วรรณกรรม/วรรณคดีบาลีและสันสกฤต
Permanent URI for this collection
บทความวิจัย บทความวิชาการ รายงานการวิจัย วิทยานิพนธ์ สารนิพนธ์ และหนังสือเกี่ยวกับวรรณคดีบาลี วรรณคดีสันสกฤต ประวัติวรรณคดีบาลี ประวัติวรรณคดีสันสกฤต วรรณคดีบาลีและสันสกฤตในวรรณคดีไทย การศึกษาจารึกและเอกสารโบราณ
Browse
Browsing วรรณกรรม/วรรณคดีบาลีและสันสกฤต by Degree Department "ศูนย์สันสกฤตศึกษา"
Now showing 1 - 20 of 50
Results Per Page
Sort Options
- PublicationA comparative study of the concept "Truth" in the Upanisads and the Sutta-Pitakaคาซูฮีโร ยามาโมโต; Yamamoto, Kazuhiro (2009)The purpose of this comparative study is to find out a philosophical trend underlying the Upanisads and Sutta-pitaka by analyzing the concept “truth” (Skt. Satya, Pāli sacca). Admittedly, the old Upanisads and early Buddhism have their own philosophical backgrounds. A longing for the eternal (nitya), which is seen everywhere in the old Upanisads, is not irrelevant to the theistic tendency inherited from the Vedic literatures. On the other hand, early Buddhism has its origin among a new group of thinkers, called “Sramanas/Samanas,” Who are mostly attheists ; some are materialists or sensationalists, and some are sceptics. However, this study concludes that, in regard to the pursuit of truth, early Buddhism is an authentic follower of the old Upanisads : Firstly, in both of them, “intuitive knowledge” (Skt. Jñāna, Pali paññā) is a clue to the pursuit of truth. Secondly, “intuitive knowledge” is understood as “transcendental knowledge” or “universal knowledge,” namely, this knowledge is that through which this ephemera world is established. Thirdly, both of them speak of the destruction of the world. When this ephemeral world is completely destroyed, the true state of the world is revealed. Fourthly, ultimately true knowledge or the true intuitive knowledge must imply “becoming.” This must be a true meaning of “way” (Skt. mārga, Pāli magga). Besides, the Buddha is still a reformer of Indian orthodox philosophy, because his teaching brings about a great influence in the world, showing the possibility of a new philosophy through overcoming asceticism (samnyāsa).
- PublicationA Critical Study of Brahma Worship in Thailand with Reference to Religions, Iconography, and the Modern Cultศรัณย์ สืบสันติวงศ์; Suebsantiwongse, Saran (2015)The aim of this project is to investigate the origin and the rise of Brahma cult in Thailand in two major parts: 1. Brahma worship traditions in Hinduism and Buddhism including iconography in India in association with Sanskrit sources particularly the Puranas 2. The history and significance of Brahma worship in Thailand and the modern phenomena of the cult and how it has influenced society and belief of the country The methodology will include collecting related verses from Puranas, pictures of Brahma iconography in India and Thailand and information related to the erection of the Erawan Shrine in Thailand
- PublicationAn Analytical Study of Vimalakirti Nirdesa SutraHeng, Lin (2016)Vimalakīrti Nirdeśa Sūtra is a Mahāyāna Buddhist text which was likely to be composed in 100 CE. There are twelve chapters written in prose, they are classical Sanskrit, besides, there are some verses in chapter one and chapter seven, those verses are composed in hybrid Sanskrit. It is a popular and influential sūtra which depicts the teaching addressed to Bodhisattvas by a layman named Vimala. This sūtra is a creative work filled by artistic imaginations. It contains many humorous stories of great wisdom. This is the typical characteristic of Mahāyāna Buddhism. This sūtra is special because it shows respect for non-monastic practitioners and stating the equality of laymen and women in Mahāyāna Buddhism. The Buddha Field is based on the common world and common people. Vimala showed his abhijñā and wisdom. This incredible abhijñā is the teaching method for attracting common people. It empowers the Buddha and Bodhisattvas with supernatural power. This is a suitable and effective way for dharma preaching. Meanwhile, abhijñā also reveals the doctrine of śūnyatā and mokșa. As seen in Vimalakīrti Nirdeśa Sūtra, Vimala appeared to be sick. This is a metaphor which refers to the skandha on the human body, we should not rely our bodies which would finally lead to decay. We should abandon this kind of sick, hollow, useless, impermanent body, never rely on it. We should pursuit the tathāgata-gotra. When we get this kind of body, we can get rid of all illness and troubles. Then, how to get the body of tathāgata-gotra? We need to hold the six pāramitā and go on practicing. Through the virtue of offering (dāna); the first of the 6 six pāramitā, lay people can gain karmic merit by donating to temples. Besides donation, we should practice meditation, as Vimal told, dhyāna can help removing skandha (five aggregates). Also, we have to go through bad conditions. We need to use our wisdom to attain perfect enlightenment. So that the Buddha Field of virtue and great vyūha will appear. Hence, applying the appropriate teaching method with inconceivable skill in liberative technique in Buddhist study is recommended.
- Publicationการศึกษาเชิงวิเคราะห์คัมภีร์คชศาสตร์ของปาลกาปยะธวัชชัย ดุลยสุจริต; Dulyasucharit, Thawatchai (2020)วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแปลเนื้อหาของคัมภีร์คชศาสตร์ของปาลกาปยะเป็นภาษาไทย และเพื่อวิเคราะห์คัมภีร์คชศาสตร์ของปาลกาปยะ โดยใช้ต้นฉบับภาษาสันสกฤต อักษรเทวนาครี ที่ชำระโดยสิทธารถ เยศวันต วากัณกร และคณะ ผลการวิจัยพบว่า คัมภีร์คชศาสตร์แต่งเป็นภาษาสันสกฤตแบบแผน เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นร้อยกรอง มีทั้งสิ้น 19 บท หรือประกรณ์ เนื้อหาว่าด้วยตำนานช้าง ช้างประจำทิศ คำสาปที่มีต่อช้าง ลักษณะป่าของช้าง การเติบโตของช้างวัยต่างๆ ช้างในแต่ละภูมิภาค การจับช้าง ลักษณะของช้าง ช้างอังศะที่มีส่วนของเทพเจ้า มีสีผิวและความสว่างของช้าง กลิ่นของช้าง กำลังของช้าง คุณทั้งสาม การเดิน ร่องรอยของช้าง ลักษณะโทษ ขนาด และที่นั่งบนหลังช้างส่วนของคำประพันธ์นั้น พบว่ามีการใช้ฉันท์ทั้งสิ้น 10 ชนิด โดยมีอนุษฏุภเป็นหลักพบอยู่ในทุกประกรณ์ บางประกรณ์มีฉันท์มากถึง 6 ชนิด นอกจากนี้ยังมีการใช้คำที่หมายถึงช้าง 24 คำ คำที่พบบ่อยคือ คช กริน มาตังคะ เป็นต้น ทั้งยังมีคำเรียกช้างวัยต่าง ๆ และช้างประจำทิศทั้ง 8 รวมทั้งนางช้างและลูกๆ ด้วย การจับช้างในคัมภีร์คชศาสตร์มี 5 วิธี คือการล้อมเพนียด การใช้ช้างต่อ การไล่จับ ขุดหลุมพราง และขุดหลุมลึก ผู้แต่งคัมภีร์ได้ใช้วิธีการเปรียบเทียบเพื่อพรรณากลิ่นช้างทั้งหมด 40 กลิ่น สุดท้ายผู้วิจัยได้รวบรวมศัพท์เกี่ยวกับช้างประมาณ 250 คำ เพื่อให้ทราบถึงความหมายที่เกี่ยวข้องกับช้างโดยเฉพาะ
- Publicationการศึกษาเชิงวิเคราะห์คัมภีร์โพธิจรรยาวตารพระมหาวิชาญ กำเหนิดกลับ; Kamnerdlab, PraMaha Vichan (2006)วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมา ขอบเขตเนื้อหา แนวความคิดและหลักการดำเนินชีวิตของพระโพธิสัตว์ รวมถึงศึกษาวิเคราะห์หลักธรรมสำคัญและทรรศนะทางปรัชญาที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์โพธิจรรยาวตาร และอิทธิพลของคัมภีร์อื่น ๆ ที่มีต่อคัมภีร์นี้ ผลการศึกษาพบว่า คัมภีร์โพธิจรรยาวตารนี้ พระศานติเทวะได้ประพันธ์ขึ้นในคริตศตวรรษที่ 7-8 (ค.ศ.685-763) มีเนื้อหาทั้งหมดประกอบด้วย 10 ปริเฉทหรือบท มีจำนวนโศลกทั้งสิ้น 913 โศลก ในการประพันธ์ได้ใช้ฉันทลักษณ์ 11 ชนิด และนิยมใช้อนุษฏุกฉันท์มากที่สุด พบว่า งานวรรณกรรมที่เกิดขึ้นก่อนหน้า ทั้งของพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทและมหายาน คือ คัมภีร์ขุททกนิกาย คัมภีร์มหาวิภังค์ คัมภีร์สุพาหุปฤจฉาสูตร คัมภีร์อากาศครรภสูตรและคัมภีร์สูตรสมุจจัย ได้มีอิทธิพลทางความคิดทั้งโดยตรงและโดยอ้อมต่อการประพันธ์คัมภีร์โพธิจรรยาวตาร หลักการดำเนินชีวิตหรือขั้นตอนการเป็นพระโพธิสัตว์อันเรียกว่า โพธิสัตวจรรยา ที่มีปรากฏอยู่ในคัมภีร์โพธิจรรยาวตารนั้น ประกอบด้วยขั้นตอนสำคัญ 4 ขั้นตอน คือ ขั้นอนุตตรบูชา ขั้นโพธิจิต ขั้นปณิธานและขั้นบำเพ็ญบารมี 6 คัมภีร์โพธิจรรยาวตารได้แสดงหลักธรรมสำคัญ คือ กฎอิทัปปัจจยตา หรือ ศูนยตาขึ้นเป็นแกนกลางหลักสำคัญ พัฒนาระบบปรัชญาของนิกายมาธยมิกให้สูงเด่นขึ้น โดยพระศานติเทวะได้อธิบายและนำเสนอทรรศนะข้อโต้แย้งทางอภิปรัชญาของตน กับสำนักนิกายอื่น ๆ ด้วยระบบวิภาษวิธี หลักการสำคัญของศูนยตา ก็คือ สรรพสิ่งทั้งที่เป็นสังขตธรรมและอสังคตธรรม เป็นสัตและไม่ใช่สัต มีผู้สร้างและไม่มีผู้สร้าง ล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ด้วยเหตุปัจจัยที่ส่งผลสืบเนื่องกันมาเท่านั้น สิ่งต่าง ๆ ไม่อาจดำรงสวลักษณะได้ด้วยตัวของมันเองแต่อย่างใด
- Publicationการศึกษาเชิงวิเคราะห์คัมภีร์มูลสรวาสติวาทวินัยวัสตุ-ศึกษาเฉพาะไภษัชยวัสตุเสกสรรค์ สว่างศรี; Sawangsri, Seksan (2019)วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อปริวรรตและแปลคัมภีร์มูลสรวาสติวาทวินยวัสตุ เฉพาะส่วนที่ว่าด้วยไภษัชยวัสตุจากต้นฉบับภาษาสันสกฤตเป็นภาษาไทย รวมถึงศึกษาความเป็นมาและลักษณะทางด้านภาษาของคัมภีร์ รวมทั้งภาพสะท้อนทางด้านต่าง ๆ หลักธรรมที่ปรากฏในคัมภีร์ ผลจากการปริวรรตและแปลคัมภีร์นั้นพบว่า คัมภีร์มูลสรวาสติวาทวินยวัสตุส่วนใหญ่โดยเฉพาะส่วนที่เป็นร้อยแก้วประพันธ์ด้วยภาษาสันสกฤตมาตรฐาน ซึ่งเป็นการประพันธ์ที่เรียบง่ายและถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ ส่วนที่เป็นร้อยกรองหรือคาถาเท่านั้นที่ประพันธ์ด้วยภาษาสันสกฤตผสม ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามหลักไวยากรณ์ของภาษาสันสกฤตมาตรฐาน อาจเป็นเพราะส่วนที่เป็นคาถานั้นผู้ประพันธ์จำเป็นต้องใช้ศัพท์เฉพาะทางพุทธศาสนาซึ่งอาจเป็นภาษาถิ่นบาลี หรือถิ่นปรากฤต ทั้งนี้ก็เพื่อให้เป็นไปตามฉันทลักษณ์ที่ตนต้องการ อีกทั้งยังมีการใช้ภาษาอย่างประณีตพรรณนาเรื่องไว้อย่างเด่นชัด มีการเปรียบเทียบให้ผู้อ่านได้เห็นภาพราวกับอยู่ในสถานที่หรือสถานการณ์นั้น ๆ ปรากฏทั้งศัพทาลังการและอรรถาลังการ ในส่วนที่เป็นเนื้อหาของคัมภีร์นั้นปรากฏชื่อสมุนไพรที่ใช้เป็นเภสัชซึ่งมีอยู่หลายชนิด โดยบางชนิดกล่าวไว้แต่เพียงว่า ทรงอนุญาตให้ใช้เป็นยาเท่านั้นแต่มิได้ระบุว่าใช้เป็นยาอะไรหรือรักษาโรคอะไรได้บ้าง นอกจากเรื่องยาแล้วไภษัชยวัสตุนั้นยังประกอบไปด้วยข้อมูลที่สำคัญสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นอยู่ของชีวิตผู้คนในครั้งพุทธกาลหรือช่วงหลังพุทธกาล ด้านการปกครอง ด้านฐานะและบทบาทของคนในสังคมยังคงแบ่งกันชัดเจนตามระบบวรรณะทั้ง 4 ได้แก่ พราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ และศูทร อย่างชัดเจน และอาชีพหลักของผู้คนในสมัยนั้นแบ่งออกเป็น 5 ประเภทด้วยกันคือ 1. งานเกษตรกรรม 2. งานอุตสาหกรรม 3. งานธุรกิจ 4. งานคหกรรม 5. งานศิลปกรรม ด้านการศึกษา ส่วนใหญ่ที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์จะเป็นการศึกษาของพระภิกษุที่เล่าเรียนพระไตรปิฎกและพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน รวมไปถึงศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเวทมนตร์ นอกจากนี้ยังมีศึกษาของพราหมณ์ที่เรียนจบเวทางคศาสตร์ การศึกษาของกษัตริย์เกี่ยวกับอักษรศาสตร์และและสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับทักษะทางด้านกายภาพ ด้านวัฒนธรรมและประเพณีสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมการบริโภค การแต่งกาย อาหาร เครื่องดื่ม เครื่องประดับ ถึงแม้คัมภีร์ไภษัชยวัสตุนั้นจะเป็นคัมภีร์ทางพุทธศาสนาที่มุ่งเน้นนำเสนอหลักคำสอนทางพุทธศาสนาแต่ก็ยังสะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตแบบพราหมณ์-ฮินดูอีกด้วยโดยเฉพาะพิธีที่จะต้องปฏิบัติในแต่ละช่วงของชีวิตหรือพิธีสังสการ ด้านศาสนาในไภษัชยวัสตุนั้นกล่าวถึงศรัทธาหรือหลักความเชื่อ ซึ่งหลักความเชื่อนี้เองได้มุ่งเน้นสอนให้พุทธศาสนิกชนเชื่อเรื่องพระพุทธเจ้าและเรื่องกรรม คือเชื่อว่าพระพุทธเจ้าทรงมีอยู่จริง เชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมว่า กรรมที่ทำนั้นจะให้ผลแน่นอนทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ทำกรรมดีก็ได้ผลดี ทำกรรมชั่วก็ได้ผลชั่ว อีกทั้งมีการกล่าวถึงวิถีชีวิตของพุทธศาสนิกชน พุทธศาสนสถาน และรูปแบบของการสักการะในยุคสมัยนั้นมีอย่างต่าง ๆ เช่น การสวดบทสดุดี การระลึกถึง การถวายก้อนดินเหนียว ดอกไม้ พวงมาลัย ประทีป เป็นต้น
- Publicationการศึกษาเชิงวิเคราะห์คัมภีร์รัตนาวลีของนาคารชุนทิวา สุขุม; Sukhum, Tiwa (2021)วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาคัมภีร์รัตนาวลีของท่านนาคารชุน โดยมีขอบเขตเนื้อหาคือแนวคิดทางปรัชญาและจริยศาสตร์โดยทำการแปลจากตัวบทที่เป็นภาษาสันสกฤตของ Giuseppe Tucci แต่เนื่องจากเนื้อหาที่เป็นสันสกฤตหายไปจำนวนมาก โดยเหลือเพียง 223 คาถา จาก 500 คาถา จึงได้นำส่วนที่ได้มีการแปลเป็นอังกฤตจากภาษาทิเบตมาแปลเสริมลงไปเพื่อให้เนื้อหาต่อเนื่องและไม่ขาดหาย และทำการวิเคราะห์เนื้อหาในคัมภีร์ แนวคิดทางปรัชญาที่ปรากฏในคัมภีร์ รวมถึงข้อโต้แย้งทางปรัชญา จากนั้นจึงได้ทำการวิเคราะห์หลักปฏิบัติที่คัมภีร์ได้แนะนำโดยการนำมาจัดหมวดหมู่และนำมาเทียบเคียงกับพระไตรปิฎก ผลการวิจัยพบว่า คัมภีร์รัตนาวลีเป็นคัมภีร์ที่ท่านนาคารชุนแต่งขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อทำลายทิฐิดังเดิมของฝ่ายตรงข้าม ชักเข้าหลักการของตน และเสนอแนวทางเลือกรวมถึงข้อปฏิบัติที่เหมาะสม เป็นคัมภีร์ที่เขียนในรูปแบบของจดหมายให้เพื่อนของตนคือ เคาตมีปุตระ ศาตการณีราช (King Gautamiputra Shatakarani) ซึ่งปกครองอยู่ในช่วง ค.ศ. 80-104 หรือ 106-130 ของราชวงศ์สาตวาหนะ ผู้ละทิ้งแนวความเชื่อทางพุทธศาสนาและหันไปสนใจลัทธิอื่นในสมัยนั้น แนวคิดทางปรัชญาในคัมภีร์รัตนาวลี เรียกว่า มาธยมิกะ หรือ ศูนยตาวาท ดำรงอยู่บนกฎเกณฑ์ 2 ประการ คือ หลักปรตีตยสมุตปาท และศูนยตา พร้อมมุ่งประเด็นว่า กฎเกณฑ์ทั้ง 2 ประการนี้ที่ไม่ใช่สิ่งที่ดำรงอยู่บนพื้นฐานทรรศนะ แต่เป็นความจริงแท้ 2 ระดับ โดยทุกสิ่งที่ปรากฏและเข้าใจกันว่ามี เป็นเพียงความไม่รู้จริงผ่านปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากระบบของประตีตยสมุตปาท ซึ่งดำรงอยู่บนพื้นฐานของความจริงระดับสัมวฤติ ส่วนศูนยตาเป็นความจริงระดับปรมารถะซึ่งอยู่ในทุกปรากฏการณ์ หลักปฏิบัติ กล่าวคือจริยศาสตร์ในคัมภีร์รัตนาวลี มีจุดประสงค์คือการทำให้ผู้ปฏิบัติอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน เกิดใหม่ในภูมิที่สูงขึ้น และบรรลุนิรวาณในท้ายสุด จากการวิจัยพบว่า ไม่มีความต่างกับพระไตรปิฎกมากนัก มีเพียงบางส่วนที่ต่างไป สาเหตุที่มีความต่างกันเพียงเล็กน้อยเนื่องเพราะเป็นคัมภีร์ที่ถูกแต่งในยุคแรกของสำนักมาธยมิกะ ที่มีต้นเค้าคือนิกายสรวาทติวาทที่แยกนิกายมาจากมหิงสาสกะซึ่งเป็นฝ่ายเถรวาท โดยจากการวิเคราะห์เนื้อในคำภีร์ทำให้สามารถจัดหมวดหมู่ตามบุคคลผู้ปฏิบัติได้ 4 กลุ่ม คือ บุคคลทั่วไป นักปกครอง นักบวช และผู้ปรารถนาสัมยักสัมโพธิ ตามลำดับ
- Publicationการศึกษาเชิงวิเคราะห์คัมภีร์อวทาน-ศตกะสาโรจน์ บัวพันธุ์งาม; Buaphanngam, Saroj (2013)วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแปลความอวทาน-ศตกะ จากต้นฉบับภาษาสันสกฤตเป็นภาษาไทย และเพื่อศึกษาความเป็นมาและลักษณะของอวทาน-ศตกะ รวมทั้งสาระคำสอนที่ปรากฎในอวทาน-ศตกะ เบื้องต้นผู้วิจัยได้ปริวรรตอวทาน-ศตกะ จากอักษรเทวนาครีเป็นอักษรไทย และแปลความอวทาน-ศตกะต้นฉบับภาษาสันสกฤตเป็นภาษาไทย จากนั้นก็ได้ศึกษาวิเคราะห์อวทาน-ศตกะ ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ผลการศึกษาพบว่า อวทาน-ศตกะ เป็นวรรณคดีพุทธศาสนาภาษาสันสกฤต ประเภทอวทานที่เก่าแก่ที่สุด และน่าจะประพันธ์ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 1-2 แต่ไม่ปรากฏนามผู้ประพันธ์ คัมภีร์อวทาน-ศตกะ มีการจัดแบ่งหมวดหมู่ของเรื่องเป็น 10 วรรค วรรคละ 10 เรื่อง ส่วนใหญ่ประพันธ์ด้วยภาษาสันสกฤตมาตราฐานที่เรียกว่า ไวยากรณ์ ของปาณินิ แต่ก็มีบางส่วนที่ไม่เป็นไปตามไวยากรณ์ภาษาสันสกฤตมาตรฐาน รูปแบบการประพันธ์ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ ประพันธ์เป็นร้อยแก้ว และอีก 10 เปอร์เซ็นต์ ประพันธ์เป็นร้อยกรอง การใช้ภาษามักจะใช้สำนวนโวหารซ้ำกัน มีการใช้อลังการไม่มากนัก ส่วนใหญ่ใช้อุปมาลังการ มีการใช้ฉันทลักษณ์หลายชนิด ส่วนใหญ่นิยมใช้อนุษฎุภฉันทลักษณ์ เรื่องราวที่ปรากฏในอวทาน-ศตกะ สะท้อนให้เห็นสภาพสังคมและสภาพเศรษฐกิจของประเทศอินเดียครั้งพุทธกาล หรือหลังพุทธกาลประมาณ 200-300 ปี อาณาเขตของประเทศอินเดียในยุคนั้น แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ราชอาณาจักรส่วนกลางที่ทรงอำนาจมากที่สุดคือ ราชอาณาจักรมคธและราชอาณาจักรโกศล การปกครองในสมัยนั้น ส่วนใหญ่ปกครองแบบราชาธิปไตย แต่บางส่วนปกครองแบบคณาธิปไตย ซึ่งใกล้เคียงกับระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยในปัจจุบัน สังคมอินเดียในยุคนั้น ยังคงแบ่งหน้าที่กันตามระบบวรรณะทั้ง 4 คือ พราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์และศูทร และอินเดียในยุคนั้นเป็นชาติที่มีความเจริญรุ่งเรืองทางด้านเศรษฐกิจมาก มีการใช้เหรียญเงินตราแลกเปลี่ยน ซื้อสินค้า มีระบบการขนส่งสินค้าตลอดจนมีระบบการส่งออกและนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ อวทานในคัมภีร์อวทาน-ศตกะนั้น สามารถแบ่งโครงสร้างออกได้เป็น 3 แบบคือ โครงสร้างแบบกรรมดีกับผลกรรมดี โครงสร้างแบบกรรมทั้งดีทั้งชั่วกับผลกรรมทั้งดีทั้งชั่ว และโครงสร้างแบบกรรมชั่วกับผลกรรมชั่ว เมื่อประมวลโครงสร้างของอวทานทั้ง 3 แบบเข้าด้วยกันพบว่า มีลักษณะโครงสร้างหลักร่วมกัน โครงสร้างหลักของอวทานนี้มีลักษณะเฉพาะซึ่งไม่ซับซ้อน อีกทั้งยังมีพฤติกรรมของผู้มีบทบาทสำคัญ และการลำดับพฤติกรรมที่เป็นลักษณะเฉพาะ นอกจากนี้ พฤติกรรมก็มักจะปรากฏซ้ำ ๆ กัน พฤติกรรมเหล่านี้ สอดแทรกไปด้วยหลักคำสอนพื้นฐานทางพุทธศาสนา ซึ่งสามารถนำไปประพฤติปฏิบัติตามได้ง่าย พฤติกรรมที่ซ้ำ ๆ กันนี้ สะท้อนให้เห็นถึงจุดประสงค์ของผู้ประพันธ์ ที่ต้องการให้พฤติกรรมที่ซ้ำ ๆ กันนี้ เป็นพฤติกรรมต้นแบบที่ใคร ๆ ก็สามารถประพฤติปฏิบัติตามได้ ไม่ใช่เรื่องที่ประพฤติปฏิบัติได้ยาก สาระคำสอนในอวทาน-ศตกะนั้น มุ่งเน้นแสดงหลักความเชื่อและหลักปฏิบัติซึ่งเป็นแนวคิดแบบพุทธศาสนานิกายสรวาสติวาทยุคแรก หลักความเชื่อนั้นมุ่งเน้นแสดงความเชื่อเรื่องพระพุทธเจ้าและเรื่องกรรม ในขณะที่หลักปฏิบัตินั้น มุ่งเน้นให้ปฏิบัติตามหลักบารมี 6 ประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทานบารมีและหลักกุศลกรรมบถ
- Publicationการศึกษาเชิงวิเคราะห์ภาษาสันสกฤตในคัมภีร์สัทธรรมปุณฑรีกสูตร ปริวรรตที่ 1-5สานิตย์ สีนาค; Sinak, Sanit (2002)The aim of this thesis is to study the so-called Mixed Sanskrit or Buddhist Sanskrit in the Saddharmapm:u;larika Sfitra chapter 1-5 from the Linguistics point of view. It has been found that there are linguistic differences i.n many aspects between Sanskrit in the Saddharmapul)c;larika Sfitra and Pal)inic Sanskrit. In Phonology, Sandhi or euphonic combination rules, unlike those in Classical Sanskrit, are not strictly observed, i.e. omission and improper in Sandhi are met with. These aspects were found in mostly the verses, partly, because of metric causa. In Morphology, forms, which are incorrect according to Pal)ini Grammar, are frequently found, particularly in verses. The nominal endings between noun and adjective are not grammatically in agreement. The Syntactical peculiarities include the loss of nominal endings, making the meaning rather obscure. A few cases of change of gender between masculine and neuter are also noted. In numbers, dual is sometimes replaced by plural. Verb formations tend to put more emphasis on thematic stems as in Prakrits. The metres used, in the main, are of three kinds. They are anu rubh (anu$Jubh), tri$tubh (indravajra, upendravajra and upajati) and jagati (indravarhsa, varhsastha and upajati) in this work. There are verses, of which the metres cannot be determined.
- Publicationการศึกษาเชิงวิเคราะห์ภูมิ 10 ในคัมภีร์มหาวัสดุ (ปรถมะ ขณฑะ)พระมหานภดล พลเยี่ยม; Phonyiam, PhramahaNoppadon (2006)การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อจะศึกษาวิเคราะห์ภูมิ 10 ในคัมภีร์มหาวัสตุ (ปฺรถมะ ขณฺฑะ) ในด้านการใช้ภาษาประพันธ์ ประวัติ พัฒนาการ เนื้อหา ลักษณะ ความหมายและแนวคิดหลักที่ปรากฏและมีอิทธิพลต่อแนวคิดมหายาน ผลจากการศึกษาวิจัยพบว่า 1. คัมภีร์ดังกล่าว ประพันธ์ขึ้นปลายพุทธศักราช 200 ซึ่งถือเป็นวินัยปิฎกของนิกายโลโกตตรวาทิน มุ่งสอนเชิดชูพุทธภาวะต้องการให้บุคคลทั้งหลายปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าซึ่งถือเป็นสภาวะสูงสุดบริสุทธิ์และบริบูรณ์ แทนการมุ่งบรรลุเป็นพระอรหันต์ จึงทำให้เกิดแนวคิดเรื่องพระโพธิสัตว์ โดยมีแหล่งข้อมูลมาจากพระไตรปิฎก ใช้ภาษาสันสกฤตผสม (Mixed Sanskrit) หรือ ที่เรียกว่า สันสกฤตพันทางของพุทธศาสนา (Buddhist Hybrid Sanskrit) ในการประพันธ์ 2. ภูมิเป็นระดับคุณธรรมที่ให้ผู้ปฏิบัติตามสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า มีอยู่ 10 ระดับเรียงจากขั้นต่ำไปจนถึงขั้นสูงสุด เนื้อหาในภูมิ 10 เกี่ยวข้องกับขั้นตอนการเป็นพระพุทธเจ้า มีตัวอย่างการบำเพ็ญบารมีธรรมในอดีตชาติประกอบเนื้อเรื่อง ชื่อของแต่ละภูมิบ่งบอกว่า ลักษณะโดยรวมในแต่ละภูมิเป็นอย่างไร ซึ่งพระโพธิสัตว์ต้องประพฤติธรรมและผ่านอุปสรรคประจำภูมิเพื่อก้าวไปสู่ภูมิขั้นสูงจนได้รับการอภิเษกเป็นพระพุทธเจ้าในที่สุด ลักษณะเด่นของทศภูมิในมหาวัสตุนี้คือเรื่องราวต่าง ๆ ที่ปรากฏล้วนเกี่ยวข้องกับพระโพธิสัตว์ของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันคือ พระโคดมพุทธเจ้า หรือ ที่ชาวพุทธมหายานเรียกว่า พระศากยมุนีพุทธเจ้า ซึ่งเป็นบุคคลที่มีอยู่จริงในทางประวัติศาสตร์ 3. ส่วนแนวคิดสำคัญที่ปรากฏในภูมิ 10 นั้นที่เห็นได้ชัดและโดดเด่นที่สุดคือแนวคิดเรื่องพระโพธิสัตว์ รวมไปถึงเรื่องพระพุทธเจ้า การตั้งปณิธาน บารมีธรรม พุทธเกษตร และการอภิเษกคือแต่งตั้งเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งถือว่ามีอิทธิพลหรือส่งผลต่อแนวคิดที่ได้พัฒนาเป็นที่ยอมรับในมหายานในปัจจุบัน
- Publicationการศึกษาบทบาทของพระเจ้าศุทโธทนะในมหากาพย์พุทธจริตและมหากาพย์เสานทรนันทะพระมหาณัฐวุฒิ รอดวงศ์ศา (2005)
- Publicationการศึกษาแบบวิเคราะห์แนวคิดเรื่อง "อธฺยาส" ใน "พฺรหฺมสูตฺรศางฺกรภาษฺย"คาซูฮีโร ยามาโมโต; Yamamoto, Kazuhiro (2004)การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความคิดของศังกราจารย์ในพฺรหมสูตฺรศางฺกรภาษฺย โดยแนวคิดที่สำคัญ อธฺยาส (การทาทับ) การวิจัยนี้สมมุติฐานว่า ความคิดของศังกราจารย์ในพฺรหมสูตฺรศางฺกรภาษฺย มีอยู่หลายชั้นหลายลำดับ ความคิดแบบนี้เกิดขึ้นมา เพราะว่า ความคิดของศังกราจารย์มีทรรศนะสองชนิดเกี่ยวข้องกับแนวคิด “สิ่งสูงสุด” กล่าวคือ สฺวรูป-ลกฺษณา และ ตฎสฺถ-ลกฺษณา—The transcendental aspect และ the transcendent aspect— ทรรศนะสองชนิดนี้ทำใหความคิดของศังกราจารย์มีหลายชั้น หลายลำดับ ซับซ้อน ดังนั้น การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาความหมายของทรรศนะสองชนิดนี้ในความคิดของศังกราจารย์ โดยใช้วิธีการการสืบค้นหลักฐานที่ศังกราจารย์เองแสดงในพฺรหมสูตฺรศางฺกรภาษฺยกล่าวอีกนัยหนึ่ง การวิจัยนี้ควรจะมุ่งอธิบายความหมายของสมาธิ (นิทิธฺยาสน อุปาสน วิทฺยา) อย่างชัดแจ้ง โดยการศึกษาการแปลความหมายของคัมภีร์อุปนิษัท การพิจารณาตามตรรกะ และการพิจารณาถึงปัญหาเรื่องกรรม และท้ายสุดกล่าวถึงความหมายของสมาธิหรือ อธฺยาส ในความคิดของศังกราจารย์ ผลการวิจัยพบว่า 1) อธฺยาส คือคำที่มีความหมายเหมือนกับสมาธิ ซึ่งสำคัญที่สุดในความคิดของศังกราจารย์ 2) ปัญหาของสมาธิเกี่ยวข้องกับทรรศนะของสภาพหรือภาวะของชีวิตเรา 3) ความคิดเรื่อง สฺวรูป หรือ สฺวภาว เป็นพื้นฐานทางปรัชญาสำหรับทรรศนะนี้ 4) ทรรศนะเรื่องสภาพของชีวิตเรานี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อนิยามความหมายของตบะ (ตปสฺ) ขึ้นใหม่ ซึ่งศังกราจารย์เข้าใจว่าเป็นแสงสว่างของแสงสว่างทั้งหลายที่นำเสนอโดยคัมภีร์อุปนิษัท
- Publicationการศึกษาเปรียบเทียบคัมภีร์พระมนูธรรมศาสตร์ฉบับภาษาสันสกฤตกับฉบับภาษามอญปภัสสร เธียรปัญญา; Thianpanya, Paphatsaun (1996)การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาเปรียบเทียบคัมภีร์พระมนูธรรมศาสตร์ฉบับภาษาสันสกฤตกับฉบับภาษามอญในด้านความเป็นมา โครงสร้าง การจัดประเภทและแบ่งหมวดหมู่เนื้อหา และเนื้อหาบทบัญญัติ ตามลักษณะกฎหมายโบราณ และเพื่อศึกษาเปรียบเทียบลักษณะและหลักการของระบบกฎหมายฮินดูและระบบกฎหมายพุทธ โดยมีสมมุติฐานว่า ระบบกฎหมายฮินดูและกฎหมายพุทธมีลักษณะและหลักเกณฑ์ของกฎหมายแตกต่างกัน และระบบกฎหมายพุทธเป็นการนำเอาระบบกฎหมายของฮินดูมาดัดแปลงโดยคงลักษณะที่ใช้ร่วมกันได้และแก้ไขลักษณะที่ขัดกับความเชื่อตามหลักการของศาสนาพุทธ การศึกษาคัมภีร์ทั้งสองจะจำกัดเฉพาะการวิเคราะห์ในด้านกฎหมายโบราณและปรัชญาศาสนาเท่านั้น ผลการศึกษาพบว่า คัมภีร์ทั้งสองมีความแตกต่างกันทั้งในด้านความเป็นมา โครงสร้าง การจัดประเภท และการแบ่งหมวดหมู่เนื้อหา แต่เนื้อหาบทบัญญัติบางส่วนคล้ายคลึงกัน และสรุปได้ว่าระบบกฎหมายฮินดูและระบบกฎหมายพุทธมีลักษณะและหลักเกณฑ์แตกต่างกัน และระบบกฎหมายพุทธเป็นการนำเอาระบบกฎหมายฮินดูมาดัดแปลงโดยคงลักษณะที่ใช้ร่วมกันได้และแก้ไขลักษณะที่ขัดกับความเชื่อตามหลักการของศาสนาพุทธตามที่ได้ตั้งสมมุติฐานเอาไว้
- Publicationการศึกษาเปรียบเทียบคัมภีร์มูลสรวาสติวาทวินยวัสตุกับพระวินัยปิฎก ศึกษาเฉพาะกรณีจีวรวัสตุและกรรมวัสตุพระมหาฉัตรชัย มูลสาร; Moonsarn, Phramaha Chatchai (2009)วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาเปรียบเทียบคัมภีร์สำคัญของพระพุทธศาสนา คือ คัมภีร์มูลสรวาสติวาทวินยวัสตุอันเป็นคัมภีร์ภาษาสันสกฤต กับพระวินัยปิฎกอันเป็นคัมภีร์ภาษาบาลี โดยศึกษาเปรียบเทียบเฉพาะจีวรวัสตุและกรรมวัสตุ ผลการศึกษาเปรียบเทียบ มีดังนี้ จีวรวัสตุในคัมภีร์มูลสรวาสติวาทวินยวัสตุ ถูกเขียนขึ้นราว 300-400 ปีหลังคริสตกาลซึ่งน่าจะคัดลอกมาจากจีวรขันธกะในพระวินัยปิฎกที่ถูกบันทึกไว้เมื่อ 600 ปีก่อนคริสตกาล แต่โครงสร้างของคัมภีร์ทั้งสองแตกต่างกันเล็กน้อยและคล้ายคลึงกันเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้น อุททาน หมายถึง สารบาญเรื่องคัมภีร์สันสกฤตจัดไว้ในตอนเริ่มต้นเนื้อหา ขณะที่คัมภีร์บาลีถูกจัดไว้ในตอนท้ายเนื้อหา ในทำนองเดียวกัน กรรมวัสตุในคัมภีร์มูลสรวาสติวาทวินยวัสตุมีลักษณะและโครงสร้างเหมือนกัน จัมเปยยขันธกะ และโกสัมพิกขันธกะในพระวินัยปิฎก แต่เนื้อหาแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยคัมภีร์สันสกฤตจะมีเนื้อหาที่สั้นกว่าคัมภีร์บาลี รายละเอียดทั้งในจีวรวัสตุและจีวรขันธกะประกอบไปด้วยความเป็นมาของจีวร การใช้จีวรและการดูแลรักษา คัมภีร์ทั้งสองต่างเล่าถึงชีวประวัติหมอชีวกโกมารภัจจ์ หมอหลวงผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งทูลขอพระพุทธเจ้าให้ทรงอนุญาตคหบดีจีวร และชีวประวัตินางวิสาขาผู้ทูลขอให้ทรงอนุญาตผ้าอาบน้ำฝน แม้ว่าลำดับเนื้อหาส่วนใหญ่จะคล้ายคลึงกัน แต่แตกต่างกันโดยรายละเอียด สังเกตได้จากชีวประวัติของหมอชีวกในจีวรวัสตุที่ให้รายละเอียดตั้งแต่กำเนิด ชีวประวัติของนางวิสาขาก็เน้นไปที่สติปัญญาอันเฉลียวฉลาด นอกจากนี้ยังพบว่า เนื้อหาใกล้เคียงกับอรรถกถาธรรมบท อรรถกถาชาดกและนิทานปัญจตันตระในนิทานคติธรรมสันสกฤตหลายเรื่อง ส่วนจัมเปยยขันธกะและโกสัมพิกขันธกะแสดงเนื้อหาของสังฆกรรมอันเป็นวินัยบัญญัติสำหรับพระสงฆ์ชัดเจนกว่ากรรมวัสตุที่ให้รายละเอียดเพียงบางประเด็น จึงทำให้เนื้อหาในจัมเปยยขันธกะและโกสัมพิกขันธกะมีมากกว่ากรรมวัสตุ ทั้งจีวรและสังฆกรรมต่างมีความสำคัญต่อภิกษุสงฆ์ ในฐานะที่จีวรถูกวางไว้ให้เป็นระเบียบชีวิตเป็นภาพลักษณ์ภายนอกที่สื่อถึงความเรียบง่ายของพระสงฆ์ ส่วนสังฆกรรมถูกวางไว้ให้เป็นระบบสังคมเพื่อการดำเนินชีวิตและการบริหารคณะสงฆ์ให้เป็นไปภายใต้กรอบธรรมาภิบาล
- Publicationการศึกษาเปรียบเทียบคัมภีร์ลลิตวิสตระและคัมภีร์ปฐมสมโพธิธีร์ พุ่มทับทิม; Phumthapthim, Theer (2000)การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อจะศึกษาเปรียบเทียบคัมภีร์ลลิตวิสตระ (ลลิตวิสฺตร) และคัมภีร์ปฐมสมโพธิ (ปฐมสมฺโพธิ) ในด้านลักษณะการประพันธ์ แนวคิดทางประเพณีนิยม การดำเนินชีวิต และการเผยแผ่ธรรม ที่ปรากฏในคัมภีร์ทั้ง 2 ทั้งในส่วนที่คล้ายกันและต่างกัน ผลจากการศึกษาวิจัยสรุปได้ว่า ในคัมภีร์ทั้ง 2 มีลักษณะการประพันธ์คล้ายกันเพราะใช้รูปแบบการประพันธ์ที่เป็นบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองผสมกัน แต่ต่างกันที่คัมภีร์ลลิตวิสตระใช้บทร้อยแก้วดำเนินเรื่อง ใช้บทร้อยกรองสรุปเรื่อง ส่วนคัมภีร์ปฐมสมโพธิใช้บทร้อยแก้วดำเนินเรื่อง ใช้บทร้อยกรองส่งเสริมเนื้อเรื่อง แต่บางตอนก็ใช้ดำเนินเรื่องเช่นกัน ส่วนเนื้อเรื่องในคัมภีร์ทั้ง 2 มีทั้งความคล้ายกันและความแตกต่างกัน ในคัมภีร์ลลิตวิสตระมีเนื้อเรื่องเริ่มตั้งแต่การตั้งวงศ์ศากยะ พระโพธิสัตว์ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน จบลงที่กล่าวถึงความเสื่อมสูญแห่งพระศาสนา และจากการศึกษาเรื่องแนวคิด สรุปได้ว่า แนวคิดทางประเพณีนิยมและแนวคิดการดำเนินชีวิตในคัมภีร์ทั้ง 2 มีความคล้ายกัน แต่เรื่องแนวคิดการเผยแผ่ธรรมมีทั้งส่วนที่คล้ายกันและต่างกัน กล่าวคือ หลักธรรมที่สำคัญ เช่น ปฏิจจสมุปบาท และ ธรรมจักกัปปวัตตนสูตร มีการอธิบายคล้ายกัน ส่วนที่ต่างกันนั้นในคัมภีร์ลลิตวัสตระเน้นเรื่อง เมตตาและกรุณาธรรมและให้ความสำคัญต่อแนวคิดเรื่องพระโพธิสัตว์อย่างมาก ส่วนในคัมภีร์ปฐมสมโพธิเน้นเรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา และให้ความสำคัญต่อพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์มากกว่าพระโพธิสัตว์ อย่างไรก็ตามคัมภีร์ทั้ง 2 ก็มีความคล้ายกันอย่างมากในลักษณะการประพันธ์เชิงสรรเสริญพระพุทธคุณทางด้านปาฏิหารย์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นหัวใจในการประพันธ์ของทั้ง 2 คัมภีร์
- Publicationการศึกษาเปรียบเทียบทรรศนะเรื่องนิพพานในวิสุทธิมรรคและลังกาวตารสูตรจันทรัชนันท สิงหทัต (1994)การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาถึงแนวความคิดเรื่องนิพพานในคัมภีร์วิสุทธิมรรค ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่มีความสำคัญยิ่งของพุทธศาสนานิกายเถวรวาทและคัมภีร์ลังกาวตารสูตร ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่มีความสำคัญยิ่งของพุทธศาสนานิกายมหายาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิกายโยคาจารหรือวิชญานวาท แล้วเปรียบเทียบแนวความคิดเรื่องนิพพานของปรัชญาทั้งสองระบบในคัมภีร์ดังกล่าว ผลการวิจัยสรุปได้ว่า ทรรศนะเรื่องนิพพานในคัมภีร์ทั้งสิงมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ การทำจิตให้บริสุทธิ์ ปราศจากกิเลส และหลุดพ้นจากความทุกข์ โดยประการทั้งปวง วิสุทธิมรรคและลังกาวตารสูตรรับเอาแนวความคิดเรื่องทางสายกลางจากพุทธศาสนาดั้งเดิมมาอธิบายโดยเน้นต่างประเด็นกัน วิสุทธิมรรคนำหลักการปฏิบัติโดยทางสายกลางมาเน้นในการดับทุกข์ ส่วนลังกาวตารสูตรนำหลักทางสายกลางมาอธิบายสัจธรรมว่ามีหนึ่งเดียว ปราศจากธรรมที่มีลักษณะเป็นคู่กัน วิสุทธิมรรคแสดงแนวทางการปฏิบัติเพื่อให้บรรลุนิพพาน โดยเริ่มตั้งแต่ขั้นพื้นฐานไปจนกระทั่งถึงขั้นปัญญาญาณสูงสุดอย่างละเอียด แต่ลังกาวตารสูตรแสดงการเข้าถึงนิพพานโดยปัญญาญาณสูงสุดในฐานะที่เป็นตัวนำให้เกิดการรู้แจ้ง ดังนั้น นิพพานตามทรรศนะของวิสูตรมรรคจึงตั้งอยู่บนฐานของจริยศาสตร์ แต่นิพพานตามทรรศนะของลังกาวตารสูตรตั้งอยู่บนฐานของญาณวิทยา แนวความคิดที่ลังกาวตารสูตรสังเคราะห์ขึ้นมาใหม่ โดยมีลักษณะเฉพาะของตนเองซึ่งแตกต่างไปจากพุทธศาสนาเถรวาทได้แก่ทรรศนะที่ว่า จิตอย่างเดียวเท่านั้นที่เป็นจริง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพียงความคิดของจิตเท่านั้น อย่างไรก็ตาม วิสุทธิมรรคและลังกาวตารสูตรมีแนวความคิดหลักที่สอดคล้องกัน คือเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างปราศจากตัวตนไม่มีแก่นสาร ปัญญาญาณที่รู้เท่าทันสภาวธรรมตามความเป็นจริง ทำให้สลัดความยึดมั่นถือมั่นทั้งหมดได้ก็บรรลุถึงความหลุดพ้นเป็นอิสรภาพโดยสมบูรณ์
- Publicationการศึกษาเปรียบเทียบทรรศนะเรื่องโมกษะในคัมภีร์อุปนิษัทกับนิพพานในคัมภีร์พระสุตตันตปิฎกพระมหาแก่นเพชร แฝงสีพล; Phaengsiplo, Phramaha Kaenpetch (1998)
- Publicationการศึกษาเปรียบเทียบธรรมบทและภควัทคีตาพระมหาสำเนียง เลื่อมใส; Leurmsai, Phramaha Samniang (1991)
- Publicationการศึกษาเปรียบเทียบแนวความคิดเรื่องกรรมและการเกิดใหม่ในคัมภีร์พระสุตตันตปิฎกและคัมภีร์อุปนิษัทพระมหาธนกร สุขเสริม (1998)
- Publicationการศึกษาเปรียบเทียบแนวคิดเรื่องพรหมในคัมภีร์อุปนิษัทและคัมภีร์พระสุตตันตปิฎกพระมหาพุทธรักษ์ ปราบนอก (1997)การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อการศึกษาเปรียบเทียบแนวคิดเรื่องพรหมในคัมภีร์อุปนิษัท และคัมภีร์พระสุตตันตปิฎก คัมภีร์อุปนิษัทเป็นคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับปรัชญาในยุคพระเวทของอินเดีย ส่วนคัมภีร์พระสุตตันตปิฎกเป็นส่วนหนึ่งของพระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลี เป็นคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้า คัมภีร์อุปนิษัทนั้นมีอายุเก่าแก่กว่าคัมภีร์พระสุตตันตปิฎก การวิจัยครั้งนี้แบ่งออกเป็น 5บท ดังต่อไปนี้ คือ 1. บทที่ 1 เป็นบทนำ 2. บทที่ 2 การศึกษาแนวคิดเรื่องพรหมในคัมภีร์อุปนิษัท 3. บทที่ 3 การศึกษาแนวคิดเรื่องพรหมในคัมภีร์พระสุตตันตปิฎกและอรรถกถา 4. บทที่ 4 การเปรียบเทียบแนวคิดทั้งสองที่ได้ศึกษามาแล้วในบทที่ 2 และ 3 5. บทที่ 5 เป็นบทสรุปและข้อเสนอแนะ จากการวิจัยพบว่า มีความคล้ายคลึงกันและแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดระหว่างข้อมูลที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ทั้งสองนั้น ซึ่งสามารถประมวลสรุปได้ดังต่อไปนี้ คือ 1. ในคัมภีร์อุปนิษัทอธิบายพรหมเป็น 2 ชนิด พรหมที่เป็นนปุงสกลิงค์ (ไม่ใช่เพศชายเพศหญิง) และพรหมที่เป็นสตรีลิงค์ (เพศหญิง) พรหมชนิดแรกใช้แสดงแทนความจริงสูงสุดหรืออันติมสัจจะ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ในลักษณะปฏิเสธเท่านั้น เช่น มันไม่ใช่สิ่งนี้มันไม่ใช่สิ่งนี้ ส่วนพรหมชนิดที่สองนั้นใช้แสดงแทนพระเจ้าสูงสุก ผู้เป็นผู้สร้าง ผู้ดำรงรักษา และผู้ทำลายโลก เรียกว่า สคุณพรหมัน ซึ่งมีคุณสมบัติที่วิเศษต่าง ๆ เช่น เป็นสรรพวิภู เป็นสรรพวิทูและมีศักดานุภาพในการสร้าง พิทักษ์และทำลาย เป็นต้น 2. พรหมในพระสุตตันตปิฎกเป็นเพียงเทวดาที่อาศัยอยู่ในสวรรค์ เป็นเทวดาจำพวกหนึ่งที่มีรัศมีแผ่ซ่านออกจากกาย มีอายุยืน รวมทั้งมีร่างกายงดงามและเข็งแรก การที่บุคคลจะเป็นพรหมได้นั้นจะต้องได้บรรลุฌานตามหลักของพระพุทธศาสนา 3. อาตมัน ซึ่งก็คือ พรหมัน ตามหลักของคัมภีร์อุปนิษัทนั้น ก็แตกต่างจากอัตตาหรืออาตมันตามหลักของคัมภีร์พระสุตตันตปิฎก เพราะอาตมันมีสภาวะเป็นสิ่งที่เที่ยงแท้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ปราศจากความโศกเศร้า เป็นต้น แต่อัตตาไม่มีสภาวะหรือคุณสมบัติเช่นนั้น ซึ่งในพระสุตตันตปิฎกสอนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างตกอยู่ใต้อำนาจของความเปลี่ยนแปลงและเสื่อมสลาย ไม่มีสิ่งใดเที่ยวแท้ เป็นต้น 4. ความคล้ายคลึงกันระหว่างแนวคิดทั้งสอง คือ การจำแนกพรหมออกเป็นปุคคลาธิษฐานและธรรมาธิษฐาน สภาวะที่แท้จริงสูงสุดของพรหมในคัมภีร์อุปนิษัทนั้นคล้ายคลึงกับพระนิพพานในคัมภีร์พระสุตตันตปิฎก และคล้ายคลึงกับแนวคิดเรื่องธรรมนิยาม ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นจริงอยู่เสมอ
- «
- 1 (current)
- 2
- 3
- »