ภาษาศาสตร์ประยุกต์
Permanent URI for this collection
บทความวิจัยและวิทยานิพนธ์ในสาขาวิชาภาษาศาสตร์ที่สังกัดสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย ในสายภาษาศาสตร์ประยุกต์ ได้แก่ การแปล (Translation) การรับภาษาที่สอง (Second (Foreign) language acquisition) การรับภาษาที่หนึ่ง (First language acquisition) การเรียนการสอนภาษา (Language teaching) ภาษากับปริชาน (Language and cognition) ภาษาศาสตร์คลังข้อมูล (Corpus linguistics) ภาษาศาสตร์คอมพิวเตอร์/การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Computational linguistics/Natural language processing) ภาษาศาสตร์จิตวิทยา (Psycholinguistics) ภาษาศาสตร์เชิงคลินิก/การแก้ไขการพูดการได้ยินภาษา/ความผิดปกติในการสื่อความหมาย (Clinical linguistics/Speech-language pathology/Communication disorders) ภาษาศาสตร์เชิงประวัติ/นิรุกติศาสตร์ (Historical linguistics/Philology) ภาษาศาสตร์ปริชาน (Cognitive linguistics) ภาษาศาสตร์เปรียบเทียบ (Comparative linguistics) ภาษาศาสตร์สังคม (Sociolinguistics) วิทยาภาษาถิ่น (Dialectology)
Browse
Browsing ภาษาศาสตร์ประยุกต์ by browse.metadata.researchtheme1 "วัจนปฏิบัติศาสตร์/ปริจเฉทวิเคราะห์/วาทกรรมวิเคราะห์ (Pragmatics/Discourse Analysis)"
Now showing 1 - 20 of 39
Results Per Page
Sort Options
- PublicationA Discourse Analysis of Translation from Thai into English in Parallel Corpus Perspective: A Case Study of The Happiness of KatiAungsuwan, WimonwanParallel corpus, containing original source texts and translated versions, is used for analysing translations in many languages (Hernández, 1996, pp. 218-237, Li, Zhang, & Liu, 2011, pp. 153-166). However, there are few studies on parallel corpus in translation strategies from English into Thai and Thai into English, In addition, the previous studies are focused on the structure of the language (Detnaraphan and Mallikamas, 2008; Manomaivibool, 2004; Rujirawong, 2006; Siriwonkasem, 2006; Thanalertkul, 2009). In terms of addition, the previous study was done on the structures of addition in translation from Thai into English (Decha, 2006). This study consequently aimed to analyse linguistic markers, and cultural transfer of additions found in translation strategies from Thai into English. Both Thai and English versions of The Happiness of Kati were the sampling of this study because they received many awards such as S.E.A. Write award for Thai version, the second award of John Dryden Translation Competition for English version. The results of the study showed that linguistic markers indicating additions contained punctuations and lexical markers. Furthermore, many types of addition were used for transferring Thai cultures from Thai to English such as the explanation of background of the characters, scenes, jokes, and cultural terms. The results of this study are useful for translation teachers, professional translators, and English teachers. Parallel corpus is useful for translation studies. Addition is important technique for intercultural communication. It helps the readers in other communities understand Thai culture easily.
- PublicationAn Analysis of Rhetorical Moves and Cohesion in Abstracts of Literature Journal ArticlesTampanich, Sirawich; สิรวิชญ์ ธรรมพานิชบทคัดย่อเป็นส่วนสำคัญในการนำเสนอบทความวิจัยแต่การจัดเรียงข้อความในบทคัดย่อของผลงานแต่ละประเภทแตกต่างกันซึ่งอาจทำให้เกิดความสับสนและความกังวลต่อนักวิชาการมือใหม่ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศ กระทั่งปัจจุบันต้นแบบการเขียนบทคัดย่อของบทความวิจัยสาขาวรรณคดีที่มีรูปแบบการจัดเรียงข้อความที่ดีมีจำนวนไม่มากดังนั้นเพื่อเติมเต็มองค์ความรู้ดังกล่าว ผู้วิจัยจึงวิเคราะห์อัตถภาค การเรียงลำดับของอัตถภาค และการเชื่อมโยงความทางไวยากรณ์ ในบทคัดย่อบทความวิจัยสาขาวรรณคดี ต้นแบบโครงสร้างอัตถภาคปรับจากการศึกษาอัตถภาคของ Doró(2013), Santos (1996),Swales and Feak (2009)และ Tankó(2017) ด้วยวิธีการด้านภาษาศาสตร์คลังข้อมูลแบบtop-downคลังข้อมูลภาษาประกอบด้วยบทคัดย่อบทความวิจัยสาขาวรรณคดีทั้งหมด 88 บทคัดย่อจากวารสารนานาชาติ 2 ฉบับนักวิจัยได้วิเคราะห์หน้าที่ของหน่วยโครงสร้างแต่ละหน่วยซึ่งประกอบด้วยอัตถภาคและอัตถภาคย่อยรวมถึงการเชื่อมโยงความทางไวยากรณ์ในบทคัดย่อบทความวิจัยสาขาวรรณคดีเครื่องมือวิจัย 2 ชิ้นคือ MS Excel 2013 และAntConc Version 3.5.8.0.ผลการวิเคราะห์พบว่าอัตถภาคผลการวิจัย(M6) พบมากที่สุดจาก 8 อัตถภาค และมีการเรียงลำดับของอัตถภาคในบทคัดย่อบทความวิจัยสาขาวรรณคดี5 รูปแบบประกอบด้วย3อัตถภาคในทุก ๆ รูปแบบ คืออัตถภาคการนำเสนองานวิจัย(M4) อัตถภาคระเบียบวิธีวิจัย(M5) และอัตถภาคผลการวิจัย(M6)จากการวิเคราะห์การเชื่อมโยงความทางไวยากรณ์ พบว่ามีการใช้คำเชื่อมโยงความประเภทการอ้างถึงมากที่สุดในบทคัดย่อของบทความวิจัยสาขาวรรณคดี ผลการวิจัยครั้งนี้อาจนำไปใช้เป็นแนวทางการเขียนและเรียบเรียงบทคัดย่อสำหรับนักวิชาการมือใหม่ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศเพื่อให้ได้มาตรฐานในการนำเสนอบทความวิชาการสาขาวรรณคดี
- PublicationAn Exploratory Study of Compliment Response Strategies across Gender among Thai EFL LearnersSuteerapongsit, Rawisiree; รวิสิรี สุธีรพงศ์สิทธิ์หนึ่งในวัจนกรรมที่พบบ่อยที่สุดในการสื่อสารในชีวิตประจำวันและถูกอ้างว่าสะท้อนความแตกต่างระหว่างเพศคือ การตอบคำชม นอกเหนือจากการตอบคำชมในภาษาแม่ การศึกษาการตอบคำชมในแง่ของความแตกต่างระหว่างเพศในบริบทของผู้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศเป็นสิ่งที่น่าสนใจ บทความวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการตอบคำชมในภาษาอังกฤษตามปัจจัยด้านเพศของผู้สนทนาและหัวข้อคำชมของผู้เรียนชาวไทยที่เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศ โดยข้อมูลที่นำมาใช้ในการวิเคราะห์ได้มาจากการแสดงบทบาทสมมุติในสถานการณ์ต่าง ๆ ตามหัวข้อคำชมสี่หัวข้อของกลุ่มตัวอย่างเพศชายและเพศหญิงกลุ่มละหกคนผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าเพศของผู้สนทนาและหัวข้อคำชมอาจมีอิทธิพลต่อการเลือกใช้กลวิธีย่อยในการตอบคำชมของกลุ่มตัวอย่าง ความสัมพันธ์ดังกล่าวอาจเป็นการสะท้อนให้เห็นและอธิบายได้โดยบทบาทของค่านิยมทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับเพศ
- PublicationColors as Conceptual Metaphors of Emotions in English and Thai: A Cognitive Linguistics in FocusSaralamba, Chatchawadeeในการศึกษาภาษาที่ใช้ในการเปรียบเทียบหรือเป็นอุปลักษณ์ในอดีตที่ผ่านมา ผู้ที่สนใจศึกษาภาษามักจะศึกษาและอธิบายในรูปแบบของการใช้ภาษาเพื่อให้เกิดภาพพจน์ หรืออธิบายในด้านความสวยงามสละสลวยของภาษา แต่ในปัจจุบัน แนวการศึกษาภาษาที่เรียกว่า ภาษาศาสตร์ปริชาน โดย จอร์จ เลคอฟฟ์ และมาร์ก จอห์นสัน (1980) ได้นําเสนอแนวความคิดในการวิเคราะห์อุปลักษณ์ว่า สัมพันธ์กับกระบวนการคิดของผู้ใช้ภาษา ไม่ได้เป็นเพียงแค่เพื่อเปรียบเทียบจากสิ่งหนึ่งไปเป็นอีกสิ่งหนึ่งเพื่อให้เห็นภาพหรือเพื่อให้เข้าใจความคิดที่เป็นนามธรรมเท่านั้น แต่ยังสัมพันธ์กับระบบความคิดของผู้ใช้ภาษาในสังคม โดยอธิบายว่า ภาษาที่ใช้กันในชีวิตประจําวันนั้นอยู่ในรูปของการเปรียบเทียบหรือเป็นอุปลักษณ์และเป็นการเปรียบเทียบโดยที่ผู้ใช้ภาษานั้นไม่รู้ตัว เราสามารถเข้าใจระบบความคิดและกระบวนการการให้เหตุผลของผู้ใช้ภาษาได้จากอุปลักษณ์ซึ่งเกิดจากประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ผู้ใช้ภาษาประสบพบเห็นอยู่เป็นประจํา ในด้านระบบความคิดของมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์นั้น จากการศึกษาพบว่า อารมณ์พื้นฐานของมนุษย์ประกอบไปด้วย 5 อารมณ์ ได้แก่ อารมณ์โกรธ, อารมณ์กลัว, อารมณ์สุข, อารมณ์เสียใจ, และอารมณ์รัก อารมณ์พื้นฐานทั้งห้านี้จัดได้ว่า เป็นการจําแนกประเภทระดับพื้นฐานของระบบความคิด ซึ่งในการศึกษาภาษาศาสตร์ปริชานพบว่าอารมณ์เหล่านี้ต่างแสดงออกด้วยหน่วยศัพท์ในภาษาที่เป็นคําเรียกสีและอยู่ในรูปของอุปลักษณ์ จัดเป็นอุปลักษณ์สีที่แสดงมโนทัศน์อารมณ์ในการใช้ภาษาและปรากฏในชีวิตประจําวัน เพราะสี เป็นเรื่องที่มีคุณสมบัติพื้นฐาน ปรากฏอยู่ในสรรพสิ่งต่าง ๆ เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ มีบทบาทสําคัญในการอธิบายสรรพสิ่งต่าง ๆ รวมไปถึงแสดงออกซึ่งอารมณ์ของมนุษย์ บทความนี้ จะนําเสนอเกี่ยวกับบทบาทของสีในกระบวนการสร้างมโนทัศน์อารมณ์ของภาษาอังกฤษเปรียบเทียบกับภาษาไทยตามแนวคิดของทฤษฎีภาษาศาสตร์ปริชาน โดยแสดงให้เห็นถึงความคล้ายคลึงและความแตกต่างของระบบความคิดของผู้ใช้ภาษาทั้งสองที่ใช้สีเป็นอุปลักษณ์เปรียบเทียบกับอารมณ์ของมนุษย์ ผลการศึกษาพบว่ ระบบความคิดของผู้ใช้ภาษาทั้งสองภาษาต่างใช้อุปลักษณ์สีเพื่อแสดงมโนทัศน์อารมณ์พื้นฐานและอิทธิพลของภาษาและวัฒนธรรม
- PublicationQuestions and Questioning in Communication ResearchHarvey, Euanรายงานนี้ศึกษาบทบาทและหน้าที่ของคําถามและการตั้งคําถามในการวิจัยด้านการสื่อสารอย่างเป็นระบบหรืออย่างผู้เชี่ยวชาญ รายงานนี้อภิปรายถึงประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ การตั้งคําถามและญาณวิทยา การตั้งคําถามและระเบียบวิธี การตั้งคําถามและการวิเคราะห์ข้อมูล การตั้งคําถามและการนําเสนอข้อมูล ในแต่ละประเด็นเหล่านี้มีการวิเคราะห์และศึกษาบทบาทของการตั้งคําถาม มุ่งไปที่บทบาทอย่างเป็นรูปธรรมของคําถามในกระบวนการวิจัย และบทบาทที่เป็นจุดเชื่อมโยง ทั้งระหว่างชนิดและเนื้อหาของคําถามที่ผู้วิจัยถาม และระหว่างเงื่อนไขทางสภาพแวดล้อมและระเบียบวิธีที่กว้างขึ้น ภายในเนื้อหาของการวิจัยนั้น
- PublicationVerb stem alternation in Sizang Chin narrative discourseDavis, Tyler D. (2017)
- PublicationVisit to the Theory of Image Restoration: Asiana Airline CaseJung, YeonkwonThis study investigates Asiana Airlines' immage restoration strategies used to restore their immage after unionized pilot' strike in 2005. After looking at types of image repair strategies, we focus on whether they show culture specific features different from crisis management communication in Western cultures. The data for the study consist of news articles on the strike that appeared in major Korean newspaper (press conference, in particular). Benoit's (1995) typology of image restoration strategies is used for analyzing data. This study identifies culturally universal and stereotyped patterns in international crisis communicatin in Western culture are used in non-Western culture (i.e. mortification; corrective action; scapegoating; denial; compensation). This study clarifies the limitation of image restoration theory, which does not look at the data within the whole context. In this respect, this study shows that linguistic pragmatics becomes a useful tool for categorizing image restoration strategies.
- Publicationกลวิธีการกล่าวเลี่ยงในหัวข้อสนทนาที่อ่อนไหวต่อความรู้สึกของผู้พูดภาษาไทยและภาษาอังกฤษแบบอเมริกันสุพิชญา มั่นคง; Suphitchaya Mankhong (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. สำนักหอสมุด, 2008)งานวิจัยชิ้นนี้นำเสนอกลวิธีการกล่าวเลี่ยงที่ปรากฎในหัวข้อสนทนาที่อ่อนไหวต่อ ความรู้สึก 5 หัวข้อ อันได้แก่ กากล่าวถึงความตาย การมีสภาพบกพร่องทางสมอง การประกอบ อาชีพขายบริการทางเพศ การถูกข่มขืน การติดโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง อีกทั้งพิจารณาความ แตกต่า ของการกล่าวเลี่ยงของผู้พูดภาษาไทยและผู้พูดภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน ผู้วิจัยเก็บ ข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม กลุ่มประชากรคือ ขาวไทย 40 คน และชาวอเมริกัน 40 คน กลวิธีการกล่าวเลี่ยงที่พบจำแนกออกได้เป็น 5 กลวิธีหลัก คือ การไม่กล่าวตรง การไม่ กล่าวความจริง การกล่าวแสดงความรู้สึก การปฏิเสธ และการเพิกเฉยต่อประเด็น กลวิธีหลัก เหล่านี้สามารถแบ่งออกเป็น 13 กลวิธีย่อย ผลการวิจัยแสดงให้เห็นทั้งความคล้ายคลึงและความ แตกต่างของการกล่าวเลี่ยงในภาษาไทยและภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน ตัวอย่างในด้านความ คล้ายคลึงคือ ทั้งชาวไทยและชาวอเมริกันมักกล่าวเลี่ยงด้วยการให้ข้อมูลน้อยกว่าความจริงใน ความถี่ที่สูงที่สุด ส่วนในด้านความแตกต่างที่โดดเด่นประการหนึ่ง ได้แก่ ชาวไทยไม่กล่าวเลี่ยงด้วย กลวิธีการปฏิเสธและการเพิกเฉยต่อประเด็นด้วยความถี่น้อยมาก ขณะที่ชาวอเมริกันเลือกใช้ในความถี่ที่สูงกว่ามาก นอกจากนี้ พบว่าหัวชัอสนทนามีอิทธิพลต่อการเลือกใช้กลวิธีการกล่าวเลี่ยง เช่น ในการกล่าวถึงการมีสภาพบกพร่องทางสมอง ผู้พูดมักเลือกใช้การกล่าวให้ข้อมูลน้อยกว่า ความจริง และในการกล่าวถึงความตาย ผู้พูดมักเลือกใช้การกล่าวอ้อม เป็นต้น ทั้งนี้ ผู้วิจัยนำผล การศึกษามาอภิปรายในเรื่องความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมไทยและอเมริกัน และอุปสรรคใน การดำเนินชีวิต รวมทั้งได้พิจารณาความสัมพันธ์ของการกล่าวเลี่ยงและการไม่ปฏิบัติตามหลัก ความร่วมมือแบบไกรซ์อีกด้วย
- Publicationกลวิธีการปลอบโยนผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัดของพยาบาลรัศมี รักงาม; Ratsami Rakgnam (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. สำนักหอสมุด, 2015)ในการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ในการศึกษากลวิธีในการปลอบโยนผู้ป่วยของพยาบาลที่ ดูแลผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัดและการเลือกใช้กลวิธีการปลอบโยนผู้ป่วยของพยาบาลที่ ดูแลผู้ป่วยซึ่งได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัด โดยพิจารณาจากปัจจัยด้านอายุระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง ความรุนแรงของอาการอ่อนล้า (fatigue) และเพศของผู้ป่วย โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์พยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัดจาก 4 หอผู้ป่วย ในโรงพยาบาลศิริราช จำนวน 20 คน ผลการวิจัยพบว่า กลวิธีในการปลอบโยนผู้ป่วยของพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยซึ่งได้รับการรักษา ด้วยเคมีบำบัดมีทั้งหมด15 กลวิธี ได้แก่ การแนะนำ การแสดงความช่วยเหลือ การให้กำลังใจ การพูดให้ผ่อนคลาย การอธิบายสาเหตุ การเสนอทางเลือก การชักชวนทำกิจกรรม การขอความ ร่วมมือ การสร้างความมั่นใจ การชี้ให้เห็นข้อดีที่มีอยู่ การยกตัวอย่าง การชื่นชม การแสดงความ เห็นอกเห็นใจ การอนุญาต และการกล่าวถึงบุคคลสำคัญในชีวิต ปัจจัยด้านอายุระหว่างผู้พูดและผู้ฟังทั้ง 3 ระดับไม่มีผลต่อการเลือกใช้กลวิธีการปลอบโยน เนื่องจากพยาบาลมีการใช้กลวิธีที่เหมือนกันใน 5 อันดับแรก โดยเลือกใช้การแนะนำมากที่สุด รองลงมาคือการแสดงความช่วยเหลือ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาในรายละเอียดพบว่า อายุมีผล ต่อการไม่เลือกใช้ในกลวิธีบางกลวิธี ส่วนปัจจัยด้านความรุนแรงของอาการอ่อนล้าก็มีผลต่อ การเลือกใช้กลวิธีการปลอบโยน เมื่อมีอาการอ่อนล้าที่มากขึ้นและมีผลต่อการทำกิจกรรมของ ผู้ป่วย พยาบาลจะใช้กลวิธีการแนะนำร่วมกับการแสดงความช่วยเหลือ และปัจจัยด้านเพศของ ผู้ป่วยมีผลต่อการเลือกใช้กลวิธีการปลอบโยนเช่นกัน พยาบาลใช้กลวิธีการแนะนำมากที่สุดทั้ง 2 เพศ แต่การปลอบโยนเพศหญิงรองลงมาคือ การแสดงความช่วยเหลือในเพศชายรองลงมาคือการให้กำลังใจ
- Publicationกลวิธีความสุภาพในการปฏิเสธการขอร้องของผู้โดยสาร : กรณีศึกษาพนักงานบริการผู้โดยสารภาคพื้นของสายการบินไทยศิรวัตร ไทยแท้; Sirawat Thaithae (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. สำนักหอสมุด, 2012)การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษากวิธีความสุภาพในการปฏิเสธต่อการขอร้องของผู้โดยสารและ ความสัมพันธ์ระหว่างกลวิธีความสุภาพดังกล่าวกับปัจจัยค้านระดับชั้นที่นั่งของผู้โดยสารและปัจจัยค้านระดับ ความรุนแรงของสถานการณ์การปฏิเสธ ข้อมูลที่นำมาวิเคราะห์ได้มาจากแบบสอบถามชนิดเดิมเต็มบทสนทนา (D๐7) กลุ่มตัวอย่างที่เลือกเป็นพนักงานบริการผู้โดยสารภาคพื้นสายการบินไทย จำนวนทั้งสิ้น 80 คน สถิติที่ใช้ ในการวิเคราะห์คืออัดราส่วนร้อยละและการทดสอบความมีนัยสำคัญทางสถิติด้วยค่ไสแควส์ ผลการศึกษาพบว่ากลวิธีความสุภาพมีหลากหลายกลวิธี ซึ่งแต่ละ กลวิธีมีหน้าที่ในการ สื่อเจตนา แตกต่างกัน โดยกลวิธีความสุภาพที่พบมีจำนวนทั้งสิ้น 14 กลวิชี ได้แก่ การให้เหตุผล การขอโทษ การแสดง ความเข้าใจผู้ฟัง การเสนอทางเลือกอื่น การแนะนำ การขอบคุณ การแสดงการยกย่อง การใช้รูปแสดงการกลบเกลื่อน การแสดงความพยายามให้ความช่วยเหลือ การแสดงความรับผิดชอบ การแสดงการขอรบกวน การกล่าวโทษบริษัท การปรึกษาผู้มีอำนาจตัดสินใจ และการเสนอชดเชย ผลการศึกษาค้านความสัมพันธ์ระหว่างกลวิธีความสุภาพในการปฏิเสธการขอร้องของผู้โดยสารกับ ปัจจัยค้านระดับชั้นที่นั่งและระดับความรุนแรงของสถานการณ์การปฏิเสรพบว่า ปัจจัยด้านระดับชั้นที่นั่งมีผล ต่อการเลือกใช้กวิธีความสุภาพโดยการกล่าวปฏิเสธต่อผู้โดยสารในระดับที่นั่งชั้นหนึ่งมีการเลือกใช้กลวิธีความสุภาพมากกว่าระดับชั้นที่นั่งชั้นธุรกิจและชั้นประหยัด สวนปัจจัยต้นระดับความรุนแรงของสถานการณ์ การปฏิเสธพบว่าระดับความรุนแรงของสถานการณ์การปฏิเสธมีผลต่อการเลือกใช้กลวิธีความสุภาพเช่นเดียวกัน กล่าวคือในกรณีที่ต้องกล่าวปฏิเสธต่อสถานการณ์ที่มีระดับความรุนแรงมาก กลวิธีความสุภาพที่นำมาใช้ก็จะมีความหลากหลายมากกว่าสถานการณ์การปฏิเสธที่มีระดับความรุนแรงปานกลางและน้อย โดยกลวิธีความสุภาพที่มีความโดคเด่นมากที่สุด ได้แก่ การแสดงความรับผิดชอบ การเสนอชดเชย และการกล่าวโทยบริษัท ซึ่งจะปรากฎเฉพาะกับการปฏิเสธต่อผู้โดยสารชั้นหนึ่งและสถานการณ์การปฏิเสธที่มีระดับความรุนแรงมากเท่านั้นเนื่องจากการเลือกใช้กลวิธีความสุภาพดังกล่าวนี้พนักงานบริการผู้โดยสารภาคพื้นจำเป็นต้องเลือกใช้อย่างระมัดระวัง เพราะการเลือกใช้กลวิธีความสุภาพดังกล่าวไม่เพียงแต่จะทำให้องค์กรของผู้ปฏิเสธต้องสูญเสียผลประ โยชน์อย่างใคอย่างหนึ่งแล้ว ยังทำให้ภาพลักษณ์สาธารณะขององค์กรต้องสูญเสียไปอีกด้วย
- Publicationการเขียนข้อความที่เป็นจุดหักมุมของเรื่องขำขันชริโศภณ อินทาปัจ; Charisophon Inthaphat (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี. คณะศิลปศาสตร์. สาขาวิชาภาษาศาสตร์ประยุกต์ด้านการสอนภาษาอังกฤษ, 2005)งานวิจัยนี้มุ่งหมายที่จะศึกษาว่านักศึกษาเขียนจุดหักมุมของเรื่องขำขันอย่างไร เรื่องขำขันที่ใช้ใน การศึกษานี้คัดเลือกมาจากอินเตอร์เน็ตตามเกณฑ์ที่กำหนดเกี่ยวกับความยาวของเรื่องขำขัน บริบท ของเนื่อเรื่อง ความซับซ้อนทางภาษา ความหลากหลายของเรื่องราวและสถานการณ์ กลุ่มประชากร ตัวอย่างในการวิจัยนี้เป็นนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรีจำนวน 8 คน จากสาขาวิชาวิศวกรรมเครื่องมือและวัสดุและวิศวกรรมไฟฟ้า กลุ่มประชากรตัวอย่างใช้เวลาในการเขียนจุดหักมุมของเรื่องขำขันด้วยตนเองรวมทั้งหมด 15 เรื่อง โดยเขียนสัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 3 เรื่อง เมื่อเสร็จสิ้นการเขียนจุดหักมุมทุกๆ 3 เรื่อง กลุ่มประชากร ตัวอย่างจะได้รับการสัมภาษณ์วิธีเขียนจุดหักมุมของเรื่องขำขัน ผลการวิจัยระบุว่ากลุ่มประชากร ประสบปัญหาจากความยาวของเรื่องขำขัน ความไม่คุ้นเคยกับเนื้อเรื่อง ขาดความรู้เกี่ยวกับคำศัพท์ และความคิดเชิงสร้างสรรค์ในการเขียน อย่างไรก็ตามกลุ่มประชากรมีวิธีในการแก้ไขปัญหาในการ เขียนจุดหักมุมของเรื่องขำขันโดยการอ่านเรื่องซ้ำ เชื่อมโยงเนื้อเรื่องเข้ากับประสบการณ์ตรงของ ตัวเองเพื่อทำความเข้าใจเนื้อเรื่อง สร้างจินตภาพจากเรื่องที่อ่าน แปลเป็นภาษาไทย นำตนเอง เข้าไปสู่สถานการณ์และใช้คำสำคัญในเรื่องขำขัน ผลงานของกลุ่มประชากรได้รับการประเมิน คุณภาพโดยผู้ประเมิน 3 คน ซึ่งเป็นผู้ศึกษาในหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาภาษาศาสตร์ ประยุกต์ด้านการสอนภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี จุดหักมุมที่เขียนจะ ถูกจัดอันดับให้เป็นเรื่องที่อยู่ในเกณฑ์ดีจนถึงยังไม่อยู่เกณฑ์ที่ดีโดยคำนึงถึง ความต่อเนื่องของ เนื้อหากับจุดหักมุมของเรื่อง การสื่อความหมาย ความคิดสร้างสรรค์และความขำขัน งานวิจัยนี้
- Publicationการเชื่อมโยงความในเรื่องเล่าของเด็กไทยอายุ 4-7 ปี ที่มีพื้นฐานสิ่งแวดล้อมต่างกันสุวัฒชัย คชเพต; Suwatchai Kotchapet (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. สำนักหอสมุด, 2010)งานวิจัยนี้ศึกษาการเชื่อมโยงความในเรื่องเล่าของเด็กไทยอายุ 47 ปี และ เปรียบเทียบความแตกต่างของการเชื่อมโยงความระหว่างชนิดเรื่องเล่านิทานกับเรื่องเล่า ประสบการณ์ และระหว่างกลุ่มเด็กที่เติบโตในครอบครัวปกติกับเด็กที่เดิบโตในสถานสงเคราะห์ กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาเป็นเด็กไทยที่อยู่ในช่วงอายุ 4-7 ปี รวม 30 คน จากโรงเรียน และสถานสงเคราะห์ในเขตจังหวัดอ่างทอง โดยผ่านการทดสอบทางเชาวน์ปัญญาและแยกตาม กลุ่มสิ่งแวดล้อมครอบครัวปกติกับสถานสงเคราะห์ ผลการศึกษาในส่วนของประเกทการเชื่อมโยงความของเด็กไทยอายุ 4-7 ปี พ.ว่า การแบ่งประเกทซึ่งในเกณฑ์การวิเคราะห์ตามกรอบแนวคิดที่ใช้ประยุกต์ มีความครอบคลุมในแต่ละประเภทของการเชื่อมโยงความ กล่าวคือ 1. การอ้างถึง มีทั้งหมด 2 ประเกทหลัก คือ การอ้างถึงบุรุษสรรพนาม และการอ้างถึงด้วยการบ่งชี้ 2. การละ มีการละทั้งหมด 3 ประเภท คือ การละหน่วยนาม การละหน่วยกริยา และการละหน่วยอนุพากย์หรือประโยค 3. การซ้ำ มี 3 ลักษณะ คือการซ้ำรูป การซ้ำโครงสร้าง และการซ้ำความหมาย 4. การเชื่อม มี 10 ลักษณะ คือ การเชื่อมเพื่อแสดงการเพิ่มหรือเสริมข้อมูล การเชื่อมแสดงการเปรียบเทียบ การเชื่อมแสคงความสัมพันธ์แบบตรงกันข้าม การเชื่อมแสดงตัวอย่าง การเชื่อมแสดงความเป็นเหตุ การเชื่อมแสดงความเป็นผลการเชื่อมเพื่อแสดงวัตถุประสงค์ การเชื่อมแสดงลำดับเวลาที่ต่อเนื่องกัน การเชื่อมแสดงการ เปลี่ยนเรื่องหรือความคิด และการเชื่อมแสดงความต่อเนื่องหรือขยายความ 5. การเชื่อมโยงคำศัพท์ พบว่ามีการเชื่อมโยงคำศัพท์ 3 ลักษณะ คือ การใช้คำที่มลักษณะเกี่ยวข้องกันแบบคำเฉพาะเจาะจง -ทั่วไป การใช้คำที่มีลักษณะเกี่ยวข้องกันแบบคำแสดงองค์ประกอบย่อย ทั้งหมดและการใช้คำตรงกันข้ามในส่วนของการเปรียบเทียบความถี่ของการเชื่อมโยงความพบว่า ในภาพรวมชนิดของเรื่องเล่าไม่มีผลต่อความถี่ในการเชื่อมโยงความ แต่พบว่า การละพบมากในเรื่องเล่าประสบการณ์ และการซ้ำพบมากในเรื่องเล่านิทานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนในแง่ช่วงอายุพบว่า อายุไม่มีผลต่อความแตกต่างของการเชื่อมโยงความแต่อย่างใด นอกจากนี้ด้านอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมพบว่า การเชื่อมโยงความของทั้งสองกลุ่มสิ่งแวดล้อมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ กล่าวคือ กลุ่มเด็กที่เติบโตในครอบครัวปกติมีปริมาณของการใช้การอ้างถึง การละ การเชื่อมและการเชื่อมโยงคำศัพท์สูงกว่ากลุ่มเด็กในสถานลงเคราะห์ มีเพียงการซ้ำที่ไม่ปรากฎความแตกต่างระหว่างเด็กทั้งสองกลุ่ม
- Publicationการเชื่อมโยงความและเกี่ยวข้องของเรื่องที่สนทนาในการสนทนาแบบเป็นกันเองระหว่างเพศชายและเพศหญิงชื่นจิตต์ อธิวรกุล; Chuenchit Athiworakun (มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. สำนักหอสมุดกลาง, 2010)งานวิจัยนี้ศึกษากลไกเชื่อมโยงความและวิธีการรักษาความเกี่ยวของของเรื่องที่สนทนาของแตละ เพศ ความเหมือนและความแตกตางในการเลือกใชกลไกเชื่อมโยงความและวิธีการรักษาความเกี่ยวของ ของเรื่องที่สนทนาระหวางเพศชายและเพศหญิงในการสนทนาแบบเปนกันเอง โดยพบวาเพศของผู สนทนาไมไดสงผลตอการเลือกใชกลไกเชื่อมโยงความ เพราะผูสนทนาไมวาจะเพศใดตางเลือกใชกลไก เชื่อมโยงความทั้ง 5 กลไก เชนเดียวกัน คือ กลไกการอางถึง กลไกการแทนที่ กลไกการละ กลไกการ ใชคําเชื่อม และกลไกการเชื่อมโยงคํา แตจากขอมูลสามารถสรุปไดวาเพศชายเปนเพศที่มีการเลือกใช กลไกที่ทําใหผูรวมสนทนาติดตามเรื่องไดงาย มีลําดับเหตุการณที่ชัดเจน สวนเพศหญิงมีการใชกลไกการ ใชคําเชื่อมเพื่อแสดงความตอเนื่องมากกวาเพศชาย นอกจากนั้น จากขอมูลพบขอสังเกตในการใชกลไก การซ้ําที่แตกตางกันระหวางเพศ คือ เพศหญิงเปนเพศที่มักจะพูดขยายความเรื่องที่สนทนา โดยมักเปน การพูดวนจึงทําใหเกิดการซ้ํา ตรงขามกับเพศชายที่มีนิสัยพูดเรื่องหนึ่งๆ แลวจบไป จึงทําใหเพศชายพูด ซ้ําเพื่อโตตอบกันไปมาเทานั้น สวนผลการวิเคราะหวิธีการรักษาความเกี่ยวของของเรื่องที่สนทนาพบวาถึงแมวาทั้ง 2 เพศ ใช วิธีการรักษาความเกี่ยวของของเรื่องที่สนทนาทั้ง 4 ขอ เหมือนกัน คือ การรักษากฎ การทากฎ การ ละเมิดกฎโดยจงใจ และการขึ้นหัวขอสนทนาใหม แตพบความแตกตางกัน คือ เพศชายเลือกใชวิธีการ รักษากฎมากเมื่อสนทนากับเพศชาย และใชวิธีการรักษากฎนอยลงเมื่อสนทนากับเพศหญิง นอกจากนั้น เพศชายมีแนวโนมที่จะใชวิธีการขึ้นหัวขอสนทนาใหมมากกวาเพศหญิง สวนเพศหญิงเลือกใชวิธีการรักษา กฎมากเมื่อสนทนากับเพศชาย และใชวิธีการรักษากฎนอยลงเมื่อสนทนากับเพศหญิง
- Publicationการใช้กลไลการเชื่อมโยงความในภาษาไทยของนักเรียนที่พูดภาษาอีสาน เขมร หรือกูยเป็นภาษาแม่พิมพ์พิสา บุญชู; Pimphisa Bhunchu (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. สำนักหอสมุด, 2008)งานวิจัยนี้ศึกษากลไกเชื่อมโยงความและวิธีการรักษาความเกี่ยวข้องของเรื่องที่สนทนาของแต่ละเพศความเหมือนและความแตกต่างในการเลือกใช้กลไกเชื่อมโยงความและวิธีการรักษาความเกี่ยวช้องของเรื่องที่สนทนาระหว่างเพศชายและเพศหญิงในการสนทนาแบบเป็นกันเอง โดยพบว่าเพศของผู้สนทนาไม่ได้ส่งผลต่อการเลือกใช้กลไกเชื่อมโยงความ เพราะผู้สนทนาไม่ว่าจะเพศใดต่างเลือกใช้กลไกเชื่อมโยงความทั้ง 5 กลไก เช่นเดียวกัน คือ กลไกการอ้างถึง กลไกการแทนที่ กลไกการละ กลไกการใช้คำเรื่อม และกลไกการเชื่อมโยงคำ แต่จากชัอมูลสามารถสรุปได้ว่าเพศชายเป็นเพศที่มีการเลือกใช้กลไกที่ทำให้ผู้ร่วมสนทนาติดตามเรื่องได้ง่าย มีลำดับเหตุการณ์ที่ชัดเจน ส่วนเพศหญิงมีการใช้กลไกการใช้คำเชื่อมเพื่อแสดงความต่อเนื่องมากกว่เพศชาย นอกจากนั้น จากข้อมูลพบข้อสังเกตในการใช้กลไกการช้ำที่แตกต่างกันระหว่างเพศ คือ เพศหญิงเป็นเพศที่มักจะพุดขยายความเรื่องที่สนทนา โคยมักเป็นการพูดวนจึงทำให้เกิดการช้ำ ตรงข้ามกับเพศชายที่มีนิสัยพูดเรื่องหนึ่งๆ แล้วจบไป จึงทำให้เพศชายพูดซ้ำเพื่อโต้ตอบกันไปมาเท่านั้นสวนผลการวิเคราะห์วิธีการรักษาความเกี่ยวข้องของเรื่องที่สนทนาพบว่ถึงแม้ว่าทั้ง 2 เพศ ใช้วิธีการรักษาความเกี่ยวข้องของเรื่องที่สนทนาทั้ง 4 ช้อ เหมือนกัน คือ การรักษากฎ การท้ากฎ การละเมิดกฎโดยจงใจ และการขึ้นหัวช้อสนทนาใหม่ แต่พบความแตกต่างกัน คือ เพศชายเลือกใช้วิธีการรักษากฎมากเมื่อสนทนากับเพศชาย และใช้วิธีการรักษากฎน้อยลงเมื่อสนทนากับเพศหญิง นอกจากนั้นเพศชายมีแนวโน้มที่จะใช้วิธีการขึ้นหัวข้อสนทนาใหม่มากกว่าเพศหญิง ส่วนเพศหญิงเลือกใช้วิธีการรักษากฏมากเมื่อสนทนากับเพศชาย และใช้วิธีการรักษากฏน้อยลงเมื่อสนทนากับเพศหญิง
- Publicationการเปิดการสนทนาทางโทรศัพท์ในภาษาไทยบุรีรัตน์ รอดทิพย์; Bureerat Rotthip (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สำนักงานวิทยทรัพยากร, 2001)งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาขั้นตอนและกลวิธีการเปิดการสนทนาทางโทรศัพท์ในภาษาไทยและความสัมพันธ์ระหว่างความคุ้นเคยของผู้พูดผู้ฟังกับจำนวนขั้นตอนและการเลือกกลวิธีในการเปิดการสนทนา ข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์ได้มาจากการบันทึกเทปข้อมูลการเปิดการสนทนาของกลุ่มตัวอย่างที่อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลซึ่งใช้ภาษาไทยกรุงเทพฯ จำนวนทั้งสิ้น 30 คน รวม 300 ชุดข้อมูล ระหว่างเดือน เมษายน-พฤษภาคม 2543 ผลการวิจัยพบว่า ขั้นตอนการเปิดการสนทนาทางโทรศัพท์ในภาษาไทยมี 4 ขั้นตอน คือ การเรียก/ตอบ การแสดงตัว/จำได้ การทักทาย และการโอภาปราศรัย โดยขั้นตอนการโอภาปราศรัยแสดงให้เห็นการใช้ภาษาของคนไทยซึ่งมีลักษณะเฉพาะทางวัฒนธรรม กลวิธีที่พบในขั้นตอนการเรียก/ตอบ ได้แก่ การใช้คำตอบรับ การใช้คำลงท้าย และการแสดงตนเอง กลวิธีในขั้นตอนการแสดงตัว/จำได้ ได้แก่ การขอร้อง การกล่าวเรียกผู้รับโดยใช้คำเรียกขาน การกล่าวแนะนำตนเอง การถามคำถามผู้รับ การกล่าวคำตอบรับ และการหยอกล้อ กลวิธีที่พบในขั้นตอนการทักทาย แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ กลวิธีที่มีส่วนประกอบเดียว ได้แก่ การใช้คำแบบแผน การใช้คำลงท้าย การใช้คำอุทาน และกลวิธีที่มีส่วนประกอบสองส่วน ได้แก่ การใช้คำแบบแผนและคำเรียกขาน การใช้คำอุทานและคำเรียกขาน การใช้คำแบบแผนและการเข้าสู่หัวข้อสนทนา กลวิธีที่พบในขั้นตอนการโอภาปราศรัย ได้แก่ การซักถามเกี่ยวกับสภาพ,งานหรือกิจกรรมของผู้รับในขณะนั้น การซักถามเกี่ยวกับสุขภาพและความเป็นอยู่ การซักถามเกี่ยวกับแผนหรือสิ่งที่จะกระทำในอนาคต การกล่าวอ้างมูลเหตุจูงใจในการโทร การซักถามเกี่ยวกับบุคคลที่สาม การซักถามเกี่ยวกับเหตุการณ์หรือการกระทำในอดีต การกล่าวในเชิงตำหนิหรือต่อว่า การทบทวนความจำ การพูดคุยเกี่ยวกับสภาพดินฟ้าอากาศ และการซักถามเกี่ยวกับความประพฤติของผู้รับ นอกจากนี้ ยังพบว่า ความคุ้นเคยระหว่างผู้พูดผู้ฟังมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับการเลือกใช้ขั้นตอนและกลวิธีในการเปิดการสนทนาในภาษาไทย ( p < 0.0005 ) เช่น ในขั้นตอนการแสดงตัว/จำได้ ผู้พูดผู้ฟังที่มีความคุ้นเคยกันมาก ผู้พูดนิยมใช้กลวิธีการกล่าวเรียกผู้รับโดยใช้คำเรียกขาน ในขณะที่ผู้พูดผู้ฟังที่มีความคุ้นเคยกันน้อย ผู้พูดจะใช้กลวิธีการกล่าวแนะนำตนเองกับผู้รับ หรือ ผู้พูดผู้ฟังที่มีความคุ้นเคยกันมากจะมีการแสดงขั้นตอนการทักทายน้อยที่สุด แต่จะมีการแสดงขั้นตอนการโอภาปราศรัยมากที่สุด อย่างไรก็ตาม พบว่า ความคุ้นเคยระหว่างผู้พูดผู้ฟังไม่มีบทบาทต่อการเลือกใช้ขั้นตอนการเรียก/ตอบและกลวิธีในขั้นตอนการเรียก/ตอบ โดยพบว่า ผู้พูดจะมีการแสดงขั้นตอนนี้ในทุกระดับความคุ้นเคย และกลวิธีในการตอบรับต่อเสียงโทรศัพท์ของผู้รับ เป็นลักษณะเฉพาะบุคคลที่ผู้รับนำมากล่าวโดยไม่ได้คำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้พูดผู้ฟังแต่อย่างใด
- Publicationการศึกษากลวิธีแสดงความเห็นแย้งของนักศึกษาเกาหลีที่พูดภาษาไทยเป็นภาษาที่ 2 ในการสนทนาแบบแสดงความคิดเห็นในภาษาไทยตามแนววัจนปฏิบัติศาสตร์อันตรภาษายางวอน ฮยอนบทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากลวิธีทางภาษาที่นักศึกษาเกาหลีที่พูดภาษาไทยเป็นภาษาที่ 2 ใช้เพื่อแสดงความเห็นแย้งในภาษาไทยและอธิบายการถ่ายโอนเชิงวัจนปฏิบัติศาสตร์ (pragmatic transfer) ของภาษาแม่มาสู่การแสดงความเห็นแย้งดังกล่าว ข้อมูลที่นํามาศึกษาเก็บจากบทสนทนาแบบแสดงความคิดเห็นระหว่างนักศึกษาเกาหลีกับนักศึกษาไทยจํานวน 10 คู่ ประเด็นที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ได้แก่ การทําศัลยกรรม การใส่ชุดนิสิตนักศึกษา และการอยู่ก่อนแต่ง ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า กลวิธีทางภาษาที่นักศึกษาเกาหลีใช้เพื่อแสดงความเห็นแย้งมี 3 กลวิธี โดยเรียงจากปรากฏความถี่สูงไปหาต่ํา ได้แก่ (1) กลวิธีโน้มน้าวใจให้เชื่อหรือคล้อยตาม (2) กลวิธีลดน้ําหนักความรุนแรงของถ้อยคํา และ (3) กลวิธีตรงไปตรงมา สําหรับการถ่ายโอนเชิงวัจนปฏิบัติศาสตร์จากภาษาแม่มาสู่การแสดงความเห็นแย้งในบริบทภาษาไทย พบว่า มีการถ่ายโอนเชิงภาษาศาสตร์วัจนปฏิบัติ (pragmalinguistic transfer) 3 ประการ ได้แก่ (1) การใช้ถ้อยคําที่แสดงว่าเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล (2) การใช้ถ้อยคําที่แสดงปริมาณน้อย และ (3) การใช้ถ้อยคําซึ่งแสดงความลังเล ความสงสัย และกําลังจะกล่าวแย้ง สําหรับการถ่ายโอนเชิงวัจนปฏิบัติศาสตร์สังคม (sociopragmatic transfer) ได้แก่ หลักการที่คํานึงถึงความรู้สึกของผู้อื่น (consideration for others feelings) การถ่ายโอนเชิงวัจนปฏิบัติศาสตร์ที่พบในงานวิจัยนี้ล้วนเป็นการถ่ายโอนด้านบวก ไม่ส่งผลให้เกิดการสื่อสารที่ไม่สัมฤทธิ์ผล บทความวิจัยนี้ไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์ต่อการสร้างความเข้าใจที่ดีต่อกัน หากยังสามารถนําไปใช้ในการเรียนการสอนภาษาไทยในฐานะภาษาที่ 2 หรือภาษาต่างประเทศได้
- Publicationการศึกษาคำว่า “气” (qì) ที่ปรากฏร่วมกับ “อวัยวะ” ในคำพังเพยจีนอาริสา หาวรดิษ; Haworadit, Arisaบทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคำว่า “气” (qì) ภายใต้กรอบการศึกษาจากคำที่เกี่ยวข้องกับอวัยวะในคำพังเพยจีน จากการศึกษาพบว่ามีทั้งหมด 80 คำพังเพย แบ่งออกเป็นคำว่า “气” (qì) ที่ปรากฏร่วมกับ “心” (xīn, หัวใจ) ซึ่งมีจำนวนมากที่สุด นอกจากนี้ยังมีคำว่า “气” (qì) ที่ปรากฏร่วมกับ “血” (xuè, เลือด) “胆” (dǎn, ถุงน้ำดี) “肠” (cháng, ลำไส้) “眉” (méi, คิ้ว) “胸、胸脯、膺” (xiōng, xiōngpú, yīng, หน้าอก) “足” (zú, เท้า) “颐” (yí, แก้ม) “身体、体” (shēntǐ, tǐ, ร่างกาย) “头” (tóu, ศีรษะ) “骨” (gǔ, กระดูก) “腹” (fù, ท้องน้อย) “喉” (hóu, คอหอย) “目” (mù, ดวงตา) “脉” (mài, เส้นเลือด) และ “牙” (yá, ฟัน) ตามลำดับ ผู้วิจัยยังพบว่าความหมายที่แสดงผ่านอวัยวะแต่ละส่วนมีความแตกต่างกันออกไป โดยแบ่งออกเป็น การแสดงความหมายเกี่ยวกับท่าที การแสดงออก บุคลิกลักษณะ ความกล้าหาญ ความหวาดกลัว พละกำลัง สภาวะของสุขภาพ อารมณ์ ความรู้สึกหรือสภาวะของจิตใจ เช่น ความหดหู่ ความท้อแท้ ความโกรธ ความโศกเศร้า ความสุข ความดีใจ อารมณ์ที่สงบหรือร้อนรน สามารถสรุปได้ว่าคำว่า “气” (qì) เมื่อปรากฏร่วมคำที่เกี่ยวข้องกับอวัยวะส่วนต่าง ๆ ในคำพังเพยจีนมีการแสดงความหมายร่วมกันโดยวิธีการทางภาษาคือทฤษฎีอุปลักษณ์เชิงมโนทัศน์ (conceptual metaphor) สามารถแบ่งหมวดหมู่ออกเป็นแสดงความหมายเกี่ยวกับอารมณ์ ความรู้สึก สภาวะจิตใจ ลักษณะท่าทาง การแพทย์ สุขภาพและสภาวะร่างกายต่าง ๆ
- Publicationการศึกษาเปรียบเทียบการใช้ถ้อยคำบรรยายข้อคิดเห็นเชิงอภิวัจนปฏิบัติศาสตร์ของชาวไทยและชาวญี่ปุ่นวรวรรณ เฟื่องขจรศักดิ์; ชัชวดี ศรลัมพ์; ทรงธรรม อินทจักรในการสื่อสารในชีวิตประจำวัน คนเรามักใช้ภาษาเพื่อกล่าวถึงหรือให้ข้อคิดเห็นต่อภาษาที่เราใช้หรือภาษาที่ผู้อื่นใช้อยู่บ่อยครั้งเพื่อจัดการการปฏิสัมพันธ์ให้ดำเนินไปได้อย่างราบรื่น การศึกษานี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบถ้อยคำที่ใช้ในการบรรยายข้อคิดเห็นดังกล่าว หรือที่เรียกว่า “ถ้อยคำบรรยายข้อคิดเห็นเชิงอภิวัจนปฏิบัติศาสตร์” ในปฏิสัมพันธ์แบบกลุ่มของชาวไทยและชาวญี่ปุ่นจากการเก็บข้อมูลด้วยวิธีการบันทึกเสียงการสนทนาในการอภิปรายกลุ่ม ผลการศึกษาพบว่า เป้าหมายของผู้บอกภาษาชาวไทยและชาวญี่ปุ่นที่ใช้ถ้อยคำบรรยายข้อคิดเห็นเชิงอภิวัจนปฏิบัติศาสตร์มี 3 ประการหลักๆ ได้แก่ เพื่อประเมินการใช้ภาษาเพื่อควบคุมการดำเนินการสนทนา และเพื่อบรรยายเจตนาของผู้สื่อสารเป้าหมายเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับประเด็นที่ผู้บอกภาษากล่าวบรรยายข้อคิดเห็น 3 ประเด็น คือ ความเหมาะสมของการใช้ภาษากระบวนการการสนทนาและการสื่อเจตนาของผู้สื่อสารตามลำดับ ทั้งนี้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทั้ง 3 ประการข้างต้น ผู้บอกภาษาชาวไทยและชาวญี่ปุ่นใช้ถ้อยคำบรรยายข้อคิดเห็นเชิงอภิวัจนปฏิบัติศาสตร์ในการสื่อสารเจตนาต่างๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงมุมมองด้านการสื่อสารที่แตกต่างกัน ผู้บอกภาษาชาวไทยมักแสดงออกถึงความเป็นกันเองและความตรงไปตรงมาในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างผู้ที่มีความสนิทสนมกัน ในขณะที่ผู้บอกภาษาชาวญี่ปุ่น แม้ผู้ร่วมสนทนาจะมีความสนิทสนมกัน แต่ผู้พูดก็มักยังแสดงออกถึงความลังเลและความไม่หนักแน่น ทั้งการกล่าวถึงความคิดเห็นของผู้พูดเองและในการให้ข้อคิดเห็นต่อผู้อื่น
- Publicationการศึกษาเปรียบเทียบภาษาที่ใช้ในการเล่าเรื่องและการบอกวิธีทำจากความจำของเด็กชั้นประถมศึกษาปีที่ 3สิรินาถ ปริยวงศ์กร; Sirinat Pariyawongkorn (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2004)การศึกษานี้มีจุดประสงค์ที่จะเปรียบเทียบภาษาพูดและภาษาเขียนที่นักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 ใช้ในการเล่าเรื่อง “เพื่อน” ซ้ำ และบอกวิธีการวาดรูปหน้าแมว ผลการศึกษาแสดงว่า นักเรียนสามารถจำเรื่อง “เพื่อน” และขั้นตอนการวาดรูปหน้า แมวได้ทั้งหมด ในเรื่องเล่านักเรียนสามารถจำประเด็นหลักของเรื่อง ได้แก่ จุดเริ่มเรื่อง เหตุการณ์ยั่วยุ การพัฒนาความขัดแย้ง การคลี่คลายปัญหา และการสรุปภาษาที่นักเรียนใช้เล่าเรื่อง และบอกวิธีวาดรูปหน้าแมวมีบางส่วนที่เหมือนกับถ้อยคำที่ใช้ใน “ต้นฉบับ” บางส่วนก็เป็นภาษาของนักเรียนเอง และนักเรียนส่วนใหญ่สร้างเรื่องของตนเอง นักเรียนบางคนเพิ่มเติมรายละเอียดของเรื่อง โดยรวมนักเรียนให้รายละเอียดเมื่อเล่าเรื่องเป็นภาษาเขียนได้มากกว่าเมื่อเล่าปากเปล่า