ภาษาศาสตร์ประยุกต์
Permanent URI for this collection
บทความวิจัยและวิทยานิพนธ์ในสาขาวิชาภาษาศาสตร์ที่สังกัดสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย ในสายภาษาศาสตร์ประยุกต์ ได้แก่ การแปล (Translation) การรับภาษาที่สอง (Second (Foreign) language acquisition) การรับภาษาที่หนึ่ง (First language acquisition) การเรียนการสอนภาษา (Language teaching) ภาษากับปริชาน (Language and cognition) ภาษาศาสตร์คลังข้อมูล (Corpus linguistics) ภาษาศาสตร์คอมพิวเตอร์/การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Computational linguistics/Natural language processing) ภาษาศาสตร์จิตวิทยา (Psycholinguistics) ภาษาศาสตร์เชิงคลินิก/การแก้ไขการพูดการได้ยินภาษา/ความผิดปกติในการสื่อความหมาย (Clinical linguistics/Speech-language pathology/Communication disorders) ภาษาศาสตร์เชิงประวัติ/นิรุกติศาสตร์ (Historical linguistics/Philology) ภาษาศาสตร์ปริชาน (Cognitive linguistics) ภาษาศาสตร์เปรียบเทียบ (Comparative linguistics) ภาษาศาสตร์สังคม (Sociolinguistics) วิทยาภาษาถิ่น (Dialectology)
Browse
Browsing ภาษาศาสตร์ประยุกต์ by Degree Grantor(s) "มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์"
Now showing 1 - 20 of 38
Results Per Page
Sort Options
- Publicationการใช้คำยืมภาษาจีนฮกเกี้ยนของคนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดภูเก็ตตามตัวแปรทางสังคมบางประการนลินลักษณ์ หอมหวล; Nalinlak Homhuan (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2013)การศึกษาครั้งนี้มีจุดมุงหมายเพื่อวิเคราะหการใชคํายืมภาษาจีนฮกเกี้ยนของคนที่อาศัย อยูในจังหวัดภูเก็ตตามตัวแปรทางสังคมไดแก อายุ (แบงเปน 3 ชวงอายุ คือ อายุนอย 10-30 ป อายุกลาง 31-50 ป อายุมาก 51 ปขึ้นไป) เพศ (แบงเปนเพศชายและเพศหญิง) การศึกษา (แบงเปน การศึกษาต่ําไดแก ระดับประถมศึกษาหรือต่ํากวาระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนตน การศึกษาปานกลางไดแก ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย/ปวช. การศึกษาสูงไดแก ระดับอุดมศึกษา) อาชีพ (แบงเปนกลุมอาชีพรับราชการและกลุมอาชีพเอกชน) และเชื้อสาย (แบงเปนเชื้อสายไทย และเชื้อสายจีนฮกเกี้ยน) รวมทั้งหมด 210 คน ขอมูลที่ใชในการวิจัยไดจากแบบสอบถาม งานวิจัยนี้กําหนดคานับสําคัญไวที่ p = 0.05 ผลการศึกษาพบวา เปนไปตามสมมติฐาน คือ คนที่อาศัยอยูในจังหวัดภูเก็ตกลุมที่มีอายุมาก มีการใชคํายืมภาษาจีนฮกเกี้ยนมากกวากลุมที่มีอายุนอย เพศชายมีการใชคํายืมภาษาจีนฮกเกี้ยนใน ปริมาณมากกวาเพศหญิง กลุมที่มีการศึกษาสูงมีการใชคํายืมภาษาจีนฮกเกี้ยนในปริมาณนอยกวา กลุมที่มีการศึกษาต่ํา กลุมอาชีพเอกชนมีการใชคํายืมภาษาจีนฮกเกี้ยนมากกวากลุมอาชีพรับราชการ เชื้อสายจีนฮกเกี้ยนมีการใชคํายืมภาษาจีนฮกเกี้ยนมากกวาเชื้อสายไทย นอกจากนั้นผลการใชสถิติ ไคสแควรยังพิสูจนวาทุกตัวแปรทางสังคมที่ศึกษาพบวา p = 0.00 ซึ่งนอยกวาระดับนัยสําคัญ ที่ตั้งไวที่ 0.05 แสดงวา อายุ เพศ การศึกษา อาชีพ และเชื้อสาย มีผลตอการใชคํายืมภาษาจีนฮกเกี้ยน
- Publicationการใช้ภาษาของประชากรเชื้อสายจีน-สิงคโปร์ในประเทศสิงคโปร์ช.ดลฤดี เพ็ชรไพศิษฏ์; C.Donrudee Phetphaisit (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. สำนักหอสมุด, 2010)
- Publicationการใช้ภาษาในเว็บบอร์ดของนักเรียนระดับมัธยมศึกษากานติภา วรพงศ์; Kanthipha Woraphong (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. สำนักหอสมุด, 2005)
- Publicationการเปรียบเทียบโลกทัศน์ระหว่างผู้พูดภาษาไทยและผู้พูดภาษาญี่ปุ่นจากคำลักษณะนามสิรทยา จินดาพันธ์; Sirathaya Jindaphan (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. สำนักหอสมุด, 2016)
- Publicationการเปลียนแปลงทางวัฒนธรรมไทยที่สะท้อนในเพลงลูกทุ่งด้านวิถีชิวิต ของคนไทยภัทราพิชญ์ อยู่เกษม; Phatthraphit Yukhasem (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. สำนักหอสมุด, 2009)
- Publicationการพูดคำภาษาอังกฤษปนในภาษาไทยของนักเรียนมัธยมศึกษา : กรณีศึกษานักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และปีที่ 6 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สวนกุหลาบวิทยา ปทุมธานีชุลีพร สวยสด; Chuliporn Suaysod (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. สำนักหอสมุด, 2005)วัตถุประสงค์ของการศึกพาครั้งนี้เพื่อ 1) ศึกษาลักษณะการปนภายาอังกฤษของนักเรียนชั้น มีธยมศึกษาปีที่ 3 และนักเรียนชั้นมัธยมศึ พาปีที่ 6 2) เปรียบเทียบจำนวนคำภามาอังกฤมของนักเรียน ต่างระดับชั้นและต่างเพศ 3) เปรียบเทียบชนิดของคำและควา หมายของคำภายายังกฤมในภาษาไทย ของนักเรียนกับชนิดของคำและความหมายของคำภาพาอังกฤษในภาษาแม่ กลุ่มตัวอย่างที่นำมาใช้ในการวิชัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนโรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สวนกุหถาบ วิทยาลัย ปทุมธานี ประจำปีการศึกษา 2547 จำนวน 62 คน โคยวิธีจัดกลุ่มอภิปราบในชั่นเรียน และ ตอบจากการสัมภาษณ์ของผู้วิจัย สถิติที่ใช้ในการวิจัยเป็นค่าร้อยละ เละค่ไคสแกวร์ ผลการวิจัยพบว่า ลักษณะการพูดกำปนภามาอังกฤมขกงนักเรียนมี - ลัาขณะ คือ 1) กำกับศัพท์ 2) การย่อหรือตัดกำ 3) คำทับศัพท์ประกอบคำอธิบากกามาไทย 4) สร้างคำใหม่โดนใช้การคร้าง คำถามแบบไทย นอกจากนี้ยังพบว่านักเรียนหญิงพูดจำนวนคำกามากังกถมม าถกว่านักเรียนชาย ในระดับเดียวกัน และนักเรียนระดับชั้นมัยยมศึกมาปีที่ 6 พูดคำภาบ อังกฤษมากกว่านักเรียนชั้นมัชบม ศึกษาปีที่ 3ภัายที่สุดนี้ ผถการวิชัยแสดงให้เห็นว่า มีความแตกต่ากันในด้านการใช้ชนคบองคำและความหมานของคำ ระหว่างการพูลคำภามาอิงกฤมที่พนในการปนภามาของนักเรีอนกับคำวภายาลักกุษที่เด้าของภาบาใช้
- Publicationการเลือกใช้ภาษาและทัศนคติที่มีต่อภาษาไทยถิ่นโคราชของประชากรชาวไทยโคราชบุษบา แฝงสาเคน; Butsaba Fangsakhen (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. สำนักหอสมุด, 2014)งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเลือกใช้ภาษาและทัศนคติที่มีต่อภาษาไทยถิ่นโคราชของ ประชากรชาวไทยโคราช โดยนำตัวแปรทางด้านอายุเข้ามาวิเคราะห์เปรียบเทียบการเลือกใช้ภาษาและทัศนคติ ของประชากรที่มีต่อภาษาไทยถิ่นโคราชซึ่งมีความแตกต่างทางด้านอายุและความแตกต่างของถิ่นที่อยู่ระหว่าง ความเป็นสังคมเมืองและสังคมชนบท งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงปริมาณและคุณภาพ จึงได้ใช้วิธีการเก็บข้อมูล จากแบบสอบถาม จากกลุ่มตัวอย่างที่ถูกคัดเลือก ในเขตพื้นที่อำเภอเมือง คือ โรงเรียนสุรนารีวิทยา จำนวน 369 คน และเขตพื้นที่อำเภอพิมาย คือ โรงเรียนพิมายวิทยา จำนวน 363 คน การศึกษาในครั้งนี้ผู้วิจัยได้แบ่งช่วงอายุ ของกลุ่มผู้บอกภาษาเป็น 3 กลุ่ม คือ 15-30 ปี 35-50 ปี และ 55-70 ปี ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยของอายุและถิ่นที่อยู่ที่แตกต่างกันมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจในกา เลือกใช้ ภาษา กลุ่มตัวอย่างในพื้นที่อำเภอเมือง พบว่า ส่วนใหญ่ได้เลือกใช้ภาษาไทยเป็นหลักกับทุกแวดวง กลุ่มช่วงอายุ 15-30 ปี ถือเป็นกลุ่มช่วงอายุที่มีปริมาณการใช้ภาษาไทยกับทุกแวดวงมากกว่ากลุ่มวัยผู้ใหญ่และกลุ่มวัยผู้สูงอายุ โดยมีอัตราค่าร้อยละเฉลี่ยในปริมาณที่สูงถึง 80-90 ในขณะที่ กลุ่มตัวอย่างทุกช่วงกลุ่มอายุในพื้นที่อำเภอพิมาย พบว่า แวดวงภายในชุมชน ทุกกลุ่มอายุมีการเลือกใช้ภาษาไทยถิ่นโคราชเป็นหลัก โดยกลุ่มช่วงอายุ 35-50 ปี และ 55-70 ปี ถือเป็นกลุ่มตัวอย่างที่มีการใช้ภาษาไทยถิ่นโคราชมากที่สุด โดยมีอัตราค่าร้อยละ 80-90 ส่วนแวดวงภายนอกชุมชน ทุกกลุ่มอายุ มีการเลือกใช้ภาษาไทยเป็นหลักในการติดต่อสื่อสาร โดยกลุ่มช่วงอายุ 15-30 ปี ถือเป็นกลุ่มตัวอย่างที่มีปริมาณการเลือกใช้ภาษาไทยมากที่สุด คิดเป็นค่าร้อยละ 50 ด้านทัศนคติที่มีต่อภาษามี ความแตกต่างกันโดยขึ้นอยู่กับปัจจัยของอายุและถิ่นที่อยู่อาศัยที่แตกต่างกัน พบว่า กลุ่มตัวอย่างในเขตพื้นที่ อำเภอเมือง มีทัศนคติที่เป็นกลางต่อภาษาไทยถิ่นโคราชที่ไม่แตกต่างกัน และมีระดับค่าเฉลี่ยทัศนคติที่มีต่อ ภาษาไทยที่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.003 แต่มีเกณฑ์ทัศนคติที่ดีต่อภาษาไทย ส่วนกลุ่ม ตัวอย่างในเขตพื้นที่อำเภอพิมาย ทุกกลุ่มช่วงอายุต่างมีทัศนคติที่ดีต่อภาษาไทยถิ่นโคราชและมีทัศนคติเป็นกลาง ต่อภาษาไทย ผลการทดสอบค่านัยทางสถิติ พบว่า กลุ่ ตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยทัศนคติที่มีต่อทั้งภาษาไทยถิ่นโคราช และภาษาไทยที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.000 สรุปได้ว่า ภาษาไทยถิ่นโคราชอยู่ใ ภาวะกำลังมีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากภาษาไทยนั้นเริ่มเข้ามามี บทบาทสำคัญต่อทั้งสองพื้นที่ แม้ว่าภาษาไทยถิ่นโคราชจะอยู่ในสภาวการณ์ใด แต่กลุ่มตัวอย่างทั้งสองพื้นที่ ยังคงมีความตระหนักถึงปัญหาของสภาวการณ์ของภาษาไทยถิ่นโคราชในปัจจุบันและให้ความสำคัญต่อการ อนุรักษ์ภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ของตนเองให้คงอยู่ต่อไป
- Publicationการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของคำศัพท์การประกอบอาหารไทยถิ่นเหนือของคนสามช่วงอายุในจังหวัดเชียงใหม่อิสรีย์ สว่างดี; Itsaree Sawangdee (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. สำนักหอสมุด, 2014)งานวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อวิเคราะห์ตัวกำหนด ก็ และ ตัวแปร อะไร ที่ให้ความหมาย ทุอย่างในประโยคความเดียว ประโยคเงื่อนไข และคุณานุประโยค และการบัญชาระหว่างตัวกำหนดกับตัวแปรผลการวิจัยพบว่า ก็ เป็นหน่วยคำซึ่งเป็นส่วนประกอบติดกับหน่วยคำ อะไร และการซ้ำคำ อะไร อะไรซึ่งสามารถละได้ โดยหน่วยคำ ก็ ต้องปรากฏและมีความหมาย ทุกอย่าง การวิเคราะห์นี้ สามารถอธิบายการให้ความหมาย ทุกอย่าง ของตัวแปรอะไร ได้ครอบคลุมกว่าการวิเคราะห์แบบบัญชาที่ ก็เป็นตัวกำหนดให้ความหมายแก่ตัวแปร อะไร ซึ่งไม่มีความหมายในตัวเอง ในระดับโครงสร้างรูปแทนทางความหมาย และยังพบการละเมิดกฎการบัญชาที่ตัวกำหนดต้องบัญชาตัวแปรที่ใกล้ที่สุด
- Publicationการศึกษากลวิธีการตั้งชื่อภาพยนตร์ภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยบงกช สาริมาน; Bongkoch Sariman (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. สำนักหอสมุด, 2010)วัตถุประสงค์เพื่อ .ศึกษาวิธีการนำคำในภาษาไทยมาใช้ในการตั้งชื่อภาพยนตร์ภาษาอังกฤษ 2.ศึกษากลวิธีการตั้งชื่อภาพยนตร์ภาษาอังกฤษเป็นภามาไทย 3.ศึกษาถึงวัฒนธรรมที่มีผลต่อการนำคำไทยมาใช้ในการตั้งชื่อภาพยนตร์ภาษาอังกฤษ และ 4.ศึกษาทัศนคติของผู้ชมภาพยนตร์ที่มีต่อการตั้งชื่อภาพยนตรัภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยผลการวิจัยพบลักษณะการใช้ภาษาไทยในการตั้งชื่อภาพยนตรัภาษาอังกฤษ 8 ลักษณะโดยมีลักษณะการใช้คำทับศัทพัภาษาอังกฤษและการใช้ดำเปรียบเทียบหรือคำที่มีความหมายแฝงมากที่สุด การใช้คำใหม่ คำแสลง การใช้คำปน การใช้คำคล้องจอง การใช้เครื่องหมายวรรดตอนการใช้คำที่มีความหมาย "มาก" "ระดับสูง" และ การใช้คำเลียนเสียงธรรมชาติ ตามลำดับต่อมาพบกลวิธีในการตั้งชื่อภาพยนตร์ภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย 4 วิธี วิธีที่พบมากที่สุดคือ การตั้งชื่อตามเนื้อหาภาพยนตร์ การตั้งชื่อตามตัวแสดงหลักของเรื่อง การตั้งชื่อตามสิ่งของหรือสถานที่ และการตั้งชื่อตามอาชีพของตัวแสดง ตามลำดับทางด้านวัฒนธรรมที่มีผลต่อการตั้งชื่อพบ 3 ลักษณะ ที่พบมากที่สุดคือ การใช้คำนามและดำสรรพนามที่หลากหลายตามระดับบุดคล รองลงมาคือ การใช้ดำเรียกขานตามความสัมพันธ์แบบเครือญาติ และการใช้กำลงท้ายแทนความสุภาพหรือนิ่มนวล ตามลำคับ ส่วนผลการศึกษาทัศนคติที่มีผลต่อการตั้งชื่อภาพยนตร์ภายาอังกฤษเป็นภามไทย พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีทัศนคติเฉลี่ยอยู่ในระคับ ชอบ
- Publicationการศึกษาการเขียนสะกดคำภาษาอังกฤษในการเขียนบรรยายภาพของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3ศศิธร แซ่โล้ว; Sasithorn Saelow (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. สำนักหอสมุด, 2015)การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์การเขียนสะกดคําภาษาอังกฤษขอ นักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยศึกษาการเขียนสะกดคําภาษาอังกฤษของเด็ก 2 กลุ่ม คือ เด็กที่มี ปัญหาด้านการอ่านและการเขียนภาษาไทย และเด็กที่ไม่มีปัญหาด้านการอ่านและการเขียน ภาษาไทย ผู้วิจัยได้คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างทั้ง 2 กลุ่ม จากโรงเรียนชลประทานสงเคราะห์ จังหวัด นนทบุรี โดยจําแนกเป็นเด็กที่มีปัญหาด้านการอ่านและการเขียนภาษาไทย 10 คน และเด็กที่ไม่มี ปัญหาด้านการอ่านและการเขียนภาษาไทย 5 คน ผู้วิจัยเก็บข้อมูลด้วยการให้เด็กทั้ง 2 กลุ่มเขียน บรรยายภาพ จํานวน 5 ภาพ ผลการวิจัยพบว่า การเขียนสะกดคําภาษาอังกฤษของเด็กที่มีปัญหาด้านการอ่านและการ เขียนภาษาไทย และเด็กที่ไม่มีปัญหาด้านการอ่านและการเขียนภาษาไทย จําแนกออกได้เป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ การเขียนสะกดคําที่รูปแปรมีความสัมพันธ์กับรูปศัพท์ภาษาอังกฤษ และการเขียน สะกดคําที่รูปแปรไม่มีความสัมพันธ์กับรูปศัพท์ภาษาอังกฤษ สําหรับการเขียนสะกดคําที่รูปแปรมี ความสัมพันธ์กับรูปศัพท์ภาษาอังกฤษ ผู้วิจัยพบว่าเด็กที่มีปัญหาด้านการอ่านและการเขียน ภาษาไทยมีลักษณะการสะกดผิด 9 ประเภท ได้แก่ การเพิ่มอักษร การลดอักษร การแปรรูป การ แปรเสียง การเปลี่ยนอักษรตามอักษรข้างเคียง การเปลี่ยนเป็นอักษรอื่นที่ไม่ได้เกิดจากอิทธิพลใด ๆ การสลับอักษร การลดพยางค์ และการเทียบเสียง ส่วนเด็กที่ไม่มีปัญหาด้านการอ่านและการ เขียนภาษาไทย มีลักษณะการสะกดผิด 8 ประเภท ได้แก่ การเพิ่มอักษร การลดอักษร การแปรรูป การแปรเสียง การเปลี่ยนเป็นอักษรอื่นที่ไม่ได้เกิดจากอิทธิพลใด ๆ การสลับอักษร การลดพยางค์ และการเทียบแบบ ผลการวิเคราะห์คําที่ไม่มีความสัมพันธ์กับรูปศัพท์ภาษาอังกฤษ พบว่า มีทั้งคํา ที่สะกดถูกต้องและไม่ถูกต้องตามโครงสร้างพยางค์ภาษาอังกฤษ นอกจากนี้ ผลการวิเคราะห์ คะแนนความถูกต้องในการเขียนสะกดคํา ยังสะท้อนให้เห็นว่า เด็กแต่ละคนมีระดับความ บกพร่องในการเขียนสะกดคําไม่เท่ากัน
- Publicationการศึกษาเปรียบเทียบวัจนกรรมการขอโทษในภาษาฝรั่งเศสระหว่างชั้นปี ของนิสิตสาขาวิชาเอก วิชาเอกภาษาฝรั่งเศสศลิตา วรรณีเวชศิลป์; Salita Wanneevechasilp (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2009)การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) 1. ศึกษากลวิธีแสดงวัจนกรรมการขอโทษในภาษาฝรั่งเศสของนิสิตชั้นปีที่ 1 และ 4 2) ศึกษาเปรียบเทียบความถี่ของแต่ละกลวิธีแสดง จนกรรมการขอโทษในภาษาฝรั่งเศสระหว่างนิสิตชั้นปีที่ 1 และ 4 3) ศึกษากลวิธีแสดง จนกรรมการขอโทษที่ 4 ศึกษากลวิธีแสดงวัจนกรรมการขอโทษที่แปรไปตามปัจจัยทางสังคมด้านสถานภาพในภาษาฝรั่งเศสของนิสิตชั้นปีที่ 1 และ 4 4) ศึกษาเปรียบเทียบคำที่ใช้ขอโทษที่ปรากฏในประโยควัจนกรรมการขอโทษในภาษาฝรั่งเศส ระหว่างนิสิตชั้นปีที่ 1 และ 4 กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษา คือ นิสิตชั้นปีที่ 1 และ 4 คณะมนุษยศาสตร์ สาขาวิชาเอกภาษาฝรั่งเศส มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบตั้งใจ (Purposive Sampling) จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้าง ขึ้นตามแบบDCT ซึ่งเป็นการออกแบบตามปัจจัยทางสถานภาพของกลุ่มบุคคลในสังคม และความยากง่ายของเรื่องที่จะขอโทษ ผลการวิจัยพบว่า กลวิธีแสดงวัจนกรรมการขอโทษในภาษาฝรั่งเศสของนิสิตทั้ง 2 ชั้นปี แบ่งได้เป็น 5 กลวิธี คือ กลวิธีการกล่าวคําแสดงเจตนาในการขอโทษ กลวิธีการยอมรับผิด กลวิธีการกล่าวแก้ตัว กลวิธีการเสนอชดใช้ กลวิธีการพยายามทำให้ผู้ฟังรู้สึกพอใจ และพบว่านิสิตชั้นปีที่ 4 ใช้กลวิธีแสดง จนกรรมการขอโทษในภาษาฝรั่งเศสได้มากกว่านิสิตชั้นปีที่ 1 และพบว่าสถานภาพทางสังคมไม่มีผลต่อการแสดงวัจนกรรมของนิสิตทั้ง 2 ชั้นปี นอกจากนี้ยังพบว่า นิสิตชั้นปีที่ 4 ใช้คำที่ใช้ขอโทษที่ปรากฏในประโยควัจนกรรมการขอโทษในภาษาฝรั่งเศสได้มากกว่านิสิตชั้นปีที่ 1
- Publicationการศึกษาเปรียบเทียบเสียงวรรณยุกต์ภาษาไทยมาตรฐานที่พูดโดยคนไทยและคนอินเดียที่พูดภาษาฮินดีเป็นภาษาแม่ กรณีศึกษาปัจจัยทางเพศกันตินันท์ เพียสุพรรณ; Kantinan Phiasuphan (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2014)วิทยานิพนธ์เรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบการออกเสียงวรรณยุกต์ภาษาไทยมาตรฐานของคนไทยและคนอินเดียที่พูดภาษาฮินดีเป็นภาษาแม่ โดยศึกษาปัจจัยทางเพศที่มีผลในการใช้ภาษา เก็บข้อมูลจากผู้บอกภาษาคนไทยเพศหญิง 1 คนและเพศชาย 1 คนเพื่อใช้เป็นตัวตั้งและเก็บข้อมูล กับผู้บอกภาษาคนอินเดียเพศหญิง 10 คนและเพศชาย 10 คนเพื่อนำมาเปรียบเทียบโดยใช้รายการคำที่ดัดแปลงมาจากแนวคิดกล่องสำหรับทดสอบเสียงวรรณยุกต์ภาษาถิ่นตระกูลไทยของวิลเลียม เจ เก็ดนีย์ (William J.Gedney, 1972) มาเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล ซึ่งออกแบบเป็นคู่ของคำทดสอบสระเสียงสั้น และสระเสียงยาวที่มีโครงสร้างพยางค์ที่ใกล้เคียงกันจำนวน 32 คำ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การฟังและใช้โปรแกรม Cool Edit Pro เวอร์ชั่น 2.0 โปรแกรม praat เวอร์ชั่น 5.1.11 ช่วยในการวิเคราะห์และแสดงค่าความถี่มูลฐานรวมถึงแสดงสัทลักษณะของเสียงวรรณยุกต์ทั้ง 5 หน่วยเสียง ได้แก่ หน่วยเสียงวรรณยุกต์ สามัญ เอก โท ตรี และจัตวา และใช้สถิติทดสอบที (t-test) ผลการวิจัยพบว่าการออกเสียงวรรณยุกต์ภาษาไทยมาตรฐานของคนไทยและคนอินเดียมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-values <0.05) ในทุกเสียงวรรณยุกต์ โดยคนอินเดียทั้งเพศหญิง และเพศชายมีค่าความถี่มูลฐานที่สูงกว่าคนไทยทั้งเพศหญิงและเพศชาย เมื่อพิจารณาสัทลักษณะของเสียงวรรณยุกต์ที่ปรากฏพบว่าคนอินเดียเพศหญิงมีสัทลักษณะของเสียงวรรณยุกต์คล้ายคลึงกับคนไทยมากกว่าคนอินเดียเพศชายโดยเฉพาะในการออกเสียงคำสระเสียงสั้นจะออกเสียงได้คล้ายคลึงคนไทยมากกว่าในคำ สระเสียงยาวและการออกเสียงในคำพยางค์ตายจะออกเสียงได้ใกล้เคียงกับคนไทยมากกว่าในคำพยางค์เป็นและยังพบว่าคนอินเดียทั้งเพศหญิงและเพศชาย สามารถออกเสียงวรรณยุกต์เปลี่ยนระดับได้ดีกว่าวรรณยุกต์ระดับโดยเฉพาะสามารถออกเสียงวรรณยุกต์จัตวาได้คล้ายคลึงกับคนไทยมากที่สุด
- Publicationการศึกษาวัจนกรรมการตำหนิในกลุ่มตัวอย่างนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ณิชาภา เครือเอม; Nichapa Khruea-em (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2009)การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1. ศึกษากลวิธีการแสดงวัจนกรรมการตำหนิและหาความถี่ของแต่ละกลวิธี 2. ศึกษากลวิธีการแสดง จนกรรมการตำหนิในกลุ่มตัวอย่างตามสถานภาพของผู้พูดและผู้ฟัง 3. ศึกษาเปรียบเทียบกลวิธีการแสดงวัจนกรรมการตำหนิในกลุ่มตัวอย่างเพศชายและเพศหญิง 4. ศึกษาเปรียบเทียบกลวิธีการแสดงวัจนกรรมการตำหนิในกลุ่มตัวอย่างเพศชายและเพศหญิงตามสถานภาพของผู้พูดและผู้ฟัง กลุ่มตัวอย่างคือ นิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่มีอายุ 20-25 ปี จำนวน 40 คน แบ่งเป็นเพศชาย 20 คน เพศหญิง 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถามที่สร้างขึ้นจากสถานการณ์สมมุติโดยมีคำบรรยายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างผู้ตำหนิและผู้ถูกตำหนิเพื่อให้กลุ่มตัวอย่างเขียนตอบ โดยผู้วิจัยดัดแปลงมาจากแบบสอบถามที่เรียกว่า Discourse Completion Test (DCT) จากผลการวิจัยพบว่า 1) พบวัจนกรรมการตำหนิทั้งหมด 4 กลวิธีใหญ่ 9 กลวิธีย่อย ซึ่งกลวิธีการกล่าวหาผู้กระทำผิดเป็นกลวิธีที่พบมากที่สุด คิดเป็น 47.89 % 2). พบว่าเมื่อผู้พูดมีสถานภาพสูงกว่าผู้ฟังจะพบว่าผู้พูดเลือกใช้กลวิธีการกล่าวตำหนิผู้กระทำผิดมากที่สุด คิดเป็น 39.58% 3), พบว่าในการเปรียบเทียบกลวิธีการแสดงวัจนกรรมการตำหนิในเพศชายและเพศหญิงพบว่า เพศหญิงเลือกใช้กลวิธีการแสดงวัจนกรรมการตำหนิที่มีระดับความรุนแรงน้อยกว่าเพศชาย โดยเพศหญิงเลือกใช้กลวิธีที่ 2 กลวิธีการกล่าวแสดงออกถึงความรำคาญใจหรือไม่เห็นด้วย คิดเป็น 25% ในขณะที่เพศชายเลือกใช้กลวิธีนี้ 18.54%และกลวิธีที่ 4 กลวิธีการกล่าวตำหนิผู้กระทำผิดเพศชายจะเลือกใช้กลวิธีนี้สูงกว่าเพศหญิง 4). พบว่าในกรณีที่ผู้พูดและผู้ฟังมีสถานภาพเท่ากันและผู้พูดมีสถานภาพต่ำกว่าผู้ฟังกลวิธีการกล่าวหาผู้กระทำผิดเป็นกลวิธีที่กลุ่มตัวอย่างเลือกใช้มากที่สุดทั้งเพศชายและเพศหญิง ส่วน ในสถานการณ์ที่ผู้พูดมีสถานภาพสูงกว่าผู้ฟังเพศชายเลือกใช้กลวิธีการกล่าวตำหนิผู้กระทำผิดมากกว่าเพศหญิง
- Publicationการศึกษาวัจนกรรมขอร้องของเจ้าหน้าที่พัฒนาการตลาด ศึกษาเฉพาะกรณีเจ้าหน้าที่พัฒนาการตลาด บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)ธิดา เกิดเต็มภูมิ; Tida Kerdtempoom (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2008)การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) กลวิธีที่การขอร้อง 2) โครงสร้างการขอร้อง 3) ความถี่ของกลวิธีการขอร้อง 4) ความถี่ของโครงสร้างการขอร้อง กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาคือเจ้าหน้าที่พัฒนาการตลาด บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้มาจากการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบตั้งใจ (Purposive Sampling) เพศหญิง จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือแบบสอบถามที่ผู้วิจัยได้สร้างขึ้นตามแบบ DCT ซึ่งเป็นการออกแบบตามปัจจัยทางสถานภาพของกลุ่มบุคคลในสังคม ผลการวิจัยพบว่า 1) กลุ่มตัวอย่างมีการใช้กลวิธีการขอร้องทั้งหมด 8 กลวิธี 2)กลุ่มตัวอย่างมีการใช้โครงสร้างการขอร้องทั้งสิ้น 4 โครงสร้าง 3) กลุ่มตัวอย่างมีการใช้กลวิธีการขอร้องแบบมุ่งเน้นที่ผู้พูด เอาผู้พูดเป็นหลัก หรือศูนย์กลาง โดยผู้พูดแสดงความต้องการ (Desire/needs) พบค่าความถี่ร้อยละ 22.5 ซึ่งเป็นกลวิธีที่กลุ่มตัวอย่างใช้มากที่สุด 4)กลุ่มตัวอย่างมีการใช้โครงสร้างการขอร้องแบบโครงสร้างหลักอย่างเดียวมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 35.8
- Publicationการศึกษาวัจนกรรมและการถ่ายโอนภาษาของนักเรียนไทยระดับมัธยมศึกษาตอนต้นสุดาพร ฉัตรปิยานนท์; Sudaporn Chatpiyanont (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2014)งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ประการแรกเพื่อศึกษาการเลือกใช้รูปแบบวัจนกรรมประเภทต่าง ๆ ประการที่สองเพื่อเปรียบเทียบรูปแบบและความถี่ในการเลือกใช้วัจนกรรมประเภทต่าง ๆ ระหว่าง นักเรียนเพศชายและเพศหญิง และประการสุดท้ายเพื่อศึกษาการถ่ายโอนภาษา ข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์เป็นข้อมูลการใช้วัจนกรรมภาษาอังกฤษที่ได้มาจากแบบสอบถามสถานการณ์สมมติ (DCT) จำนวน 30 สถานการณ์ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เพศชาย 100 คน และเพศหญิง 100 คน จากวิธีการสุ่มอย่างง่าย (simple random sampling) การวิเคราะห์รูปแบบวัจนกรรมใช้มิติการจัดรูปแบบวัจนกรรมตามแนวคิดของ Parker and Riley (2004) และศึกษาการถ่ายโอนภาษาทางวัจนปฏิบัติศาสตร์ในการใช้วัจนกรรมภาษาอังกฤษของนักเรียน ผลการศึกษาพบว่านักเรียนใช้รูปแบบวัจนกรรมเพียง 8 รูปแบบจากรูปแบบวัจนกรรมทั้งหมด 16 รูปแบบ โดยนักเรียนชายและนักเรียนหญิงใช้รูปแบบวัจนกรรมร่วมกัน 7 รูปแบบ และมีรูปแบบวัจนกรรม 1 รูปแบบที่มีนักเรียนชายใช้แต่ไม่มีนักเรียนหญิงใช้ ส่วนในด้านการถ่ายโอนภาษาทางวัจนปฏิบัติศาสตร์ ผลการศึกษาพบการถ่ายโอนคำยืมภาษาอังกฤษ การถ่ายโอนคำปรากฏร่วม และการถ่ายโอนทางวัฒนธรรมการใช้ภาษา ซึ่งส่งผลให้รูปแบบวัจนกรรมที่นักเรียนใช้มีลักษณะแตกต่างจากรูปแบบที่เจ้าของภาษานิยมใช้ เนื่องจากรูปแบบวัจนกรรมที่นักเรียนชายและนักเรียนหญิงเลือกใช้ในทุกประเภทวัจนกรรม ยกเว้นวัจนกรรมขอโทษเป็นไปในลำดับเดียวกัน ดังนั้น เพศจึงไม่มีอิทธิพลต่อการเลือกใช้รูปแบบวัจนกรรมในภาพรวมแต่มีอิทธิพลต่อการเลือกใช้รูปแบบวัจนกรรมในรายละเอียด ส่วนในประเด็นการถ่ายโอนภาษา ผลการถ่ายโอนภาษาสนับสนุนความคิดที่ว่าภาษาแม่มีอิทธิพลต่อการใช้ภาษาที่สอง
- Publicationการศึกษาวากยสัมพันธ์ข้ามสมัยในคำว่า ไป และ มาวรลักษณ์ วีระยุทธ; Worralak Weerayuth (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2013)การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อจำแนกชนิดคำและความหมายและศึกษากระบวนการกลายเป็นคำไวยากรณ์ของคำว่า ไป และ มา ตามทฤษฎีไวยากรณ์พึ่งพา-ศัพท์การก ข้อมูลที่ใช้ในงานวิจัยนี้รวบรวมจากเอกสารในสมัยสุโขทัยถึงปัจจุบัน ผลการศึกษา พบว่า คำว่า ไป และ มา มีคำพ้องรูปและเสียง ทำหน้าที่คำกริยาและคำวิเศษณ์ พบคำกริยาแสดงการเคลื่อนที่ ไป และ มา 4 คู่ ได้แก่ 1) คำว่า ไป, และ มา,อกรรมกริยาแสดงการเคลื่อนที่ ปรากฏตามลำพัง โดยไม่มีคำนามตามมา 2) คำว่า ไป, และ มา,อกรรมกริยาแสดงการเคลื่อนที่ ปรากฏหน้าบุพบทวลีแสดงสถานที่ 3) คำว่า ไป และ มา เป็นอกรรมกริยาแสดงการเคลื่อนที่ ปรากฏหน้าคำนามการกสถานที่ และ 4) คำว่า ไป, และ มา, เป็นอกรรมกริยาแสดงการเคลื่อนที่ ปรากฏหน้าคำกริยา งานวิจัยนี้พบคำวิเศษณ์ ไป 4 คำ และคำวิเศษณ์ มา 3 คำ ได้แก่ 1) คำวิเศษณ์ ไป, และ มา, แสดงทิศทาง ปรากฏหลังคำกริยาการเคลื่อนไหวและกริยาการติดต่อสื่อสาร 2) คำวิเศษณ์ ไป และ มา แสดงการณ์ลักษณะสมบูรณ์ ปรากฏหลังกริยาที่แสดงการกระทำที่สำเร็จหรือเสร็จสิ้นสมบูรณ์และกริยาแสดงสภาพ 3) คำวิเศษณ์ ไป, และ มา, แสดงความต่อเนื่องของการกระทำ ปรากฏหลังกริยาที่แสดงการกระทำที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ 4) คำวิเศษณ์ ไป แสดงการประเมินค่า ปรากฏหลังคำกริยาแสดงสภาพ โดยพบว่า คำกริยา ไป และ มา และคำวิเศษณ์ ไป และ มา มีลักษณะทางวากยสัมพันธ์และแสดงความหมายแตกต่างกัน โดยคำกริยา ไป และ มา มีลักษณะทางวากยสัมพันธ์ของคำกริยาและมีความหมายแสดงการเคลื่อนที่ ในขณะที่คำวิเศษณ์ ไป และ มาไม่มีลักษณะทางวากยสัมพันธ์ของคำกริยา การศึกษาวากยสัมพันธ์ข้ามสมัยในคำว่า ไป และ มา พบว่า คำกริยาและคำวิเศษณ์ ไป และ มา ปรากฏครั้งแรกในสมัยสุโขทัย ยกเว้น คำวิเศษณ์ มา, ที่ปรากฏครั้งแรกในสมัยอยุธยา เมื่อเปรียบเทียบการปรากฏของคำกริยาและคำวิเศษณ์ ไป และ มา พบว่า คำกริยา ไป และ มา ปรากฏมากที่สุดในทุกสมัยและมีแนวโน้มจะปรากฏเพิ่มขึ้น คำกริยา ไป, และ มา, มีแนวโน้มปรากฏลดลง ในขณะที่คำกริยา ไป และ มา, มีแนวโน้มปรากฏเพิ่มขึ้น คำวิเศษณ์ มา ปรากฏลดลง ในขณะที่คำวิเศษณ์ มา, และ มา, ปรากฏเพิ่มขึ้นอย่างมากในปัจจุบัน การใช้คำวิเศษณ์ ไป และ มาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากอดีตถึงปัจจุบัน แสดงแนวโน้มการปรากฏซึ่งเป็นผลจากการกลายเป็นคำไวยากรณ์ที่ต่อเนื่อง และยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์
- Publicationการศึกษาวิเคราะห์การสนทนาระหว่างแพทย์และผู้ป่วยในการตรวจรักษาโรคเพ็ญนภา คล้ายสิงห์โต; Pennapa Klaisingto (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2006)การศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการใช้ภาษาระหว่างแพทย์และผู้ป่วยใน 2 ประเด็นคือ 1.เปรียบเทียบประเภท ของการเปลี่ยนประเด็น และ 2. ศึกษารูปแบบของคำเรียกขานที่แพทย์ใช้เรียกผู้ป่วยที่จำแนกตามอายุและเพศ ของแพทย์และผู้ป่วย ตัวอย่างในการศึกษา คือ บทสนทนาระหว่างแพทย์และผู้ป่วยในการตรวจรักษาโรคจำนวน 120 บทสนทนา ประกอบด้วยบทสนทนาของนายแพทย์จำนวน 4 คนที่สนทนากับผู้ป่วยจำนวน 60 คนและบทสนทนาของแพทย์หญิงจำนวน 4 คนกับผู้ป่วยจำนวน 62 คน จากนั้นผู้วิจัยได้นำข้อมูลส่วนตัวของแพทย์และผู้ป่วยมาจําแนกปัจจัยทางสังคมคือ เพศและอายุ เพื่อนำมาประกอบในการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิจัยสามารถสรุปได้ดังนี้คือ ผลการศีกษาเกี่ยวกับประเภทการเปลี่ยนประเด็น พบว่ามีความสอดคล้องกับสมมติฐานบางส่วนคือการเปลี่ยนประเด็นที่จำแนกตามความสัมพันธ์กับประเด็นเก่าของแพทย์มีความแตกต่างกับการเปลี่ยนประเด็นโดยผู้ป่วยคือ ผู้ป่วยมีการเปลี่ยนประเด็นที่เป็นการเปลี่ยนจุดเน้นมากที่สุดซึ่งแตกต่างกับการเปลี่ยนประเด็น โดยแพทย์ที่มีการเปลี่ยนเรื่องใหม่มากที่สุด และการเปลี่ยนประเด็นที่จำแนกตามความหมายใหม่ของแพทย์มีความแตกต่างกับการเปลี่ยนประเด็นโดยผู้ป่วย คือ ผู้ป่วยมีการเปลี่ยนประเด็นที่มีความหมายเกี่ยวกับตนเองมากที่สุด ส่วนแพทย์นั้นมีการเปลี่ยนประเด็นที่มีความหมายเกี่ยวกับคู่สนทนามากที่สุด ส่วนที่ไม่สอดคล้องกับสมมติฐาน คือในประเภทการเปลี่ยนประเด็นที่จำแนกตามลักษณะผลัดทั้งแพทย์และผู้ป่วยมีการเปลี่ยนประเด็นในผลัดใหม่ เช่นเดียวกัน และผลการศึกษาเกี่ยวกับคำเรียกขานของแพทย์ พบรูปแบบคำเรียกขานทั้งหมด 8 รูปแบบซึ่งปรากฏทั้งรูปแบบที่มีส่วนประกอบเดียวและส่วนประกอบหลายส่วน คำเรียกขานที่ใช้ประกอบด้วย 2 ส่วนคือส่วนที่ต้องปรากฏเสมอ อาจเป็นส่วนประกอบใดส่วนประกอบหนึ่ง หรือสามารถรวบกับส่วนประกอบอื่นและเรียงลำดับก่อนหลังดังต่อไปนี้ 1.สรรพนาม คำนำหน้า 2 คำเรียกญาติ 3 ชื่อ และอีกส่วนประกอบหนึ่งคือส่วนที่มีหรือไม่มีก็ได้ ได้แก่ คำลงท้าย จากผลการศึกษาพบว่ามีความสอดคล้องกับสมมติฐานบางส่วน คือ แพทย์หญิงมีการใช้คำเรียกขานแปรไปตามอายุของผู้ป่วย และเมื่อจำแนกตามเพศและอายุผู้ป่วยพบว่าแพทย์หญิงมีการใช้คำเรียกขานแปรไปตามกลุ่มผู้ป่วยที่มีอายุน้อยกว่าหรือเท่ากับแพทย์ ส่วนการใช้คำเรียกขานของนายแพทย์ พบว่าไม่มีการแปรของค้าเรียกขานเลย
- Publicationการสลับภาษาของชาวไทคำที่อาศัยอยู่ตำบลสระพัฒนา อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐมยุพิน ทองเชื้อ; Yoopin Tongchue (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2014)การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการสลับภาษาของชาวไทดำที่อาศัยอยู่ตำบลสระพัฒนา อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐมตามปัจจัยด้านอายุและวัจนลีลา และเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อที่มีต่อการสลับภาษาและการสลับภาษาในชีวิตประจำวันโดยศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง 9 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ การสังเกตการณ์พร้อมทั้งบันทึกเสียงและการสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการพรรณนาเชิงวิเคราะห์ ผลการศึกษาพบว่ามีการสลับภาษา 4 ประเภทคือ การสลับภาษาระดับคำหรือวลี การสลับภาษาภายในประโยค การสลับภาษาระหว่างประโยค และการสลับภาษาระดับข้อความที่ยาวกว่าประโยค โดยการสลับภาษามีวัตถุประสงค์ 3 ประการคือ เพื่อให้เกิดการรับรู้คำศัพท์ร่วมกันแสดงความเป็นพวกพ้องทางสังคม และแสดงทัศนคติหรือความรู้สึกต่างๆ สำหรับปัจจัยด้านอายุและวัจนลีลา พบว่าต่างก็มีผลต่อความถี่ของการสลับภาษาที่แตกต่างกัน นอกจากนั้นยังพบว่าความเชื่อและการสลับภาษาในชีวิตประจำวันไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกันเสมอไป งานวิจัยชิ้นนี้สามารถใช้เป็นแนวทางในการศึกษาการสลับภาษาในภาษาอื่นๆ ตามแนวภาษาศาสตร์เชิงสังคม
- Publicationการสลับภาษาในห้องเรียนภาษาอังกฤษเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ : พหุกรณีศึกษาหลักสูตรพยาบาลและการท่องเที่ยวกรวรรณ พรมนาถ; Korawan Promnath (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2016)การสลับภาษา (code-switching) เกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวันที่เรียกว่า naturalistic code-switching นั้น แม้จะยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในแวดวงนักวิชาการว่า การสลับภาษาไปมานั้นมีประโยชน์หรือเป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ภาษาหากเกิดขึ้นในห้องเรียนการศึกษาแบบพหุ กรณีศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ลักษณะการสลับภาษาที่เกิดขึ้นในการสนทนาระหว่างอาจารย์กับนักศึกษาในห้องเรียนภาษาอังกฤษเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะสำหรับวิชาชีพพยาบาลและการท่องเที่ยว (ESP) เพื่อหาประเภทและหน้าที่ของการสลับภาษาที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง รวมทั้งศึกษาความคิดเห็นของอาจารย์ผู้สอนที่มีต่อการสลับภาษา และความคิดเห็นของนักศึกษาที่มีต่อการสลับภาษาของอาจารย์ในห้องเรียนทั้ง 2 ห้องในภาคการศึกษาที่ 2/2557 ผลการศึกษาพบว่า การสลับภาษาเป็นวิธีหนึ่งในการสอนที่อาจารย์ใช้ในห้องเรียน ESP สามารถแบ่งประเภทของการสลับภาษาตามลักษณะการเกิดในประโยคออกเป็น การสลับแบบระหว่างประโยค (inter-Sentential) มากที่สุด รองลงมาคือการสลับแบบแทรกในประโยค (intra-sentential) การสลับแบบเดิมอนุภาคต่างๆ (extra-sentential) และการสลับภาษาเป้าหมายและภาษาแม่ในลักษณะที่เป็นช่วงยาว (code selection) โดยการสลับภาษาแต่ละครั้งมีหน้าที่เพื่อการเรียนรู้ (เพื่อถามคำถาม เพื่ออธิบายความ เพื่อแปลความหมายและเพื่อเน้นย้ำข้อความ) และเพื่อเหตุผลทางสังคม (เพื่อสั่งการ เพื่อย้ำเตือน เสริมมุกตลก และให้กำลังใจ) และพบว่าปฏิสัมพันธ์ที่แสดงออกผ่านการสลับภาษาระหว่างอาจารย์กับนักศึกษาและบริบทในห้องเรียน มีเป้าหมายเพื่อการเรียนการสอนและเพื่อปฏิสัมพันธ์กันตามบทบาททางสังคม อาจารย์มีความคิดเห็นต่อการสลับภาษาในทางที่ดีและเห็นด้วยว่าการสลับมาใช้ภาษาไทยมีประโยชน์ต่อการเรียนของนักศึกษาและเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพวิธีหนึ่งในการสอนเพื่อให้เกิดความเข้าใจเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังอำนวยความสะดวกและเพิ่มความมั่นใจให้ทั้งอาจารย์และนักศึกษาด้วย ความคิดเห็นของนักศึกษาที่มีต่อการสลับภาษาของอาจารย์สอดคล้องกับความคิดเห็นของอาจารย์ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยากให้มีบรรยากาศในการเรียนแบบใช้ภาษาอังกฤษมากที่สุดก็ตามพวกเขาเห็นว่าการสลับมาใช้ภาษาไทยในการสอนนั้นมีประโยชน์ต่อการเรียนด้วย ผลการวิจัยครั้งนี้ สามารถเป็นแนวทางหนึ่งที่เป็นประโยชน์สำหรับอาจารย์ผู้สอนภาษาต่างประเทศและผู้บริหารสถานศึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมกับการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่เรียนภาษาอังกฤษในฐานะที่เป็นภาษาต่างประเทศ
- Publicationการสลับภาษาระหว่างภาษาไทยและภาษาไทยถิ่นอีสานในเฟซบุ๊กพิชชารีย์ เกาะน้ำใส; Phitcharie Koanamsai (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2014)การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการสลับภาษาของผู้ใช้เฟซบุ๊กถิ่นอีสานในสัดส่วนการใช้ภาษาไทยกลาง และภาษาไทยถิ่นอีสาน วิเคราะห์ชนิดและหน้าที่ของการสลับภาษา และอภิปรายการส่งผลของอายุและเพศในการสลับภาษาของผู้ใช้เฟซบุ๊กถิ่นอีสาน โดยเก็บข้อมูลจากการตั้งสถานะและการแสดงความคิดเห็นในแต่ละสถานะของกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 90 คน แบ่งเป็น 3 ช่วงอายุ ได้แก่ ช่วงอายุที่ 1 15-30 ปี ช่วงอายุที่ 31-45 ปี ช่วงอายุที่ 3 46 ปี ขึ้นไป ซึ่งวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละและค่าไคสแควร์ ผลการศึกษาพบความถี่ในการใช้ภาษาในการตั้งสถานะและการแสดงความคิดเห็นของผู้ใช้เฟซบุ๊กถิ่นอีสานคือ ภาษาไทยกลาง ภาษาไทยถิ่นอีสาน ภาษาไทยกลางและภาษาไทยถิ่นอีสาน และภาษาไทยกลางหรือภาษาไทยถิ่นอีสานที่มีภาษาอื่นแทรก ซึ่งภาษาไทยกลางเป็นภาษาที่ใช้มากที่สุด รองลงมาคือ ภาษาไทยกลางและภาษาไทยถิ่นอีสาน ภาษาไทยกลางหรือภาษาไทยถิ่นอีสานที่มีภาษาอื่นแทรก และภาษาไทยถิ่นอีสาน ตามลำดับ ส่วนชนิดของการสลับภาษาที่พบ ได้แก่ การสลับภาษาภายในประโยค การสลับภาษาระหว่างประโยค และการสลับภาษาโดยการแทรกคำหรือวลีภายในประโยค ซึ่งชนิดของการสลับภาษาที่พบมากที่สุด คือ การสลับภาษาโดยการแทรกคำหรือวลีภายในประโยค รองลงมาคือ การสลับภาษาภายในประโยค และพบการสลับภาษาระหว่างประโยคน้อยที่สุด เมื่อวิเคราะห์หน้าที่ของการสลับภาษา พบจำนวน 14 หน้าที่ ได้แก่ การแจ้ง การถาม การเน้นย้ำ การอุทานการเชิญชวน การอธิบาย การปฏิเสธ การขอบคุณ การสนับสนุน การออกคำสั่ง การร้องขอ การประชด ประชัน การแปล และการอวยพร ซึ่งการแจ้ง เป็นหน้าที่ของการสลับภาษาที่พบมากที่สุด ผลการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างอายุและเพศกับการการสลับภาษานั้นพบว่า ช่วงอายุมีความสัมพันธ์กับความถี่ในการสลับภาษา และชนิดของการสลับภาษาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่ช่วงอายุไม่มีความสัมพันธ์กับหน้าที่ในการสลับภาษาที่ระดับ 0.05 และความสัมพันธ์ของการสลับภาษากับเพศของกลุ่มตัวอย่างนั้นพบว่า เพศไม่มีผลต่อความถี่ในการสลับภาษา ชนิดของการสลับภาษา รวมไปถึงหน้าที่ของการสลับภาษาที่ระดับ 0.05 ผลการศึกษาครั้งนี้เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของการสลับภาษาไทยกลางและภาษาไทยถิ่นอีสานในการสื่อสารผ่านคอมพิวเตอร์ อีกทั้งยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการศึกษาการสลับภาษาอื่นๆ