ยุคเฟื่องฟูของโรงภาพยนตร์นี้ดำรงอยู่ควบคู่ไปกับช่องทางการชมภาพยนตร์ในรูปแบบอื่น ๆ ได้แก่ โทรทัศน์ สถาบันทางวัฒนธรรม และภาพยนตร์กลางแปลง ซึ่งล้วนมีส่วนในการสร้างวัฒนธรรมการชมที่แตกต่างกันไป ทว่าโรงภาพยนตร์ก็ยังเป็นพื้นที่หลักสำหรับการฉายและการชมภาพยนตร์ วิทยานิพนธ์นี้เสนอว่าพื้นที่ฉายมีบทบาทสำคัญในการบ่มเพาะวัฒนธรรมภาพยนตร์ที่แตกต่างกันไป
จากฟันดำสู่ฟันขาว: ฟันและทันตกรรมในสังคมกรุงเทพ ทศวรรษ 2430-2490
ปรีดาภรณ์ เอี่ยมแจ๋, Preedaporn Iamchae (2017)
วิทยานิพนธ์นี้ศึกษาประวัติศาสตร์ของฟันของคนในสังคมกรุงเทพมหานครในระหว่างทศวรรษ 2430-2490 คำถามหลักของวิทยานิพนธ์คือ กระแสความนิยมเกี่ยวกับฟันได้เปลี่ยนจากวัฒนธรรมฟันดำไปสู่วัฒนธรรมฟันขาวได้อย่างไร วิทยานิพนธ์นี้เสนอว่า การเปลี่ยนวัฒนธรรมหรือกระแสความนิยมจากฟันดำไปสู่ฟันขาวนั้นเป็นผลมาจากการรับวัฒนธรรมและเทคโนโลยีจากโลกตะวันตกที่เข้ามาในกรุงเทพ ตั้งแต่ปลายพุทธศตวรรษที่ 24 การแพทย์สมัยใหม่ การศึกษา และการสื่อสารมวลชน มีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่วัฒนธรรมฟันขาวในสังคมกรุงเทพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ทศวรรษ 2450 เป็นต้นมา ดังนั้น วัฒนธรรมฟันดำที่เคยเป็นที่นิยมจึงได้หมดความสำคัญลงไป ฟันดำที่เคยสื่อความหมายถึงความงามและความเป็นมนุษย์ได้ถูกลดคุณค่าให้กลายเป็นสิ่งที่ไม่คู่ควรกับร่างกายยุคใหม่ ตรงกันข้ามกับฟันขาวที่เคยถูกตราว่าเป็นฟันของสัตว์และภูติผีปีศาจกลับกลายมาเป็นภาพแทนของผู้คนที่มีความทันสมัยตามแบบโลกตะวันตก แปรงสีฟัน ยาสีฟัน และทันตกรรมแบบตะวันตกเข้ามาทำหน้าที่ดูแลรักษาฟันแทนหมากและสมุนไพร ช่วงเวลาสำคัญที่ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นคือทศวรรษ 2450-2480 ความคิดและกิจปฏิบัติตามแบบวัฒนธรรมฟันขาวถูกเผยแพร่ผ่านแบบเรียน คู่มือดูแลสุขภาพ วรรณกรรม ภาพถ่าย ภาพยนตร์ โฆษณา ร้านทำฟัน ตลอดจนนโยบายทางวัฒนธรรมและสาธารณสุขของรัฐที่เน้นเรื่องฟันขาวอย่างมากในระหว่าง พ.ศ. 2482-2486 อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปคือ แนวทางที่เชื่อกันว่า สภาพของฟันเป็นภาพแทนของรูปแบบการใช้ชีวิตและรูปแบบทางสังคม
ความรักกับความสัมพันธ์ในสื่อสิ่งพิมพ์ของผู้หญิงช่วงทศวรรษ 2490
เสนาะ เจริญพร, Sanoh Charoenporn (2020)
งานวิจัยเรื่อง ความรักกับความสัมพันธ์ในสื่อสิ่งพิมพ์ของผู้หญิงช่วงทศวรรษ 2490 ต้องการศึกษาว่า ความรักกับความสัมพันธ์ที่ปรากฏในสื่อสิ่งพิมพ์ของผู้หญิงช่วงทศวรรษ 2490 มีลักษณะอย่างไร และเหตุใดจึงมีลักษณะเช่นนั้น จากการศึกษาพบว่า ในช่วงทศวรรษ 2490 ความรักโรแมนติกแบบชนชั้นกลางเกิดขึ้นแล้ว ในทัศนะของผู้หญิง ความรักถูกมองเป็นเรื่องของหัวใจ อยู่เหนือเหตุผลและเงินทอง ความรักเป็นสิ่งที่งดงามกว่าเซ็กส์ อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงต้องเผชิญกับปัญหาความรักเพราะผู้ชายเจ้าชู้ บางคนผิดหวังจากความรักจนต้องฆ่าตัวตาย ผู้หญิงจึงโหยหาสามีที่รักเดียวใจเดียว ขณะที่ผู้หญิงอีกจำนวนหนึ่งเลือกอยู่เป็นโสด เพราะไม่ต้องการเสี่ยงกับชีวิตคู่ นอกจากนี้ ผู้หญิงมีการกล่าวถึงพรหมจรรย์พอสมควร แต่ยังไม่เป็นกระแสหลัก เพราะให้ความสำคัญกับการรักนวลสงวนตัวมากกว่า ผู้หญิงต่อสู้กับผู้ชายในหลายมิติ เช่น ปฏิเสธเรื่องแม่ศรีเรือน เรียกร้องการทำงานนอกบ้าน ไม่ทนกับสามีที่ทุบตีและมีหญิงอื่น รวมทั้งขบถผ่านงานเขียนแนวอีโรติก ยิ่งกว่านั้น ผู้หญิงยังเป็นฝ่ายรุกทางเพศ โดยเลือกผู้ชายมาร่วมหลับนอน หรือว่าจ้างผู้ชายมาเป็นสามีสำรองของเธอ อีกทั้ง เสนอว่าผู้หญิงมีศักยภาพทางเพศสูงกว่าและเป็นผู้กระทำการทางเพศ อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ของผู้หญิงมักจะถูกยึดโยงเข้ากับสิ่งใหม่และความเป็นตะวันตก โดยถูกกลุ่มคนที่อ้างความดีของจารีตเก่าและความเป็นไทย วิพากษ์วิจารณ์ผู้หญิงในหลายด้าน เช่น การแต่งตัวโป๊ การสูบบุหรี่ เสรีภาพทางเพศ และการเลือกคู่ด้วยตนเอง ลักษณะที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นผลมาจากปัจจัย 3 ด้าน หนึ่ง คือการเข้ามาของพลังจากตะวันตกอันได้แก่ กระแสสตรีนิยม ระบบการศึกษาสมัยใหม่ วัฒนธรรมยุคแจ๊ซ และคู่มือทางเพศ สอง คือการขยายตัวของชนชั้นกลางและสื่อสิ่งพิมพ์ และสาม คือแรงต้านจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่เห็นด้วยกับเรื่องกุลสตรี การรักนวลสงวนตัว และระบบชายเป็นใหญ่
ประวัติศาสตร์เด็กและวัยเด็กช่วงต้นรัตนโกสินทร์ถึงการปฏิรูปการปกครองสมัยรัชกาลที่ 5
ภาคิน นิมมานนรวงศ์, Phakin Nimmannorrawong (2015)
งานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาประวัติศาสตร์เด็กและวัยเด็กช่วงต้นรัตนโกสินทร์ถึงการปฏิรูปการปกครองสมัยรัชกาลที่ 5 โดยมุ่งชี้ให้เห็นบทบาททางประวัติศาสตร์อื่นๆ ของเด็กและวัยเด็ก นอกเหนือจากการถูกควบคุมจัดการโดยรัฐและอุดมการณ์ชาตินิยม เราอาจมองเห็นถึงบทบาทเหล่านี้ได้ดียิ่งขึ้นด้วยการพิจารณาความหมายที่ซ้อนทับกันอยู่ของคำว่า “เด็ก” ทั้งในแง่กายภาพ ปรัชญา และความสัมพันธ์ทางสังคม ขณะเดียวกัน งานวิจัยพยายามปรับใช้แนวคิดเรื่องตัวแบบทางประวัติศาสตร์และองค์ความรู้จากศาสตร์ต่างสาขาเพื่อชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของการศึกษาประวัติศาสตร์เด็กและวัยเด็กในมิติชีววัฒนธรรม เนื้อหางานวิจัยแบ่งออกเป็น 4 บท (ไม่รวมบทนำ และบทสรุป) บทที่ 2 มุ่งปูพื้นฐานเกี่ยวกับข้อถกเถียงและช่องว่างของการศึกษาประวัติศาสตร์เด็กและวัยเด็กในต่างประเทศและในไทย บทที่ 3 ศึกษาวิถี
ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมการบริโภคนมในสังคมไทย ทศวรรษ 2500 ถึงทศวรรษ 2530
ผกาพรรณ น้อยตะริ, Phagaphan Noitari (2018)
วิทยานิพนธ์นี้มุ่งสำรวจประวัติศาสตร์วัฒนธรรมการบริโภคนมในสังคมไทย ช่วงทศวรรษ 2500 ถึงทศวรรษ 2530 คำถามวิจัยของวิทยานิพนธ์ คือ วัฒนธรรมการบริโภคนมก่อตัวและเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรในแต่ละช่วงเวลา การศึกษาพบว่า วัฒนธรรมการบริโภคนมไม่ใช่วัฒนธรรมดั้งเดิมของไทย แต่เป็นวัฒนธรรมที่รับมาจากต่างชาติ โดยก่อน พ.ศ. 2500 การบริโภคนมยังจำกัดในคนชนชั้นสูงของไทยและชาวต่างชาติ เพราะนมเป็นสินค้าหายาก ราคาแพง และไม่มีการผลิตกันอย่างจริงจัง กระทั่งทศวรรษ 2500 อุตสาหกรรมนมในประเทศได้เกิดขึ้น วัฒนธรรมการบริโภคนมจึงเริ่มแพร่หลาย โดยเฉพาะวัฒนธรรมการดื่มนมที่เริ่มตื่นตัวในกรุงเทพ จากนั้นค่อยขยายไปยังต่างจังหวัด โดยในทศวรรษ 2510 วัฒนธรรมการดื่มนมก่อตัวจากการดื่มนมของเด็ก และหลังทศวรรษ 2520 วัฒนธรรมการดื่มนมก็ขยายออกไปสู่คนทุกช่วงวัย ได้แก่ เด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ ช่วงเวลาสำคัญของการเปลี่ยนผ่าน คือ ช่วงทศวรรษ 2500 ถึงทศวรรษ 2530 วัฒนธรรมการบริโภคนม โดยเฉพาะวัฒนธรรมการดื่มนมได้รับแรงผลักจากรัฐบาลและผู้ค้านม ทั้งในด้านการผลิต รัฐบาลสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมนม ส่วนผู้ค้านมก็ขยายการผลิตออกไปพื้นที่ต่างๆ และการออกผลิตภัณฑ์นมใหม่ๆ เข้าสู่ตลาด และในด้านการตลาด รัฐบาลดำเนินงานควบคุมคุณภาพและราคา มีการแจกจ่ายนม การเผยแพร่ความรู้เรื่องนม และการดำเนินโครงการต่างๆ ได้แก่ โครงการส่งเสริมการบริโภคนม และโครงการอาหารเสริมนมโรงเรียน ขณะเดียวกัน ผู้ค้าก็ส่งเสริมการขายโดยเน้นการโฆษณา ดังนั้น รัฐบาลและผู้ค้านมจึงมีส่วนอย่างสำคัญต่อการผลักดันให้วัฒนธรรมการบริโภคนมกลายเป็นหนึ่งในวิถีการบริโภคของคนในสังคมไทย
ผู้ประกอบอาชีพทำอาหารในสังคมไทย ช่วงทศวรรษ 2490-2550
ญาณทวี เสือสืบพันธุ์, Yanthawee Suasuebphan (2017)
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ต้องการตามหา พ่อครัว แม่ครัว ในพื้นที่ประวัติศาสตร์ไทยตั้งแต่ทศวรรษ 2490 – 2550 โดยเน้นศึกษาพ่อครัว แม่ครัว หรือ ผู้ประกอบอาชีพทำอาหารในร้านอาหาร ภัตตาคาร โรงแรม เป็นหลัก จากการสำรวจ “เส้นทาง” ประวัติศาสตร์ของผู้ประกอบอาชีพทำอาหารในสังคมไทยผ่าน 2 ประเด็นหลัก ประเด็นแรกคือ พัฒนาการวิชาทำอาหาร ประเด็นที่สอง คือ กระบวนการสร้างมาตรฐานทักษะวิชาชีพทำอาหารในสังคมไทย พบว่า ตั้งแต่ทศวรรษ 2490 เป็นต้นมา สถานะและรูปแบบของผู้ประกอบอาชีพทำอาหารในสังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปตามความต้องการของตลาดแรงงานในกลุ่มธุรกิจการท่องเที่ยวและบริการเป็นหลัก ปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้แรงงานไทยเลือกเข้าสู่อาชีพประกอบอาหารอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่เมื่อราวทศวรรษ 2500 เป็นต้นมาคือ การขยายตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการซึ่งเป็นผลจากการตั้งฐานทัพทหารสหรัฐอเมริกาในประเทศไทย ประกอบกับการเร่งพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1 – 3 (พ.ศ. 2504- 2519) แรงงานไทยที่หลั่งไหลเข้าสู่กรุงเทพบางส่วนเลือกเข้าสู่อาชีพประกอบอาหารตามภัตตาคารหรือโรงแรมในฐานะ “แรงงานไร้ฝีมือ” (Unskilled Labour) ต่อมาทศวรรษ 2520 -2530 อาชีพผู้ประกอบอาหารในร้านอาหาร ภัตตาคาร โรงแรมได้รับการสนับสนุนมากขึ้นตามความต้องการของตลาดแรงงาน เห็นได้จากมีการจัดสอนวิชาทำอาหารเพื่อทำงานในครัวโรงแรมเพิ่มมากขึ้นในสถาบันอาชีวศึกษาของรัฐและสถาบันสอนวิชาการโรงแรมของเอกชน ภาพลักษณ์ของผู้ประกอบอาชีพทำอาหารในช่วงเวลานี้เริ่มเปลี่ยนแปลงเป็นอาชีพที่ต้องการทักษะมากยิ่งขึ้น จนกระทั่งในทศวรรษ 2540 รัฐบาลเล็งเห็นช่องทางกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการส่งออกจากกระแสนิยมรับประทานอาหารไทยอย่างกว้างขวางในกลุ่มชาวต่างชาติ ทำให้เกิดกระบวนการพัฒนาคุณภาพผู้ประกอบอาหารไทยและการกำหนดมาตรฐานทักษะฝีมือทำอาหารโดยรัฐภายใต้นโยบายส่งเสริมการส่งออกอาหารไทย กระบวนการกำหนดมาตรฐานทักษะฝีมือผู้ประกอบอาหารไทยดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลให้สถานะและภาพลักษณ์ของผู้ประกอบอาชีพทำอาหารในสังคมไทยเปลี่ยนไปสู่อาชีพที่ต้องการแรงงานระดับทักษะฝีมือ (Skilled Labour) ไม่ใช่แรงงานไร้ฝีมือ (Unskilled Labour) อีกต่อไป