ปรัชญา : Philosophy
Permanent URI for this community
บทความวิจัย วิทยานิพนธ์สาขาวิชาปรัชญาในหลักสูตรที่สังกัดสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย และงานวิจัยสาขาปรัชญาที่ได้รับทุนสนับสนุนจาก วช. หรือ สกสว.
Browse
Browsing ปรัชญา : Philosophy by Degree Grantor(s) "มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์"
Now showing 1 - 20 of 45
Results Per Page
Sort Options
- Publicationการตีความเรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่ ตามทัศนะของสุนทรียศาสตร์ตะวันตกทางด้านวรรณกรรมและดนตรีรังสรรค์ เมืองพรหม; Rungsun Muangprom (2014)This research aims at studying Phra Abhai Mani by Sunthornphu according to the western aesthethics theories in literature and music. The research explores Phra Abhai Mani by Sunthornphu and the western aesthetics theories for general concepts are to be understood. Then, the research analyzes the western aesthetics theories in Phra Abhai Mani by Sunthornphu in literature and music with qualitative research methodology. Data is taken from Phra Abhai Mani by Sunthornphu, and related Contemporary scholar’s explanations and the interpretation of the researcher according to the western aesthethics theories. The result of this study is the Plato’s aesthetics theory can be interpreted Phra Abhai Mani by Sunthornphu. We find that the literary value of Phra Abhai Mani by Sunthornphu was sensible world value and increasing morality value. And the Aristotle’s aesthetics theory can be interpreted Phra Abhai Mani by Sunthornphu we find that the literary value of Phra Abhai Mani by Sunthornphu was good literature with reasonable plot and unity and induces emotion in many parts. And the Leo Tolstoy’s aesthetics theory can be interpreted Phra Abhai Mani by Sunthornphu we find that the music value of Phra Abhai Mani by Sunthornphu was art proper and good art as express the inner self of the artist. And can make impression and empathy from the artist to music audiences
- Publicationการปฏิบัติศีลทำให้เกิดโภคทรัพย์ได้อย่างไร : การศึกษาเชิงวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์เชิงจริยศาสตร์ของพระพุทธศาสนาเถรวาทธนพล ดอกบัว; Tanaphon Dokbua (2019)การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาศีล 5 ในจริยศาสตร์ของพระพุทธศาสนา เถรวาท 2) เพื่อศึกษาเศรษฐศาสตร์เชิงจริยศาสตร์ของพระพุทธศาสนาเถรวาท 3) เพื่อศึกษาการ ปฏิบัติศีลทาให้เกิดโภคทรัพย์ได้อย่างไรในทัศนะของพระพุทธศาสนาเถรวาท การวิจัยครั้งนี้เป็น การวิจัยคุณภาพเชิงเอกสาร โดยค้นคว้าข้อมูลจากคัมภีร์พระไตรปิฎกและเอกสารทางด้าน เศรษฐศาสตร์ทั้งที่เป็นข้อมูลปฐมภูมิและข้อมูลชั้นทุติยภูมิ จากนั้นนาข้อมูลมาจัดระบบด้วยการ วิเคราะห์และการสังเคราะห์ ผลการวิจัยพบว่า ศีล คือข้อปฏิบัติที่ดีทางกายวาจา เป็นเจตนางดเว้นจากการกระทำที่มี รากเหง้าจากอกุศล พุทธศาสนาเถรวาทมีศีลอยู่หลายระดับ แต่สาหรับฆราวาสแล้วต้องมีศีล 5 เป็น อย่างน้อย คือ เว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการลักทรัพย์ เว้นจากการผิดในกาม เว้นจากการกล่าวเท็จ และเว้นจากการเสพของมึนเมา เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ชีวิตจริง ผู้มีศีล 5 ต้องมีเบญจธรรม 5 คือ เมตตากรุณา สัมมาอาชีวะ สารวมกาม สัจจะ และสติปชัญญะควบคู่ไปด้วย ส่วนเศรษฐศาสตร์เชิง จริยศาสตร์ของพระพุทธศาสนาเถรวาทหมายถึงการผลิต การบริโภค และการกระจายผลผลิตที่ ขับเคลื่อนด้วยธรรมฉันทะไม่ใช่ด้วยแรงขับตัณหา เป็นเศรษฐศาสตร์แบบสายกลางที่ให้ความสำคัญ กับจริยธรรมหรือศีลที่มีสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะและสัมมาอาชีวะในองค์มรรคเป็นแกนของชีวิต ทางเศรษฐกิจ เพื่อก้าวไปสู่สมาธิและปัญญาในลำดับต่อไป การมีศีลไม่ทำให้เกิดโภคทรัพย์ได้ โดยตรง แต่ทาให้รักษาโภคทรัพย์ไว้ได้ เพราะความไม่ประมาทเป็นเหตุ สาเหตุทาให้เกิดโภคทรัพย์ คือเบญจธรรม 5 ประการที่ผู้มีศีลประพฤติควบคู่ไปด้วยกัน
- Publicationการวิเคราะห์แนวคิดเรื่องเสรีภาพและความรับผิดชอบของฌ็อง - ปอล ชาร์ตร์กับเสรีภาพและความรับผิดชอบของสื่อมวลชนณัฐชา วอเพ็ชร; Nutthacha Worphet (2015)วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ของการศึกษาคือ 1. เพื่อศึกษาแนวคิดเรื่องเสรีภาพและ ความรับผิดชอบของฌ็อง - ปอล ซาร์ตร์ 2. เพื่อศึกษาเสรีภาพและความรับผิดชอบของ สื่อมวลชน 3. เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของระหว่างแนวคิดเรื่องเสรีภาพและความ รับผิดชอบของ ฌ็อง-ปอล ซาร์ตร์กับเสรีภาพและความรับผิดชอบของสื่อมวลชน ผลการศึกษาพบว่า แนวคิดเรื่องเสรีภาพและความรับผิดชอบของ ฌ็อง - ปอล ซาร์ตร์ นั้น เป็นแนวคิดเชิงนามธรรม หมายถึงเสรีภาพทางความคิดที่ใช้ในการตัดสินใจเลือกกระทา สิ่งต่าง ๆ ตามเจตจ านงของตนเอง โดยต้องมีความรับผิดชอบควบคู่มาเสมอ ส่วนเสรีภาพของ สื่อมวลชน หมายถึงสิทธิเสรีภาพในการนาเสนอข้อมูลข่าวสารให้แก่สาธารณชนรับรู้ โดย ปราศจากการควบคุมจากรัฐบาล โดยเสรีภาพนี้ต้องมาควบคู่กับความรับผิดชอบเช่นกัน ซึ่ง ความรับผิดชอบของสื่อมวลชนมีสองประเภทคือ ความรับผิดชอบตามกฎหมายและความ รับผิดชอบตามจรรยาบรรณของสื่อมวลชน หากแต่จริยธรรมในทัศนะของซาร์ตร์ เป็น จริยธรรมที่นาเสรีภาพมาเป็นเกณฑ์ในการตัดสินจริยธรรมของปัจเจกชน ส่วนจริยธรรมของ สื่อมวลชนถูกกาหนดขึ้นโดยองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนแขนงต่าง ๆ ดังนั้น ลักษณะเสรีภาพของ ทั้งสองแนวคิดนี้จึงมีความแตกต่างกัน เพราะเสรีภาพมีบ่อเกิดและที่มาต่างกัน สุดท้ายแล้วไม่ มีแนวคิดใดที่มีเสรีภาพอย่างเต็มเปี่ยม ต่างต้องมีความรับผิดชอบและหลักจริยธรรมมา ควบคุมเสรีภาพเสมอ เพียงแต่ประเภทของความรับผิดชอบของทั้งสองทัศนะนั้นมีความ แตกต่างกัน
- Publicationการวิเคราะห์บทสนทนาว่าด้วย ปัญหาอุภโตโกฎิ (ปัญหาสองเงื่อน) ในคัมภีร์มิลินทปัญหาเนาวรัตน์ พันธ์วิไล (2017)การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ (1) เพื่อศึกษา “เมณฑกปัญหา” ในคัมภีร์มิลินทปัญหา (2) เพื่อศึกษาวิเคราะห์วิธีตอบปัญหาอุภโตโกฏิในพุทธปรัชญา (3) เพื่อศึกษาวิเคราะห์วิธีตอบปัญหาอุภโตโกฏิในคัมภีร์มิลินทปัญหา ผลการศึกษาพบว่าปัญหาอุภโตโกฏิ (ปัญหาสองเงื่อน) เป็นปัญหาที่ปรากฏในกัณฑ์ที่ 4 ในคัมภีร์มิลินทปัญหามีชื่อว่าเมณฑกปัญหา มีหลักฐานที่เชื่อได้ว่าเกิดขึ้นประมาณคริสต์ศักราช 100 ในพุทธศาสนานิกายเถรวาท ประเทศศรีลังกาซึ่งแตกต่างจากกัณฑ์อื่นโดยเฉพาะกันฑ์ที่ 1-3 ซึ่งไม่ชัดเจนว่าเป็นของนิกายใด จากการศึกษาวิเคราะห์วิธีการตอบปัญหาอุภโตโกฏิในพุทธ ปรัชญาพบว่ามีสมมตฐานความเป็นไปได้ในการตอบปัญหาอุภโตโกฏิ ถึง 20 กรณีแบ่งเป็นกรณีที่ นำไปสู่การได้มาซึ่งคำตอบ 10 กรณี และกรณีที่ไม่นำไปสู่การได้มาซึ่งคำตอบ 10 กรณี ส่วนปัญหาอุภโตโกฏิในคัมภีร์มิลินทปัญหา พบว่าปัญหาส่วนใหญ่ที่ผูกขึ้นมีการอ้างเหตุผลผิดจัดเป็น ตรรกวิบัติประเภทการเล่นแง่อย่างผิด ๆ (The Fallacy of False Dilemma) แต่พบว่าชุด กระบวนการตอบปัญหาอุภโตโกฏิในพุทธปรัชญาสามารถหลีกออกจากปัญหาสองเงื่อนเหล่านั้น ได้เป็นอย่างดี การตอบปัญหาอุภโตโกฏิในคัมภีร์มิลินทปัญหาสามารถแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ตอบปัญหาได้ด้วยชุดการตอบปัญหาในกรณีสมมตฐานที่ 5 (D) ( วิธีวิภัชชพยากรณ์ ปฏิปุจฉาพยากรณ์และการอ้างเหตุผลแบบอุปมาอุปไมยร่วมกัน) กลุ่มที่ 2 ใช้ชุดการตอบปัญหาใน กรณีสมมตฐานที่ 6 (E) (วิภัชชพยากรณ์และการอ้างเหตุผลแบบอุปมาอุปไมยร่วมกัน) กลุ่มที่ 3 ใช้ชุดการตอบปัญหาในกรณีสมมตฐานที่ 11 (J) วิธีวิภัชชพยากรณ์เพียงวิธีเดียว โดยพบว่าชุดการตอบปัญหาทั้งหมดเป็นชุดของการตอบปัญหาที่นำไปสู่การได้มาซึ่งคำตอบสอดคล้องตามวัตถุประสงค์ของการผูกปัญหาอุภโตโกฏิขึ้นมาเพื่อสร้างรูปแบบการตอบปัญหาสำหรับการป้องกันปรัปวาทในอนาคต การตอบปัญหาอุภโตโกฏิจึงเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดในการนำหลักพุทธปรัชญามาเป็นแนวทางในการปกป้องคำสอนหรืออรรถาธิบายคำสอนอย่างมีเหตุผล
- Publicationการศึกษาการอ้างเหตุผลผิดในชีวิตประจำวัน : ศึกษาเฉพาะกรณีความคิดเห็นบนกระดานสนทนาของกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตนภัสสรณ์ วสุวัฒน์คงสิน (2017)การวิจัยในครั้งนี้มีจุดประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการอ้างเหตุผลผิดทางตรรกศาสตร์ 2) เพื่อศึกษาประเด็นการอ้างเหตุผลผิดในสังคมเครือข่ายออนไลน์ผ่านความคิดเห็นของกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตบนกระดานสนทนาของเว็บไซต์ดราม่าแอดคิคดอทคอม และ 3) เพื่อวิเคราะห์การอ้างเหตุผลผิดของ กลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่แสดงความคิดเห็นบนกระดานสนทนาของเว็บไซต์ดราม่าแอดคิคดอทคอมด้วยหลักการทางตรรกศาสตร์การวิจัยนี้เป็นการวิจัยจากเอกสารที่เกี่ยวเนื่องกับแนวคิดและเกณฑ์การตัดสินทางตรรกศาสตร์เรื่องการอ้างเหตุผลผิดและความคิดเห็นบนกระดานสนทนาของเว็บไซต์ด์ราม่าแอดคิค-ดอทคอม ข้อมูลที่นำมาศึกษา คือ เอกสารและงานวิจัยทางตรรกศาสตร์ และความคิดเห็นของผู้ใช้งานกระดานสนทนาต่อกระทู้จำนวน 3 กระทู้ที่ถูกตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2556 ผลการศึกษาพบว่าการอ้างเหตุผลผิด (Fallacy) ในทางตรรกศาสตร์แบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ 1) การอ้างเหตุผลผิดทางรูปแบบ 2) การอ้างเหตุผลผิดทางเนื้อหาและ 3) การอ้างเหตุผลผิดทางจิตวิทยา เมื่อนำมาวิเคราะห์ความคิดเห็นบนกระดานสนทนาของเว็บไซต์ดราม่าแอดคิคดอทคอมต่อทั้งสามกรณีศึกษา พบว่า ความคิดเห็นที่นำมาศึกษามีทั้งหมด 379 ข้อความเป็นความคิดเห็นที่จัดเป็นการอ้างเหตุผลผิดจำนวน 150 ข้อความคิดเป็นร้อยละ 39.58 ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นการอ้างเหตุผลผิดมากกว่า 1 ประเภทต่อ 1 ความคิดเห็น โดยการอ้างเหตุผลผิดที่ถูกนำมาใช้มากที่สุด 3 อันดับแรก คือ การใช้คำย้อมสี 97 ครั้งคิดเป็นร้อยละ 32.23 การเปรียบเทียบผิดแง่ 52 ครั้งคิดเป็นร้อยละ 17.28 และการแย้งที่ตัวบุคคล 47 ครั้งคิดเป็นร้อยละ 15.61 ของจำนวนการใช้การอ้างเหตุผลผิดทั้งหมด 301ครั้งจะเห็นได้ว่าการอ้างเหตุผลผิดแบบจิตวิทยาถูกนำมาใช้มากที่สุด (การใช้คำย้อมสีและการแย้งที่ตัวบุคคล)รองลงมาคือการอ้างเหตุผลผิดแบบเนื้อหา ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ผู้ใช้งานกระดานสนทนาของเว็บไซต์ดราม่าแอดคิคดอทคอม ส่วนใหญ่ใช้อารมณ์ในการแสดงความคิดเห็นมากกว่าเหตุผล และแสดงความคิดเห็นก่อนจะหาข้อมูล ที่ถูกต้องของประเด็นที่กำลังถกเถียง
- Publicationการศึกษาเชิงบูรณาการในคุณค่าทางจริยธรรมของความเชื่อว่ามีและไม่มีพระเจ้า โดยเน้นเฉพาะปรัชญาของมหาตมา คานธี และ ดร.บี.อาร์.เอ็มเบ็ดการ์อรนิตย์ จิวโพธิ์เจริญ; Oranit Jewpocharoen (2021)
- Publicationการศึกษาเชิงเปรียบเทียบการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมตามแนวคิดของพุทธทาสภิกขุกับฟริตจ๊อฟ คาปร้าเอก โกไศยกานนท์; Ake Kosaikanond (2014)วัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อศึกษาแนวคิดการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของพุทธทาสภิกขุและศึกษา แนวคิดการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของฟริตจ๊อฟ คาปร้า ตลอดถึงประยุกต์ค าสอนของพุทธทาสภิกขุกับ ฟริตจ๊ออฟ คาปร้า เพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ผลการศึกษาพบว่า สาเหตุของปัญหาสิ่งแวดล้อมของทั ้งสองท่านสอดคล้องกัน เพียงแต่มุมมอง ของพุทธทาสภิกขุนั ้นลึกซึ ้งกว่า ตามแนวคิดของพุทธทาสภิกขุ ปัญหาสิ่งแวดล้อมเริ่มต้นจากจิต ของมนุษย์ที่วิปริต ลุ่มหลงในวัตถุจนเกินพอดีและไม่สนใจในเรื่องของจิต จนเกิดเป็นวิกฤตการณ์ สิ่งแวดล้อมไปทั่วโลก แนวทางแก้ไข คือ การบังคับจิตให้อยู่ในอ านาจ ทางพุทธศาสนาเรียกว่า การปฏิบัติอานาปานสติ เป็นการบังคับจิตไม่ให้ตกเป็นทาสของวัตถุ มีการศึกษาที่ถูกต้องเพื่อจะได้ รู้จักใช้ความฉลาดในการควบคุมความเห็นแก่ตัว ใช้หลักสหกรณ์กับการอยู่ร่วมกันในชุมชน เพื่อการ ช่วยเหลือเกื ้อกูลกัน แต่แนวคิดการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของฟริตจ๊อฟ คาปร้า เห็นว่าสาเหตุของปัญหา สิ่งแวดล้อมเกิดจากความลุ่มหลงในการบริโภควัตถุของกลุ่มบริโภคนิยม ที่บริโภคกันอย่างฟุ่มเฟือย และเกินจาเป็น แนวทางแก้ไข คือ ปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจให้สัมพันธ์กับสังคมและสิ่งแวดล้อม ปรับแนวคิดและการกระทาที่ถูกต้องต่อธรรมชาติ อยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน และไม่มอง ธรรมชาติว่าเป็นทรัพย์เป็นแหล่งส าหรับหาผลประโยชน์ หลักปฏิบัติเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของทั ้งสองท่านมีความแตกต่างกันในวิธีการ พุทธทาสภิกขุ จะใช้การบังคับจิตให้มีอานาจเหนือวัตถุ ซึ่งมีความลึกซึ ้งในแง่จิตวิญญาณ แต่ของคาปร้าจะใช้วิธีการ ที่เรียกว่าเศรษฐกิจแบบทวนกระแสเพื่อลดขนาดของเศรษฐกิจและสังคม แต่ทั ้งสองท่านต่างเน้นให้ การอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างเรียบง่ายและมีความเป็นมิตรต่อกัน การประยุกต์แนวคิดของทั ้งสองท่าน คือ การให้รู้จักใช้สติควบคู่กับสัมปชัญญะเพื่อควบคุมการบริโภควัตถุให้เหมาะสมกับสังคมและ สิ่งแวดล้อม จะทาให้การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมมีประสิทธิภาพมากขึ ้น
- Publicationการศึกษาเชิงเปรียบเทียบเรื่องตัณหาในพุทธศาสนาเถรวาทกับแนวคิดเรื่อง ความต้องการในทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ปิยะพัชร เครือเขื่อนเพชร; Piyapatch Kruakuanpetch (2017)วัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ ศึกษาแนวคิดเรื่องตัณหา ในพุทธศาสนาเถรวาท และศึกษา แนวคิดเรื่องความต้องการในทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ รวมถึงวิเคราะห์ เปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างระหว่างสองแนวคิด การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยทางเอกสาร (Documentary Research) โดยผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสาร ทั้งที่เป็นปฐมภูมิ (Primary) และทุติยภูมิ (Secondary) เอกสารดังกล่าวได้แก่ พระไตรปิฎกงานวิจัย งานวิทยานิพนธ์ หนังสือ เป็นต้น ผลการศึกษาพบว่า ทั้งสองแนวคิดมีมุมมองต่อมนุษย์แบบมนุษย์นิยม คือเห็นคุณค่าในตัว ของมนุษย์ และเชื่อว่ามนุษย์มีศักยภาพที่จะพัฒนาได้ ในทางพุทธศาสนาได้แบ่งความต้องการของ มนุษย์ออกเป็น 2 ฝ่าย คือ 1) ความต้องการฝ่ายดี หรือกุ่ศล เรียกว่า “ฉันทะ” และ2) ความต้องการ ฝ่ายไม่ดี หรืออกุศล เรียกว่า “ตัณหา” ซึ่งต่างจากมาสโลว์ที่ไม่แบ่งความต้องการของมนุษย์ออกเป็น ความต้องการในฝ่ายดี หรือไม่ดี โดยทั้งสองแนวคิดนี้ต่างก็กล่าวว่ากระบวนการเกิดขึ้นของความ ต้องการมีความสัมพันธ์กับกระบวนการสัมผัสและรับรู้ แต่ทั้งสองแนวคิดนี้มีมุมมองต่อเรื่อง บทบาทของตัณหาหรือความต้องการที่ต่างกัน โดยทางศาสนาพุทธมักกล่าวถึงบทบาทของตัณหา ในแง่ลบ เป็นสิ่งที่ไม่ดี และควรละทิ้ง ส่วนมาสโลว์เชื่อว่าความต้องการของมนุษย์นี้ควรจะได้รับ การเติมเต็มและพัฒนาให้เจริญงอกงาม
- Publicationการศึกษาเชิงวิเคราะห์การประยุกต์หลักธรรมอริยสัจ 4 ของพุทธศาสนาเพื่อการแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนวันดี เวทางค์กุล; Wandee Wethangkul (2018)ผลการวิจัยพบว่า หลักธรรมอริยสัจ 4 ของพุทธศาสนาเป็นหลักวิธีคิดที่เริ่มต้นจาก กําหนดรู้ความทุกข์ และสืบค้นหาสาเหตุของทุกข์ (สมุทัย) เพื่อเตรียมแก้ไข จากนั ้นกําหนด เป้าหมาย คือ ภาวะดับทุกข์ (นิโรธ) เป็นจุดหมายที่ต้องไปให้ถึง แล้วคิดวิธีปฏิบัติ คือ มรรคมีองค์ 8 เป็นวิธีการปฏิบัติเพื่อกําจัดสาเหตุของทุกข์ ปัญหาภาวะโลกร้อนมีสาเหตุมาจากแนวความคิด ที่มองมนุษย์แยกต่างหากจากธรรมชาติ ทําให้มนุษย์มุ่งเอาชนะธรรมชาติและนําธรรมชาติมา รับใช้มนุษย์ เพื่อสนองความต้องการที่มีไม่จํากัดของมนุษย์ การประยุกต์หลักธรรมอริยสัจ 4 เพื่อ แก้ปัญหาภาวะโลกร้อน วิเคราะห์ได้ว่าทุกข์ คือ ปัญหาภาวะโลกร้อนซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่อ มนุษย์ทั ้งทางตรงและทางอ้อม สาเหตุของทุกข์(สมุทัย) คือ ความอยากที่มีไม่จํากัดของมนุษย์ และความไม่รู้ ไม่เข้าใจธรรมชาติอย่างแท้จริง ภาวะสิ ้นปัญหา (นิโรธ) คือ ความเข้าใจถูกต้องว่า ธรรมชาติเป็นระบบแห่งความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งทั ้งปวงและมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ การแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนซึ่งมีสาเหตุมาจากแนวคิดที่ผิดพลาด มนุษย์ต้องมีแนวคิดใหม่มา เป็นฐาน จึงจะแก้ปัญหานี ้ได้ นั่นคือ มรรคมีองค์ 8 เป็นวิธีการพัฒนามนุษย์ทางด้านปัญญา กาย วาจา และใจ เมื่อมนุษย์ได้พัฒนาคุณภาพดีแล้ว ก็จะรู้จักดําเนินชีวิตที่จะเกื ้อหนุนให้ระบบ สัมพันธ์แห่งธรรมชาติทั ้งปวงนั ้นเป็นไปในทางที่เกื ้อกูลกัน
- Publicationการศึกษาเชิงวิเคราะห์เกี่ยวกับสุนทรียศาสตร์ของคานท์และพุทธปฏิมาสมัยสุโขทัยบุษกร ผาสุขฤทธิ์ (2016)วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1. แนวคิดสุนทรียศาสตร์ของคานท์ 2. ศึกษาพุทธปฏิมาสมัยสุโขทัย 3. วิเคราะห์ความงามของพุทธปฏิมาสมัยสุโขทัยโดยอาศัยทฤษฏีสุนทรียศาสตร์ของคานท์ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงเอกสารโดยศึกษาเอกสารระดับปฐมภูมิและทุติยภูมิทั้งของคานท์และที่เกี่ยวข้องกับพุทธปฏิมาสมัยสุโขทัย ผลการศึกษาพบว่า ตามทฤษฎีสุนทรียศาสตร์ของคานท์ ความงาม คือ ความพึงพอใจอย่าง หนึ่งที่มนุษย์รู้สึกจากการได้รับรู้สิ่งต่างๆ ที่มีรูปแบบของความงาม ความงามแบ่งออกเป็นความงามอิสระและความงามยึดติด การตัดสินความงามที่ถูกต้องไม่เกี่ยวข้องกับมโนทัศน์ แนวคิดของคานท์อธิบายความงามของพุทธปฏิมาสมัยสุโขทัยว่าสามารถถ่ายทอดความงามได้ทั้งความงามอิสระและความงามยึดติด ความงามที่รับรู้จะเป็นความงามชนิดใดขึ้นอยู่กับประสบการณ์ทางสุนทรียะว่าเป็นอิสระจากมโนทัศน์หรือไม่ หากการรับรู้ความงามของพุทธปฏิมาสมัยสุโขทัยไม่มีมโนทัศน์เข้ามาเกี่ยวข้องความงามที่รับรู้คือความงามอิสระ แต่ถ้าการรับรู้ความงามมีเรื่องมโนทัศน์เกี่ยวกับพุทธปฏิมาเข้ามาเกี่ยวข้องความงามที่รับรู้คือความงามยึดติด ความงามของพุทธปฏิมาเป็นได้ทั้งความงามอิสระหรือความงามยึดติด ขึ้นอยู่กับผู้รับรู้ว่ามีประสบการณ์ทางสุนทรียะในรูปแบบใด การตัดสินความงามของพุทธปฏิมาความงามที่มีคุณค่าที่สุด คือ ความงามอิสระ เพราะเป็นความงามที่แท้จริงเป็นอิสระจากมโนทัศน์ นอกจากนี้ ความเลอเลิศแสดงถึงสมบูรณ์แบบของพุทธปฏิมาสมัยสุโขทัยที่สูงส่งเหนือกว่าประติมากรรมอื่น
- Publicationการศึกษาเชิงวิเคราะห์มรรคมีองค์ 8 ในพุทธปรัชญาเถรวาทกับภาวะสมดุลของระบบนิเวศวิจิตร คดเกี้ยว (2017)งานวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ คือ 1. เพื่อศึกษาภาวะสมดุลของระบบนิเวศ 2. เพื่อศึกษาหลักมรรคมีองค์ 8 ในพุทธปรัชญาเถรวาท 3. เพื่อศึกษาวิเคราะห์หลักมรรคมีองค์ 8 ใน พุทธปรัชญาเถรวาท เพื่อการรักษาภาวะสมดุลของระบบนิเวศ ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ระบบนิเวศเสียสมดุล คือปัจจัยที่เกิดจากธรรมชาติและจากมนุษย์ โดยเฉพาะมนุษย์เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ระบบนิเวศเสียสมดุลเพราะพฤติกรรมที่ขาดจริยธรรมต่อสิ่งแวดล้อมของมนุษย์นั้นทำลายทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศมากที่สุด ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมในลักษณะของการทำลายและไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม คือทัศนะที่ยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลาง ซึ่งมีแนวคิดว่ามนุษย์เป็นนายของธรรมชาติสิ่งแวดล้อม สนใจเฉพาะประโยชน์ของตนเองเท่านั้น กระบวนการหรือวิธีที่จะนำมาใช้เพื่อการรักษาภาวะสมดุลของระบบนิเวศ คือ มรรคมี องค์ 8 ในพุทธปรัชญาเถรวาท เริ่มต้นที่สัมมาทิฐิ ความเห็นหรือทัศนะที่ถูกต้องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของสรรพสิ่ง ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตบนโลกนี้ล้วนมีคุณค่าเพื่อตัวมันเองและเพื่อสิ่งที่มันเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย เมื่อมีความเห็นเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมถูกต้องแล้ว (สัมมาทิฐิ) ความคิดที่ถูกต้อง (สัมมาสังกัปปะ) วาจาที่ถูกต้อง (สัมมาวาจา) และการกระทำที่เหมาะสม (สัมมากัมมันตะ) รวมถึงการประกอบอาชีพการงาน (สัมมาอาชีวะ) ย่อมถูกต้องดีงาม และมรรคข้ออื่น ๆ ทั้งสัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิจะเป็นตัวสนับสนุนให้การปฏิบัติไปพร้อม ๆ กัน เมื่อปฏิบัติได้เช่นนี้แล้ว การรักษาภาวะสมดุลของระบบนิเวศย่อมสำเร็จผล
- Publicationการศึกษาเปรียบเทียบการเผยแพร่พระพุทธศาสนาของพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) กับพระธรรมสิงหบูราจารย์ (จรัญ ฐิตธมฺโม)พิชฎชมพู ธูปบูชา; Pitchompu Tupbuch (2019)การวิจัยเชิงคุณภาพนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของ พระพุทธเจ้า 2) เพื่อศึกษาการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) 3) เพื่อ ศึกษาการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมสิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิตธมฺโม) 4) เพื่อศึกษา เปรียบเทียบการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) กับ พระธรรม สิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิตธมฺโม) ผลการวิจัยพบว่า การเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า เป็นหลักคําสอนที่มีอยู่จริง ในปัจจุบัน หลักดังกล่าวช่วยให้ลดกิเลส และยังยึดเหนี่ยวจิตใจของประชาชนให้หลุดพ้นจากทุกข์ จึงทําให้พระภิกษุหลายท่าน ได้นําแนวทางการเผยแผ่ของพระพุทธเจ้าไปใช้อย่างหลากหลายทั้งใน อดีตและปัจจุบัน ส่วนการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ใช้ หลักการของธรรมกายมาเป็นเครื่องกําหนดหมายรู้ เพื่อให้พ้นทุกข์ได้ทั้งสิ่งดีและไม่ดี อีกทั้งมีความ รอบรู้ ทั้งภาคปริยัติและนักปฏิบัติธรรมที่ทุ่มเท จริงจัง ทําให้ท่านมีการตอบรับอย่างดี มีศิษย์ มากมายทั่วประเทศไทย และตลอดชีวิตการเผยแผ่ของท่านได้ปฏิบัติและศึกษาตามทางสายกลาง บุคคลทั่วไป จึงศรัทธาในชื่อเสียงและกล่าวถึงความศักดิ์สิทธิ์ของท่านเสมอมา ซึ่งการเผยแผ่ พระพุทธศาสนาของพระธรรมสิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิตธมฺโม) เน้นเรื่องกฎแห่งกรรมธรรมปฏิบัติ ประสบการณ์ตรงจากตัวท่านเองและคนอื่น หลักความดีความชั่ วและหลักธรรมของ พระพุทธศาสนา แต่สิ่งที่เน้น คือ สติปัฏฐาน 4 เป็นหลัก ดังนั้นการเปรียบเทียบการเผยแผ่ พระพุทธศาสนาของพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) กับ พระธรรมสิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิตธมฺโม) พระทั้งสองมีความสัมพันธ์กันในฐานะศิษย์และอาจารย์ ทําให้พระทั้งสองเป็นนักเผยแผ่มีชื่อเสียง ทั้งอดีตและปัจจุบันที่ประสบความสําเร็จในการเผยแผ่ อีกทั้งเป็นพระนักปฏิบัติธรรมมีผลงานเผย แผ่ที่ประจักษ์ ต่อยอดคําสอนที่สืบทอดพระพุทธศาสนาตามแนวทางของพระทั้งสอง สามารถหาฟัง ได้ในปัจจุบันไม่เลือนหายไป และมีลักษณะคําสอนที่มีความเป็นตัวเองสูง
- Publicationการศึกษาเปรียบเทียบแนวคิดการอวตารในศาสนาฮินดูกับพระพุทธศาสนามหายานโสภิตา สุ่มสังข์; Sophita Sumsang (2015)จุดประสงค์ของการทา วิจัยนี้เพื่อศึกษาค้นคว้าแนวคิดอวตารที่ปรากฏอยู่ในศาสนาฮินดูกับ พระพุทธศาสนามหายาน โดยเฉพาะความเชื่อที่เกิดขึ้นกับพระนารายณ์และพระอวโลกิเตศวร โพธิสัตว์ ในลักษณะเชิงเปรียบเทียบในทางความหมายและนิยามคา ว่าอวตาร ความเชื่อเรื่องเทพเจ้า แนวคิดการอวตาร ลักษณะการอวตาร ประเภทการอวตาร จุดมุ่งหมายการอวตาร และวิธีการอวตาร จากผลการวิจัยทา ให้พบว่า การอวตารคือ แนวคิดที่เกิดขึ้นกับการอวตารแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1. ส่วนทเี่ หมือนกัน ในทางความหมายการอวตารอธิบายได้ว่าเป็นการลงมาของผู้ที่มี ลักษณะอย่างเทพเจ้ามาสู่โลกมนุษย์ ลักษณะการอวตารจะมีหลายลักษณะตามความเชื่อในศาสนา ส่วนประเภทการอวตารนั้นจะมีทั้งสัตว์ มนุษย์ และครึ่งสัตว์ครึ่งมนุษย์ จุดมุ่งหมายการอวตารเพื่อ ช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นจากความทุกข์ และวิธีการอวตารไม่ปรากฏรายละเอียดอย่างชัดเจนแต่ เป็นการปฏิบัติตามหลักความเชื่อในศาสนา 2. ส่วนที่แตกต่างกัน ศาสนาฮินดูเน้นการอวตารเกิดขึ้น เฉพาะเทพเจ้าอย่างเช่นพระนารายณ์ที่จะเสด็จลงมาช่วยเหลือมวลมนุษย์ต่อเมื่อถึงช่วงระยะเวลา หนึ่งที่เรียกว่ายุคเข็ญบนโลกมนุษย์ พระพุทธศาสนามหายานเน้นในส่วนของพระโพธิสัตว์ อย่างเช่นพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์จะคอยช่วยเหลือมวลมนุษย์อยู่ตลอดเวลาตราบเท่าที่ยังคงมี มนุษย์ตกอยู่ในความทุกข์ และเป็นไปเพื่อการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าต่อไปในอนาคต แนวคิดการอวตารของทั้งศาสนาฮินดูและพระพุทธศาสนามหายาน เกิดขึ้นจากความ ต้องการสร้างความน่าเชื่อถือและศรัทธาให้เกิดขึ้นในศาสนา นอกจากนี้มนุษย์ยังต้องการเครื่องยึด เหนี่ยวจิตใจในเชิงรูปธรรม แนวคิดอวตารจึงเติมเต็มความต้องการของมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์
- Publicationการศึกษาวิเคราะห์จริยธรรมความรักชาติในศาสนาชินโตที่มีผลต่อจิตวิญญาณของคนญี่ปุ่นทนุรัก ตันตรานนท์; Tanuruk Tuntranont (2017)การทำงานวิจัยนี้เพื่อศึกษาอิทธิพลศาสนาชินโตที่มีผลต่อจิตวิญญาณคนญี่ปุ่น เชิงวิเคราะห์ เรื่องความรักชาติโดยศึกษาจากประวัติความเป็นมา ความหมายองค์ประกอบ และความเชื่อที่ สำคัญในศาสนาชินโต ที่เป็นแนวคิดพื้นฐานของความรักชาติในญี่ปุ่น ส่วนการศึกษาประเทศญี่ปุ่น เป็นการศึกษาด้านประวัติศาสตร์ ความหมายความเป็นมาองค์ประกอบทางด้านวิถีชีวิตความ เป็นอยู่และรากฐานแนวคิดของชาวญี่ปุ่นจากสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดแนวคิดความรักชาติ จากการศึกษาพบว่า การรักชาติเกิดขึ้นได้จากปัจจัย 2 ประการคือ 1. ศาสนาชินโต ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติของประเทศญี่ปุ่นนับถือเทพเจ้าหลายองค์ (พหุเทวนิยม) ทำให้หลักคำสอนและหลักจริยธรรมทางศาสนาเป็นไปเพื่อให้ความเคารพบูชาเทพเจ้า ความเคารพในพระจักรพรรดิเชื่อว่า พระองค์สืบเชื้อสายมาจากสุริยเทพที่เป็นผู้สร้างประเทศญี่ปุ่น และเกิดความรักเคารพธรรมชาติ เพราะเชื่อว่า เบื้องหลังปรากฏการณ์ธรรมชาติก็คือเทพเจ้าแนวคิดลักษณะนี้ส่งผลให้ชาวญี่ปุ่นถือว่า ประเทศของตนเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นเผ่า พันธุ์แห่งเทพ ก่อให้เกิดแนวคิดแห่งความรักชาติขึ้น 2. เกิดจากเหตุการณ์ต่าง ๆ นับแต่อดีตถึงปัจจุบันเกิดจากธรรมชาติอย่างภัยธรรมชาติหรือเกิดจาก มนุษย์อย่างสงครามโลกเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบรุนแรงทั้งต่อประเทศญี่ปุ่นและสภาพจิตใจ ชาวญี่ปุ่นเกิดความสูญเสียทั้งพลเมืองและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศการฟื้นฟูเป็นเรื่องที่ต้อง รีบเร่งทำ สิ่งสำคัญคือการฟื้นฟูสภาพจิตใจของชาวญี่ปุ่นด้วยกันเองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็น แรงกระตุ้น ที่สำคัญยิ่ง ก่อให้เกิดความรักชาติของประเทศญี่ปุ่ นการศึกษาวิเคราะห์ศาสนาชินโตที่ มีอิทธิพลต่อจิตวิญญาณของชาวญี่ปุ่ นเป็นการศึกษาโดยอาศัยองค์ประกอบด้านความเชื่อสิ่งแวดล้อมวัฒนธรรมประเพณีสังคม การเมืองและการปกครองสิ่งสำคัญคือหลักคำ สอนและหลักจริยธรรมทางศาสนาชินโต ภายหลังสงครามโลกครั้งที่2 ได้ถูกลดบทบาทลงแต่เนื่องการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและสืบทอดมาเป็นเวลานานทำให้ยังคงแทรกซึมอยู่ในวิถีการดำรงชีวิตของชาวญี่ปุ่ นมาจนถึงปัจจุบัน
- Publicationการศึกษาวิเคราะห์ฐานะเชิงสังคมของมนุษย์ตามทรรศนะพุทธศาสนาเถรวาทฉัตรชัย เนื่องพิมพ์; Chatchai Nuangpim (2017)วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาฐานะเชิงสังคมของมนุษย์ตามทรรศนะทางสังคมวิทยา ศึกษาฐานะเชิงสังคมของมนุษย์ตามทรรศนะพุทธศาสนาเถรวาท และวิเคราะห์ฐานะเชิงสังคมของมนุษย์ตามทรรศนะทางพุทธศาสนาเถรวาท โดยหัวข้อวิเคราะห์กำหนดประเด็นหลัก คือสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ 3 ประการ งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงปรัชญา โดยขอบเขตงานวิจัยในทางสังคมวิทยา เลือกศึกษาเฉพาะทฤษฎีหน้าที่ของเฮอร์เบริ์ต สเปน เซอร์ (Herbert Spencer) ส่วนพุทธศาสนาเลือกศึกษาเฉพาะทฤษฎีกรรมในพุทธศาสนาเถรวาท จากการศึกษาพบว่า ในทางสังคมวิทยาฐานะเชิงสังคมของมนุษย์มีความแตกต่างกัน โดยความแตกต่างผันแปรไปตามหน้าที่ส่วนพุทธศาสนาฐานะเชิงสังคมของมนุษย์มีความแตกต่าง โดยเปลี่ยนแปลงไปตามอำนาจกรรมบงการ จากการวิเคราะห์พบว่า มนุษย์ตามฐานะเชิงสังคม โดยใช้กรรม เป็นเกณฑ์ตัดสินเพื่อพิจารณาตามสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ คือ ด้านสิทธิเสรีภาพถือเป็นความยุติธรรม เพราะความแตกต่างเกิดจากการที่มนุษย์ได้รับเสรีภาพในการเลือกการกระทำ เมื่อมนุษย์เลือกการกระทำแล้ว ฐานะเชิงสังคมจึงแตกต่างไปตามการกระทำนั้น ๆ ด้านสิทธิความเสมอภาคถือว่ายุติธรรม เพราะหากมนุษย์มู่งพิจารณาสาระแห่งฐานะเชิงสังคมจะพบว่า มนุษย์ตางมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือการกระทำตามหน้าที่โดยธรรม และด้านสิทธิภราดรภาพ ถือว่าเป็นความยุติธรรม เพราะมนุษย์ต่างมีจุดกำเนิดเดียวกัน คือ อาภัสสรพรหมที่ถูกควบคุมด้วยชนกกรรมกำกับการกำเนิด ด้วยเหตุนี้กรรมจึง ถือเป็นคุณค่า และเป็นทายาทของมนุษย์อ์ย่างแท้จริง
- Publicationการศึกษาวิเคราะห์พุทธปรัชญาเถรวาทกับปัญหาภาวะโลกร้อนกัญญภา ศิริชลธาร; Kanyapha Sirichonlatarn (2012)การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพุทธปรัชญาเถรวาท และศึกษาปัญหาภาวะโลกร้อน ตลอดจนศึกษาพุทธปรัชญาเถรวาทกับปัญหาภาวะโลกร้อน ผลการวิจัย พบว่า พุทธปรัชญาถือว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในธรรมชาติล้วนมีการพึ่งพาอาศัยกัน ตามกฎอิทัปปัจจยตา และมีลักษณะที่เสมอเหมือนกันตามกฎไตรลักษณ์ โดยมีความจริงอันเป็น จุดหมายสูงสุด คือ นิพพาน มนุษย์นั้นมีศักยภาพเพียงพอที่จะเข้าถึงจุดหมายสูงสุดได้ด้วย การสร้างความรู้จริงให้เกิดมีขึ้น มนุษย์สามารถรับรู้ความจริงได้จากอายตนะภายใน ซึ่งจําเป็นต้อง ฝึกฝนไม่ให้ถูกชักจูงไปในทางที่ผิด และปฏิบัติตนตามหลักอริยมรรคมีองค์ 8 เพื่อให้เข้าถึง จุดหมายสูงสุด ปัญหาภาวะโลกร้อนมีสาเหตุส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการกระทําของมนุษย์อันมี รากฐานทางความคิดมาจากอารยธรรมตะวันตกที่มองมนุษย์แยกออกจากธรรมชาติ และยกย่อง มนุษย์ให้มีคุณค่าเหนือสิ่งอื่นใด รวมทั้งแนวคิดที่ว่าความสุขนั้นขึ้นอยู่กับการครอบครองวัตถุ การมีพื้นฐานทางความคิดลักษณะนี้ทําให้มนุษย์มีพฤติกรรมที่เบียดเบียนทําลายธรรมชาติ โดยเฉพาะการพัฒนาอุตสาหกรรมขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการในเรื่องของความสุข ส่งผล ให้เกิดภาวะโลกร้อน และในที่สุดก็ส่งผลกระทบต่อมนุษย์ การเข้าถึงหลักความจริงของธรรมชาติ ตามทัศนะทางพุทธปรัชญาจะทําให้มนุษย์ขจัดรากฐานทางความคิดที่ผิด โดยการสร้าง กระบวนการรับรู้ที่ถูกต้อง เพื่อให้เกิดความรู้ที่ถูกต้องตามจริงอันนําไปสู่การเกิดพฤติกรรมที่ไม่ เบียดเบียนทําลาย และอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน ถึงแม้การนําหลักพุทธปรัชญามาใช้ อาจจะไม่ได้ทําให้ปัญหาภาวะโลกร้อนลดลงไปอย่างเห็นผลชัดเจน เพราะอาจต้องใช้ระยะ เวลานานกว่าความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกจะลดลง แต่หลักพุทธปรัชญาจะช่วยปลูกฝังให้ มนุษย์มีรากฐานทางจิตใจ หรือความคิดที่ถูกต้องเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นการพัฒนาตนให้เข้าใกล้จุดหมายอันสูงสุดไปพร้อมกับการสร้างความสมดุลให้เกิด ขึ้นกับธรรมชาติอย่างยั่งยืน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อทุกชีวิตที่อาศัยอยู่บนโลก
- Publicationการศึกษาวิเคราะห์มหาปุริลักษณะในพระพุทธศาสนาเถรวาทด้วยหลักกายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยางามตา ธนานันทสูตร; Ngamta Tananantasut (2018)วัตถุประสงค์ของการวิจัยนี้คือ 1) เพื่อศึกษามหาปุริสลักษณะ 32 ประการในคัมภีร์ พระพุทธศาสนาเถรวาท 2) เพื่อวิเคราะห์มหาปุริสลักษณะด้วยทฤษฎีกายวิภาคศาสตร์และ สรีรวิทยา และ 3) เพื่อวิเคราะห์คุณค่าของมหาปุริสลักษณะตามแนวทฤษฎีกายวิภาคศาสตร์ และสรีรวิทยาในพระพุทธศาสนาเถรวาทนี้เป็นการวิจัยคุณภาพ ข้อมูลการวิจัยรวบรวมจาก เอกสารชั้นปฐมภูมิและทุติยภูมิซึ่งประกอบด้วย พระไตรปิฎกและอรรถกถา เอกสารทางกาย วิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา วิทยานิพนธ์ และเอกสารงานวิจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิชาการ ทั้งสองสาขานี้ โดยนาข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ สังเคราะห์ และการประเมินคุณค่า ผลการศึกษาวิจัยพบว่า มหาปุริสลักษณะ คือ ลักษณะ 32 ประการของมหาบุรุษที่เป็น ผลแห่งการบาเพ็ญบารมีอย่างอุกฤษฎ์ในอดีตชาติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระเจ้าจักรพรรดิ เป็นองค์ความรู้ที่เป็นที่รู้จักและยอมรับกันของผู้คนในยุคพุทธกาลว่าเป็นลักษณะทางกายที่มี ความสมบูรณ์และสง่างาม การวิเคราะห์มหาปุริสลักษณะตามทฤษฎีกายวิภาคศาสตร์และ สรีรวิทยาทาให้พบความสัมพันธ์กันในแต่ละลักษณะที่นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงความงดงาม ทางกายภาพแล้ว ยังแสดงถึงสมรรถภาพทางกายที่ส่งผลดีต่อสุขภาพและบุคลิกภาพของ พระพุทธองค์ซึ่งมีผลต่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในครั้งพุทธกาลอีกด้วย ส่วนคุณค่าที่เกิด จาการวิเคราะห์มหาปุริสลักษณะตามแนวกายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาในพระพุทธศาสนา เถรวาท ก็คือ มหาปุริสลักษณะเป็นลักษณะที่บุคคลทั ่วไปสามารถกระทาให้มีได้ โดยอาศัย หลักธรรมบุญกิริยาวัตถุ 10 ประการที่พระพุทธองค์ตรัสว่ามีความสัมพันธ์กับพุทธการกธรรม และคุณสมบัติ 8 ประการเพื่อการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้น มหาปุริสลักษณะ 32 ประการ จึงเป็นลักษณะที่สะท้อนถึงกฎแห่งกรรมในพระพุทธศาสนาซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแสดง โดยยกเอาพระวรกายของพระองค์เป็นตัวอย่าง มหาปุริสลักษณะถือได้ว่าเป็นองค์ความรู้สาคัญ ที่ชาวพุทธควรศึกษาให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ และนาองค์ความรู้ที่ได้มาปฏิบัติ เพื่อให้เกิดผลดี ต่อตนเองและสังคมอย่างแท้จริงสืบไป
- Publicationการศึกษาวิเคราะห์เรื่องนรกและสวรรค์ในพระไตรปิฎก กับไตรภูมิพระร่วงชมพูนุช เพชรศุภมิตร; Chompunuch Petchsuphamitr (2016)วัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งนี้ คือ เพื่อวิเคราะห์เรื่องนรกและสวรรค์ ในพระไตรปิฎก เพื่อวิเคราะห์เรื่องนรกและสวรรค์ ในไตรภูมิพระร่วง และเพื่อเปรียบเทียบเรื่องนรกและสวรรค์ ในพระไตรปิฎกกับไตรภูมิพระร่วง ผลการวิจัยพบว่า นรกในพระไตรปิฎกและไตรภูมิพระร่วง พบว่า ให้ความหมายคำว่า นรก คือสภาพที่ไม่มีความเจริญเหมือนกัน สวรรค์ทั้งในพระไตรปิฎกและไตรภูมิพระร่วงต่างก็เหมือนกันเช่นกัน ซึ่งหมายถึง โลกอีกโลกหนึ่งที่เพียบพร้อมไปด้วยกามสุขทั้ง 5 ลักษณะของนรกในพระไตรปิฎกและไตรภูมิพระร่วง ในพระไตรปิฎกพบว่า นรกนั้นจะกล่าวถึงชื่อนรกก็ต่อเมื่อมีการถือธรรมที่ควรทำหรือธรรมที่ควรเว้นในพระพุทธศาสนา ซึ่งชื่อนรก มีลักษณะตามการแปลความหมายตามอักษร ส่วนในไตรภูมิพระร่วงนั้น จะกล่าวถึงนรกบริวาร และมีการอธิบายชัดเจน ลักษณะของสวรรค์ในพระไตรปิฎกและไตรภูมิพระร่วง ผลการเปรียบเทียบ พบว่า ลักษณะของสวรรค์คล้ายกัน แต่ไม่เหมือนกัน เพราะภาษาที่ใช้ต่างกัน คำสอนเรื่องนรกในพระไตรปิฎกและไตรภูมิพระร่วง จะเห็นว่าไม่ต่างกันมากนัก ในพระไตรปิฎกเป็นแม่บทอยู่แล้ว ดังนั้น คำสอนย่อมไม่แตกต่างกัน เช่น การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต การลักทรัพย์ การพูดเท็จ การคบชู้ภรรยาของผู้อื่นและการดื่มสุรา เสพยาเสพติด เป็นต้น ดังนั้น กรรมทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแต่ทำให้ตกนรกในขุมที่แตกต่างกันไป ตามความหนักเบาของกรรมที่ตนได้ทำไว้เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ คำสอนเรื่องสวรรค์ในพระไตรปิฎกและไตรภูมิพระร่วงนั้นมีความเหมือนกัน กล่าวคือ ทั้งพระไตรปิฎกและไตรภูมิพระร่วงต่างก็มีคำสอนเรื่องสวรรค์ให้ผู้คนทั้งหลายทำความดีด้วยการทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ละเว้นการทำความชั่ว หมั่นทำบุญ ทำทาน ถือศีล ภาวนา หลังตายแล้วก็จะได้ไปเกิดบนสวรรค์ตามกรรมที่ได้ทำไว้
- Publicationการศึกษาวิเคราะห์ละครโทรทัศน์เรื่อง "แรงเงา" ตามแนวพุทธจริยศาสตร์เถรวาทธเนศ บรรทมสินธุ์; Thanate Bantomsin (2017)การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ของการศึกษา คือ 1) เพื่อศึกษาแนวคิดและการนำเสนอปัญหาสังคมในละครโทรทัศน์เรื่อง “แรงเงา” 2) เพื่อศึกษาแนวคิดพุทธจริยศาสตร์เถรวาท และ 3) เพื่อวิเคราะห์ละครโทรทัศน์เรื่อง “แรงเงา” ตามแนวพุทธจริยศาสตร์เถรวาท การวิจัยครั้งนี้เป็น การวิจัยทางเอกสาร โดยผู้วิจัยได้ศึกษาและรวบรวมข้อมูลจากเอกสารชั้นต้นและเอกสารชั้นรอง ผลการศึกษาพบว่า ละครโทรทัศน์เรื่อง “แรงเงา” นั้น ผู้ประพันธ์ได้นำเสนอปัญหาสังคม ผ่านบทละครโทรทัศน์ 2 ปัญหา คือปัญหาการนอกใจและปัญหาการฆ่าตัวตาย เมื่อศึกษาแนวคิด พุทธจริยศาสตร์เถรวาทพบว่า ชีวิตที่ดีตามหลักพุทธจริยศาสตร์มี 3 ระดับ คือระดับต้น ได้แก่ การปฏิบัติตามหลักศีล 5 ระดับกลาง ได้แก่ การปฏิบัติตามหลักกุศลกรรมบถ 10 และระดับสูง ได้แก่ การปฏิบัติตามหลักอริยมรรคมีองค์ 8 ส่วนเกณฑ์ตัดสินจริยธรรมตามหลักพุทธจริยศาสตร์ มีอยู่ 2 ประการคือเกณฑ์หลักและเกณฑ์รอง โดยเกณฑ์หลักพิจารณาจากเจตนาแห่งการกระทำ ส่วนเกณฑ์รองพิจารณาจากการกระทำว่าเป็นการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น หรือไม่ เมื่อนำละคร โทรทัศน์เรื่อง “แรงเงา” มาวิเคราะห์ตามแนวพุทธจริยศาสตร์พบว่า ผู้ประพันธ์ต้องการแสดงให้ เห็นถึงอำนาจของอกุศลมูลหรือกิเลส 3 ประการที่มีอยู่ในจิตใจของมนุษย์ จึงตั้งชื่อเรื่อง “แรงเงา” โดยแสดงให้เห็นเป็นรูปธรรมผ่านตัวละครหลัก 4 คน และแสดงให้เห็นว่า พุทธจริยศาสตร์เถรวาท ระดับพื้นฐานและระดับกลางสามารถนำมาแก้ปัญหาการนอกใจ ส่วนปัญหาการฆ่าตัวตายใช้หลัก พุทธจริยศาสตร์เถรวาทระดับพื้นฐาน
- Publicationการศึกษาวิเคราะห์หลักคำสอนเรื่องสติของ ติช นัท ฮันห์ ในการแก้ไขปัญหาชีวิตคู่ฉัตรทอง มีเมศกุล (2019)การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ (1) เพื่อศึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตคู่ (2) เพื่อศึกษาวิเคราะห์หลักคำสอนเรื่องสติของติช นัท ฮันห์ (3) เพื่อศึกษาวิเคราะห์การแก้ไขปัญหาชีวิตคู่โดยใช้หลักคำสอนเรื่องสติของติช นัท ฮันห์ ผลการศึกษาพบว่า ปัญหาชีวิตคู่ถือว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวสำหรับทุกคนเพราะเราไม่อาจรับรู้ได้เลยว่าปัญหาจะเข้ามาหรือเกิดขึ้นเมื่อใดบ้าง เราควรที่จะมีวิธีการรับมือและจัดการกับปัญหาเหล่านั้นได้อย่างทันท่วงที จากการศึกษาปัญหาชีวิตคู่ในงานเขียนของผู้เชี่ยวชาญหลายคนพบว่า ปัญหาส่วนใหญ่ที่ทำให้ชีวิตคู่พังทลายลงคือปัญหาที่เล็กน้อยแต่สะสมทบไปเป็นเวลานานจนยากที่จะแก้ไข ซึ่งสรุปได้เป็น 5 ปัญหาหลัก ได้แก่ ความต้องการทางเพศ การนอกใจหรือมือที่สาม ระยะทาง เศรษฐกิจ และวิถีชีวิตหรือทัศนคติ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาที่หลายคู่มองข้ามและเพิกเฉยต่อการจัดการปัญหาเหล่านี้และยังพบว่าสาเหตุหลักของปัญหาของชีวิตคู่นั้นเกิดจากการไม่มีสติ ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ และจากการศึกษาหลักคำสอนเรื่องสติของ ติช นัท ฮันห์ ทำให้ได้ข้อสรุปว่าเมื่อเรามีสติรู้เท่าทันหรือตระหนักรู้อยู่ในทุกการกระทำและทุกเวลา การที่เราจะรับมือหรือจัดการกับทุกปัญหาที่เข้ามานั้นไม่ใช่เรื่องที่ยาก และการที่มีสติยอมรับและพยายามแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างตระหนักรู้ถึงสาเหตุของปัญหาที่แท้จริงนั้น ปัญหาเหล่านั้นจะไม่กลับมาเกิดขึ้นซ้ำกับชีวิตคู่ของเราได้อีก
- «
- 1 (current)
- 2
- 3
- »