การแปลภาษาจีน
Permanent URI for this collection
บทความวิจัย และบทความวิชาการด้านประเด็นเชิงภาษาศาสตร์ในการแปล กลวิธีการแปล การแปลวรรณกรรมและตัวบทเฉพาะด้าน การล่าม ฯลฯ
Browse
Browsing การแปลภาษาจีน by browse.metadata.researchtheme1 "การแปลวรรณกรรม"
Now showing 1 - 20 of 38
Results Per Page
Sort Options
- Publicationกลวิธีการแปลคำศัพท์ทางวัฒนธรรมจากภาษาจีนเป็นภาษาไทยในเรื่อง ร้านน้ำชา บทละครพูด 3 องก์ ของเหลาเส่อวิไล ลิ่มถาวรานันต์; ดารณี มณีลาภ; Limthawaranun, Wilai; Maneelap, Daranee (2022)บทความนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษากลวิธีการแปลคำศัพท์ทางวัฒนธรรมจากภาษาจีนเป็นภาษาไทยในบทละครพูด เรื่อง ร้านน้ำชา บทละครพูด 3 องก์ (《茶馆》) ของเหลาเส่อ (老舍) โดยสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระราชนิพนธ์แปลเป็นฉบับภาษาไทย การแปลคำศัพท์ทางวัฒนธรรมในบทละครพูดนี้ได้สะท้อนการใช้กลยุทธ์การแปลภาษาข้ามวัฒนธรรมที่มุ่งรักษาอัตลักษณ์ของภาษาต้นฉบับและการถ่ายทอดความหมายรวมถึงอรรถรสทางภาษา โดยใช้วิธีการแปลตามเป้าประสงค์ ดังนี้ การใช้วิธีการทับศัพท์ในชื่อตัวละคร ส่วนชื่อสถานที่และชื่อสิ่งของมักใช้วิธีการทับศัพท์ควบคู่กับการเพิ่มคำอธิบายในวงเล็บ การสร้างสีสันภาษาแปล โดยการใช้คำยืมภาษาต่างประเทศและคำศัพท์ที่ผู้อ่านคุ้นชิน ตลอดจนการใช้คำเรียกขานตามวัฒนธรรมของภาษาไทยเพื่อให้ผู้อ่านไม่รู้สึกแปลกแยก กรณีที่ไม่ปรากฏคำศัพท์และสำนวนในวัฒนธรรมไทยมักใช้การแปลความหมายกว้างเป็นความหมายแคบ ซึ่งทำให้ความหมายเจาะจงและชัดเจน การใช้สำนวนโวหารภาษาไทยในการแปลเพื่อสื่อความหมายและรสภาษาที่งดงาม และการแปลความหมายตามรูปแบบภาษาต้นฉบับ รวมถึงการใช้วิธีการอธิบายความหมายแฝงเป็นความหมายโจ่งแจ้งทำให้ความหมายแจ่มชัดและเป็นรูปธรรม
- Publicationกลวิธีการแปลวรรณคดีจีนอีโรติกเรื่อง จินผิงเหมย์ เป็นภาษาไทย โดยเนียนและสด กูรมะโรหิตประเทืองพร วิรัชโภคี; Wiratpokee, Pratuangporn (2022)งานวิจัยฉบับนี้ศึกษา ดอกเหมยในแจกันทอง ซึ่งเป็นบทแปลภาษาไทยของ จินผิง วรรณคดีจีนสมัยราชวงศ์หมิงในสามประเด็น ได้แก่ การแปลฉากสังวาส การแปลบทเพลงและกวีนิพนธ์ และการแปลคำทางวัฒนธรรม วัตถุประสงค์ในการศึกษา นอกจากเพื่อวิเคราะห์กลวิธีการแปลในสามประเด็นดังกล่าวแล้ว ยังได้ศึกษาอิทธิพลที่สังคมในขณะนั้นมีต่อการแปล โดยอ้างอิงทฤษฎีการเขียนใหม่ (rewriting) ของอ็องเดร เลอเฟอแวร์ (André Lefevere) ซึ่งประกอบด้วยสามปัจจัยหลัก ได้แก่ อุดมคติ (ideology) ประพันธศาสตร์ (poetics) และผู้อุปถัมภ์ (patronage) เป็นกรอบในการวิเคราะห์ ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อการแปล ดอกเหมยในแจกันทอง ในสามประเด็นข้างต้นแตกต่างกันออกไป โดยด้านอุดมคติ ส่งผลต่อการแปลฉากสังวาส เพราะสังคมไทยสมัยนั้นมองเรื่องเพศเป็นสิ่งที่ควรปกปิด ส่งผลให้ผู้แปลเลือกที่จะใช้คำที่ให้ความรู้สึกเย้ายวน ตัดทอนรายละเอียด แทนที่จะแปลฉากสังวาสใน จินผิงเหมย์ อย่างตรงไปตรงมา ปัจจัยด้านประพันธศาสตร์ สะท้อนให้เห็นผ่าน การเรียบเรียงเนื้อหาในบทแปลให้กระชับกว่าต้นฉบับภาษาจีน ที่แม้จะไม่สอดคล้องกับประพันธศาสตร์ของวรรณกรรมแปลในปัจจุบัน หากกลับเป็นแนวปฏิบัติที่แพร่หลายในยุคที่ ดอกเหมยในแจกันทอง ถูกผลิตออกมา สำหรับด้านผู้อุปถัมภ์ ซึ่งได้แก่หนังสือพิมพ์ แสนสุข และผู้อ่านในขณะนั้น อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ ดอกเหมยในแจกันทอง ต้องยุติการเผยแพร่ไปก่อนที่เนื้อหาจะจบ ทั้งยังมีการรวบเนื้อหาอย่างชัดเจนในระยะหลังของการเผยแพร่
- Publicationการก้าว “ไม่” ข้ามความเป็นอื่นด้านการแปลคำแสดงอาการใน พระราชนิพนธ์เรื่อง “แก้วจอมแก่น” ฉบับภาษาจีนLu, Dan; ขนิษฐา จิตชินะกุล; บุรินทร์ ศรีสมถวิล; Jitchinakul, Khanitta; Srisomthawin, Burin (2022)งานวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการก้าว “ไม่” ข้ามความเป็นอื่นด้านการแปลคำแสดงอาการซึ่งเป็นกริยาวลีที่มีโครงสร้างแบบ [กริยา+ส่วนขยาย] ในพระราชนิพนธ์เรื่อง “แก้วจอมแก่น” ฉบับภาษาจีนผลการศึกษาพบว่าผู้แปลก้าว “ไม่” ข้ามความเป็นอื่น 4 รูปแบบ ได้แก่ 1) การก้าว “ไม่” ข้ามในมิติวรรณศิลป์และภาพความคิด ผู้แปลไม่สามารถใช้ภาษาเชิงเปรียบเทียบที่แสดงให้เห็นภาพและอารมณ์ความรู้สึกเช่นเดียวกับ ฉบับภาษาไทย ทำให้ผู้อ่านชาวจีนไม่สามารถรับรู้ถึงแนวคิดของผู้ประพันธ์ฉบับภาษาไทยได้ 2) การก้าว “ไม่” ข้ามในมิติความหมายของภาษา ผู้แปลไม่สามารถถ่ายทอดความหมายให้สอดคล้องกับฉบับภาษาไทยได้ ทำให้ผู้อ่านชาวจีนเข้าใจคลาดเคลื่อนไปจากต้นฉบับภาษาไทย 3) การก้าว “ไม่” ข้ามในมิติความหมายของภาษาและภาพความคิด ผู้แปลไม่สามารถตีความหมายของคำแสดงอาการให้สอดคล้องกับฉบับภาษาไทย ทำให้ผู้อ่านชาวจีนไม่สามารถรับรู้ถึงอารมณ์ความรู้สึกเช่นเดียวกันกับผู้อ่านฉบับภาษาไทย 4) การก้าว “ไม่” ข้ามในมิติรสของคำผู้แปลไม่สามารถถ่ายทอดอรรถรสของคำแสดงอาการให้สอดคล้องกับฉบับภาษาไทย ทำให้ผู้อ่านชาวจีนไม่สามารถเห็นถึงภาพการเคลื่อนไหวของตัวละครได้อย่างชัดเจน ทั้งนี้ผู้วิจัยพบว่าสาเหตุที่ทำให้ผู้แปลก้าว “ไม่” ข้ามในมิติต่าง ๆ เป็นเพราะ ผู้แปลขาดความเข้าใจในบริบททางสังคมและวัฒนธรรม อีกทั้งมีข้อจำกัดในการเลือกสรรคำมาใช้เพื่อถ่ายทอดภาพความคิด ความหมายและอรรถรสตามต้นฉบับภาษาไทย
- Publicationการก้าว “ไม่” ข้ามความเป็นอื่นด้านภาษา กรณีศึกษาการแปลคำซ้อน 4 คำในนวนิยายเรื่อง “ข้างหลังภาพ” ของศรีบูรพาฉบับภาษาจีนCAI, SIYAO; บัวผัน สุพรรณยศ; บุรินทร์ ศรีสมถวิล; Suphanyot, Buaphan; Srisomthawin, Burin; บัวผัน สุพรรณยศ; บุรินทร์ ศรีสมถวิล (2022)บทความวิจัยเรื่องนี้มุ่งศึกษาการก้าว “ไม่” ข้ามความเป็นอื่นด้านการแปลคำซ้อน 4 คำในนวนิยายเรื่อง “ข้างหลังภาพ” ของศรีบูรพาฉบับภาษาจีน ผลการศึกษาพบว่า ผู้แปลก้าว “ไม่” ข้ามความเป็นอื่นด้านการแปลคำซ้อน 4 คำ มี 2 รูปแบบ คือ 1) การเลือกใช้คำที่ขาดอรรถรสทางวรรณศิลป์ และ 2) การแปลไม่ครบตามต้นฉบับ โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดการเลือกใช้คำที่ขาดอรรถรสทางวรรณศิลป์และการแปลไม่ครบตามต้นฉบับ หรือไม่สามารถเลือกใช้บทแปลที่ตรงกับเจตนารมณ์ของศรีบูรพาคือ ผู้แปลไม่สามารถเลือกใช้ภาษาในการสื่อความหมายได้ดีเท่ากับต้นฉบับภาษาไทย เพราะการแปลถอดความในภาษาจีนที่เป็นคำซ้อน 4 คำ ผู้แปลใช้คำในระดับทั่วไปเท่านั้น ทำให้ผู้อ่านไม่สามารถจินตนาการและรับรู้ความหมายได้ตามต้นฉบับ ไม่ว่าจะเป็นการใช้คำคล้องจองเพื่อให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจ หรือการเลือกใช้คำที่มีอรรถลักษณ์สื่อความหมายตามต้นฉบับ ดังนั้นฉบับแปลภาษาจีนจึงไม่สามารถสร้างจินตภาพที่เด่นชัด และสร้างความรู้สึกนึกคิด รวมถึงสื่ออารมณ์ให้กับผู้อ่านได้ตามจริง
- Publicationการก้าว “ไม่”ข้ามความเป็นอื่นด้านภาษาใน พระราชนิพนธ์เรื่อง “แก้วจอมซน”ฉบับพากย์จีนบุรินทร์ ศรีสมถวิล; 徐, 武林; Srisomthawin, Burin (2019)งานวิจัยฉบับนี้มุ่งศึกษาการ“ก้าว‘ไม่’ข้าม”ความเป็นอื่นด้านการใช้ภาษาในพระราชนิพนธ์ “แก้วจอมซน” ฉบับพากย์จีน ผลการศึกษาพบว่า ประเด็นที่ผู้แปล “ก้าว‘ไม่’ข้าม” ความเป็นอื่นด้านการใช้ภาษานั้น ประกอบด้วยการแปลศัพท์วัฒนธรรมไทย การแปลชื่อเฉพาะ การแปลคำนำหน้าชื่อ คำซ้อน เป็นต้น สาเหตุหลักที่ทำให้ผู้แปลแปลคลาดเคลื่อนจากต้นฉบับหรือไม่สามารถเลือกใช้บทแปลที่ตรงกับเจตนารมณ์ของผู้ประพันธ์นั้น คือ ผู้แปลไม่ได้ศึกษากลวิธีการใช้ภาษาของผู้ประพันธ์ก่อนที่จะลงมือแปล อีกสาเหตุหนึ่งคือ “แก้วจอมซน” ฉบับพากย์จีนไม่ได้ผ่านกระบวนการตรวจแก้ไขจากบรรณาธิการซึ่งเป็นบุคคลที่สามที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทางภาษาและวัฒนธรรมไทย-จีนก่อนตีพิมพ์เผยแพร่
- Publicationการเดินทางไกลอันซับซ้อนของฉากสังวาส จาก จินผิงเหมย์ สู่ ดอกเหมยในแจกันทองประเทืองพร วิรัชโภคี (2022)นวนิยายจีนโบราณเรื่อง จินผิงเหมย์ มีจุดเด่นอยู่ที่ฉากสังวาสอันรุนแรงระหว่างตัวละครต่างๆ ในเรื่อง จนส่งผลให้นวนิยายเรื่องนี้เคยเป็นหนังสือต้องห้ามในจีน บทความชิ้นนี้ว่าด้วยการถ่ายทอดฉากสังวาสเหล่านั้นออกไปภาษาไทย โดยเลือกศึกษาฉบับแปลโดยเนียน และสด กูรมะโรหิต ในชื่อว่า ดอกเหมยในแจกันทอง ซึ่งตีพิมพ์เป็นตอนๆ ลงหนังสือพิมพ์ระหว่าง พ.ศ. 2496 – 2498 ผลการศึกษาพบว่า กลวิธีการแปลฉากสังวาสใน ดอกเหมยในแจกันทอง คือการแปลโดยตัดทอนข้อมูลที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับกิจกรรมทางเพศ และเลี่ยงไปใช้คำที่ให้ความรู้สึกเย้ายวนมาแทนที่ สำหรับสาเหตุที่ทำให้นักแปลเลือกที่จะแปลฉากสังวาสในลักษณะนี้ อาจเป็นเพราะผู้แปลไม่ต้องการให้ผลงานของตนถูกสังคมตัดสินว่าเป็นงานอนาจาร นอกจากนี้ ยังอาจเป็นเพราะการเผยแพร่สิ่งพิมพ์ในลักษณะดังกล่าว เป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ. 2484 อีกด้วย
- Publicationการแปลชื่ออาหารในพระราชนิพนธ์แปลวรรณกรรมจีน ร่วมสมัยในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีประเทืองพร วิรัชโภคี; นุชนาท จันทร์เจือศิริ; Wiratpokee, Pratuangporn; Chunchuesiri, Nuchanat (2021)งานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาเกี่ยวกับกลวิธีการแปลชื่ออาหารในพระราชนิพนธ์แปลวรรณกรรมจีนร่วมสมัยในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยเลือกศึกษาเฉพาะประเภทร้อยแก้ว รวม 16 เรื่อง ทั้งนี้ได้แบ่งประเภทอาหารออกเป็น 3 ประเภท คือ อาหารคาว อาหารหวาน และเครื่องดื่ม ทั้งนี้ทฤษฎีที่นำมาใช้เป็นกรอบในการวิเคราะห์ได้แก่ กลวิธีการแปลของวิเนย์และดาร์เบลเนต์ ผลการศึกษาพบว่า ในการแปลชื่ออาหารคาวนั้น ปรากฎกลวิธีการแปลทั้งสิ้น 6 กลวิธี เรียงตามลำดับดังนี้คือ การแปลตรงตัว การดัดแปลง การแทนที่ทางวัฒนธรรม การใช้คำยืม การใช้คำยืมร่วมกับ การแปลตรงตัว และการแทนที่ทางวัฒนธรรมร่วมกันการดัดแปลงคิดเป็นร้อยละ 69.07 ร้อยละ 15.46 ร้อยละ 12.37 ร้อยละ 2.06 ร้อยละ 1.03 และร้อยละ 1.03 สำหรับชื่ออาหารหวานนั้น ปรากฎกลวิธีการแปลทั้งสิ้น 4 กลวิธี เรียงตามลำดับดังนี้คือ การแปลตรงตัว การใช้คำยืม การดัดแปลง และการใช้คำยืมร่วมกับการแทนที่ทางวัฒนธรรม คิดเป็นร้อยละ 68 ร้อยละ 20 ร้อยละ 8 และร้อยละ 4 สำหรับอาหารประเภทเครื่องดื่มนั้น ปรากฎกลวิธีการแปลทั้งสิ้น 4 กลวิธีตามลำดับดังนี้คือ การแปลตรงตัว การใช้คำยืม การใช้คำยืมร่วมกับการแปลตรงตัว และการดัดแปลง คิดเป็นร้อยละ 63.16 ร้อยละ 15.79 ร้อยละ 15.79 และร้อยละ 5.26 ตามลำดับ สรุปได้ว่า เมื่อทรงแปลชื่ออาหารจากภาษาจีนเป็นภาษาไทยกรมสมเด็จพระเทพฯ ทรงนิยมใช้การแปลตรงตัวเป็นหลัก และหากการแปลตรงตัวไม่สามารถกระทำได้ ก็จะทรงใช้กลวิธีอื่นเข้ามาช่วย เช่น การแทนที่ทางวัฒนธรรม การดัดแปลง และการยืมคำ เพื่อมุ่งเน้นให้พระราชนิพนธ์แปลสามารถอ่านได้อย่างลื่นไหลไปพร้อมกับซื่อตรงต่อต้นฉบับ
- Publicationการแปลแบบดัดแปลงนิยายอิงพงศาวดารจีนเรื่อง “ตั้งฮั่น” ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์กนกพร นุ่มทอง; Numtong, Kanokporn (2021)บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการแปลวรรณกรรมจีนเรื่อง “ตั้งฮั่น” เป็นภาษาไทย ซึ่งสันนิษฐานว่าแปลในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โดยใช้วิธีศึกษาเปรียบเทียบตัวบทนิยายอิงพงศาวดารเรื่องตั้งฮั่นกับต้นฉบับภาษาจีน มุ่งเน้นส่วนที่ต่างจากต้นฉบับภาษาจีน วิเคราะห์สาเหตุว่าเป็นไปโดยข้อจำกัดทางภาษาและวัฒนธรรม หรือเป็นไปเพื่อการสื่อสารทางการเมืองและสังคม ผลการศึกษาพบว่า “ตั้งฮั่น” ฉบับแปลต่างจากต้นฉบับค่อนข้างมาก โดยแบ่งการดัดแปลงได้เป็น 9 ประเภท คือ 1) การดัดแปลงจากการแบ่งบรรพและตอนให้เป็นการแปลต่อเนื่อง 2) การดัดแปลงร้อยกรองหรือบทเพลงด้วยการถอดความเป็นร้อยแก้วหรือตัดทิ้ง 3) การดัดแปลงร้อยแก้วด้วยการสรุปความหรือการตัดทิ้ง 4) การดัดแปลงข้อความ “ตามพงศาวดาร” และคำวิจารณ์ด้วยการเปลี่ยนให้เป็นตัวบท หรือตัดทิ้ง 5) การลำดับความใหม่ 6) การเติมความ 7) การตัดความ 8) การขยายความ 9) การย่อความ การดัดแปลงเหล่านี้มีทั้งที่เป็นไปเพื่อความสะดวกของผู้อ่านฉบับภาษาไทยและเพื่อวัตถุประสงค์ในการสื่อสารทางการเมือง โดยหวังผลในการโน้มน้าวใจให้ผู้อ่านรับรู้และศรัทธาในความชอบธรรมของราชวงศ์ในยุคสมัยที่มีการแปล สารของ “ตั้งฮั่น” สอดคล้องกับ “สามก๊ก”และ “ไซ่ฮั่น” อย่างแนบสนิท นิยายอิงพงศาวดารจีนทั้งสามเรื่องนี้เป็นหนึ่งในกลไกที่มีบทบาทในการหยิบยื่นการรับรู้และความเข้าใจแก่ผู้อ่านเพื่อสร้างความชอบธรรมและเสถียรภาพทางการปกครองในสมัยต้นรัตนโกสินทร์
- Publicationการวิจารณ์เปรียบเทียบวรรณกรรมเรื่อง 《狂人日记》ฉบับภาษาไทยสองฉบับพรรณทิพา อัศวเทพอุทัย; Asavatheputhai, Panthipa (2008)วรรณกรรมเรื่อง 《狂人日记》 นับว่าเป็นวรรณกรรมชิ้นเอกเรื่องหนึ่งของจีนในยุคสมัยใหม่ จึงมีผู้แปลออกมาเป็นภามาไทยหลายสำนวนด้วยกัน งานวิจัยบทนี้มุ่งศึกษา สำนวนการแปลวรรณกรรมเรื่อง 《狂人日记》 2 สำนวน คือ สำนวนของสำนักพิมพ์สาวน้อย ซึ่งตีพิมพ์ในพ.ศ.2521 และสำนวนของสำนักพิมพ์ชุมศิลป์ธรรมดา ซึ่งตีพิมพ์ในปี พ.ศ.2546 โดยวิเคราะห์จากมุมมองแบบมหภาค คือ การรักษาลีลาการประพันธ์ของผู้แปล และวิเคราะห์จากมุมมองแบบจุลภาค คือ การแปลชื่อเรื่องการแปลคำสรรพนาม การใช้ภาษา การเลือกใช้คำ ทั้งยังเสนอปัญหาที่พบในการแปลและแนวทางแก้ไข ซึ่งสำนวนแรกในงานวิจัยบทนี้จะหมายถึงสำนวนของสำนักพิมพ์สาวน้อย และสำนวนที่สองหมายถึงสำนวนของสำนักพิมพ์ชุมศิลป์ธรรมดา
- Publicationการศึกษากลวิธีการแปลทับศัพท์ของพยัญชนะต้น [r] ในบทธารณีสูตรของพระอโมฆวัชระจตุวิทย์ แก้วสุวรรณ์; Keawsuwan, Chatuwit (2017)บทความฉบับนี้นำเสนอกลวิธีการแปลบทธารณีสูตรที่แปลโดยพระอโมฆวัชระ อันเป็นบทสวดมนต์ของพุทธศาสนามหายาน นิกายมนตรยาน (密教) เนื้อหาของบทความแบ่งออกเป็นสี่หัวข้อดังต่อไปนี้ หัวข้อแรกคือความหมายของศาสนาพุทธ นิกายมนตรยาน หัวข้อที่สองคือประวัติโดยสังเขปของพระอโมฆวัชระ ตามมาด้วยหัวข้อความหมายของบทธารณีสูตร และกลวิธีในการแปลทับศัพท์บทธารณีสูตรพยางค์เสียงที่มีพยัญชนะต้น [r] จากภาษาสันสกฤตสู่ภาษาจีน
- Publicationการศึกษาการแปลคำ“到底”“ 原来” เป็นภาษาไทย : กรณีศึกษานิยาย ปู้ปู้จิงซินและฉบับแปลภาษาไทยอังศุธร จ้าวกวีพงศ์; Chaokaweepong, Angsutorn (2015)คำวิเศษณ์เสริมน้ำเสียง到底และ原来ถูกจัดให้เป็นคำเสริมน้ำเสียงคนละประเภท มีลักษณะทางวากยสัมพันธ์ อรรถศาสตร์และวัจนปฏิบัติศาสตร์ต่างกัน กล่าวคือ到底โดยทั่วไปอยู่หลังประธานและ原来โดยทั่วไปอยู่หน้าประธาน และทั้งสองคำสื่อความรู้สึกผู้พูดต่างกัน กล่าวคือ 到底มักใช้ในการถามหาข้อสรุปที่แท้จริง / แสดงข้อสงสัยและ原来มักใช้แสดงความรู้สึกรับรู้เรื่องราวที่แท้จริง แต่ทั้งสองคำสามารถแปลเป็นภาษาไทยว่า “ที่แท้” ได้เหมือนกัน จากการศึกษาพบว่าในเชิงวัจนะปฏิบัติศาสตร์原来มีลักษณะการใช้และสื่อความรู้สึกผู้พูดได้สอดคล้องกับ “ที่แท้” มากกว่า到底 ทั้งนี้ คำว่า “ที่แท้” ที่ปรากฏในนิยายไทยสามารถสื่อความหมายได้ทั้ง 到底และ原来 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบริบทที่ไปปรากฏ
- Publicationการศึกษาการแปลวรรณกรรมจีนเรื่องไซ่ฮั่นในสมัยรัชกาลที่ 1กนกพร นุ่มทอง (2009)งานวิจัยชิ้นนี้เป็นการศึกษาการแปลวรรณกรรมจีนเรื่องไซ่ฮั่นในสมัยรัชกาลที่ 1 ซึ่งแปลมาจากนิยายอิงพงศาวดารจีนเรื่อง "ซีฮั่นทงสูเหยี่ยนอี้" ของเจินเหว่ย นักประพันธ์ในสมัยราชวงศ์หมิง โดยผู้อำนวยการแปลคือสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระอนุรักษณ์เทเวศร์ กรมพระราชวังบวรสถาภิมุข (กรมพระราชวังหลัง) ด้วยสมัยนั้นไม่มีผู้รู้ภาษาไทยและภาษาจีนในบุคคลเดียวกัน จึงใช้วิธีการแปลแบบโดยคณะผู้แปล มีการแปลแบบถอดความและอาศัยการเรียบเรียงใหม่เป็นสำคัญ ผลการศึกษาพบว่า การแปลวรรณกรรมจีนเรื่องไซ่ฮั่นมีลักษณะดังต่อไปนี้ คือ มีการดัดแปลงขนบลีลาการประพันธ์ ขยายความ ย่อความ ตัดข้อความ เติมความ แปลคลาดเคลื่อน ดัดแปลงข้อความ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้ฉบับภาษาไทยมีส่วนที่ไม่ตรงกับฉบับภาษาจีนอยู่มาก นอกไปจากนั้นฉบับภาษาไทยมีความไม่เป็นเอกภาพในด้านวิธีการถอดเสียงภาษาจีน จากการศึกษาพบว่า ความไม่ตรงกันกับฉบับภาษาจีนนั้น ส่วนหนึ่งนั้นมีสาเหตุมาจากข้อจำกัดในด้านภาษาและวิธีการแปล ซึ่งคณะผู้แปลชาวจีนและชาวไทยไม่สามารถสื่อสารกันได้เข้าใจชัดเจน หรือมิฉะนั้นก็เป็นไปเพื่อมุ่งให้ผู้อ่านเข้าใจง่าย แต่อีกสาเหตุหนึ่งที่สำคัญคือ มาจากความจงใจของผู้แปลที่มุ่งวัตถุประสงค์ในด้านการเมืองการปกครอง โดยจงใจใช้วรรณกรรมเรื่องนี้เพื่อประโยชน์ในการกล่อมเกลาความคิดและความรู้สึกทางการเมืองของผู้อ่าน
- Publicationการศึกษางานแปลปรัชญานิพนธ์จีน สมัยต้นรัตนโกสินทร์ : กรณีศึกษาการแปลสุภาษิตขงจู๊ โดยพระอมรโมลี (จี่)ศิริวรรณ ลิขิตเจริญธรรม; 林, 饶美; Likhidcharoentham, Siriwan (2020)บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการแปลปรัชญานิพนธ์จีนเป็นภาษาไทยในยุคต้นรัตนโกสินทร์ ซึ่งถือเป็นการแปลปรัชญานิพนธ์จีนยุคแรกของไทย โดยงานปรัชญานิพนธ์จีนลำดับต้น ๆ ที่พบคือคัมภีร์หลุนอี่ว์[1] (论语)หรือชื่อภาษาไทยที่ใช้คือ สุภาษิตขงจู๊ อำนวยการแปลโดยพระอมรโมลี (จี่) เมื่อปีพ.ศ. 2369 เนื่องจากในสมัยนั้นไม่มีผู้รู้ภาษาจีนและไทยดีในบุคคลเดียวกัน การแปลจึงมีทั้งวิธีการถอดความ วิธีรวบรัดตัดย่อ รวมถึงวิธีการขยายความ เพื่อให้ผู้อ่านชาวไทยเข้าใจในสาระนั้นได้ง่ายขึ้น ผลการศึกษาพบว่า การแปลปรัชญานิพนธ์จีนคัมภีร์หลุนอี่ว์ สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นมีลักษณะต่อไปนี้ มีการตัดข้อความ ขยายความ ดัดแปลงข้อความ เพิ่มเติมตัวอย่างในข้อความต้นฉบับ รวมถึงนำข้อความจากปรัชญานิพนธ์จีนเล่มอื่นสอดแทรกเข้ามาในบทแปล ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้บทแปลภาษาไทยมีเนื้อหาที่ไม่ตรงกับต้นฉบับภาษาจีนอยู่มาก สำหรับการถอดเสียงภาษาจีนเป็นภาษาไทย พบว่าคำทับศัพท์ภาษาจีนในบทแปล เช่น ชื่อบุคคล ใช้ตามเสียงภาษาจีนฮกเกี้ยน(闽南话)สำเนียงจางโจว[2] อนึ่ง ผู้วิจัยคาดว่าวัตถุประสงค์หลักในการแปลปรัชญานิพนธ์เรื่องนี้ คือ ผู้แปลหมายจะเผยแพร่หลักปรัชญาและคุณธรรมในการดำเนินชีวิตของคนจีนสู่สังคมไทย
- Publicationการศึกษาปัญหาในการแปลวรรณกรรมแฟนตาซีจีนเป็นไทยนลิน ลีลานิรมล (2011)บทความนี้ศึกษาปัญหาที่พบในการแปลวรรณกรรมแฟนตาซีของจีนเป็นภาษาไทยเพื่อพิเคราะห์ลักษณะเฉพาะต่างๆ ของวรรณกรรมแฟนตาซีที่มีผลต่อการแปล ผู้ศึกษาแบ่งปัญหาที่พบออกเป็น ระดับคำ ระดับโครงสร้าง ระดับวัฒนธรรม และการเล่นภาษา พร้อมทั้งเสนอแนวทางแก้ไขโดยการเปรียบเทียบต้นฉบับกับบทแปลภาษาไทย จากการศึกษาพบว่าการแปลวรรณกรรมแฟนตาซีมีปัญหาเฉพาะที่แตกต่างจากการแปลวรรณกรรมทั่วไป อาทิ วรรณกรรมแฟนตาซีมักแฝงกลิ่นอายตะวันตก วัฒนธรรมที่สะท้อนอยู่ในตัวบทจึงผสมผสานกันทั้งตะวันออกและตะวันตก ดังนั้นนักแปลจึงต้องเลือกเฟ้นคำที่ให้อารมณ์เป็นสากลอีกด้วย บางครั้งอาจต้องเลือกใช้คำในภาษาตะวันตกมาช่วยในการแปล เป็นต้น
- Publicationการศึกษาเปรียบเทียบ "ตำราพิชัยสงครามชุนวู" ฉบับแปลภาษาไทยสามสำนวนพีรวัส วรมนธนาเกียรติ; Woramonthanakiat, Peerawas (2014)บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ศึกษาเปรียบเทียบวรรณกรรมจีน “ตำราพิชัยสงครามซุนวู” ฉบับแปลภาษาไทยสามสำนวน ในระดับคำและสำนวนของเสถียร วีรกุล อธิคม สวัสดิญาณ และบุญศักดิ์ แสงระวี กับต้นฉบับภาษาจีน มีเนื้อหาครอบคลุมทั้ง 13 บรรพ ผลการวิจัยพบว่า ฉบับแปลภาษาไทยทั้งสามสำนวนมีการแปลที่หลากหลายแนวทางเพื่อถ่ายทอดเนื้อความจากต้นฉบับมาสู่บทแปล ซึ่งเกิดจากสาเหตุสามประการคือ ประการที่หนึ่ง การถ่ายทอดความหมายของทั้งสามสำนวนเป็นการแปลที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตน ประกอบด้วยการใช้คำหรือภาษาเก่า การใช้ภาษาเรียบง่ายสั้นกระชับ วาทศิลป์ในงานแปล และช่วงเวลาในการแปล ประการที่สอง กลวิธีการแปลมี 4 ลักษณะ ได้แก่ การแปลโดยนำสำนวนไทยมาเทียบเคียง การแปลแบบขยายความ การแปลแบบตรงตัว การแปลแบบใช้โวหารภาพพจน์ และประการที่สาม ปัจจัยทางวัฒนธรรมที่มีผลต่อการถ่ายทอดตัวบท อันเนื่องจากเงื่อนไขทางวัฒนธรรมบางอย่างที่ไม่อาจเทียบกันระหว่างต้นฉบับกับงานแปล ได้แก่ สถานที่ เวลา และมาตราวัด เป็นต้น สาเหตุดังกล่าวส่งผลให้ผลตอบสนองของผู้รับสารฉบับแปลทั้งสามมีความเหมือนและความต่าง
- Publicationการศึกษาเปรียบเทียบ หลีเซา ฉบับแปลภาษาไทยสองฉบับZhao, Yinchuan (2022)งานนิพนธ์ชิ้นนี้มุ่งที่จะศึกษาเปรียบเทียบ หลีเซา ฉบับแปลภาษาไทย ซึ่งเป็นบทแปล หลีเซา เพียงสองสำนวนที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในปัจจุบัน โดยจะศึกษาจากมุมมองการวิจัยการแปลเชิงภาษาศาสตร์ ด้านหนึ่ง ศึกษางานแปลมีความหมายที่ซื่อตรงต่อต้นฉบับหรือไม่ มีภาษาที่ลื่นไหลและเป็นภาษาที่มีระดับเท่าเทียม กับต้นฉบับหรือไม่ รวมทั้งงานแปลมีลีลาสอดคล้องกับต้นฉบับหรือไม่ด้วยหลักการแปล “ซิ่น (信)ต๋า (达) เชี่ย (切)” อีกด้านหนึ่ง วิเคราะห์ข้อผิดพลาดหรือความไม่สมบูณ์ของงานแปล เพื่อชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของการดำเนินการแปลระหว่างผู้แปลทั้งสองจะส่งผลอย่างไรต่อคุณภาพงานแปล
- Publicationการศึกษาเปรียบเทียบการแปลวรรณกรรมเรื่อง “เดือนเสื้ยว” 《月牙儿》สองสำนวนพรรณทิพา อัศวเทพอุทัย (2015)การวิจัยนี้เป็นการศึกษาเปรียบเทียบวรรณกรรมเรื่อง《月牙儿》ของท่าน 老舍 ฉบับภาษาจีนกับ “เดือนเสี้ยว” ฉบับแปล 2 สำนวน คือ สำนวนของสำนักพิมพ์ ภาษาต่างประเทศ ตีพิมพ์ใน พ.ศ. 2528 และสำนวนของอนิวรรตน์ ตีพิมพ์ในพ.ศ. 2550 ผู้วิจัยได้แบ่งหัวข้อศึกษาเปรียบเทียบสำนวนแปลทั้ง 2 สำนวน โดยวิเคราะห์จาก มุมมองแบบมหภาค คือ การรักษาลีลาการประพันธ์ของผู้แปล และ วิเคราะห์จากมุมมองแบบ จุลภาค คือ กลวิธีการแปลที่ผู้แปลเลือกใช้ การเลือกใช้คำและโครงสร้างประโยค การ ดัดแปลงสำนวนให้เข้ากับวัฒนธรรมปลายทาง การแปลคำอุปมาอุปไมย การแปลสิ่งที่ไม่ ปรากฏหรือไม่เป็นที่รู้จักในวัฒนธรรมของภาษาแปล ฯลฯ พร้อมทั้งประเมินฉบับแปลทั้ง 2 สำนวน และเสนอปัญหาที่พบในการแปลและแนวทางแก้ไข
- Publicationการศึกษาเปรียบเทียบการแปลสำนวนในเฟิงเสินเหยี่ยนอี้กับ ห้องสินฉบับพากย์ไทยสมัยรัชกาลที่สองและสำนวนแปลของ วิวัฒน์ ประชาเรืองวิทยบุรินทร์ ศรีสมถวิล (2013)งานวิจัยฉบับนี้มุ่งศึกษาเปรียบเทียบการแปลสำนวนในเฟิงเสินเหยี่ยนอี้กับห้องสิน ฉบับพากย์ไทยสมัยรัชกาลที่สองและสำนวนแปลของวิวัฒน์ ประชาเรืองวิทย์ ผลการศึกษา พบว่า “ห้องสินฉบับพากย์ไทยสมัยรัชกาลที่สอง” แปลโดยการละ มากที่สุด พบจำนวนทั้งสิ้น 98 สำนวน คิดเป็นร้อยละ 69.01 ของสำนวนตัวอย่างทั้งหมด ส่วนใน “ฮ่องสิน ประกาศิต แต่งตั้งเทพเจ้า สำนวนแปลของวิวัฒน์ ประชาเรืองวิทย์” ใช้วิธีการแปลตรง จำนวนทั้งสิ้น 138 สำนวน คิดเป็นร้อยละ 97.18 ของสำนวนตัวอย่างทั้งหมด สาเหตุที่ทำให้ฉบับแปลทั้ง สองสำนวนใช้กลวิธีการแปลต่างกัน คือ ยุคสมัยกับผู้แปล “ห้องสิน” แปลในสมัย รัตนโกสินทร์ตอนต้นที่มีข้อจำกัดในด้านความรู้เรื่องจีนศึกษา และไม่มีผู้เชี่ยวชาญทั้ง ภาษาไทยและภาษาจีนในบุคคลเดียวกัน ผู้แปลจึงเป็นคณะบุคคลที่อาจสื่อสารไม่เข้าใจกันได้ โดยตลอด การแปลจึงเป็นการแปลแบบเก็บความและเป็นการแปลสองทอด การถ่ายทอด เนื้อหาทางวัฒนธรรมบางประการผ่านสำนวนจีนจึงอาจไม่ครบถ้วน นอกจากนี้ ในยุค รัตนโกสินทร์ตอนต้นนิยมใช้ลีลาภาษาร้อยแก้วเชิงวรรณศิลป์ร่วมสมัยในยุคนั้น การแปล สำนวนจึงมีการตกแต่งโวหารให้สละสลวย สั้น กระชับ ส่วน“ฮ่องสิน” แปลขึ้นในสมัย ปัจจุบัน ตีพิมพ์เผยแพร่ในปี 2551 แปลและเรียบเรียงขึ้นจากผู้มีความรู้ทั้งภาษาจีนและ ภาษาไทยในบุคคลเดียวกัน ไม่ได้มีข้อจำกัดในด้านการแปล เช่น ความรู้ด้านจีนศึกษา เป็น ต้น ประกอบกับทฤษฎีความรู้ด้านการแปลพัฒนาเป็นวิชาการมากขึ้น “ฮ่องสิน” ฉบับ ปัจจุบันจึงใช้การแปลตรง เพื่อประโยชน์ต่อการศึกษารูปแบบทางภาษาและการแปลเชิง วิชาการ
- Publicationการศึกษาเปรียบเทียบความเปรียบ “ไซ่ฮั่น” ฉบับภาษาจีน กับฉบับแปลภาษาไทยพัชรินทร์ อนันต์ศิริว; ภูริวรรณ วรานุสาสน์; Liu, Jian Lu; Anunsiriwat, Patcharin; Waranusast, Puriwan (2017)งานวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิเคราะห์เปรียบเทียบการใช้สำนวนภาษาความเปรียบของวรรณกรรมเรื่องไซ่ฮั่นฉบับภาษาจีนกับฉบับแปลภาษาไทย ถึงความคล้ายคลึงหรือแตกต่างระหว่างความเปรียบของวรรณกรรมทั้งสองภาษา ผลการศึกษาพบว่า ความเปรียบ ’เหมือน’ และความเปรียบ ’เป็น’ ที่ปรากฏในวรรณกรรมแปลพงศาวดารจีนเรื่องซีฮั่นเหยี่ยนอี้ (西汉演义 xi han yan yi) เป็นฉบับภาษาไทย สรุปได้ว่ามีวิธีการแปล 2 ประเภท ได้แก่ 1. การแปลที่ผู้เรียบเรียงเป็นฉบับภาษาไทยตัดข้อความการเปรียบเทียบในต้นฉบับภาษาจีนออก ทั้งนี้อาจเพราะเป็นข้อความนั้นไม่สำคัญ หรือเข้าใจยาก เป็นสิ่งที่คนไทยไม่รู้จัก ไม่เคยพบ เพราะสะท้อนแนวคิดด้านวัฒนธรรมที่ต่างไปจากของไทย 2. การแปลเป็นฉบับภาษาไทยโดยผู้เรียบเรียงเพิ่มเติมการเปรียบเทียบทั้งๆ ที่ฉบับภาษาจีนไม่มีการเปรียบเทียบ
- Publicationการศึกษาเปรียบเทียบนวนิยายจีน เจีย กับฉบับแปลภาษาไทย บ้านณัฐนันท์ ติยานนท์ (2014)งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการถ่ายทอดตัวบทจากนวนิยายจีน เจีย สู่ฉบับแปลภาษาไทย บ้าน ผลการวิจัยพบว่าประการแรกในด้านโครงสร้างทางภาษาทั้งระดับคำและระดับประโยคมีการเพิ่มเติม ตัดทอน ปรับคำหรือข้อความนั้นให้สอดคล้องกับบริบทและการถ่ายทอดตัวบทที่ตรงเกินไป ประการที่สองกลวิธีทางภาษาที่โดดเด่นในนวนิยายจีน เจีย นั้นเป็นการใช้ภาษาภาพพจน์ (figurative language) มีหลายวิธีด้วยกัน อาทิ อุปมา อุปลักษณ์ บุคลาธิษฐาน สัญลักษณ์ สัทพจน์และอติพจน์ซึ่งสามารถอธิบายตามความหมายและโครงสร้างภาษาจีน หรือการปรับเปลี่ยนคำหรือโครงสร้างใหม่โดยให้สอดคล้องกับภาษาไทย ประการที่สามภูมิหลังทางสังคมวัฒนธรรมที่แตกต่างกันของแต่ละชาติมีอิทธิพลต่อการถ่ายทอดความหมายหรือที่เรียกว่า “เอกลักษณ์” ทางภาษา