การสอนภาษาจีน
Permanent URI for this collection
บทความวิจัย และบทความวิชาการด้านการเรียนการสอนภาษาจีน วิธีการสอน กระบวนการเรียนรู้ภาษาจีน การสอบวัดระดับความรู้ภาษาจีน ฯลฯ
Browse
Browsing การสอนภาษาจีน by browse.metadata.researchtheme1 "วิธีการสอน"
Now showing 1 - 20 of 34
Results Per Page
Sort Options
- PublicationAnalysis of the Application of Color Psychology Practices in Teaching Mandarin Pridipanomyong International College -Thammasat UniversityWang, Chunyu (2020)The purpose of this study is to investigate the impact of color psychology on different fields and specifically it’s suitable use for teaching Chinese as a second language (CSL /CFL)to foreigners as well. This paper examines the psychological effects of color on memory as it relates to education. The study analyses the effect of colors that have both long-waves and short-waves. Selecting the correct color has the effect of establishing positive emotions and enhancing memory with respect to learning. In this paper, through the study and practical application of color psychology in our teaching, it finally forms a theory about color psychology as one of the auxiliary means in teaching. The combination of educational psychology to study the influence of color is not just a simple cognitive category. Our findings suggest that color-psychological effects are one of the theoretical means to the support our educational activities and can be used to complete teaching tasksmoreeffectively and efficiently .
- PublicationBOPPPS教学模型在泰国汉语文化教学中的运用研究Pan, Lei; 潘, 蕾 (2021)在中泰两国学者的共同努力下,泰国汉语教学在语言技能教学方面的研宄逐渐走向成熟,无论是对语言技能教学的课堂设计、实践以及评估方面等获得了许多优秀成果。但是学生的汉语交际能力水平的提升仍然达不到令人满意的水平,究其原因是泰国汉语教学过程中的文化教学仍然不足。为了提升泰国汉语教学中文化教学的质量,本文首先研究了泰国汉语教学中文化教学的理论和原则,其次从教学导入、目标、前测、参与式学习、后测及总结六个方面对在泰国汉语文化教学中使用 BOPPPS 教学模型的具体实践方法进行详细探讨,以期该教学模型能为泰国汉语教学中的文化教学提供可借鉴的思路和教学方法。
- PublicationCIPPA 教学模式在泰国汉语课堂教学中的应用Zhou, Wenkang; Saema, Monlurdee; 周, 文糠; 马, 如丽 (2021)本文以泰国清莱皇家大学教育学院基础汉语班的 29 名学生为研究对象,然后采用 CIPPA 教学模式进行教学实践。研究目的是设计泰国清莱皇家大学教育学院基础汉语班汉语综合课的 CIPPA 教学模式教案,考察泰国清莱皇家大学教育学院基础汉 语班的学生使用 CIPPA 教学模式教案进行教学的有效度。研究工具包括 CIPPA 教学模式教案、前测与后测试卷。以实验法,采取“单一组前测与后测设计”的方法来考察教师使用 CIPPA 教学模式进行教学前后学生学习成绩的变化,利用平均值(x̄)、标准差(S.D.)、E1/E2、T-TEST 来进行数据统计分析。通过分析得出以下结论:通过对实验过程有效率和实验结果有效率的比较,E1/E2分别为:85 和 82.76, CIPPA 教学模式教案的有效度达到实验前假设为:80/80 的标准,这说明 CIPPA 教学模式教案具有一定的可靠性。通过对比学生前后测测试成绩的数据发现:学生的后测成绩的平均值为:41.38,高于前测成绩的平均值:33.21,显著性小于 0.01,测验的结果显著。表明学生在教师使用 CIPPA 教学模式进行教学之后,学生的汉语学习成绩得到了明显的提高。
- Publicationกลยุทธ์การสอนตัวอักษรจีนสำหรับผู้เรียนชําวไทยจารุวรรณ เดชฤทธิ์ตันติกร; ปุนญิศา คงทน; ภัณวิตา ชีวผาติ; Detrittantikon, Jaruwan; Khongthon, Punyisa; Cheewapati, Panwita (2021)การเรียนตัวอักษรจีนเป็นพื้นฐานของการอ่านและการเขียนภาษาจีนเป็นองค์ประกอบสำคัญในด้านการเรียนการสอนภาษาจีนที่ทั้งผู้สอนและผู้เรียนไม่สามารถมองข้ามได้ ในการเรียนภาษาจีนโดยทั่วไปแล้วมักพบปัญหาเรื่องการเขียนตัวอักษรจีนของผู้เรียนคือ การผิดพลาดของเส้นขีด ทิศทางการเขียนเส้นขีดและลำดับขีดของอักษรจีน ความไม่เข้าใจตัวอักษรจีนโครงสร้างเดี่ยวและโครงสร้างรวม เนื่องจากผู้เรียนส่วนใหญ่ขาดความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับตัวอักษรจีน ไม่มีเทคนิคหรือกลยุทธ์ในการเขียนตัวอักษรจีน ทำให้เมื่อเรียนไปจนถึงระดับหนึ่งจะรู้สึกว่า ตัวอักษรจีนเรียนยาก เขียนยาก จนทำให้เกิดความรู้สึกท้อถอยและหมดกำลังใจในการเรียนภาษาจีน ดังนั้นถ้าผู้เรียนทราบถึงปัญหาในการเรียนตัวอักษรจีนอย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรมรวมถึงเทคนิคและกลยุทธ์ในการเขียนตัวอักษรจีนจะทำให้ผู้เรียนไม่รู้สึกเบื่อตัวอักษรจีน รวมถึงสามารถช่วยลดข้อผิดพลาดในการเขียนตัวอักษรจีนได้ด้วย บทความฉบับนี้จึงเขียนขึ้นมาเพื่อรวบรวมปัญหาและเสนอแนะกลยุทธ์ในการสอนตัวอักษรจีนสำหรับผู้เรียนชาวไทย โดยผู้สอนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนตัวอักษรจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยนำเสนอข้อมูลตามลำดับดังนี้ (1) ความรู้ในการสอนตัวอักษรจีนโดยสังเขป(2) ปัญหาการเรียนรู้ตัวอักษรจีนของผู้เรียนชาวไทย (3) กลยุทธ์ในการสอนตัวอักษรจีนสำหรับผู้เรียนชาวไทย (4) สรุป
- Publicationการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนภาษาจีนที่เน้นภาระงานศศิณัฎฐ์ สรรคบุรานุรักษ์; Sankaburanurak, Sasinat (2017)ภาษาเป็นเครื่องมือสำคัญที่มนุษย์ใช้ในการสื่อสาร สื่อความหมาย การเรียนภาษาต่างประเทศใดๆ ก็ตาม ล้วนมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ สามารถประยุกต์ใช้ภาษาต่างประเทศนั้นในการติดต่อสื่อสารเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน ในด้านการสอนก็เช่นกัน ล้วนมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ภาษา และสามารถสื่อสาร สื่อความหมายกับเจ้าของภาษาได้อย่างถูกต้อง ในช่วงปลายยุคศตวรรษที่ 20 ได้เกิดแนวคิดการสอนที่เน้นภาระงาน เป็นแนวคิดการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยมีหลักการและกระบวนการจัดการเรียนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนฝึกการเรียนรู้ภาษาผ่าน “ภาระงานหรืองานปฏิบัติ” หรือเรียกว่า “การเรียนภาษาจากการปฏิบัติจริง” โดยมีการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นหลัก การสอนภาษาจีนเป็นภาษาต่างประเทศได้รับอิทธิพลการสอนภาษาที่เน้นภาระงาน (Task based Learning) ตั้งแต่ช่วงยุคต้นศตวรรษที่ 21 เป็นต้นมา ถึงแม้จะไม่ได้รับความนิยมมากนักเมื่อเทียบกับการสอนภาษาอังกฤษด้วยภาระงาน แต่ก็มีนักวิชาการชาวจีนจำนวนไม่น้อยที่ทำการศึกษาค้นคว้าและวิจัยเกี่ยวกับการสอนภาษาจีนด้วยภาระงาน อันเป็นประโยชน์ต่อวงการการสอนภาษาจีนเป็นภาษาต่างประเทศเป็นอย่างมาก ซึ่งจะเป็นแนวทางสำหรับผู้สอนภาษาจีนในอนาคตต่อไป
- Publicationการใช้เกมในการสอนภาษาจีน สำหรับนิสิตชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาการจัดการธุรกิจการบิน มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิตนฤชล สถิรวัฒน์กุล; Sathirawatkul, Naruchol (2020)การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีนโดยใช้เกมในการสอน สำหรับนิสิตชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิตให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 และเปรียบเทียบทักษะการอ่านภาษาจีนของนิสิตชั้นที่ปี 3 ที่เรียนโดยการใช้เกมในการสอนกับการเรียนแบบปกติ กลุ่มตัวอย่างคือ นิสิตชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาการจัดการธุรกิจการบิน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต จำนวน 2 ห้องเรียน รวม 114 คน ได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมในการสอนภาษาจีน รายวิชาภาษาจีนเพื่ออุตสาหกรรมบริการ 1 และแบบทดสอบทักษะการอ่านภาษาจีน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยโดยใช้สถิติ t-test ผลการวิจัยพบว่า 1) แบบฝึกทักษะการอ่านภาษาจีนโดยใช้เกมในการสอนสำหรับนิสิตชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต มีประสิทธิภาพ (E1/E2) เท่ากับ 81.38/82.89 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 2) นิสิตที่เรียนโดยใช้เกมในการสอนมีทักษะการอ่านภาษาจีนสูงกว่านิสิตที่เรียนโดยใช้การสอนแบบปกติ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
- Publicationการใช้ตัวแบบโครงสร้างมูลฐานของเหตุการณ์กับการสอนส่วนเสริมบอกผลในภาษาจีนธีรวัฒน์ ธีรพจนี; Theerapojjanee, Theerawat (2012)บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอแนะแนวทางทางเลือกในการสอนรูปประโยคภาษาจีนที่ประกอบด้วยส่วนเสริมบอกผล (หรือโครงสร้างกริยา-ผล) โดยใช้ตัวแบบโครงสร้างมูลฐานของเหตุการณ์ซึ่งเป็นผลจากการวิจัยเพื่อแก้ไขปัญหาความสับสนในการใช้รูปประโยกนี้ของผู้เรียนชาวไทย โดยมีลำดับการสอน 3 ขั้นตอนดังนี้ 1) กำหนดส่วนประกอบในตัวแบบ 2) ตัดส่วนประกอบที่ซ้ำซ้อน 3) แปรเป็นประโยคภาษาจีน
- Publicationการใช้วิธีการสอนแบบร่วมมือโดยใช้กรณีศึกษาในการพัฒนาการอ่านออกเสียงภาษาจีน ในรายวิชาสัทศาสตร์จีนกิตติญา ตุ้ยคำ; อภิชาติ เลิศพินิจอมรกุล; ธีวรา จันทรสุรีย์ (2019)งานวิจัยการใช้วิธีการสอนแบบร่วมมือโดยใช้กรณีศึกษาในการพัฒนาการอ่านออกเสียงภาษาจีนในรายวิชาสัทศาสตร์จีน วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและพัฒนาวิธีการสอนแบบร่วมมือโดยใช้กรณีศึกษาในการพัฒนาการอ่านออกเสียงภาษาจีนในรายวิชาสัทศาสตร์จีนโดยกลุ่มตัวอย่างคือนักศึกษาชั้นปีที่ 1 หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิตสาขาวิชาภาษาจีน จำนวน 28 คนเครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย 1) แบบประเมินก่อนและหลังเรียน 2) แผนการจัดการเรียนรู้ 3) แบบบันทึกการทดลอง(case study) 4) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 5) แบบประเมินความพึงพอใจ โดยผลการวิจัยหลังจากการใช้วิธีการสอนแบบร่วมมือโดยใช้กรณีศึกษาในการพัฒนาการอ่านออกเสียงภาษาจีนในรายวิชาสัทศาสตร์จีน พบว่า1) คะแนนหลังสอบ(= 15.54) มากกว่าคะแนนก่อนสอบ(= 11.61) 2) ประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้รูปแบบกลุ่มร่วมมือและแบบบันทึกการทดลอง (case study) คิดเป็นร้อยละ 80.93/81.6 ซึ่งเป็นผลมาจากการวางแผนการสอนอย่างละเอียดกำหนดจุดมุ่งหมายของบทเรียนกำหนดขนาดของกลุ่มกำหนดบทบาทของสมาชิกแต่ละคนอย่างชัดเจนนอกเหนือจากนั้นยังมีสื่อการสอนที่ช่วยในการฝึกฝนการอ่านออกเสียงพินอินภาษาจีนเช่นตารางการออกเสียงหลักการออกเสียงพินอินจีน《 汉语拼音方案 Scheme of the Chinese Phonetic Alphabet 》ตารางฝึกผันเสียงการออกเสียงพินอินจีนและเครื่องมือช่วยการอ่านออกเสียงพินอินภาษาจีน《 汉语教学有声挂图 Chinese Audio Primer 》จาก《 孔子学院总部/国家汉办 》Hanban Confucius Institute Headquarters) มีการยกตัวอย่างปัญหาการอ่านออกเสียงโดยอ้างอิงจากประสบการณ์สอนและยืนยันโดยผลงานวิจัยเรื่อง “การศึกษาปัญหาการออกเสียงภาษาจีนของนักศึกษาสาขาวิชาภาษาจีนธุรกิจวิทยาลัยนานาชาติมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่”เพื่อเป็นตัวอย่างให้นักศึกษาได้เกิดการวิเคราะห์ทั้งยังได้มีการชี้แจงและอธิบายเหตุผลในการดำเนินการต่างๆ รายละเอียดของงานและขั้นตอนในการทำงานทั้งเกณฑ์การวัดและประเมินผลเพื่อให้สอดคล้องกับทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือเกิดกระบวนการเรียนการสอนแบบ “CIRC” ทำให้ผลการทดลองไปตามเกณฑ์ร้อยละ 80/80 ที่กำหนดไว้ 3) ความพึงพอใจต่อการใช้วิธีการสอนแบบร่วมมือโดยใช้กรณีศึกษาในการพัฒนาการอ่านออกเสียงภาษาจีนในรายวิชาสัทศาสตร์จีนเฉลี่ยรวมอยู่ที่ 4.147 อยู่ในระดับมาก
- Publicationการพัฒนาทักษะการพูดภาษาจีนกลางโดยใช้กิจกรรมบทบาทสมมติตามแนวทางการสอนแบบ Active Learning ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเทศบาล ๑ ศรีเกิด อำเภอเมือง จังหวัดเชียงรายอนงนาฎ กมลรัตน์; ฐนน พูนทรัพย์ไพศาล; Kamonrat, Anongnat; Phunsapphaisan, Thanon (2018)การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์การใช้กิจกรรมบทบาทสมมติในการพัฒนาทักษะด้านการพูดภาษาจีนกลาง กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/3 ประจำภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 โรงเรียนเทศบาล ๑ ศรีเกิด อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย จำนวน 34 คน ซึ่งเรียนวิชาภาษาจีนเพื่อการสื่อสาร ใช้ระยะเวลาในการทดลอง 5 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 คาบ รวม 15 คาบ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยและเก็บข้อมูล คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นการใช้กิจกรรมบทบาทสมมติ จำนวน 8 แผ่น 2) แบบประเมินทักษะการพูดภาษาจีนทั้งก่อนและหลัง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าเฉลี่ยร้อยละ และความแตกต่างของค่าเฉลี่ย (t-test for dependent samples) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้คอมพิวเตอร์โปรแกรมประมวลผลสำเร็จรูปผลการวิจัย พบว่า ค่าเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ของการใช้บทบาทสมมติเพื่อพัฒนาทักษะการพูดภาษาจีนกลาง สูงกว่า ร้อยละ 91.85 และความสามารถในการพูดภาษาจีนเพื่อการสื่อสารโดยใช้กิจกรรมบทบาทสมมติของผู้เรียน สูงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
- Publicationการพัฒนาทักษะการพูดภาษาจีนของนักศึกษาสาขาวิชาภาษาจีน คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม โดยใช้กิจกรรมบทบาทสมมุติฮวานฮวาน หม่า; ชมพูนุท เมฆเมืองทอง; นิรุต ถึงนาค; Ma, Huanhuan; Makemuengthong, Chompunut; Thungnak, Nirut (2019)การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ 1) พัฒนาทักษะการพูดภาษาจีนโดยใช้กิจกรรมบทบาทสมมติ สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาภาษาจีน ชั้นปีที่ 1 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ให้มีประสิทธิภาพ ตามเกณฑ์เป้าหมายที่ตั้งไว้ E1/E2 = 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการพูดภาษาจีนของกลุ่มตัวอย่างหลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 70 และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ภาษาจีนโดยใช้กิจกรรมบทบาทสมมติที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาจีน ชั้นปีที่ 1 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ภาคเรียนที่1 ปีการศึกษา 2562 จำนวน 1 หมู่เรียน โดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) จำนวน 42 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แผนการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการพูดภาษาจีนโดยใช้กิจกรรมบทบาทสมมติ 5 สถานการณ์ คือการแนะนำตัว ครอบครัวของฉัน งานอดิเรก ถามทาง และซื้อของ จำนวน 5 แผน ผ่านการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญ 3ท่าน ตรวจให้คะแนนผลการประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการพูดภาษาจีนโดยใช้กิจกรรมบทบาทสมมติโดยภาพรวมอยู่ในระดับเห็นด้วยอย่างยิ่ง ( = 4.73) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซึ่งใช้วัดทักษะการพูดภาษาจีน ที่มีค่าค่าดัชนีความสอดคล้องพบว่า 1.00 ทุกข้อ ค่าอำนาจจำแนกมากกว่า 0.2 ทุกข้อ และค่าความยากง่ายอยู่ระหว่าง 0.2-0.8 เมื่อวิเคราะห์ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับโดยวิธีของ Kuder-Richardson KR20 เท่ากับ 0.990 และแบบประเมินความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการสอนหรือการพัฒนาทักษะการพูดภาษาจีนโดยใช้กิจกรรมบทบาทสมมติ เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ ผ่านการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 คน ตรวจให้คะแนนผลการประเมินความเหมาะสมซึ่งมีความเหมาะสมทุกรายการประเมิน การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าร้อยละ สถิติทดสอบ t-test (One-Samples) ผลการวิจัยพบว่า 1.ประสิทธิภาพของการพัฒนาทักษะการพูดภาษาจีนโดยใช้กิจกรรมบทบาทสมมติสำหรับนักศึกษาสาขาวิชาภาษาจีน ชั้นปีที่ 1 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม มีประสิทธิภาพของ E1/ E2 เท่ากับ 85.12/85.29 ซึ่งมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 ที่กำหนดไว้ 2. ทักษะการพูดภาษาจีนของนักศึกษาสาขาวิชาภาษาจีน ชั้นปีที่ 1 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม หลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3. นักศึกษาสาขาวิชาภาษาจีน ชั้นปีที่ 1 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคามมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ภาษาจีนโดยใช้กิจกรรมบทบาทสมมติ โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.36, S.D. = 0.56) และเมื่อพิจารณารายด้านพบว่าด้านเนื้อหา มีความพึงพอใจสูงสุดอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.55, S.D. = 0.54) อีก 3 ด้าน อยู่ในระดับมาก กล่าวคือด้านด้านผู้สอน ( = 4.42, S.D. = 0.56) ด้านการ วัดและประเมินผล ( = 4)
- Publicationการพัฒนาทักษะการฟังและการพูดภาษาจีนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 4 MAT ประกอบแบบฝึกทักษะคำศัพท์พื้นฐานภาษาจีนกลาง สำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 1 หลักสูตรสาขาวิชาภาษาจีน คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคามเหิง หวาง; ชมพูนุท เมฆเมืองทอง; นิรุต ถึงนาค; Wang, Heng; Makemuengthong, Chomphunut; Thungnak, Nirut (2019)การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 4MAT ประกอบแบบฝึกทักษะคำศัพท์พื้นฐานภาษาจีนกลาง ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ E1/E2=80/80 2) ศึกษาดัชนีประสิทธิผลของกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมการเรียนรแู้ บบ 4 MAT ประกอบแบบฝึกทักษะคำศัพท์พื้นฐานภาษาจีนกลาง 3)เปรียบเทียบทักษะการฟังและการพูดภาษาจีนของนักศึกษา ก่อนและหลังเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 4 MAT ประกอบแบบฝึกทักษะคำศัพท์พื้นฐานภาษาจีนกลาง 4) เปรียบเทียบทักษะการฟังและการพูดภาษาจีนของนักศึกษาก่อนเรียนที่มีทักษะการฟังและการพูดภาษาจีนแตกต่างกัน หลังจากได้รับจากการจัดการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 4 MAT ประกอบแบบฝึกทักษะคำศัพท์พื้นฐานภาษาจีนกลางและ 5) ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่ได้รับจากการจัดการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 4 MAT ประกอบแบบฝึกทักษะคำศัพท์พื้นฐานภาษาจีนกลาง ประชากรของงานวิจัยนี้ได้แก่นักศึกษาสาขาวิชาภาษาจีน ชั้นปีที่1 ปีการศึกษา 2562 และกลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาจีน ชั้นปีที่1 ปีการศึกษา 2562 จำนวน 1 หมู่เรียน หลักสูตรสขาวิชาภาษาจีน (แขนงการสอนภาษาจีนในฐานะภาษาตา่ งประเทศ) จำนวน 33 คน โดยการสมุ่ แบบกลมุ่ (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่แผนจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมาตามแนวคิดและทฤษฎีหลักการเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบ 4 MAT แบบวัดทักษะการฟังและการพูดภาษาจีนของนักศึกษาและแบบสอบถามความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ภาษาจีน ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 4 MAT ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาร้อยละค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน T-test(Dependent Sample) และ F-test(One –way AVOVA) ผลการวิจัยพบว่า 1) การจัดการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 4 MAT ประกอบแบบฝึกทักษะคำศัพท์พื้นฐานภาษาจีนกลาง มีประสิทธิภาพ (E1/E2)เท่ากับ 84.71/85.50 ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมาย 2) กิจกรรมการจัดการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 4 MAT ประกอบแบบฝึกทักษะคำศัพท์พื้นฐานภาษาจีนกลาง มีค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.7874 3) ทักษะการฟังและการพูดภาษาจีนของนักศึกษาหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 4MAT ประกอบแบบฝึกทักษะคำศัพท์พื้นฐานภาษาจีนกลางอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4) ทักษะการฟังและการพูดภาษาจีนของนักศึกษาก่อนเรียนที่มีทักษะการฟังและการพูดภาษาจีนแตกต่างกัน หลังจากได้รับจากการจัดการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 4 MAT ประกอบแบบฝึกทักษะคำศัพท์พื้นฐานภาษาจีนกลางไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.01 5) นักศึกษามีความพึงพอใจที่ได้รับจากการจัดการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 4 MAT ประกอบแบบฝึกทักษะคำศัพท์พื้นฐานภาษาจีนกลางโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.58, S.D.0.54)
- Publicationการพัฒนาทักษะการออกเสียงวรรณยุกต์ภาษาจีนกลางของนักศึกษารายวิชาภาษาจีนเพื่อการสื่อสารด้วยการเรียนการสอนแบบเน้นภาระงานสุธินี วงศ์วัฒนานุกุล; ภูเทพ ประภากร; Wongwattananukui, Sutinee; Prapagorn, Puthep (2020)งานวิจัยเรื่องการพัฒนาทักษะการออกเสียงวรรณยุกต์ภาษาจีนกลางของนักศึกษารายวิชาภาษาจีนเพื่อการสื่อสารด้วยการเรียนการสอนแบบเน้นภาระงาน (TASK-BASED LEARNING) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะการออกเสียงวรรณยุกต์ในภาษาจีนกลางของนักศึกษารายวิชาภาษาจีนเพื่อการสื่อสารและเพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่เรียนเรื่องเสียงวรรณยุกต์ในภาษาจีนกลางด้วยการจัดการเรียนการสอนแบบเน้นภาระงาน เนื่องจากสภาพปัญหาที่พบในการจัดการเรียนการสอนรายวิชาภาษาจีนเพื่อการสื่อสารที่ผ่านมา เมื่อผู้เรียนต้องมาเรียนรู้เรื่องระบบเสียงวรรณยุกต์ในภาษาจีนกลางจะประสบปัญหาหลายประการ งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยกึ่งทดลอง กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาสาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ หมู่เรียน 611749101 จำนวน 27 คนได้มาจากการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบทดสอบทักษะการออกเสียงวรรณยุกต์ในภาษาจีนกลาง แบบบันทึกผลและสรุปปัญหาการออกเสียงวรรณยุกต์ในภาษาจีนกลางของผู้เรียนแบบฝึกทักษะการออกเสียงวรรณยุกต์ในภาษาจีนกลางแบบเน้นภาระงาน และแบบสอบถามวัดความพึงพอใจของการใช้การเรียนการสอนแบบเน้นภาระงาน ผู้วิจัยจึงกำหนดขั้นตอนการดำเนินงานวิจัย 4 ขั้นตอนได้แก่ ขั้นก่อนการปฏิบัติ ขั้นสร้างความรู้ ความเข้าใจ ขั้นฝึกปฏิบัติเพื่อการพัฒนาทักษะการออกเสียงวรรณยุกต์และขั้นทดสอบการออกเสียง ผลการวิจัยพบว่า ผู้เรียนมีปัญหาการออกเสียงวรรณยุกต์มากที่สุดคือหัวข้อที่ 1 ทักษะการออกเสียงวรรณยุกต์เบื้องต้นผู้วิจัยจึงได้นำกระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบเน้นภาระงานที่ออกแบบไว้ทั้ง 4 ขั้นตอน พบว่า ทักษะการออกเสียงวรรณยุกต์ภาษาจีนกลางของผู้เรียนมีการพัฒนาขึ้นทุกหัวข้อ ผลเฉลี่ยรวมคือ 23 ด้านความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนแบบเน้นภาระงานในเรื่องทักษะการออกเสียงวรรณยุกต์ในภาษาจีนกลาง พบว่า ภาพรวมผู้เรียนมีความพึงพอใจในระดับมาก งานวิจัยนี้ให้ข้อเสนอแนะในด้านการออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนควรเน้นการจัดภาระงานแบบเดี่ยวมากที่สุด เพื่อให้ผู้เรียนทุกคนได้ฝึกฝน พัฒนาทักษะการออกเสียงวรรณยุกต์ได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งยังแก้ไขปัญหาเฉพาะในเรื่องการออกเสียงของผู้เรียนรายบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- Publicationการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาจีนโดยใช้กิจกรรมบูรณาการตามทฤษฎีพหุปัญญาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเทศบาล 1 ศรีเกิด อำเภอเมือง จังหวัดเชียงรายหทัยทิพย์ ยอดเกตุ; ฐนน พูนทรัพย์ไพศาล; Yortkate, Hataitip; Phunsapphaisan, Thanon (2017)การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการใช้กิจกรรมบูรณาการตามทฤษฎีพหุปัญญา ในการพัฒนาการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาจีนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเทศบาล ๑ ศรีเกิด จังหวัดเชียงราย กลุ่มทดลองที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1/3 จำนวน 32 คน ใช้แบบสังเกตพฤติกรรมผู้เรียนตามทฤษฎีพหุปัญญา แผนการจัดการเรียนรู้การพัฒนาการจัดการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาจีนโดยบูรณาการตามทฤษฎีพหุปัญญา และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาจีนตามทฤษฎีพหุปัญญาเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ และใช้โปรแกรมทางสถิติในการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและทดสอบสมมุติฐานโดยการใช้ t-test ซึ่งกำหนดระดับนัยยะสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการวิจัยพบว่า การเรียนรู้คำศัพท์ภาษาจีนโดยใช้กิจกรรมบูรณาการตามทฤษฎีพหุปัญญานักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนร้อยละ 89.06, 91.25 และ 80.00 สูงกว่าร้อยละ 70 จึงมีผลต่อการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาจีนที่ระดับนัยยะสำคัญทางสถิติที่ .05
- Publicationการพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ภาษาจีนผ่านการเรียนรู้แบบการลงมือทำณิชาภา ยศุตมธาดา; อดิเรก นวลศรี; Yasuttamathada, Nichapha; Nuansri, Adirek (2021)การวิจัยเรื่อง การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ภาษาจีนผ่านการเรียนรู้แบบการลงมือทำ (Learning by Doing) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ภาษาจีนผ่านการเรียนรู้แบบการลงมือทำ เพื่อศึกษาประสิทธิภาพด้านทักษะภาษาจีนของผู้เรียนที่ผ่านการเรียนรู้แบบการลงมือทำ รวมถึงเพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อรูปแบบการเรียนรู้แบบการลงมือทำ โดยมีกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการกำหนดรูปแบบการเรียนรู้ภาษาจีนผ่านการเรียนรู้แบบการลงมือทำ ได้แก่ ผู้สอนและกลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านภาษาจีนระดับอุดมศึกษา จำนวน 12 คน และกลุ่มนักศึกษาที่ฝึกปฏิบัติงาน สาขาวิชาภาษาจีน ในกลุ่มธุรกิจทราเวลรีเทล ปีการศึกษา 2562 จำนวน 75 คน โดยวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการจำแนกชนิดข้อมูล (Typological Analysis) แบบการวิเคราะห์สารระบบ (Taxonomy Analysis) กระบวนการทางสถิติ และโดยใช้สถิติ t – test แบบ Dependent Sample ตามลำดับ ผลการดำเนินการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบการสร้างกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Learning by doing ที่เหมาะสมในการสร้างประสบการณ์และทักษะทางด้านภาษาจีนให้แก่นักศึกษาหลักสูตรภาษาจีน ควรเป็นรูปแบบการสร้างกิจกรรมที่ผู้เรียนได้เรียนรู้และเข้าใจเนื้อหาโดยง่ายผ่านประสบการณ์จริงภายในชั้นเรียน นอกชั้นเรียน หรือสถานประกอบการ เสริมสร้างทักษะที่จำเป็นในการทำงาน หรือการพัฒนาตนเองแก่ผู้เรียน มีการ บูรณาการความรู้ด้านภาษาจีนกับความรู้ด้านอื่น ๆ และสร้างโอกาสในการเรียนรู้จากเจ้าของภาษาโดยตรง 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาภายหลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบการเรียนรู้แบบการลงมือทำ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าก่อนได้รับการเรียนรู้แบบการลงมือทำ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) ผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อรูปแบบการเรียนรู้แบบการลงมือทำ ในภาพรวมอยู่ในระดับ มากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเลขคณิตเท่ากับ 4.61 เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุดทุกข้อ
- Publicationการพัฒนารูปแบบการสอนที่เน้นภาระงานเพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านภาษาจีนเพื่อความเข้าใจ สำหรับนักศึกษาปริญญาตรีศศิณัฎฐ์ สรรคบุรานุรักษ์; ชัชว์ เถาว์ชาลี; Sankaburanurak, Sasinat; Taochalee, Chach (2017)การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและหาประสิทธิภาพรูปแบบการสอนที่เน้นภาระงานเพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านภาษาจีนเพื่อความเข้าใจให้ได้ตามเกณฑ์ 80/80 2) ประเมินประสิทธิผลของการพัฒนารูปแบบการสอนที่เน้นภาระงานเพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านภาษาจีนเพื่อความเข้าใจ และ3)ขยายผลรูปแบบการสอนที่พัฒนาขึ้น กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักศึกษาสาขาการสอนภาษาจีนในฐานะภาษาต่างประเทศ ชั้นปีที่ 2 จำนวน 30 คน ที่ลงเรียนรายวิชาการอ่านภาษาจีน 1 ภาคการศึกษาที่ 1/2559ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย รูปแบบการสอนที่เน้นภาระงาน คู่มือการใช้รูปแบบการสอนที่เน้นภาระงาน แผนการจัด การเรียนการสอน แบบทดสอบความสามารถในการอ่านภาษาจีนเพื่อความเข้าใจ แบบประเมินความเข้าใจในบทอ่านจากชิ้นงาน แบบประเมินพฤติกรรมการใช้กลวิธีการอ่านภาษาจีน แบบสอบถามความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อรูปแบบและแบบสะท้อนคิดของนักศึกษาที่มีต่อรูปแบบวิเคราะห์ ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าทีแบบไม่อิสระ(t-test for dependent samples) และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1.รูปแบบการสอนอ่านภาษาจีนที่เน้นภาระงานเพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านสำหรับนักศึกษาปริญญาตรีมีชื่อว่า “4A Model” (รูปแบบโฟร์เอ) ประกอบด้วยกระบวนการ 4 ขั้น ได้แก่ 1) ขั้นกระตุ้นก่อนการเรียน (Activating Prior Learning: A) 2) ขั้นประยุกต์ใช้กลวิธีและตรวจสอบความเข้าใจ (Applying Strategies and Checking for Comprehension: A) 3) ขั้นปฏิบัติภาระงาน (Acting on the Task: A) และ 4) ประเมินชิ้นงานจากบทอ่าน (Assessing the Task: A) รูปแบบมีประสิทธิภาพเท่ากับ 86.76/98.00 2.ประสิทธิผลของรูปแบบพบว่า 1) หลังเรียนตามรูปแบบนักศึกษามีความสามารถในการอ่านภาษาจีนเพื่อความเข้าใจสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .052) นักศึกษามีพัฒนาการด้านความเข้าใจในบทอ่านจากชิ้นงานสูงขึ้นในช่วงระหว่างเรียนจากระดับมากเป็นระดับมากที่สุด โดยที่ระยะที่ 1 ระยะที่ 2 และระยะที่ 3 อยู่ในระดับมาก ระยะที่ 4 อยู่ในระดับมากที่สุด 3) มีพฤติกรรมการในการใช้กลวิธีการอ่านภาษาจีนสูงขึ้นและ 4) มีความคิดเห็นต่อกิจกรรมการเรียนรู้ตามรูปแบบอยู่ในระดับเห็นด้วยมาก 3.ในการขยายผลพบว่า หลังเรียนตามรูปแบบนักศึกษากลุ่มขยายผลมีความสามารถในการอ่านภาษาจีนเพื่อความเข้าใจสูงกว่าก่อนเรียน มีพัฒนาการด้านความเข้าใจในบทอ่านจากชิ้นงานสูงขึ้นจากระดับปานกลางเป็นระดับมาก มีพฤติกรรมในการใช้กลวิธีการอ่านภาษาจีนที่สูงขึ้น และมีความคิดเห็นต่อกิจกรรมการเรียนรู้ตามรูปแบบอยู่ในระดับเห็นด้วยมาก
- Publicationการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจ ในการจัดการเรียนการสอนรายวิชา 0109431 นิทานสุภาษิตจีน โดยใช้บทบาทสมมุติของนิสิตหลักสูตรวิชาภาษาจีน ชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยทักษิณกรรณิการ์ ถีราวุฒิ; Theerawut, Kannika (2017)การวิจัยเรื่องการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจในการ จัดการเรียนการสอนรายวิชา 0109431 นิทานสุภาษิตจีน โดยใช้บทบาทสมมุติของนิสิตหลักสูตรวิชาภาษาจีน ชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยทักษิณ มีวัตถุประสงค์เพื่อ หาผลสัมฤทธิ์จากการจัดการเรียนการสอนแบบแสดงบทบาทสมมุติ และเพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของนิสิตที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนแบบแสดงบทบาทสมมุติ กลุ่มเป้าหมาย จำนวนนิสิต 45 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยและเก็บรวบรวม ข้อมูลคือ แผนจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการเรียนการสอนแบบแสดงบทบาทสมมุติ จำนวน 10 แผน แบบทดสอบเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน แบบสอบถามความพึงพอใจจากการเรียนการสอนแบบแสดงบทบาทสมมุติ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานและสถิติ t-test dependent ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนโดย ใช้การเรียนการสอนแบบแสดงบทบาทสมมุติ ในรายวิชา 0109431 นิทานสุภาษิตจีน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และนิสิตมีความพึงพอใจ ในการเรียนการสอนแบบแสดงบทบาทสมมุติ ในรายวิชา 0109431 นิทานสุภาษิต จีนในระดับมาก
- Publicationการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาจีนเพื่อการออกแบบเชิงสร้างสรรค์โดยใช้เทคโนโลยีโลกเสมือนผสานโลกแห่งความจริง (AR) สำหรับนักศึกษาคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ณพล ม่วงงาม; ณธกร อุไรรัตน์; Moungngam, Naphon; Ourairat, Nathakron (2022)งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชา FA229 ภาษาจีนเพื่อการออกแบบเชิงสร้างสรรค์ โดยใช้เทคโนโลยีโลกเสมือนผสานโลกแห่งความจริง (AR) 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการเรียนวิชาภาษาจีนเพื่อการออกแบบเชิงสร้างสรรค์โดยใช้เทคโนโลยีโลกเสมือนผสานโลกแห่งความจริง (AR) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ที่ลงทะเบียนรายวิชา FA229 ภาษาจีนเพื่อการออกแบบเชิงสร้างสรรค์ ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 1 กลุ่ม 40 คน ซึ่งได้จากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) และโดยการจับสลาก เครื่องมือในการวิจัย คือ แผนการสอนรายวิชา FA 229 ภาษาจีนเพื่อการออกแบบเชิงสร้างสรรค์ ประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน มีค่า IOC เท่ากับ 0.88 - 1.00 แสดงว่า สามารถนำไปใช้ได้ แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีค่าความยากง่าย (p) เท่ากับ 0.35 - 0.83 ค่าอำนาจจำแนก (r) เท่ากับ 0.40 - 1.00 ค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.87 และแบบสอบถามความพึงพอใจ มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.89 สถิติที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ สถิติบรรยาย คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติตรวจสอบสมมุติฐาน โดยใช้ t-test for One sample จากการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา FA 229 ภาษาจีนเพื่อการออกแบบเชิงสร้างสรรค์ โดยใช้เทคโนโลยีโลกเสมือนผสานโลกแห่งความจริง (AR) นักศึกษามีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 30.15 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 4.03 เมื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนดไว้ร้อยละ 80 มีคะแนนเท่ากับ 32 คะแนน ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t= 78.128*, sig= 0.000) และ 2) ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการเรียนวิชาภาษาจีนเพื่อการออกแบบเชิงสร้างสรรค์โดยใช้เทคโนโลยีโลกเสมือนผสานโลกแห่งความจริง (AR) โดยภาพรวมอยู่ที่ระดับมากที่สุด (xgif.latex = 4.56, S.D. = 0.55) ความพึงพอใจมีทั้งหมด 3 ด้าน เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย คือ ด้านกิจกรรมการเรียนรู้ ด้านอาจารย์ผู้สอน และด้านผู้เรียน
- Publicationการศึกษาสภาพปัจจุบันของรูปแบบการเรียนการสอนภาษาแบบเน้นงานปฏิบัติกับการสอนภาษาจีนสำหรับผู้เรียนชาวไทยอภิสรา พรรัตนานุกูล; Zou, Kang; 罗, 思娜; 邹, 康; Pornrattananukul, Apisara; Zou, Kang (2019)รูปแบบการเรียนการสอนแบบเน้นงานปฏิบัติเป็นรูปแบบที่แพร่หลายในแวดวงการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเป็นรูปแบบที่เน้นให้ผู้เรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติ ทำให้ได้ใช้ภาษานั้นๆ จริง ผู้เรียนจึงสามารถเรียนรู้ภาษาได้ดีและเป็นธรรมชาติมากขึ้น และมีผู้สนใจศึกษาวิจัยรูปแบบการเรียนการสอนนี้มากขึ้น บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบการเรียนการสอนแบบงานปฏิบัติ รวมถึงงานศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบการเรียนการสอนภาษาจีนแบบเน้นงานปฏิบัติกับการเรียนรู้ภาษาจีนของผู้เรียนชาวไทย เพื่อแสดงให้เห็นถึงสภาพปัจจุบันของการศึกษาวิจัยและตัวอย่างรูปแบบการสอนที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอนภาษาจีนต่อไปได้ ทำให้งานวิจัยทางด้านการเรียนการสอนภาษาจีนในไทยมีความหลากหลายมากขึ้น และส่งผลให้การเรียนการสอนภาษาจีนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วย
- Publicationการศึกษาหลักการและกลวิธีการสอนตัวอักษรจีนสําาหรับผู้เรียนชาวไทยเหล่ย พาน; เหว่ยเจิน หลิน; อภิมุข จิตรสิงห์; หมิงฮุย จย่า; Pan, Lei; Lin, Weizhen; Jitsing, Aphimuk; Jia, MingHui (2021)ตัวอักษรจีนเป็นองค์ประกอบสำคัญของภาษาจีน ในกระบวนการการจัดการเรียนการสอนภาษาจีนจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการจัดการเรียนการสอนตัวอักษรจีน ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้เรียนภาษาจีนเป็นจำนวนมากขึ้น แต่ความรู้ที่เกี่ยวกับตัวอักษรจีนยังคงเป็นปัญหาและอุปสรรคสำหรับผู้เรียนชาวไทย บทความนี้มุ่งเน้นในการศึกษาผ่านหลักการและกฎเกณฑ์ของตัวอักษรจีน ค้นหากลวิธีที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการสอนตัวอักษรจีนสำหรับผู้เรียนชาวไทย เพื่อเป็นแนวทางพัฒนาการจัดการด้านการเรียนการสอนภาษาจีนในประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ผลการวิจัยพบว่า หลักการและกลวิธีการสอนตัวอักษรจีนสำหรับผู้เรียนชาวไทย ได้แก่ 1. การตั้งวัตถุประสงค์และข้อกำหนดของการเรียน 2. การกำหนดขอบเขตของตัวอักษรจีนที่จะศึกษาและต้องมีความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างและความหมายของตัวอักษรจีน 3. การลำดับความยากง่าย โดยเริ่มเรียนรู้จากสิ่งที่ง่ายก่อนแล้วเข้าสู่สิ่งที่ยากขึ้น 4. การลงในรายละเอียดของการศึกษาตัวอักษรจีน เช่น โครงสร้างของตัวอักษรจีน ตำแหน่งของส่วนประกอบในตัวอักษรจีน และการเปรียบเทียบส่วนประกอบอักษรจีนที่คล้ายกัน
- Publicationผลการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคสืบสวนสอบสวนที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนในวิชาประวัติศาสตร์จีนภูเทพ ประภากร; Prapagorn, Puthep (2018)การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาผลการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคสืบสวนสอบสวนที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในวิชาประวัติศาสตร์จีน และ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคสืบสวนสอบสวนในรายวิชาประวัติศาสตร์จีนกลุ่มเป้าหมายคือนักศึกษาชั้นปีที่3 สาขาวิชาภาษาจีน คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี ที่เรียนวิชาประวัติศาสตร์จีนในภาคการศึกษาที่ 2 ปีการศึกษา 2560จำนวน 28 คนที่ได้มาจากการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยและเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักศึกษา ซึ่งงานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน โดยใช้วงจร P (วางแผน เตรียมการ) -A (ลงมือปฏิบัติ) –O (พัฒนา ติดตามผล) –R(ประเมินผล) น าข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและวิเคราะห์ข้อมูลความพึงพอใจโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1)ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษากลุ่มเป้าหมายที่ศึกษารายวิชาประวัติศาสตร์จีนด้วยเทคนิคสืบสวนสอบสวนนั้น ผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2)ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนรู้วิชาประวัติศาสตร์จีนด้วยเทคนิคสืบสวนสอบสวนพบว่า มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.63 สะท้อนให้เห็นว่าเทคนิคการเรียนรู้แบบสืบสวนสอบสวนสามารถช่วยพัฒนาให้นักศึกษาเข้าใจเนื้อหาในบทเรียนมากขึ้น